บทที่ ๔
ฉาว! มิลกี้ นางเอกวัยรุ่นลงภาพเมาแอ๋บนอินสตาแกรม
ข่าวคราวของนางเอกวัยรุ่นที่เดือนอ้ายเคยเห็นเจ้าหล่อนกับนภนต์อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกันดึงดูดความสนใจให้คลิกเข้าไปดู ว่าพาดหัวข่าวแรงแล้ว เนื้อหาข่าวกลับแรงยิ่งกว่าในความรู้สึกของคนอ่าน
หลังโด่งดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์วัยรุ่นที่เพิ่งจบไป นับวันภาพลักษณ์ของมิลกี้ มณิศร ก็เริ่มจะดีแตก จากสาวใสกลายเป็นนักปาร์ตีทั้งที่อายุอานามเพิ่งสิบเจ็ดปี ล่าสุดมิลกี้ มณิศร ได้โพสต์รูปขณะที่เธอกำลังดื่มเบียร์เหยือกใหญ่ลงบนอินสตาแกรมส่วนตัว โดยในภาพยังปรากฏท่อนแขนปริศนาของชายหนุ่มบนตักเสียด้วย คาดว่าเจ้าของแขนล่ำไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเดียว นภนต์ ไฮโซหนุ่มเจ้าของร้านนั่นเอง
เดือนอ้ายเลื่อนหน้าจอลงมาพบภาพที่เนื้อหาข่าวเอ่ยถึง แม้ภาพถ่ายตอนกลางคืนจะค่อนข้างเบลอ แต่เธอก็เชื่อว่าสิ่งที่นักข่าวคาดการณ์นั้นไม่ผิดไปจากความจริง มือที่วางบนต้นขานางเอกสาวเป็นมือเดียวกับที่เคยวางบนศีรษะเธอไม่ผิดแน่ แหวนบนนิ้วหัวแม่มือของเขาช่วยยืนยันความมั่นใจได้เป็นอย่างดี
เพราะเหตุนี้ใช่ไหม เขาจึงหายเงียบไปและไม่ได้ติดต่อมาอีกนับจากซื้อสติกเกอร์การ์ตูนให้เธอเมื่อสัปดาห์ก่อน พลันคำพูดเอาแต่ใจของเขาก็สะท้อนในโสตประสาทให้เธอยิ่งสับสนอีกครา
‘ฉันถูกใจอ้าย อยากคุยอยากเจอบ้าง’
จู่ๆ ก้อนเนื้อในอกก็เจ็บแปลบขึ้นมา เมื่อตระหนักดีว่าฝ่ายที่รอพบเจอหรือพูดคุยอาจเป็นเธอ ไม่ใช่คนที่ตั้งเงื่อนไขเรียกร้องหรอก
หญิงสาวกัดริมฝีปากราวกับจะลงโทษตัวเองที่เผลอคิดอะไรฝันเฟื่องตลอดหลายวันที่ผ่านมา เธอไม่มีกะจิตกะใจจะเตรียมตัวออกไปไหนแม้ใกล้ถึงเวลานัดกับเพื่อน ความตื่นเต้นที่จะได้ไปนอนค้างบ้านเพื่อนมลายหายไปไม่เหลือหลอ เดือนอ้ายได้แต่นอนหลับตานิ่งๆ บนเตียง
ทว่าไม่มีเวลาทอดอาลัยนานนัก เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ตามมารบกวน เธอกดรับโดยไม่ได้ดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ คิดว่าเพื่อนโทร. มาตาม
“กำลังจะไปแล้วจ้า”
“ไปไหน” เสียงถามห้วนสั้นทำเอาหัวใจสาวแทบหยุดเต้น “ฉันถามว่าไปไหน”
“ไป...บ้านเพื่อนค่ะ” เดือนอ้ายจำใจตอบตะกุกตะกักอย่างไม่อยากมีปัญหา
“ถ้าอย่างนั้นก็ยกเลิกซะ ไปกินข้าวกับฉัน กำลังจะไปรับ”
หญิงสาวกำโทรศัพท์แน่นโดยไม่รู้ตัว เธอต้องเงยหน้ามองเพดานเพื่อให้น้ำตาซึ่งเจียนหยดย้อนกลับไป
“เข้าซอยแล้ว ออกมารอหน้าบ้านด้วย”
หมดทางหนี เดือนอ้ายมืดแปดด้านที่จะหาทางหลบหลีกเขาได้ เธอจำต้องส่งข้อความหากลุ่มเพื่อนว่าตนอาจไปถึงช้าสักหน่อย แต่อย่างไรก็ไม่มีทางยกเลิกตามคำสั่งของนภนต์
ร่างอวบอิ่มสะพายกระเป๋าเป้ลูกฟูกลงมาจากห้อง สวนกับคนงานในบ้านเข้าพอดีจึงบอกว่าเธอจะออกไปบ้านเพื่อน พรุ่งนี้จึงจะกลับ
ทันทีที่เปิดประตูเล็กออกไป เธอก็พบรถบีเอ็มดับเบิลยูจอดรออยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าผุดผาดงอง้ำตามความหมองหม่นในใจ หารู้ไม่ว่าคนมองบังเกิดความหงุดหงิดเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้น
“ไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไหว้” เขาว่าฉุนๆ มีอย่างที่ไหนมายกมือไหว้ทั้งที่ใบหน้าไม่รับแขก
“ค่ะ”
“เฮ้ย ออกฤทธิ์อะไรอีกอ้าย” คราวนี้นภนต์ตวาดดัง
เธอน่ะหรือออกฤทธิ์ เธอแค่ทำตามที่เขาสั่งทุกอย่าง เขาก็ยังไม่พอใจ เดือนอ้ายโกรธทั้งเขาและตัวเองเหลือเกิน
“อ้าย”
“คะ” เธอขานโดยไม่หันมอง
“ฉันพูดด้วยก็มองหน้าฉันสิ”
หญิงสาวปรายตามองตามคำบัญชา ก่อนจะได้รู้ว่าเธอไม่ควรทำไปเพราะประชดเช่นนั้นเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาคมกล้า มันทอประกายระยับรับกับรอยยิ้มมุมปากอย่างคนเจนจัด
“ก็แค่นี้” ชายหนุ่มกระแทกเสียงใส่ อ่อนใจกับคนที่ทำท่ากลัวหัวหดเสียเหลือเกิน
นภนต์เคลื่อนรถออกไปพบกับการจราจรอันติดขัดไม่เว้นแม้วันหยุดราชการ แล้วก็เหมือนกับทุกครั้งที่รถติด เขาให้ความสนใจโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดเพื่อฆ่าเวลา ไม่สนใจว่าผู้โดยสารหน้าตูมลงด้วยความเบื่อหน่ายและอึดอัด
เดือนอ้ายอยากหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้นัก ทั้งการติดแหง็กอยู่บนถนน...และมีใจผูกติดกับเขา ฉับพลันทันใดเธอก็สะดุ้งตกใจกับความคิดของตัวเอง นี่เธอชอบเขาหรือเดือนอ้าย ชอบลงไปได้อย่างไร
ความคิดนำพาให้สายตาเลื่อนไปมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ตอบข้อความ นภนต์มีผิวสองสี ไม่ถึงกับคล้ำแต่ก็ไม่ขาว เหนือริมฝีปากและแนวคางมีไรหนวดเคราบางๆ แต่ก็ไม่อาจอำพรางความหล่อเหลา ไม่ว่าจะรูปหน้า โหนกแก้ม และจมูกของเขาเป็นเหลี่ยมเป็นสัน เปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศอย่างที่เธอไม่เคยเห็นความสมบูรณ์แบบเช่นนี้จากใคร
ไม่หรอก เธอไม่ได้ชอบเขา แต่เป็นความหลงละเมอเพ้อพกเพียงชั่วขณะ เหมือนแมลงเม่าหลงใหลแสงไฟ คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงลอบถอนหายใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์หาเพื่อนบ้าง ทว่า...
“คุณ...”
มือหนาฉวยโทรศัพท์ของเธอไปอย่างง่ายดาย นภนต์มีสีหน้าเรียบเฉยขณะรถเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่คนโมโหจนน้ำตาแทบเล็ดกลับเป็นเดือนอ้าย เธอโถมตัวและกำลังทั้งหมดทุบต้นแขนเขาเต็มแรง
“เฮ้ย!” คนขับไม่อาจปัดป้อง นอกจากอุทานด้วยความตกใจ
“เอามือถือมานะ เอามา!”
อารามโกรธทำให้เห็นช้างตัวเท่ามด ก่อนเดือนอ้ายจะได้สติอีกครั้งเมื่อถูกกระชากข้อมือแรง ร่างอวบเซซบอกเขา แล้วอ้อมแขนราวคีมเหล็กก็ตวัดอ้อมไหล่โอบไว้ทั้งตัว
“อย่าทำอย่างนี้ ฉันไม่ชอบ” เขาเตือนเสียงต่ำ ดวงตาที่หลุบมองราวประจุด้วยกองเพลิง
หญิงสาวตัวสั่น ความโกรธและกลัวผสมปนเปจนยากจะแยกแยะได้ว่าความรู้สึกไหนมีอิทธิพลมากกว่ากัน สุดท้ายน้ำตาก็ร่วงเผาะอีกจนได้ เจ็บกายยังไม่เท่าเจ็บใจที่เธอไม่อาจเอาชนะเขาได้เลย มิหนำซ้ำมือนี้...แขนข้างนี้...ยังเป็นมือที่วางบนตักผู้หญิงอื่นอย่างทะนุถนอม ความคิดที่เตลิดไปไกลยิ่งทำให้หยดน้ำตาพรั่งพรู
“อีกแล้ว จะเจ้าน้ำตาไปถึงไหนนะ” เขาถอนฉุน มือไม้อ่อนจนคลายอ้อมแขนลง
เดือนอ้ายขยับนั่งตัวตรงพลางปาดน้ำตาป้อยๆ ก่อนผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินจะถูกยื่นมาตรงหน้า
“เช็ดซะ ใครเห็นจะนึกว่าฉันตบตีเธอ เขาคงไม่คิดหรอกว่าเธอนี่แหละตบตีฉัน”
คนเจ้าน้ำตาทิ้งค้อนขวับ ดวงตาแดงเรื่อมีแต่ความเจ็บช้ำที่ไม่มีวันส่งถึงนภนต์
“อ้ายปวดหัว อยากกลับ กรุณา...”
“ไม่ต้องพูดเรื่องความกรุณาปรานีกับฉัน ไม่มีประโยชน์” เขาขัดเสียงเข้มพร้อมกับปรายตามองคนข้างๆ แวบหนึ่ง “บอกแล้วนะ ถ้าอยากเจอก็จะมาเจอ”
“แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้อยากเจอ” เธอสวนกลับอย่างเหลือทน
“รู้ได้ไง” ชายหนุ่มย้อน แล้วก็คล้ายจะได้คำตอบที่อีกฝ่ายออกฤทธิ์ออกเดชกับเขานัก “ตกลงว่าโกรธที่ถูกบังคับ หรือโกรธที่ฉันไม่สนใจ”
คำคาดเดานั้นพลอยให้น้ำตาเหือดแห้งไปจากใบหน้าสาว ใช่แต่ร้อนตัวยังร้อนวูบที่ใบหน้า เดือนอ้ายผิดหวังกับความอ่อนไหวของตัวเองเหลือเกิน แค่เพียงเขาบอกปัดคำกล่าวหาของเธอคำแรก เธอก็พร้อมจะเปิดใจรับฟังเสียแล้ว
รถเก๋งซีดานหยุดจอดในชั้นจอดรถของห้างสรรพสินค้า แต่ก่อนที่เขาและเธอจะลงจากรถ นภนต์ก็เอี้ยวกายมาวางมือบนศีรษะของหญิงสาวพลางบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นครั้งแรก
“ฟังนะ คบกับฉันไม่ต้องคิดอะไรมาก นึกถึงแต่ปัจจุบันก็พอ แล้วเธอจะมีความสุขเอง”
เดือนอ้ายถามตัวเองว่าเธออยากมีความสุขแต่กับปัจจุบันหรือไม่ ทว่ายังไม่ทันค้นพบคำตอบในใจ ประตูฝั่งผู้โดยสารก็เปิดออกเสียก่อน
ทันทีที่ก้าวเดินไปในห้างสรรพสินค้าด้วยกัน นภนต์ก็สอดมือมาจับจูงมือของสาวเจ้าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด มันส่งกระแสไฟแปลบปลาบไปที่หัวใจของเดือนอ้าย เธอได้แต่ผินมองเขาอย่างตื่นตกใจ แต่เขากลับไม่มีทีท่าจะรู้ตัว เพราะเขาคงปฏิบัติเช่นนี้กับหญิงอื่นจนชินเสียแล้วกระมัง
“อยากกินอะไร”
ความคิดติดค้างในใจทำให้หัวใจซึ่งเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ กลับมาสงบราบเรียบ เมื่อเขาถามเธอจึงส่ายหน้า แว่วเสียงถอนหายใจดังมาจากคนข้างกาย
“ดี ทำตัวแบบนี้ฉันจะได้เบื่อเธอเร็วๆ” เขาประชดให้ หารู้ไม่ว่าคนฟังปวดหนึบไปทั้งใจ
ชายหนุ่มเลือกแวะร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีราคาเป็นตัวกรองลูกค้า ภายในร้านจึงมีลูกค้าบางตากว่าร้านอาหารอื่นๆ พนักงานต้อนรับในชุดยูกาตะเดินนำทั้งคู่เข้าไปยังโต๊ะด้านในซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว แล้วร่างอวบอิ่มก็ต้องขยับนั่งตัวลีบ เธอไม่คิดว่าเขาจะตามมานั่งบนเก้าอี้ยาวฝั่งเดียวกัน แถมยังกินที่ฝั่งเธอมาค่อนโต๊ะ
นภนต์จัดการสั่งอาหารโดยไม่ถามความเห็นของเธออีก หลังพนักงานผละไปแล้วจึงปรายตามองอย่างเสียมิได้ ก่อนจะถอนหายใจอีกคราราวเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา
“หนูดีกลับเมื่อไรนะ”
เมื่อเขาถามเธอจึงตอบ “พรุ่งนี้ค่ะ”
“อ้อ ป่านนี้คงได้ชุดมาใส่เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ” เขาว่ากลั้วหัวเราะ
เดือนอ้ายลอบมองเพื่อค้นหาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกตินอกจากรอยยิ้มอ่อนๆ ทุกเรื่องเกี่ยวกับญาติผู้พี่ของเธอทำให้นภนต์อารมณ์ดีได้เสมอ แม้จะเป็นเรื่องที่ดลฤดีกำลังจะแต่งงานก็ตาม ช่างแปลกจากที่เธอคิดว่าเขาชอบพี่ของเธอ
ไหนๆ ชายหนุ่มก็ดูจะอารมณ์เย็นลงแล้ว เธอจึงทำใจดีสู้เสือเอ่ยออกไป
“อ้าย...อ้ายขอโทรศัพท์คืนได้ไหมคะ”
ดวงตาคมกริบตวัดมองขวับ เขาข่มใจคีบปลาดิบใส่จานของเจ้าหล่อนพลางบอก
“รีบกินเข้า ฉันจองตั๋วหนังรอบสี่โมงไว้ ดูหนังเสร็จค่อยว่ากัน”
เธอเพิ่งรู้ว่าเขาวางโปรแกรมเป็นฉากๆ ก่อนชวนเธอออกมาเสียอีก หรือไม่ก็...เธออาจไม่ใช่คนที่เขาหมายจะพบเจอจริงๆ แต่เป็นตัวสำรองของใครบางคน
เดือนอ้ายคีบเนื้อปลาทูน่าสดเข้าปาก เธอพยายามทำตามคำแนะนำของชายหนุ่มว่าให้อยู่กับปัจจุบันแล้วจะพบกับความสุข ก่อนพบว่าปัจจุบันขณะนี้ก็คือการที่นภนต์คีบปลาดิบชนิดต่างๆ ใส่จานให้เธอไม่ได้ขาด ทั้งยังเลื่อนอาหารจานเดียวอื่นๆ มาไว้ตรงกลางระหว่างกัน เพราะเหตุนี้กระมังเขาจึงนั่งชิดเธอไหล่ชนไหล่
หัวใจที่ปวดแปลบเสมือนถูกตอกตรึงด้วยหมุดแปรเปลี่ยนเป็นความสั่นไหวราวกับมีผีเสื้อนับร้อยโผบินอยู่ข้างใน เหมือนหัวใจสูบฉีดโลหิตมากผิดปกติ เธอพลอยไม่สบายกาย ร้อนๆ หนาวๆ กับความชิดใกล้อย่างไรชอบกล
“อิ่มแล้วค่ะ” เธอรีบบอกเมื่อเขาทำท่าจะคีบเนื้อปลาแซมอนให้
“กินน้อยจัง”
หญิงสาวเสหลบตาคมที่มองเธออย่างผิดคาด ก่อนแขนยาวจะเอื้อมผ่านเธอไปหยิบแก้วมาเติมน้ำให้
“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกอ้อมแอ้ม
นภนต์ผินมองคนสิ้นฤทธิ์อย่างแปลกใจอีกครั้ง เพิ่งสังเกตเห็นว่าแก้มใสซับสีเรื่อช่างน่ามองนัก ดีที่ไม่มีเครื่องสำอางใดมาปกปิดความงามตามธรรมชาติของวัยสาว ไม่จำเป็นเลย
“พูดดีๆ แบบนี้ น่ารัก”
คำชมกลั้วหัวเราะทำให้เดือนอ้ายขนลุกเกรียว มิหนำซ้ำเขายังวางมือบนศีรษะของเธอพลางโยกเบาๆ
“เดียว”
เสียงหวานขัดทุกการกระทำของชายหนุ่ม นภนต์ลดมือลงมาจับตะเกียบดังก่อนหน้านี้ เขาหันไปทักทายหญิงสาวหน้าตาผิวพรรณดีคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าตากับผิวพรรณอย่างที่ผ่านการบำรุงและเสริมแต่งมาพอสมควร
“อ้าว ฝ้าย วันนี้เข้าร้านเหรอ”
“อืม แล้วนี่พาสาวที่ไหนมาจ๊ะ ระวังเถอะ เดี๋ยวมิลกี้กับหนูดีรู้เข้า” มนสิการกระเซ้า
“ฝ้ายไม่บอกแล้วใครจะรู้” เขาเย้ากลับ
“จ้า คุณเพื่อน ตามสบายนะ เดี๋ยวบอกแคชเชียร์ให้ราคาพิเศษ”
เดือนอ้ายรีบหลบสายตาเมื่อดวงตาเรียวตวัดมองมาที่เธอเยาะๆ ก่อนเจ้าหล่อนจะจากไป พร้อมกับพาผีเสื้อหลายร้อยตัวในใจของเธอโบยบินตามตั้งแต่ได้ยินชื่อนางเอกวัยรุ่นและพี่ของเธอ
นภนต์คิดว่าไม่มีคนบอกก็ไม่มีใครรู้ แต่เธอกลับรู้เห็นข่าวคราวของเขาโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องบอกด้วยซ้ำไป
หลังออกมาจากร้าน ชายหนุ่มยังคงทำตัวเป็นปกติทุกอย่างราวกับเขาไม่เดือดเนื้อร้อนใจต่อสายตาของใครเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือผู้หญิงอื่นที่แอบมองเขายามเดินทอดน่องในห้างสรรพสินค้า นภนต์กุมมือเธอไว้ตลอด และบางคราก็จับมือเธอให้คล้องแขนเขา ขณะที่มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกง
“อ้ายจะไปซื้อป๊อปคอร์นค่ะ” เธอรีบบอกเมื่อเขาทำท่าจะโวยที่เธอปล่อยมือ
นภนต์มีสีหน้ากึ่งบึ้งตึงกึ่งขบขัน เขาล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา แต่หญิงสาวชิงปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรค่ะ อ้ายมีเงิน”
ชายหนุ่มมัวแต่นิ่งอึ้งกับคำว่า ‘มีเงิน’ ของเจ้าหล่อน กระแสเสียงของผู้พูดฟังเหมือนเกรงใจแต่ก็โอ่อยู่ในที เด็กเอ๊ย...เงินที่มีทั้งกระเป๋าเห็นจะไม่เกินธนบัตรมูลค่าต่ำสุดในกระเป๋าของเขากระมัง
ร่างสูงตามไปสมทบกับหญิงสาวหน้าตู้ป๊อปคอร์น เมื่อเห็นเธอถือแก้วน้ำขนาดใหญ่ไว้มือหนึ่ง อีกมือก็หมายจะรับถังพลาสติกลายเดียวกับภาพยนตร์ที่กำลังเข้าฉาย เขาจึงยื่นมือไปรับมาถือเสียเอง
“ขอหลอดอีกอันได้ไหมคะ” เดือนอ้ายถามคนขาย แต่ถูกคนข้างๆ ขัดเสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับ”
เขารีบรั้งแขนเธอออกห่างจากร้าน บทจะกล้าเจ้าหล่อนก็ทำให้เขาได้อาย เรื่องอะไรไปเที่ยวขอหลอดเหมือนรังเกียจเขาอย่างนั้น
“ฉันไม่กินของเธอหรอก ไม่ต้องกลัวติดโรค” เขาเอ่ยเสียงแข็ง
หึ! แค่ดื่มน้ำร่วมแก้วยังมีปัญหา แล้วถ้าจูบเล่า เจ้าหล่อนไม่กัดลิ้นตายเลยหรือไร
“เปล่านะคะ ไม่ใช่อย่างนั้น”
เธอกลัวเขารังเกียจเธอต่างหาก ได้แค่คิด แต่ไม่ได้เอ่ยออกไป นภนต์ก็เบือนหน้าหนีอย่างคร้านจะใส่ใจ เธอจึงจำต้องก้าวตามเขาไปยังโรงภาพยนตร์ที่เริ่มมีคนทยอยเข้าไป
เก้าอี้รับชมภาพยนตร์ที่ชายหนุ่มจองไว้เป็นโซฟาสีแดงขนาดสองที่นั่ง เดือนอ้ายเพิ่งมีโอกาสได้นั่งเก้าอี้แบบนี้เป็นครั้งแรก เธออดรู้สึกโล่งๆ แปลกๆ ไม่ได้ แต่พอร่างสูงนั่งลงเท่านั้น โซฟาที่น่าจะนั่งได้สักสามคนกลับแคบลงทันใด
“หนาวหรือเปล่า”
คำถามเหมือนคนมีน้ำใจ แต่เดือนอ้ายไม่ต้องการความปรารถนาดีสักนิดเดียว
“มะ...ไม่ค่ะ เขยิบไปก็ได้”
“ไม่หนาวอย่างไร ปากคอสั่น” เขาบอกกลั้วหัวเราะ พร้อมกับวาดแขนพาดพนักโซฟาฝั่งเธอ “นั่งดีๆ น่าอ้าย”
นภนต์มองคนที่นั่งตัวแข็งทื่อ กอดถังป๊อปคอร์นและแก้วน้ำอัดลมบนหน้าตัก เขาถอนหายใจอย่างทั้งฉุนระคนอ่อนใจ ก่อนจะหยิบแก้วที่มีไอความเย็นเกาะพราวมาวางในช่องวางแก้วฝั่งตน
เมื่อภาพยนตร์แอกชันฉายไปสักพัก คนที่นั่งตัวเกร็งจึงค่อยเอนหลังผ่อนคลาย เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเกรงว่าหากตนขยับกาย ประเดี๋ยวแม่คุณคงได้ระวังตัวแจอีก แค่เพียงเส้นผมนุ่มของหญิงสาวที่เกลี่ยบนท่อนแขนของเขาก็ทำให้รู้สึกดีไม่น้อย โดยไม่ต้องมีการแตะเนื้อต้องตัวอย่างที่หญิงสาวคนอื่นเต็มใจให้เขาทำ
ทว่าชายหนุ่มต้องพบบททดสอบใหม่ เมื่อฉากต่อสู้เหนือจริงบนหน้าจอยักษ์แปรเปลี่ยนเป็นบทรักร้อนแรงระหว่างพระ-นาง เขารู้สึกหายใจไม่เต็มปอด อึดอัดคับข้องเมื่อมีร่างนุ่มนิ่มนั่งอยู่ใกล้จนแทบจะเกยตักกัน เดือนอ้ายยังคงมองหน้าจอตาแป๋วก็จริง แต่มือที่คอยหยิบป๊อปคอร์นใส่ปากชะงักค้างในถัง ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงน้อยๆ ตามแรงหายใจ
เขาเลิกสนใจภาพยนตร์ สายตาตรึงอยู่ที่เจ้าของแก้มใสซึ่งทำหน้านิ่วพลางหลุบตาลง ขณะที่หูของเขาก็แว่วเสียงหอบหายใจของนักแสดงในจอ
มือหนาซึ่งวางพาดพนักโซฟาลดลงมาโอบไหล่หญิงสาว รู้สึกได้ทันทีว่าคนในอ้อมแขนตัวสั่นราวลูกนกตกน้ำ แต่เธอมิได้สะบัดหนี นภนต์ถือว่านั่นคือการยินยอมพร้อมใจ เขาแตะปลายคางมนแผ่วเบาให้ใบหน้าผุดผาดผ่องใสทำมุมองศารับจุมพิตที่ประทับลงไป
ทันทีที่ริมฝีปากสัมผัสกลีบปากอิ่ม นุ่ม และชุ่มชื้นของเดือนอ้าย หัวใจชายหนุ่มก็พลันโลดแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอทำให้เขารู้สึกเหมือนตนกำลังจุมพิตใจกลางดอกไม้งามที่บริสุทธิ์สะอาด รสสัมผัสของเธอเป็นธรรมชาติ ไม่มีสีหรือกลิ่นลิปสติกเจือปน
เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มถอยหนี นภนต์จึงยอมถอนจุมพิต แต่มิได้ถอนสายตาไปจากใบหน้านวล เขาเกลี่ยนิ้วกับแก้มป่องๆ เพื่อเรียกขวัญสาวเจ้ากลับมา
“น่ารักจังอ้าย”
ชายหนุ่มมั่นใจว่าไม่เคยชมใครเช่นนี้ และไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใคร
“ต่อไปไม่ต้องเที่ยวขอหลอดจากใครอีกล่ะ”
ดวงหน้าสาวร้อนซู่ ทั้งคำชมและคำหยอกล้อของเขาทำให้หัวใจพองโตประหลาด เธอไม่โกรธ ไม่รังเกียจที่เขาทำเช่นนั้นกับเธอเลย แต่เดือนอ้ายโกรธตัวเอง กลัวตัวเองจะตกหลุมรักเขาเข้าจริงๆ
กว่าภาพยนตร์จะจบก็นานร่วมสามชั่วโมง เป็นสามชั่วโมงที่เดือนอ้ายรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในศาล รอฟังโทษประหาร แต่ศาลกลับเมตตาลดโทษให้เธอออกมายังโลกภายนอกอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น
“อยากกินหรือเดินดูของอะไรไหม” เขาเสนอแก่คนที่ทำตัวน่ารัก
“ไม่ค่ะ อ้ายต้องไปหาเพื่อน”
คำปฏิเสธแทบไม่ต้องคิดทำเอาคนฟังอดนึกขวางไม่ได้ เขาหยุดเดินกะทันหัน เป็นเหตุให้มือที่จับจูงฉุดรั้งหญิงสาวให้เสียหลักนิดหนึ่ง
“ดึกดื่นป่านนี้จะไปทำไม” เขาชักเสียงดุ
“ก็...นัดกันไว้ ว่าจะไปติวและนอนค้างบ้านโชติกันนี่คะ” เดือนอ้ายตอบตะกุกตะกักอย่างปรับอารมณ์ไม่ทัน
“แล้วถ้าฉันไม่อนุญาตล่ะ”
ไม่ใช่เพราะเขามองเธอในแง่ลบที่ไปนอนค้างอ้างแรมบ้านเพื่อนชาย แต่ใจกลับร้อนรุ่มเพราะเธอเอาแต่นึกถึงคนอื่นตลอดเวลา แล้วยังเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเขา ยิ่งเป็นแค่เพื่อนยิ่งไม่ควรให้ความสำคัญขนาดต้องรบเร้าจะไปจากเขาท่าเดียว
“แต่คุณสัญญาแล้ว”
“อ้อ นี่ที่ ‘ยอม’ ฉัน เพราะกลัวจะไม่ได้ไปหาเพื่อนงั้นสิ” เขาประชดเสียงหยัน “อีกอย่าง ฉันบอกแค่ว่าจะคืนมือถือ ไม่ได้อนุญาตให้ไปหาเพื่อนสักคำ”
ดวงตากลมโตเบิกมองชายหนุ่มอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ นี่อย่างไร...ผลของความเผลอไผล เผลอใจ บัดนี้มันกลายเป็นความง่ายให้เขานำมาเยาะหยัน เหน็บแนม เ
ดือนอ้ายสะบัดมือหลุดจากการเกาะกุม เธอก้าวหนีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นวิ่งหนีในที่สุด ช่างโทรศัพท์มือถือของตนปะไร เธอน่าจะคิดได้ น่าจะตัดสินใจลงจากรถเขาตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่เธอมันโง่เอง เธอมันโง่เองเดือนอ้าย
ความคิดเห็น |
---|