2

บทที่ ๑


 

      ดลฤดีเดินกุมศีรษะอันหนักอึ้งลงมาจากชั้นสองของบ้าน เธอจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนตนกลับมาที่ห้องได้อย่างไร หรือใครเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดนอนให้ กระทั่งเห็นเดือนอ้ายในชุดนักศึกษาหอบหิ้วหนังสือเรียนเข้ามาในบ้าน เธอจึงรีบเรียกไว้ทันที

“อ้าย...อ้าย”

คนถูกเรียกชะงักจากที่จะก้าวไปทางห้องนั่งเล่นแล้วหันมองหาที่มา เมื่อเห็นร่างระหงกำลังก้าวลงบันไดจึงสูดหายใจลึกรวบรวมความกล้า เธอมีเรื่องอยากพูดกับพี่เหมือนกัน

“อ้าว วันนี้วันเสาร์มีเรียนด้วยหรือ”

“ค่ะ พอดีอาจารย์ยกเลิกชั้นเรียนเมื่อกลางสัปดาห์ ก็เลยย้ายมาสอนวันนี้แทน พี่หนูดีคะ...”

ดลฤดีรีบยกมือปราม รู้ว่าแม่คนนี้จะต้องพูดพล่ามให้เธอใจอ่อนกับสิทธาอีก แต่เธอไม่อยากยอมให้เขาในตอนนี้และมีเรื่องอื่นต้องซักถามอีกฝ่ายแทน

“ไปชงกาแฟให้พี่หน่อยไป แล้วยกมาที่ห้องนั่งเล่นนะ”

“ค่ะ ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างกระตือรือร้น

แม้บ้านนี้จะมีคนงานชายหญิงถึงสี่คน ทว่านับแต่เดือนอ้ายย้ายมาอยู่กับเธอเมื่อกว่าสี่ปีที่ผ่านมา เธอก็ชอบแต่จะไหว้วานให้เดือนอ้ายทำสิ่งต่างๆ และอีกฝ่ายก็ดูจะเต็มใจทำตามคำสั่งทุกอย่าง ทั้งที่พ่อฝากฝังให้เดือนอ้ายอาศัยอยู่ที่บ้านนี้ในฐานะเจ้าของบ้านคนหนึ่ง

เธอไม่ได้เกลียดเดือนอ้ายอย่างตัวร้ายในละคร ตรงกันข้ามกลับเอ็นดูและรักเหมือนน้องสาว เพราะหากไม่นับเรื่องที่น้าของเธอ...แม่ของเดือนอ้าย...ทรยศแม่ของเธอแล้ว เดือนอ้ายก็เป็นญาติพี่น้องเพียงคนเดียวที่มี และเธอก็เชื่อว่าเด็กคนนี้ใฝ่ดี ซื่อสัตย์กว่าแม่ของแก แววตาชื่นชมและภักดีที่ฉายออกมายามดวงตากลมโตจ้องมองเธอบอกเช่นนั้น ต่างจากแววอดสู ละอายแก่ใจ ยามที่เดือนอ้ายอยู่ต่อหน้าครอบครัวของเธอ

หญิงสาววางนิตยสารลงเมื่อญาติผู้น้องกลับเข้ามา เธอรีบรับแก้วกาแฟมาจิบ ก่อนจะลดแก้วลงเพื่อพูดธุระของตน

“เมื่อคืนอ้ายเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พี่เหรอ”

“ค่ะ พี่หนูดีเมามากเลย อ้ายเป็นห่วง นอนไม่หลับ ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน โทร. ไปก็...”

“พอๆ พี่ถามนิดเดียวตอบอะไรยืดยาว” คนฟังยกมือห้ามก่อนจะกุมขมับ “แล้วใครอุ้มพี่ขึ้นห้อง”

คราวนี้คนพูดมากหุบปากฉับ ไม่อยากเอ่ยชื่อคนคนนั้นออกมา แม้จะรู้ทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง นามสกุล เลยไปถึงรู้จักพ่อของเขาในระดับหนึ่ง เพราะท่านไปมาหาสู่กับพ่อเลี้ยงเมืองเหนือซึ่งกลายมาเป็นพ่อเลี้ยงของเธอแทบทุกปี

“เดียวหรือเปล่า หรือคนในบ้าน” ดลฤดีซักไซ้ และโดยไม่รอคำตอบก็สรุปกับตัวเอง “คงเป็นเดียวสินะ นั่นน่ะเพื่อนสนิทพี่ อ้ายเคยเจอหรือยัง”

“เจอแล้วค่ะ...เมื่อคืน พี่หนูดีคะ”

ไม่ทันได้เอ่ยเรื่องที่ค้างคาใจ ผู้เป็นพี่ก็ตัดบทอีกครั้งด้วยการลุกยืน

“ดี เผื่อเดียวเอารถมาส่งให้พี่ อ้ายก็ต้อนรับไปก่อนนะ พี่ขึ้นไปอาบน้ำก่อน” ร่างบางหมุนตัวกลับมาอีกครั้งเมื่อนึกได้ “อ้อ ทำข้าวต้มกุ้งให้พี่หน่อยสิ พี่ชอบฝีมืออ้าย”

ประโยคปิดท้ายนั้นทำเอาคนถูกชมรีบผงกศีรษะแรง ครั้นคล้อยหลังพี่ออกไป เธอก็รีบเก็บแก้วกาแฟและตรงดิ่งไปที่ครัว ลืมเรื่องที่ต้องการพูดกับพี่ ลืมคำสั่งให้รอรับแขกไปสนิทใจ

 

เนื่องจากส่วนครัวที่ใช้ประกอบอาหารต่อเติมออกมาทางหลังบ้าน แม่ครัวสาวจึงไม่ได้ยินเสียงแขกไปใครมา เธอกำลังคนข้าวต้มในหม้อขณะที่แมวมาตามให้เธอไปรับแขกของดลฤดี

“แต่อ้ายทำข้าวต้มอยู่ พี่แมวหาน้ำหาท่าให้เขาก็พอแล้วมั้งคะ เดี๋ยวพี่หนูดีเธอก็ลงมาเอง”

“งั้นพี่ขึ้นไปบอกคุณหนูดีดีกว่า เผื่อเธอไม่รู้ว่าคุณเดียวมาถึงแล้ว”

หญิงสาวรีบพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับเอ่ยขอบคุณแม่บ้านที่ตนสนิทสนมคุ้นเคย หารู้ไม่ว่าเมื่อเธอหันไปปรุงข้าวต้มต่อ คนที่ตนต้องการหลบหน้ากลับยืนกอดอกพิงกรอบประตู เสียงกระแอมของเขาทำเอาทัพพีแทบร่วงหลุดจากมือ แต่เดือนอ้ายข่มใจทำเหมือนไม่ได้ยินและคนข้าวในหม้อต่อไป

จากที่คิดว่าจะแกล้งน้องสาวของเพื่อนให้ตกใจเล่นๆ แต่พอเจ้าหล่อนไม่มีปฏิกิริยาใดกลับมา นภนต์ก็หงุดหงิดติดหมัดขึ้นมาทันที ไม่รู้ดลฤดีอบรมสั่งสอนลูกพี่ลูกน้องอย่างไรจึงได้ไม่เห็นหัวคนอื่นเช่นนี้

“อ้าว คุณเดียว ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ พี่ขึ้นไปบอกคุณหนูดีให้แล้วนะคะ เดี๋ยวเธอลงมา”

“ขอบคุณครับ” เขายิ้มสุภาพพลางปรายตามองคนที่ยังไม่หันมา

ความขุ่นเคืองค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความระอา เขาไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่เพิ่งเคยพบเจอคนซื่อบื้อและไร้มารยาทขนาดนี้เป็นครั้งแรก นภนต์ยิ้มขันเมื่อรู้สึกเหมือนตนเป็นพ่อพระขึ้นมาทันที เขากลับออกไปพร้อมกับเลิกคิดจะทำความรู้จักเจ้าของใบหน้าแฉล้มซึ่งถูกใจเขาอีกต่อไป

กำลังจะเดินผ่านบันไดหินอ่อนซึ่งทอดสู่ชั้นสองของบ้าน ดลฤดีก็ก้าวลงมาพร้อมใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแต่พอดี ในสายตาเพื่อนแล้ว เพื่อนของเขาสวยและเพียบพร้อมที่สุด สวยกว่านางเอกสมัยนี้เป็นไหนๆ

“ไปไหนมายะ”

“ชมบ้าน”

หญิงสาวหัวเราะขบขัน คนอย่างนภนต์น่ะหรือเกิดจะมาสนใจบ้านที่เขาเคยเข้านอกออกในจนปรุ แต่ก็คร้านจะซักให้มากความ เธอเดินนำเพื่อนไปยังห้องอาหารแทนที่จะเป็นห้องรับแขกพลางเอ่ย

“เพิ่งตื่น ยังไม่ได้กินอะไรเลย กินข้าวต้มกุ้งด้วยกันนะ”

ชายหนุ่มไหวไหล่ง่ายๆ สิ้นคำชวนนั้นก็ได้กลิ่นหอมของข้าวต้มลอยมา เขากลั้นยิ้มหยันเมื่อคิดว่าเด็กสาวในชุดนักศึกษาคงไม่กล้าทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าพี่ของเธอ

“อ้ายล่ะพี่แมว”

นภนต์หันขวับ เมื่อเห็นว่าเป็นสาวใช้ร่างผอมที่ยกข้าวต้มมาก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ

จะอะไรกับเด็กนั่นนักหนาวะเรา!

“คุณอ้ายล้างจานอยู่ค่ะ แต่ข้าวต้มนี่ฝีมือคุณอ้ายนะคะ”

“ลองชิมสิเดียว ยายอ้ายทำอร่อย”

เขาฝืนยิ้มให้เพื่อน ทว่าเกิดกล้าๆ กลัวๆ ที่จะชิมเสียอย่างนั้น เจ้าหล่อนอุตส่าห์ทำเผื่อเขา ช่างผิดกับกิริยาไร้มารยาทที่แสดงออกมา

“เร็ว เอาแต่คนอยู่นั่นแหละ” ดลฤดีโคลงศีรษะขัน

ชายหนุ่มตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเสียมิได้ แต่เมื่อได้ลิ้มรสคำแรกแล้วก็แทบจ้วงกินไม่พูดไม่จา จนกระทั่งหมดชามก่อนเพื่อนสาวเสียอีก เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากดลฤดี

“น่าเกลียด ทำอย่างกับตายอดตายอยากมาจากไหน”

“หนูดี”

เสียงทักดังขึ้นเบื้องหลังสองเพื่อนสนิท สิทธาแวะมาโดยไม่บอกกล่าว และนั่นก็ทำให้เขาได้มาเห็นคนรักที่งอนจนไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขากำลังยิ้มหัวอย่างมีความสุขกับเพื่อนของเธอ ขณะที่เขาร้อนใจและเป็นห่วงความรู้สึกของเจ้าหล่อนจนตัดสินใจมาพูดจาปรับความเข้าใจ

เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกนั่งหลังตรงแหน็ว พลอยรู้สึกผิด...ผิดพลาด...ผิดแผนที่เธอดูสบายใจจนเกินไป แล้วแบบนี้เขาจะยอมโอนอ่อนตามใจเธอไหมนี่

ผู้ที่พาทุกคนออกจากสถานการณ์อึดอัดคือเดือนอ้าย ร่างอวบอิ่มในชุดนักศึกษาก้าวผ่านเก้าอี้ของนภนต์ไปไหว้สวัสดีแขกที่เพิ่งมา การกระทำของเจ้าหล่อนเปลี่ยนความคิดชายหนุ่มจากที่ดูแคลนว่าเป็นเด็กไร้มารยาทไปทันที

“เอ่อ ขนมใช่ไหมคะ อ้ายเอาไปจัดใส่จานให้นะคะ”

“ขอบคุณครับ วานอ้ายจัดให้หนูดีกับเพื่อนชุดหนึ่ง ของผมขอกาแฟอย่างเดียวพอ” สิทธาบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใจดี

คล้อยหลังนักศึกษาสาวไปแล้ว หนุ่มใหญ่จึงสืบเท้ามายืนเยื้องหลังเก้าอี้ของคนรัก เขาวางมือบนไหล่สาวเจ้าพลางพูดคุยกับเธอและแขกด้วยความรู้สึกที่เข้ารูปเข้ารอยกว่าเดิม

“ผมซื้อมาการองของโปรดหนูดีมา เป็นของหวานได้พอดี”

ดลฤดีขยับไหล่หนีอย่างมีจริตมารยา เธอทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูกประสาคนเอาแต่ใจ หากเป็นเวลาอื่นนภนต์คงขำท่าทางเช่นนั้นของเพื่อน แต่ตอนนี้เขากลับทำหน้านิ่วครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาใจ

“ผมหาวันหยุดได้แล้วนะ” สิทธาบอกคนรักราวกับไม่มีบุคคลที่สามอยู่ ณ ที่นั้น “อีกสองสัปดาห์ไปฝรั่งเศสกัน”

หญิงสาวเอี้ยวกายไปแหงนมองร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มของเขาประดับด้วยรอยยิ้มขณะพยักหน้ายืนยันความมั่นใจของเธอ ดลฤดีผุดลุกจากเก้าอี้ไปสวมกอดคนรักด้วยความดีใจ

“คุณสิทธาน่ะ ปล่อยให้หนูดีน้อยใจตั้งนาน” เธอบ่นกระเง้ากระงอด ก่อนจะหาคนร่วมดีใจเมื่อเห็นญาติผู้น้องยกจานขนมเข้ามา “อ้าย อีกสองสัปดาห์พี่จะไปดูชุดแต่งงานที่ปารีสแล้วน้า”

นภนต์อดปรายตามองเด็กสาวไม่ได้ ใบหน้าผุดผาดสมวัยเปื้อนรอยยิ้มกว้าง...เหมือนกับภาพในโทรศัพท์ของเพื่อนที่เขาแอบประทับใจ เขาชักมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าเธอมีมารยาท ยิ้มแย้มแจ่มใสดีทุกอย่าง ยกเว้นกับเขาคนเดียว

“หนูดีมีอะไรให้คุณสิทธาดูด้วย” ดลฤดีเอ่ยพลางคล้องแขนคนรัก แล้วจึงหันมาบอกอีกสองคนที่กลายเป็นส่วนเกิน “อ้ายกินขนมเป็นเพื่อนเดียวอยู่นี่นะ นะเดียว เดี๋ยวหนูดีมา”

ทั้งที่ตอนแรกเขาตั้งใจจะขอตัวกลับอยู่แล้วเชียว แต่ข้อเสนอของเพื่อนน่าสนใจกว่า ชายหนุ่มตอบรับอย่างไม่เกี่ยงงอน

เมื่อคู่รักเดินจากไปแล้ว ห้องอาหารซึ่งมีโต๊ะกระจกตัวยาวและเก้าอี้เข้าชุดอีกสิบตัวก็พลันตกอยู่ในความเงียบ เดือนอ้ายมีสีหน้าเหมือนเด็กหลงทาง หันมองซ้ายทีขวาที เห็นดังนั้นแล้วนภนต์ก็พลอยหงุดหงิดใจ

“เป็นอะไรมากไหมเราน่ะ” เสียงถามหาเรื่องไม่เบาเลย “ถามจริงๆ เธอมีปัญหาอะไรกับฉัน ฉันไม่โง่ขนาดดูไม่ออกหรอกนะว่าเธอจงใจทำตัวกระด้างกับฉัน”

“ไม่...ไม่มีค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” เดือนอ้ายละล่ำละลักปฏิเสธพร้อมกับก้มหน้าจะเดินหนีไป

นภนต์ไวกว่า เขาลุกมายืนจังก้าขวางคนที่ทำท่าจะหนีกลับเข้าครัว เดือนอ้ายถอยกรูดด้วยความตกใจ สะโพกกระแทกเก้าอี้เต็มแรงจนปวดหนึบ แต่ก็ถูกแขนยาวของชายหนุ่มคว้าไว้ได้ก่อนที่จะก้นจ้ำเบ้าลงไป

“นี่ไง! ยังจะปฏิเสธ” เขาเอ่ยเสียงกร้าว โมโหคนที่ตั้งแง่กับเขาจนตัวเองเจ็บตัว “บอกมาตามตรง เธอไม่พอใจที่ฉันกอดหนูดีน่ะเรอะ”

แทนที่จะดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่ง หญิงสาวกลับเหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่กด้วยเกรงว่าใครจะได้ยิน เมื่อไม่เห็นใครดวงตากลมโตจึงตวัดมองเขาอย่างไม่พอใจ สายตาที่อ่านได้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี น่ารังเกียจ ทำเอาคนถูกมองร้อนใจแทบบ้า เขาจะไม่รู้สึกเช่นนี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคิดหวังจะทำความรู้จักกับเธอแค่เพียงเห็นรูปบนหน้าจอโทรศัพท์ของดลฤดี

“แก่แดด สู่รู้”

คนถูกว่าน้ำตาตกใน ไม่เคยมีใครว่าเธอด้วยคำคำนี้ และตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอก็รักษาความคิด ระมัดระวังการกระทำมิให้ใครต่อว่าดูถูกเอาได้ เมื่อได้ยินคำว่าตอกหน้า เธอจึงหน้าม้านชาจนลืมขืนกายให้หลุดจากอ้อมแขนของคนใจร้าย

อีกนัยหนึ่ง คำพูดของเขาเหมือนเป็นการตอบรับกลายๆ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ของเธอ ไหนๆ เขาก็มองเธอในแง่ไม่ดีแล้ว เดือนอ้ายเกิดฮึดที่จะขัดขวางความสัมพันธ์ของพวกเขาขึ้นมา

“พี่หนูดีกำลังจะแต่งงาน คะ...คุณไม่ควรยุ่งกับเธอ...แบบนั้น”

“แบบนั้นน่ะแบบไหน” เสียงถามห้วนดุ

“ปาร์ตี ดื่มเหล้า”

“อ้อ” นภนต์ลากเสียงยานคางยียวน “แล้วไงล่ะ ไม่ยุ่งกับหนูดี แต่ ‘ยุ่ง’ กับเธอแทนได้ไหม”

ขาดคำนั้น เดือนอ้ายพลอยรู้สึกว่าอ้อมแขนของเขาเป็นของร้อนจนทนอยู่ในพันธนาการไม่ได้อีกสักอึดใจเดียว เธอสะบัดตัวแรงจนเป็นอิสระในที่สุด ใบหน้ากร้าวกระด้างของเขาไม่ทำให้เธอกลัวอีกแล้ว เธอเบี่ยงกายเดินลงส้นผ่านเขาไป ก่อนคำพูดไล่หลังจะยั้งฝีเท้าของเธอไว้ชั่วขณะ

“เด็ก! อย่างเธอน่ะไม่มีอะไรให้แลกกับหนูดีได้สักนิด ส่องกระจกบ้างนะ!”

ร่างอวบก้าวเร็วๆ เป็นวิ่งจากไป ทิ้งให้แขกหนุ่มได้แต่ฮึดฮัดขัดใจ นภนต์ยกมือเสยผมแรงอย่างหงุดหงิดทั้งเจ้าหล่อนและตัวเอง

 

“อะไรของแกน่ะอ้าย ไม่เข้าห้องน้ำเหรอ เอาแต่ส่องกระจก” พิมพ์อักษรทักเพื่อนอย่างขบขัน หลังจากชักชวนเดือนอ้ายมาเข้าห้องน้ำด้วยกัน แต่อีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่งอยู่หน้าอ่างล้างมือซึ่งมีกระจกเงาบานใหญ่ติดผนัง

เดือนอ้ายหัวเราะแหะๆ เสเอ่ยไปอีกทาง

“เสร็จแล้วก็เร็วเลย เดี๋ยวกิ๊บกับโชติกินเฟรนช์ฟรายส์หมด”

“ห่วงกิน!” พิมพ์อักษรกระแทกเสียงใส่อย่างไม่จริงจัง

แม้จะยิ้มหัวกับเพื่อนไปตามเรื่องตามราว แต่ในใจของเดือนอ้ายกลับประหวัดไปถึงคำดูแคลนที่ใครคนหนึ่งว่าตอกหน้าเอาไว้ เธอไม่เคยยกตนเทียบกับญาติผู้พี่ แต่ก็ไม่เคยดูถูกตัวเอง จนกระทั่งมีคนมาสะกิดปมให้ได้คิดและเจ็บใจทุกครั้งที่เห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงา

ไหนจะคำพูดที่เขาทำหมาหยอกไก่กับเธอ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นทำไม คนอย่างเขาห่างไกลจากเธอทั้งอายุและสังคม ทำไมจะต้องมาหาเรื่องเด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอ หากมิใช่เพราะเขารู้ว่าเธอรู้เท่าทันพฤติกรรมที่เขาลักลอบฉวยโอกาสกับเพื่อนสาวของตัวเอง

เดือนอ้ายขบคิดสะระตะขณะเดินไปกับเพื่อนในห้างสรรพสินค้า ทว่าจู่ๆ พิมพ์อักษรก็กระตุกข้อมือเธอให้หยุดหน้าร้านกระเป๋ายี่ห้อดังพลางชี้ชวนดูคนข้างใน แล้วหัวใจสาวก็พลันกระตุกเสียศูนย์ทันทีที่เห็นนภนต์กับนักแสดงสาวจากซีรีส์วัยรุ่นที่กำลังโด่งดังอยู่ในร้านด้วยกัน

“แก นั่นน้องมิลกี้นี่นา โอ๊ย ฉันอยากไปขอถ่ายรูป”

“อย่าเลย นี่เวลาส่วนตัวของเขานะพิมพ์” เธอรีบห้ามพลางเกี่ยวแขนเพื่อนไว้แน่น

“ก็รู้ โอ๊ย นี่ฉันเพิ่งรู้เลยนะว่าเขาคบกับเพื่อนร่วมแก๊งพี่สาวเธอ คนนั้นใช่ไหมที่เป็นเจ้าของร้านจี๊ซบาร์ อายุมากกว่ามิลกี้สิบกว่าปีเลยมั้งนั่น”

นั่นสิ ดาราวัยรุ่นขวัญใจพิมพ์อักษรอายุแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้นเอง สงสารก็แต่พ่อแม่ของแกที่ปล่อยให้ลูกมาเจอจิ้งจอกอย่างนภนต์

สองนักศึกษาซึ่งยื้อยุดอยู่นอกร้านดึงสายตาของชายหนุ่มให้ผินมอง แต่แล้วหนึ่งในสองคนนั้นก็รีบหันหลังจ้ำอ้าวไปทันที แต่เขาจดจำเรือนร่างและท่วงท่าของเธอได้ดีแม้เห็นเพียงแผ่นหลังไกลๆ

สิบวันแล้วสินะที่เขาไม่ได้เจอเจ้าหล่อน ไม่ใช่เพราะเขายอมลงให้เด็กนิสัยเสียอย่างเธอ แต่เพราะเขาหวั่นเกรงว่าแรงดึงดูดบางอย่างจะทำให้เขาไม่อาจยั้งใจทำร้ายเด็กได้ นภนต์จึงเริ่มพูดคุยสานสัมพันธ์กับ ‘เด็ก’ อีกคนที่อาจเต็มใจให้เขารังแก

“เอ่อ น้องมิลกี้ พี่ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”

นักศึกษาอีกคนที่คงเป็นเพื่อนของเดือนอ้ายเดินมาเลียบเคียงขอนักแสดงสาวถ่ายรูป พนักงานร้านปรี่มากันผู้ที่รบกวนแขกของร้านออกไป ในขณะที่นภนต์ยืนสังเกตการณ์นิ่งๆ ว่าคู่เดตของเขาจะทำอย่างไร ซึ่งไม่ผิดไปจากที่คาดเดา เธอยืนดูกระเป๋าต่อไปและปล่อยให้พนักงานพาอีกฝ่ายออกไปจากร้าน

“เลือกได้หรือยังคะ” ชายหนุ่มถามอย่างนึกเบื่อขึ้นมา นี่เขารอเธอร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว ให้ตายสิ

“ยังเลยค่ะ มิลกี้กำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อที่นี่หรือไปหิ้วที่ฮ่องกงดี” เธอย่นจมูกอันเป็นอากัปกิริยาที่ใครต่างมองว่าน่ารัก

“เก็บไปคิดก่อนดีไหมคะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์

        เด็กสาวผินมองคนข้างกายสลับกับมองกระเป๋าอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าคล้อยตาม เมื่อนั้นนภนต์จึงลอบถอนใจ ยิ่งมีร่างนุ่มของเด็กสาวเดินควงแขน เขาก็ค่อยอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเย็นวันนั้น

        นี่สิผู้หญิงที่เหมาะกับเขา น่ารักและเชื่อฟัง อ้อ และต้องดึงดูดลูกค้ามาที่ร้านเขาได้ด้วย นี่แหละที่สำคัญ 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น