16

บทที่ ๑๕


บทที่ ๑๕

 

สายฝนหยุดพร่างพรมได้พักใหญ่แล้ว ทิ้งไว้แต่อากาศเย็นและกลิ่นไอดินหอมชื่นใจผู้ที่ไม่ได้กลับบ้านเสียนาน

ดลฤดีนั่งหันหน้าออกไปทางทิวทัศน์ธรรมชาติที่มีทั้งภูเขาหลายลูกและแปลงนาขั้นบันได หัวโต๊ะฝั่งที่ติดกับเธอเป็นที่นั่งของพ่อ ส่วนข้างกันคือสิทธา นอกเหนือจากนี้เธอไม่อยากสนใจว่าแม่เลี้ยงของตนนั่งอยู่ตรงไหน ไม่แม้แต่ปรายตามอง

“แล้วเย็นนี้จะไปไหนกัน ถ้าไม่ไปไหนก็มานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านนี่แหละนะ ค่ำๆ อากาศดี” พ่อเลี้ยงโอภาสเอ่ยถามหนุ่มๆ สาวๆ

“หนูดีว่าจะลงไปหาร้านนั่งเล่น เป็นร้านของคนในวงการที่รู้จักกันน่ะค่ะ”

ผู้เป็นพ่อพยักหน้าง่ายๆ แต่ไม่วายกระเซ้าว่าที่ลูกเขยอย่างเข้าใจหัวอกผู้ชายด้วยกัน

“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เบื่อแม่ตัวยุ่ง”

“เบื่อตอนนี้คงจะสายไปแล้วครับ ยกให้คนหนึ่ง คุณย่าท่านรักมาก”

สิทธาสบตาคนรัก แม้ประโยคหลังจะอ้างถึงหญิงชรา แต่แววตากลับบอกความรู้สึกข้างใน

“พ่อไม่ต้องห่วงหนูดีหรอกค่ะ ห่วงยายอ้ายดีกว่า” หญิงสาวบอกเสียงสะบัด ยากจะแยกได้ว่าต้องการประชดประชันหรือเย้าแหย่

เดือนอ้ายสำลักน้ำพริกหนุ่มจนน้ำหูน้ำตาไหล หน้าแดงก่ำ อาการเช่นนั้นยิ่งเรียกสายตาทุกคู่ให้มองมาที่เธอ ดลฤดีหัวเราะขัน ขณะที่นภนต์ได้แต่โคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ

“ทำไม ยายอ้ายมีแฟนแล้วหรือ ใครล่ะ”

ก่อนที่สายตาของพ่อเลี้ยงโอภาสจะกวาดมองไปที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้าม เดือนอ้ายก็รีบตอบปากคอสั่นเสียก่อน

“พี่หนูดีห่วงว่าอ้ายเรียนจบแล้วจะทำงานอะไรน่ะค่ะ”

ดลฤดีส่งค้อนให้เด็กเลี้ยงแกะ แต่ก็เลือกนิ่งเฉยตามที่อีกฝ่ายยกสาเหตุขึ้นมา

“จริงสิ อ้ายมาช่วยลุงดูรีสอร์ตดีไหม” โอภาสชักชวนหลาน

ทว่าคนที่ร้อนใจอยากปฏิเสธเสียเองกลับเป็นลูกชายของเพื่อน นภนต์จับจ้องหญิงสาวไม่วางตา

“อ้ายอยากอยู่กับพี่หนูดีมากกว่า อย่างน้อยก็จนกว่าพี่หนูดีจะแต่งงาน แล้วอ้ายก็เพิ่งส่งอีเมลสมัครงานไปที่บริษัทคุณสิทธาด้วยค่ะ” เอ่ยถึงประโยคสุดท้าย นักศึกษาจบใหม่ก็เงยหน้ายิ้มแห้งๆ ให้พี่สาวกับว่าที่พี่เขย

แม้จะโล่งใจกับคำตอบของเดือนอ้าย แต่นภนต์ก็ลอบถอนหายใจฉุนๆ เธอไม่ได้ชำเลืองมาที่เขาเลย อีกทั้งคำตอบก็มีแต่เรื่องอนาคตการงาน หึ! แม่เด็กดี

“คุณอีกแล้วเรอะ” โอภาสชี้ไปที่ผู้บริหารหนุ่มพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “อะไรนี่ ผมต้องเสียลูกสาวหลานสาวให้คุณพร้อมกันหมด คุณนี่ร้าย”

ทั้งสองผสานเสียงหัวเราะกังวาน ขณะที่หนึ่งหนุ่มและสตรีอีกสามคนในที่นั้นต่างจมจ่อมกับความคิดของตัวเอง ซึ่งไม่พ้นเรื่องหนึ่งชายสองหญิงในอดีตที่ผ่านมา

 

หลังมื้อเที่ยงเสร็จสิ้น ดลฤดีชักชวนคนรักและเพื่อนออกไปชมแปลงนาขั้นบันไดโดยมีเดือนอ้ายรับหน้าที่มัคคุเทศก์จำเป็น ตลอดเวลาที่เดินเล่นเยี่ยมชมแปลงนาของชาวบ้าน สิทธาได้ยกกล้องบันทึกภาพว่าที่เจ้าสาวของตนไม่ได้ขาด ราวกับโลกนี้มีพวกเขาเพียงลำพัง

“พี่หนูดีน่าจะมาถ่ายพรีเวดดิงที่นี่นะคะ” กองเชียร์สาวเสนอความคิด

นภนต์ลอบมองสาวน้อยหน้าแฉล้มยืนยิ้มตาหยี สายตาที่เดือนอ้ายมองดลฤดีและสิทธาเปี่ยมไปด้วยความรักความเทิดทูนจนเขาเผลอยิ้มมุมปาก

“ไม่ดีกว่า พี่กับคุณสิทธาไม่ชอบอะไรเว่อร์วัง เราตั้งใจจะใช้รูปถ่ายทั้งหมดตั้งแต่คบกันมาประดับในงานแต่ง”

ผู้เป็นน้องยกมือปิดปากพร้อมกับเบิกตามองอย่างชื่นชม แต่คำพูดกวนอารมณ์ของชายหนุ่มอีกคนกลับขัดอารมณ์เสียก่อน

“ว่าที่เจ้าสาวของคุณสิทธาไม่เว่อร์เลยนะครับ แค่บินไปดูชุดแต่งงานถึงฝรั่งเศส”

ว่าที่เจ้าบ่าวพลอยหัวเราะขบขัน แล้วก็ถูกหญิงสาวบิดเอวเข้าให้ที่เขาดูจะอารมณ์ดีเหลือเกิน ก่อนดลฤดีจะคล้องแขนล่ำสันพลางลอยหน้าลอยตาพูดกับเพื่อน

“สามีรวย...ช่วยไม่ได้”

นภนต์หัวเราะพรืด เขายีผมอย่างกลัดกลุ้มกับเพื่อนที่ขยันอวดสามีและแสดงความรักต่อกันอย่างไม่เกรงใจที่ปรึกษายามมีปัญหาบ้างเลย

“เดียวนั่นแหละระวังเถอะ ขืนยังดื่มหนักทุกคืนจะไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเอา”

“คร้าบ คุณแม่ เราก็ไม่เคยรอให้ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนมา...”

“กรี๊ด หยุดนะยะ” เพื่อนสาวกรีดร้องขัดคนลามก

“อ้าว ก็จริงนี่ เราเป็นฝ่ายอะ...”

ดลฤดีตะครุบปิดปากเพื่อนที่ยังไม่เลิกพูดจาทะลึ่งตึงตัง เธอรีบลากแขนคนรักไปจากตรงนี้ ไม่วายหันไปสะบัดค้อนใส่เพื่อนอีกวง

คนที่แอบฟังอยู่สองนานทำท่าจะตามญาติผู้พี่ไปอีกคน แต่ถูกมืออุ่นจัดฉวยต้นแขนไว้ได้เสียก่อน ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นแก้มแดงจัดของ ‘ผู้หญิงดีๆ’ ที่เขาหมายมาด ที่แท้เจ้าหล่อนก็เป็นเด็กสู่รู้ แอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน

“ไม่ต้องตามพวกเขานักหรอกน่า เราเดินดูของเรานี่แหละ”

“ปล่อยก่อนสิคะ” เธอพึมพำ

นภนต์ยอมปล่อยลำแขนกลมกลึงตามที่เจ้าตัวต้องการ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพลางชี้ชวนหญิงสาวไปถ่ายรูปกลางคันนา

“ไปสิ ถ่ายรูปให้”

เดือนอ้ายก้าวเดินคล่องแคล่วด้วยความคุ้นเคย เธอโน้มตัวจนใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ระดับเดียวกับยอดข้าว ช่างภาพอาสาจำต้องนั่งยองๆ เพื่อบันทึกภาพ เขาเผลอยิ้มกว้างเมื่อเธอชูสองนิ้วทั้งสองมือ

“อ้ายถ่ายให้ไหมคะ”

นภนต์กวักมือเรียกเด็กดีมีน้ำใจมาใกล้ แต่แทนที่เขาจะส่งโทรศัพท์ให้เจ้าหล่อน แขนยาวกลับโอบไหล่เธอมาใกล้ตัวพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ออกไปสุดแขน

เดือนอ้ายรู้สึกเหมือนตนจะจมหายไปกับแผงอกหนา เมื่อเขาลดสมาร์ตโฟนลงมาแล้วก็จริง แต่ยังกักตัวเธอไว้ด้วยอ้อมแขนหลวมๆ ระหว่างเลื่อนหน้าจอดูรูปถ่ายตรงหน้าเธอ

“ชอบไหม”

“ค่ะ”

“ไว้ส่งให้” เขาว่าง่ายๆ ก่อนจะหาเศษหาเลยด้วยการขโมยจุมพิตที่ขมับเสียทีหนึ่งแล้วจึงคลายอ้อมแขนออก

หญิงสาวเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง เมื่อเห็นดลฤดีกับสิทธากำลังพูดคุยกับชาวบ้านที่สันเขาซึ่งทอดต่ำลงไปจึงค่อยผ่อนลมหายใจ เดินเคียงกันไปกับคนที่กระหวัดนิ้วชี้มาเกาะเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอ

 

ร้านที่เพื่อนร่วมวงการของดลฤดีเป็นเจ้าของกิจการตั้งอยู่ในตัวจังหวัด เป็นร้านอาหารกึ่งผับที่สร้างจำลองภาพจากหนังคาวบอย มีทั้งส่วนภายในร้านซึ่งเป็นโรงยุ้งฉาง กับส่วนนอกร้านที่โต๊ะและเก้าอี้เลียนแบบถังบ่มไวน์

พวกเขาเลือกนั่งภายนอกร้านเพราะอากาศกำลังเย็นสบายและสองหนุ่มจะได้สูบซิการ์ด้วยกัน แม้ดลฤดีจะเป็นที่จดจำได้ของลูกค้าบางคน แต่เมื่อทุกคนต่างมาที่นี่ในฐานะนักท่องเที่ยวจึงไม่มีใครเข้ามารบกวน มีก็แต่ผู้จัดการร้านที่เข้ามาทักทายเพื่อเสนอส่วนลดให้

ทุกคนเลือกดื่มเบียร์สดกันคนละเหยือก ยกเว้นเดือนอ้ายที่พี่สาวสั่งค็อกเทลกามิกาเซ่มาให้เพราะรับไม่ได้ที่เธอจะสั่งน้ำเปล่า นอกเหนือจากนั้นเป็นอาหารกินเล่นที่ดลฤดีแอบกระซิบเพื่อนว่าสู้ฝีมือเชฟที่จี๊ซบาร์ไม่ได้ ทำเอาเจ้าของร้านยักคิ้วหลิ่วตาอย่างไม่ถ่อมตัวสักนิดเดียว

“หนูดีได้ข่าวว่าเดียวจะเปิดร้านใหม่เหรอ ที่ไหนน่ะ”

นภนต์เลิกคิ้วแปลกใจ เมื่อสบตากับสิทธาเข้าก็เห็นแววประหลาดใจในดวงตาคมเข้มเช่นกัน

“รู้มาจากไหน”

“เพื่อนๆ นั่นแหละ แต่จำไม่ได้ว่าใครพูดขึ้นมา”

“อืม ได้ที่แล้วละ แต่ขออุบไว้ก่อน” เขายอมรับตามตรง

“แหม ความลับเยอะจริ๊ง” เพื่อนสาวค่อนว่ากลั้วหัวเราะ “แล้วจะเปิดเมื่อไรล่ะ หนูดีจะได้เปลี่ยนที่ไปปาร์ตีบ้าง”

“น่าจะพฤศจิกาหรือธันวาเป็นอย่างช้า ร้านนี้ชิลๆ มินิมัล เน้นลูกค้าที่ชอบความสงบ”

เดือนอ้ายลอบมองใบหน้าด้านข้างของผู้ที่เอ่ยเป็นจริงเป็นจัง คิ้วเข้มเรียวสวยขมวดน้อยๆ สายตาของนภนต์มองตรงไปข้างหน้าอย่างคนที่มีความมุ่งมั่นและมั่นใจเต็มเปี่ยม วันนี้เขาทำให้เธอแปลกใจในตัวเขาถึงสองครั้งสองครา...เหมือนที่ผ่านมาเธอไม่ได้รู้จักเขาเลย

เมื่อบทสนทนาแปรเปลี่ยนเป็นการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการร่วมทุนเปิดซิการ์คลับของบุรุษทั้งสอง ดลฤดีจึงหยิบกล้องดีเอสแอลอาร์ของคนรักมาถ่ายรูปเล่นกับญาติผู้น้อง ก่อนจะทำหน้านิ่วเมื่อแน่ใจว่าชายหนุ่มคนหนึ่งมองมาทางพวกเธอหลายครั้งหลายครา

“อ้ายรู้จักคนนั้นไหม พี่เห็นเขามองมาที่เราหลายทีแล้ว ท่าทางลังเลเหมือนอยากมาทัก คนรู้จักพ่อหรือเปล่า”

ใช่แต่เพียงเดือนอ้ายที่หันมองตามสายตาพี่ บุรุษทั้งสองก็เช่นเดียวกัน ครั้นได้เห็นบุคคลเป้าหมายที่พี่บอก หญิงสาวก็ยิ้มกว้างอย่างจดจำได้ทันที เธอหันกลับไปบอกดลฤดีด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“พี่ชายเพื่อนของอ้ายเองค่ะ อ้ายขอไปทักพี่เขานะคะ”

ร่างอวบอิ่มรีบลุกไปโดยไม่รอคำอนุญาต ทว่าคนที่ไม่พอใจกลับไม่ใช่ญาติผู้พี่ แต่เป็นชายหนุ่มอีกคนต่างหาก

นภนต์ไม่อาจละสายตาจากโต๊ะที่มีผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งอยู่ได้เลย เขาเห็นนายคนที่ตัวสูงกว่าใคร รูปร่างผึ่งผายลุกยืนขณะเดือนอ้ายก้าวไปหา แม้จะไม่มีการจับมือถือแขนหรือแตะเนื้อต้องตัวกันก็ตาม แต่เขานึกขวางรอยยิ้มพิมพ์ใจของหมอนั่นเหลือเกิน

ทั้งสองพูดจากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพี่ชายเพื่อนตามที่หญิงสาวกล่าวอ้างจะแนะนำเธอกับเพื่อนเขาทุกคน และสำหรับนภนต์...นั่นเป็นการกระทำเกินความจำเป็น!

“ลุกไปลากยายอ้ายกลับมาดีไหม” ดลฤดีกระเซ้าเพื่อน แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ที่สุดในที่นั้นหรี่ตาปราม

“ไม่เอาครับหนูดี”

“ก็หนูดีหมั่นไส้คนแถวนี้นี่นา” เธออดบ่นกระเง้ากระงอดไม่ได้

คนแถวนี้ปรายตามองคนขี้แกล้งราวค้อนเคือง ก่อนจะเห็นจากหางตาว่าหนุ่มสาวสองคนกำลังเดินมาทางโต๊ะของพวกตน ไม่นานเสียงเจื้อยแจ้วก็เอ่ยแนะนำอีกฝ่ายบ้าง แต่นภนต์ได้แต่ขบกรามแน่นโดยไม่หันไปมอง

“นี่พี่ปราบค่ะ เป็นพี่ชายยายแป๋ว เพื่อนสนิทของอ้ายสมัยเรียนที่นี่”

“อ๋อ แป๋วแหวว แฟนคลับคนแรกของพี่เลย”

ดลฤดีถึงบางอ้อทันที เธอจำเพื่อนสนิทที่น้องเอ่ยถึงได้ดี เพราะอีกฝ่ายมักเป็นตัวตั้งตัวตีในหมู่เด็กประถมให้เลือกเธอเป็นนางนพมาศและอีกสารพัดตำแหน่งบนเวทีประกวดของโรงเรียน

“แล้วแป๋วไม่ได้มาด้วยหรือคะ”

“ไม่ได้มาครับ ยายแป๋วไปเรียนต่อเมืองนอก” ป้องปราบตอบสุภาพก่อนขออนุญาต “ผมขอถ่ายรูปพี่หนูดีส่งไปให้น้องได้ไหมครับ”

“ได้สิ” อดีตนางเอกตอบรับด้วยความยินดียิ่ง

“อ้ายด้วยนะครับ”

นภนต์แทบลุกหนีน้ำเสียงอ่อนโยนของอีกฝ่ายอย่างใกล้เหลืออดเต็มที แล้วดูเถอะ คนของเขาช่างให้ความร่วมมือดีเสียเหลือเกินด้วยการฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยี รอยยิ้มที่เขาหวงแหน...กลัวว่าใครเห็นเข้าจะถูกตาต้องใจเธอเช่นเขาอีกคน

“ฝากความคิดถึงถึงน้องแป๋วด้วยนะคะ” ดลฤดีเอ่ยอย่างมีไมตรีจิต

“ครับ ขอบคุณพี่หนูดีมากครับ” ป้องปราบตอบ แล้วจึงหันมาย้ำเตือนเพื่อนของน้องสาวอีกหน “ไว้พี่กลับกรุงเทพฯ เมื่อไรจะติดต่ออ้ายนะครับ”

“ค่ะ”

เดือนอ้ายพนมมือไหว้ก่อนโบกมือลาน้อยๆ เมื่อพี่ชายเพื่อนเดินจากไปจึงนั่งลงที่เดิม แล้วก็ให้เขินอายเมื่อสบตาเข้ากับญาติผู้พี่ที่มองมาด้วยนัยน์ตาพริบพราว

“ทำไมเขาต้องติดต่ออ้ายด้วยล่ะ” ดลฤดีซักแทนเพื่อนที่ดีแต่ตีหน้ายักษ์ ไม่พูดไม่จากับใคร

“อ้ายก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับยายแป๋วมั้งคะ”

“ข้ออ้างน่ะสิ แหม” ผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่าเอ่ยเย้า “ว่าแต่พี่ชายยายแป๋วคนนี้ทำงานทำการอะไร”

“พี่ปราบเป็นตำรวจค่ะ อยู่ สน. แถวบ้านนี่เอง”

น้ำเสียงภูมิอกภูมิใจยามบอกเล่าอาชีพการงานของชายอื่นสะกิดแผลในใจนภนต์ให้เจ็บแปลบ ทำไมหรือ อาชีพตำรวจทหารมันน่าภูมิใจกว่าอาชีพอื่นหรือไร ทั้งพ่อและยายเด็กเดือนอ้ายถึงได้ต้องยกคนมีตำแหน่งมาอวดอ้าง

ขืนยังนั่งอยู่ตรงนี้เขาคงคลั่งตายหากไม่ได้ระบายความคับข้องใจ ชายหนุ่มลุกยืนพร้อมกับบอกเพื่อนด้วยเสียงห้วนจัด

“ถ้าจะกลับไม่ต้องรอนะ เราไปเดินเล่นในเมือง เดี๋ยวหาทางกลับเอง”

“ตลก เดียวจะกลับอย่างไร ดึกๆ ไม่มีรถรับจ้างหรอกนะ” ดลฤดีขัดขึ้นทันควัน

ทว่านภนต์ไม่ทันสัมผัสถึงความห่วงใยของเพื่อน ดวงตาคมกล้าจับจ้องร้อนแรงอยู่ที่เดือนอ้ายเพียงคนเดียว ขนาดนี้แล้วเธอยังไม่ห้ามเขาสักคำ ทั้งยังก้มหน้าหลบตา มันน่าเจ็บใจจริงๆ

“ตลกก็ขำสิ” เขาย้อนด้วยคำพูดติดปากของตนและเพื่อน ก่อนจะก้าวจากไปโดยไม่รอฟังคำทัดทานอีก

ดลฤดีสบตาคนรักด้วยความรู้สึกผิด สิทธาจึงบีบไหล่บางอย่างปลอบประโลม เขามั่นใจว่านภนต์ไม่ได้รู้สึกกับผู้หญิงของเขาเกินเพื่อนเป็นแน่แท้ แต่ชายหนุ่มคงจะรักชอบเดือนอ้ายตามที่ดลฤดีบอก คนที่มีนิสัยไม่แยแสโลกจึงได้ออกอาการหึงหวงชัดเจนในสายตาผู้ชายด้วยกัน จะมีก็แต่เด็กสาวที่เขามองว่าเด็กเสมออย่างเดือนอ้ายที่สับสนกับการกระทำของนภนต์กระมัง

หลังรออยู่ราวชั่วโมงเศษ คนที่ลุกจากไปยังไม่กลับมา สิทธาจึงชวนสาวๆ กลับที่พักซึ่งต้องเดินทางขึ้นเขาอีกไกลพอสมควร แล้วดลฤดีก็พยักหน้าอย่างยอมจำนน

 

‘เดียวมีปมกับคนในเครื่องแบบ เมื่อก่อนลุงสุนทรเคยเคี่ยวเข็ญให้เดียวสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร แต่เดียวก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ไม่ชอบถูกบังคับนั่นแหละ พอสอบไม่ผ่านท่านก็ว่าเดียวแข็งข้อ ไม่ตั้งใจทำข้อสอบ ตอนที่แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องคอยหย่าศึกระหว่างพ่อลูก แต่พอท่านเสียช่วงที่เดียวเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เดียวกับพ่อก็ต่อกันไม่ติดแล้ว’

เรื่องราวของนภนต์ที่ได้รู้จากปากพี่สาวลบภาพคนใจร้ายในความคิดของเธอไปเสียสิ้น เธอเคยเกลียดการมีชีวิตไร้จุดหมาย ไร้ตัวตนของตัวเอง แต่เมื่อคิดย้อนดูแล้วเธอไม่เคยถูกบังคับ ได้ทำทุกอย่างตามใจตัวเอง และยังได้รับการสนับสนุนซึ่งนภนต์คงไม่ได้รับจากพ่อของเขา

ทว่าสิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือ...

‘พี่หนูดีเล่าให้อ้ายฟังทำไมคะ’

‘ต๊าย! ยายอ้าย เลิกทำตัวใสซื่อแล้วยอมรับเสียเถอะว่าแกกับเพื่อนพี่แอบคบกัน ไม่อย่างนั้นเดียวจะหึงหน้ามืดขนาดนั้นเหรอยะ’

เดือนอ้ายไม่กล้ายอมรับและดูเหมือนผู้เป็นพี่จะปักใจเชื่อในสิ่งที่คิดอยู่แล้ว เธอจึงได้แต่ก้มหน้าหลบตาด้วยความรู้สึกผิดไม่น้อย แต่อีกใจก็ขัดเคืองชายหนุ่ม เธอไม่รู้ว่าเขามีปมในใจ และเธอก็ไม่ได้บ้าเครื่องแบบอย่างที่เขาคิดเสียหน่อย

คืนนั้นหลังจากดลฤดีซึ่งชวนเธอค้างด้วยกันที่บ้านพักของรีสอร์ตผล็อยหลับไป เดือนอ้ายจึงออกมารอใครบางคนด้วยความห่วงใยสุดหัวใจ เธอคิดหาหนทางสารพัดว่าเขาจะกลับอย่างไร โทร. ไปก็ไม่รับสาย ทุกครั้งที่สายลมพัดใบไม้ขยับไหว เธอหวังว่าจะได้เห็นร่างสูงปรากฏตัวหลังต้นไม้นั้น แต่ก็ต้องผิดหวังทุกครา

หญิงสาวเดินไปมาหน้าระเบียงบ้านพักที่มีแสงไฟส่องสว่าง เธอก้มมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วก็พบว่าล่วงเข้าวันใหม่มากว่าสองชั่วโมงแล้ว เธอกดโทร. ออกอีกครั้ง ทว่าเสียงสัญญาณรอสายก่อนหน้านี้แทนที่ด้วยเสียงหวานจากระบบตอบรับอัตโนมัติ ทำเอาคนรอแทบไม่อาจกลั้นน้ำตาของความห่วงใย

เดือนอ้ายหวาดกลัวไปสะระตะ กลัวว่าเขาจะเจอคนไม่ดี ถูกทำร้ายหรือปล้นทรัพย์ กลัวว่าเขาจะไม่มีรถกลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ในความกลัวประสาคนโลกแคบของตนไม่มีความหวาดกลัวต่อนภนต์หลงเหลืออยู่เลย

เสียงสวบสาบเหมือนเสียงฝีเท้าทำเอาคนรอถึงกับกลั้นหายใจภาวนาให้เป็นเขา ดวงตาแดงเรื่อจับจ้องแน่วนิ่งไปยังที่มาของเสียงนั้น เธอเห็นเงาคนบนพื้นทางเดินซึ่งปูด้วยอิฐมวลเบา ก่อนเจ้าของเงานั้นจะก้าวพ้นมุมมืดหลังต้นไม้ใหญ่ออกมา

นภนต์เดินล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองมือ เขาเงยหน้ามองเล็กน้อยเมื่อเห็นจากหางตาว่าใครออกมายืนเล่นข้างนอกในยามวิกาลเช่นนี้ แต่ภาพนั้นก็เลือนรางเพราะอีกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาร่างของเขาก็เซถอยไปก้าวหนึ่ง พร้อมกับแรงโอบรัดรอบเอวของตน

ชายหนุ่มหลุบตามองคนที่กอดเขาแน่น แต่เขามองไม่เห็นสีหน้าเธอ เห็นเพียงกลุ่มผมยาวประบ่าที่กระจายบนอกตน แล้วนภนต์ก็ต้องทำหน้านิ่วกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทำให้ลำคอของเขาตีบตันขึ้นมา เมื่อเธอกำลังจะถอนอ้อมกอด เขาจึงได้สติและชักมือออกมาโอบกอดเธอไว้อย่างหวงแหนเสียเอง

“อ้ายขอโทษ”

คำขอโทษที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยทำให้เขาจำต้องถอยออกมาเพื่อค้นหาความรู้สึกของเธอ

“ขอโทษทำไม” เขาถาม น้ำเสียงยังคงแข็งตามอารมณ์คุกรุ่นที่ตกค้าง

นั่นสินะ ขอโทษเขาเรื่องใดกันเดือนอ้าย เธอรู้เพียงว่าเป็นห่วงความรู้สึกของเขาเสียจนยอมรับผิดไว้กับตัว

“ก็...ถ้าเผื่อว่าอ้ายทำอะไรให้คุณโกรธ”

“หึ” นภนต์ทำเสียงขึ้นจมูกเยาะหยัน “ฉันไม่รับคำขอโทษไร้เหตุผล แล้วก็เลิกเที่ยวขอโทษในความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อเสียที อย่าทำตัวเป็นเด็กดีไปหน่อยเลย อย่าดีเกินไปนัก”

“คุณก็อย่ามองว่าอ้ายดีสิคะ” เธอเอ่ยขัดคนที่เดินผ่านตนไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดชะงักจึงเอ่ยต่อ “แล้วก็อย่ามองว่าตัวเองไม่ดี”

“ฉันนี่นะ” เขาย้อนกลั้วหัวเราะพร้อมกับหันมาเผชิญหน้าเด็กอวดดี “เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองโคตรดีเลย”

ใช่ เธอเคยเข้าใจเขาผิด คิดว่าผู้ชายคนนี้เปี่ยมด้วยความมั่นใจจนล้น ทะนงตนเหลือร้าย แต่แท้ที่จริงแล้วเขาช่างใจน้อย โมโหกลบเกลื่อนความไม่มั่นใจของตน อาจเพราะเขาไม่เคยรู้จักความรักที่มั่นคง

ไม่เป็นไร หากเขาไม่อยากยอมรับ เธอก็จะมองเขาในแบบที่เขาต้องการให้เห็น เดือนอ้ายก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มขบขันคนหลงตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วทำเหมือนกับว่าเหตุการณ์ในคืนนี้จบลงด้วยดี

“แล้วคุณกลับมาอย่างไรคะ”

ชายหนุ่มลอบถอนใจ เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ทรงรังนกหน้าบ้านพักพลางตอบแกนๆ

“ไปดื่มอยู่ร้านข้าวต้ม เจอคนคุยถูกคอเขาเลยมาส่ง”

“ดีจัง” คนฟังเผลอเปรยออกไป แว่วเสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่าย

“เชื่อหรือยังล่ะว่าฉันโคตรดี เข้ากับใครก็ง่าย ส่วนใครที่ฉันไม่คบ คนพวกนั้นต่างหากที่ควรพิจารณาตัวเอง” คำพูดทีเล่นทีจริงเข้มขึ้นเมื่อเอ่ยถึงท้ายประโยค “แล้วต่อไปฉันขอสั่งห้ามเธอรอฉันแบบนี้ เข้าใจไหม ถ้ามีอีกฉันจะไม่ปล่อยให้เธอมายืนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศอย่างนี้แน่ จำไว้”

“ค่ะ ต่อไปอ้ายจะรีบเข้านอน” เธอประชด ก่อนจะรู้ตัวว่าตกหลุมพรางเข้าแล้วเมื่อสบตาพราวระยับของเขา

นภนต์ผ่อนลมหายใจยาว ความอัดแน่นในอกหลายชั่วโมงก่อนบรรเทาเบาลงเมื่อรับรู้ถึงความห่วงใยของเจ้าหล่อน และเขาก็คิดว่าตนตัดสินใจถูกที่เลือกจากไปสงบสติอารมณ์ ดีกว่าทะเลาะกับเธอขณะที่โทสะครอบงำ

“มานี่มา” ชายหนุ่มตบบนหน้าตัก

เดือนอ้ายก้าวไปใกล้เขามากขึ้นอย่างลังเล เมื่อเขาสั่งให้นั่ง เธอก็นั่งเกยตักบนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับเขา อ้อมแขนแกร่งวาดมาโอบไว้หลวมๆ ใกล้เสียจนได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ

“อย่าดื่มหนักได้ไหมคะ” เธอลืมตัวเอ่ยออกไป

“คิดจะเปลี่ยนฉันเหรอ บอกไว้ก่อนว่าเปล่าประโยชน์ จะได้ไม่มาเสียใจทีหลัง”

หญิงสาวเผลอเม้มปากกับคำตอบที่ได้รับ เขาตอบตรงและชัดเจน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเธอว่าจะรับผู้ชายคนนี้ได้แค่ไหน น่าเศร้า แทนที่เธอจะตัดใจเลิกรักเขา กลับพยายามทำความเข้าใจในตัวเขาให้มากขึ้นกว่าเดิม

“เงียบทำไม”

“ไม่รู้จะคุยอะไรนี่คะ”

“ทีกับคนอื่นพูดจาเป็นต่อยหอย” ชายหนุ่มอดแขวะไม่ได้

“ก็คนอื่นไม่เคยดุอ้าย” เธอเถียงอุบอิบ แต่ไม่รอดหูคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“ลุกเลย” นภนต์สั่งเสียงห้วน “ลุกสิ”

เดือนอ้ายสั่นศีรษะอย่างดื้อแพ่ง เมื่อร่างนุ่มนิ่มไม่ยอมลุกไปไหน คนที่ออกปากไล่จึงได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ

“เด็กบ้า” เขาว่าพร้อมกับถอนฉุน

เด็กบ้านั่งยิ้ม ขณะที่แขนแข็งแรงกระหวัดเอวเธอมานั่งพิงอกเขา ขาของเธอลอยจากพื้นเล็กน้อย ส่วนเขาก็ขยับขาไปมาอยู่ไม่สุขเพื่อไล่ยุงไม่ให้เกาะขาเธอ

“พรุ่งนี้เธอจะกลับพร้อมพวกเราหรือเปล่า”

“ค่ะ พี่หนูดีบอกลุงโอ๋ไว้แล้ว”

คำตอบนั้นปลดเปลื้องความกดดันในใจชายหนุ่มไปเปลาะหนึ่ง เขาบรรลุจุดประสงค์ของการมาที่นี่แล้ว นั่นคือการปรับความเข้าใจและพาตัวเดือนอ้ายกลับไป

“รอดูพระอาทิตย์ขึ้นไหวไหม” เสียงถามอ่อนลง

“ถ้าพี่หนูดีตื่นมาไม่เห็นอ้าย...”

“นี่!” เขาขัดขึ้นก่อนที่เจ้าหล่อนจะพูดจบ “กล้าดีอย่างไรมาพูดเหมือนเพื่อนฉันเป็นลูกอ่อนของเธอ”

หญิงสาวหลุดหัวเราะคิก เธอไม่น้อยใจที่นภนต์ปกป้องเพื่อนอีกแล้ว หากเป็นเธอก็คงรักและปกป้องเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เพื่อนที่รับรู้เรื่องราวส่วนตัว ความเจ็บปวด และผ่านมันมาด้วยกัน นับเป็นมิตรภาพที่มีค่ายิ่งกว่าชื่อเสียงเงินทองใดๆ

“ถ้าอ้ายเผลอหลับ...” คนข้อแม้เยอะมิวายหยิบยกขึ้นมา

“หลับเถอะ เดี๋ยวปลุก”

นภนต์ขยับตัวจัดท่านั่งของอีกฝ่ายให้ถนัด ก่อนจะกดศีรษะเธอมาซบอิงไหล่ของตน เขามองแก้มสีระเรื่อและรอยยิ้มมุมปากของเจ้าหล่อนอย่างหลงใหล เมื่อดวงตากลมโตช้อนมองสบตาเขาเข้าพอดี นภนต์จึงกดจุมพิตกลางหน้าผากมนอย่างสุดจะหักห้ามใจ

“หลับซะ”

เดือนอ้ายหลับตาและผล็อยหลับไปจริงๆ ในอกของเขา...เธอไม่เมื่อยและไม่ทรมานเพราะถูกยุงกัดเลยสักนิดเดียว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น