3

เจ้าสาวย้ายเข้าเรือนหอ

เจ้าสาวย้ายเข้าเรือนหอ

 

การตักบาตรครั้งแรกในรอบห้าปีของภาวัฒน์เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แม้จะติดท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ไปบ้างเนื่องจากหลงลืมขั้นตอนปฏิบัติในการตักบาตร แต่ก็มีวาดฟ้าคอยช่วยคอยบอกอยู่เป็นระยะ บอกไปก็ขำไป จนเขารู้สึกอายและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน

“พี่ภีมขับรถเข้าไปที่บ้านได้เลยนะคะ เดี๋ยววิวขี่จักรยานตามไป” 

หญิงสาวบอกกับว่าที่สามี พร้อมหอบหิ้วตะกร้าข้าวของไปยังรถจักรยานอีกคัน

“จะขี่ไปทั้งที่ข้าวของพะรุงพะรังแบบนี้ได้ไงวิว เดี๋ยวก็ล้มปากแตกพอดีหรอก เอามานี่ให้หมดเลย พี่เอาขึ้นรถไปให้เอง”

ภาวัฒน์สั่นหน้า อดไม่ได้ที่จะตรงเข้าไปดึงข้าวของสัมภาระต่างๆ มาจากยายจอมแสบ ซึ่งลำพังตัวก็เล็กจนแทบเอาจักรยานคันใหญ่ไว้ไม่อยู่ ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ตอนนี้เขาควรเกลียดน้องสาวนอกไส้คนนี้แล้วแท้ๆ แต่เขากลับรู้สึกแบบนั้นไม่ลง 

‘มันคงเป็นความผูกพันแบบพี่น้อง ที่เรามีให้ยายวิวมาตั้งแต่เด็กล่ะมั้ง’ 

ชายหนุ่มคิดในใจ ขณะนำตะกร้าข้าวของทั้งหมดมายัดใส่ไว้ในเบาะหลังรถ ปล่อยให้ยายจอมแสบขี่จักรยานนำหน้าไปก่อน แล้วตนค่อยขับรถตามเข้าไปทีหลัง

สมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมดเป็นของคุณตาคุณยายของภาวัฒน์ ภายหลังเมื่อท่านทั้งสองได้เสียชีวิตลง จึงได้จัดแจงแบ่งทรัพย์สมบัติตามพินัยกรรม โดยที่ดินส่วนนี้พวกท่านยกให้คุณลุง และที่ดินอีกส่วนในจังหวัดนนทบุรีพวกท่านยกให้มารดาของเขา ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นทำเลทองให้ครอบครัวใช้ทำธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์

ใช่ว่าที่ดินตรงส่วนนี้ของคุณลุงจะไม่ใช่ทำเลทอง ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมามีเหล่านายหน้ามาตามตื๊อให้คุณลุงของเขาขายที่ให้ โดยเสนอราคาแพงลิบลิ่วตั้งแต่หลักสิบล้านไปจนถึงหลักร้อยล้านเลยก็มี เพียงแต่ว่าคุณลุงของเขาเป็นคนสมถะ จึงไม่ต้องการขายที่เพื่อแลกเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ตรงข้ามเขากลับเปิดร้านอาหารบ้านสวนเล็กๆ บนที่ดินผืนนี้แทน และได้พิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นแล้วว่ามันประสบความสำเร็จมากแค่ไหน

ชายหนุ่มจอดรถบริเวณหน้าบ้านชั้นเดียวของคุณลุง ซึ่งเมื่อสมัยยังเป็นเด็กเขามักจะมาเที่ยวเล่นที่นี่เป็นประจำ คงมีแต่ช่วงพักหลังๆ เมื่อห้าปีมานี้ เขาไม่ค่อยได้มาที่นี่เพราะเหตุผลบางอย่าง...

“ไงไอ้ตัวดี โผล่หัวมาแต่เช้าเลยนะ”

จักรเดินออกมาทักทายหลานชายที่เพิ่งลงจากรถด้วยน้ำเสียงประหนึ่งคุยกับศัตรูคู่อาฆาต

“จะมีสักครั้งไหมที่คุณลุงคุยกับผมเหมือนลุงหลานทั่วไปเขาคุยกันน่ะ นี่ผมหลานคุณลุงนะ หลานแท้ๆ ด้วย” ร่างสูงโอดครวญแกมประชดประชัน

“ก็เพราะมันเป็นหลานแท้ๆ ไงวะถึงได้คุยปกติเหมือนชาวบ้านเขาไม่ได้” 

ายชราจักรหัวเราะร่วน ความรู้สึกที่ตนมีให้หลานชายคนนี้ค่อนข้างออกแนว ‘ทั้งรักทั้งหมั่นไส้’ มาแต่ไหนแต่ไร

“แล้วยายวิวล่ะครับคุณลุง” ภาวัฒน์ถามถึงคนตัวเล็กซึ่งมาถึงก่อนหน้าเขาไม่กี่นาที ตอนกำลังจอดรถเห็นหลังไวๆ เดินเข้าไปในบ้าน

“วิวมันไปเอากระเป๋าเสื้อผ้า รอก่อนไม่ได้เชียวรึไอ้ภีม รีบอะไรกันนักกันหนา” 

“ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนี่ แค่ถามเฉยๆ เอง” 

“พอเลยๆ สองหนุ่มลุงหลาน เจอหน้ากันทีไรทะเลาะกันทุกที เข้าบ้านมากินน้ำกินท่าก่อนนะตาภีม”

ประไพรีบออกมาห้ามปรามคนทั้งคู่ ก่อนจะเกิดศึกสายเลือดระหว่างลุงกับหลาน แม้เป็นเพียงการพ่นวาจากวนใส่กันไปกันมาดูไร้สาระ แต่นั่นก็สามารถสร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้ที่พบเห็นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อหลานชายและสามีเดินตามหลังนางเข้ามานั่งในห้องรับแขกแล้ว สตรีวัยกลางคนจึงเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วมาให้ทั้งสองดื่ม เวลาผ่านไปไม่นานลูกสาวของนางก็เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่

“วิวไปก่อนนะคะแม่ แล้วพรุ่งนี้จะเข้ามาช่วยงานที่ร้านเหมือนเดิมค่ะ” วาดฟ้าเดินตรงเข้าไปกอดร่างของมารดาเอาไว้หลวมๆ หอมแก้มซ้ายของมารดาอย่างที่มักทำเป็นประจำ

“ดูแลตัวเองนะลูก ขาดเหลืออะไรวิวบอกแม่ได้เสมอไม่ต้องเกรงใจ ไว้แม่จะโทร. หา”

“ค่ะแม่” หญิงสาวรับคำพลางคลี่ยิ้มสดใส ต่อให้ลึกๆในใจรู้สึกเป็นกังวล เธอก็จะไม่แสดงมันออกมาให้ใครเห็นเด็ดขาด

‘เราต้องเข้มแข็ง’ วาดฟ้าบอกกับตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วหันไปล่ำลาคนเป็นบิดาต่อ

“วิวไปนะคะพ่อ”

ภาวัฒน์มองภาพยายจอมแสบหอมแก้มคุณลุงกับคุณป้าของเขาด้วยท่าทีออดอ้อนเหมือนลูกแมว ก็ทำให้ริมฝีปากหยักเผลอยกยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นึกไปถึงตอนเด็กๆที่ยายจอมแสบมักจะมีมุกออดอ้อนคล้ายๆแบบนี้ เวลาต้องการให้เขาพาไปซื้อไอศกรีม

‘คิดเรื่องบ้าอะไรของแกเนี่ยไอ้ภีม ไร้สาระชะมัด’

ชายหนุ่มสั่นศีรษะไล่ความคิดและความทรงจำในเรื่องดังกล่าวออกไป ยายจอมแสบไม่ได้น่ารักเหมือนวันวานแล้ว ยายนี่ไม่ใช่ลูกแมว แต่เป็นลูกหมาป่าต่างหาก!

“ถึงแกจะเป็นหลานแท้ๆ ของฉัน แต่ถ้าแกทำลูกฉันเสียใจละก็ ฉันเอาแกตายแน่ไอ้ภีม”

จักรกระซิบขู่รอดไรฟันข้างหูหลานชายตัวดีระหว่างที่เดินมาส่งลูกสาวขึ้นรถ ก่อนจะผละจากไปตรงฝั่งร้านอาหาร ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คนฟังได้แต่ถอนหายใจ ยังไงจุดจบของเรื่องนี้ยายจอมแสบก็ต้องเป็นคนเสียใจอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอไปมากกว่าน้องสาว ในขณะที่เธอคิดกับเขามากกว่าพี่ชาย 

“พี่ภีมคะ วิวลืมไปว่าวิวมีรถ เดี๋ยววิวขับรถของตัวเองไปจอดที่คอนโดของพี่ภีมดีกว่าค่ะ เพราะยังไงวิวก็ต้องใช้ด้วย” 

วาดฟ้าบอกเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นรถสีขาวคันเก่งของตัวเองที่จอดอยู่ในโรงจอดรถ 

“มาบอกอะไรตอนขนของขึ้นรถเสร็จแล้ว ไม่ต้องหรอก ไปด้วยกันนี่แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเอา พี่จะมาส่งเอง” 

“ถ้างั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับสดใส เปิดประตูรถคันหรูแทรกกายเข้าไปนั่งฝั่งข้างคนขับ

“ไม่ต้องดีใจ พี่ให้อยู่ด้วยแค่สามเดือนเท่านั้น” ภาวัฒน์กล่าวเสียงเย็นชา หลังจากที่ขับรถออกมาได้สักพักแล้ว ยายจอมแสบก็ยังไม่หุบยิ้มเสียที

“แล้วพี่ภีมเอาอะไรมามั่นใจคะว่าแค่สามเดือน ไม่แน่ร้อก...พี่ภีมน่ะอาจจะเผลอรักวิวจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงเวลานั้นคงมากอดเข่าอ้อนวอนขอให้วิวอยู่ต่อ” 

“ฝันกลางวันอยู่เหรอ”

“กลางวันที่ไหนคะ นี่มันตอนเช้าต่างหาก” แม้ถูกว่าที่สามีย้อนให้อย่างเจ็บแสบ แต่วาดฟ้าก็ยังมีแก่ใจกวนประสาทเขาด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่า

‘ตีมึน ทำอึน และยิ้มแย้ม!’

สโลแกนนี้เท่านั้นที่จะทำให้สามารถอยู่ร่วมกับพี่ภีมของเธอได้แบบสงบสุข ซึ่งเธอทำมานานตั้งแต่ชาติที่แล้ว...ที่พี่ภีมของเธอยังเป็นพี่ ‘แสนกล้า’ คนนั้นอยู่

‘แล้วไงล่ะ สโลแกนนี้มันก็แค่ช่วยให้อยู่ร่วมกันได้ ไม่ได้ช่วยให้พี่ภีมหันมารักเราสักหน่อยนี่’

วาดฟ้าตัดพ้อกับตัวเองในใจ ไม่ว่าจะเป็นพี่แสนกล้าในชาตินั้น หรือพี่ภีมในชาตินี้ ทั้งคู่ก็ ‘ใจร้าย’ เหมือนกันอยู่ดีนั่นแหละ

 

สภาพการจราจรอันแสนติดขัดของเมืองหลวง ทำให้ภาวัฒน์และวาดฟ้าเดินทางมาถึงคอนโดช้ากว่าที่ควรจะเป็น โดยกินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ถึงกระนั้นภายในรถก็ไม่ได้เงียบเหงาเสียทีเดียว เพราะหญิงสาวชวนคุยตลอดทาง ชายหนุ่มก็พูดด้วยบ้างไม่พูดด้วยบ้าง แม้จะรู้สึกรำคาญ แต่เขาก็ชินแล้วกับนิสัยของน้องสาวนอกไส้คนนี้

อนันต์ธาดา เรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียมสุดหรูติดริมแม่น้ำ เป็นหนึ่งในโครงการที่บริษัทของครอบครัวเขาจับมือพัฒนาร่วมกับสตูดิโอออกแบบด้านอสังหาฯ ชื่อดังของประเทศสิงคโปร์ พื้นที่ใช้สอยโดยรอบกว้างขวางให้ความเป็นส่วนตัว มีต้นไม้สีเขียวร่มรื่นสบายตาจำนวนมาก ทั้งมาตรฐานความปลอดภัยยังค่อนข้างสูงสมกับราคาของมัน ภาวัฒน์ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายปีแล้วตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“อ้าวภีม หวัดดี” หนุ่มใหญ่มาดสุขุมคนหนึ่งในชุดกีฬาโบกมือทักทายตรงโถงทางเดิน

“สวัสดีครับพี่ปุ๊บ จะไปฟิตเนสเหรอ”

ภาวัฒน์ถามยิ้มๆ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนบ้านของเขาชื่อ ‘ธาวิศ’ หรือว่า ‘พี่ปุ๊บ’ อายุมากกว่าเขาสิบปีเห็นจะได้ แถมยังเป็นคุณพ่อลูกหนึ่งอีกด้วย

“ใช่ นี่พี่เพิ่งกลับจากพาลูกกับคุณอี๊ดเขาไปเที่ยวไต้หวันมาน่ะ ไปอาทิตย์หนึ่งน้ำหนักขึ้นมาตั้งสองโล เลยกะว่าจะออกกำลังกายสักหน่อย” 

“แหงละครับ ของกินที่นั่นอร่อยแถมมีแต่ของมันๆ พี่ปุ๊บน้ำหนักขึ้นก็ไม่แปลก”

“ฮ่าๆๆๆ คงงั้นแหละ...” ธาวิศชะงักบทสนทนาลงชั่วครู่ เลื่อนสายตาไปทางหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาน่ารัก เธอกำลังยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่ข้างหลังเพื่อนรุ่นน้อง ในมือมีกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่

“สวัสดีครับ น้องคือ...”

“อ้อลืมแนะนำไปเลย ขอโทษทีครับ นี่วิว เป็นน้องสาวของผม วิว นี่พี่ปุ๊บ พี่เขาอยู่ห้องข้างๆ” 

ชายหนุ่มแนะนำทั้งคู่ให้ได้รู้จักกัน โดยไม่ยอมบอกสถานะที่แท้จริงของยายจอมแสบ 

“สวัสดีค่ะพี่ปุ๊บ วิวเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” วาดฟ้ายกมือกระพุ่มไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม

“ครับตามสบาย ไม่ยักรู้ว่าภีมมีน้องสาวด้วย”

“เปล่าหรอกค่ะ วิวไม่ใช่น้องสาว วิวเป็น...”

“อะแฮ่ม!”

หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบประโยค ว่าที่สามีของเธอก็กระแอมเสียงดังขัดขึ้นเสียก่อน 

“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับพี่ปุ๊บ พอดีต้องรีบพาน้องสาวไปจัดข้าวของเข้าที่พัก”

ภาวัฒน์เน้นคำว่า ‘น้องสาว’ ชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง ก่อนที่ร่างสูงจะกึ่งลากกึ่งจูงคนตัวเล็กเดินออกไป ทิ้งให้หนุ่มใหญ่เพื่อนบ้านมองตามด้วยความฉงนระคนสงสัย แต่ถึงกระนั้นสายตาเขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในสถานะพี่น้องกันจริงๆ

 

ถึงหน้าห้องแล้ว ภาวัฒน์จึงได้ปล่อยมือจากยายจอมแสบ เขาหยิบคีย์การ์ดสำหรับผ่านเข้าคอนโดจากกระเป๋ากางเกงออกมา ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงบ่งบอกความรู้สึกภายในที่กำลังไม่พอใจ 

วาดฟ้ายืนมองแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูง ทำปากยื่นเล็กน้อย แล้วค่อยเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงค่อนขอดกึ่งตัดพ้อ

“เรื่องของเราต้องเก็บเป็นความลับ บอกใครไม่ได้แม้แต่เพื่อนบ้านของพี่ภีมเลยเหรอคะ”

ภาวัฒน์ไม่ตอบคำถามนั้น มือหนาผลักบานประตูก้าวเข้าไปด้านใน แต่วาดฟ้าก็ยังไม่ยอมเดินก้าวตามเข้ามา

“วิว เข้ามาคุยกันข้างใน” เจ้าของเสียงเข้มบอกพร้อมกับกระดิกนิ้วเรียก

“วิวไม่....”

“อย่าดื้อวิว เข้ามาคุยกันดีๆ”

“เฮ้อ” หญิงสาวถอนใจเบาๆ สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องยอมเดินตามเข้าไป ทำตัวให้สมเป็นผู้ใหญ่ในวัยยี่สิบสามปี แม้ใจจริงจะอยากงอแงแค่ไหนก็ตาม

“นั่งก่อน” ภาวัฒน์ชี้ไปที่ชุดโซฟาหรูหรากลางห้องรับแขก

“พี่ภีมไม่ต้องบอกวิวก็นั่งอยู่แล้วค่ะ” วาดฟ้าบ่นพึมพำ เธอวางกระเป๋าสัมภาระลงก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาตัวใหญ่อย่างคุ้นเคย 

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่อะไรนักสำหรับวาดฟ้า เธอมานับครั้งไม่ถ้วน เอากับข้าวที่ร้านมาส่งให้ภาวัฒน์เสียเป็นส่วนใหญ่

“พี่ขอสั่งห้ามเลยนะ ไม่ให้วิวบอกเรื่องของเรากับคนนอกเด็ดขาด”

“ทำไมคะ กลัวกิ๊กของพี่ภีมจะรู้รึไง” 

“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกันเลย” ชายหนุ่มสั่นศีรษะ ดวงตาขุ่นเคืองจ้องมองมายังน้องสาวนอกไส้ซึ่งพ่วงตำแหน่งว่าที่ภรรยามาด้วย

“ที่พี่ไม่อยากให้บอกเพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อทั้งตัววิวและตัวพี่เองในอนาคต”

“ยังไงคะ” วาดฟ้ากอดอกพลางเลิกคิ้ว 

“พอครบกำหนดสามเดือนแล้วเราต้องเลิกกัน พี่เป็นผู้ชายมันดูไม่เสียหายอะไรนักหรอก แต่วิวเป็นผู้หญิงคนก็ชอบตัดสินว่าเสียหายมากกว่า เพราะฉะนั้นเพื่อรักษาชื่อเสียงตัวเอง วิวไม่ควรบอกเรื่องของเรากับใคร”

คำพูดของภาวัฒน์นั้นฟังดูใจร้ายก็จริง แต่มันกลับสะท้อนความจริงอันน่าเศร้าของสังคมไทย แม้กระทั่งตัวชายหนุ่มเองก็ยังไม่ชอบหลักการและแนวคิดที่มักยัดเยียดให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียหายเวลาหย่าร้าง ถึงปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะไม่ได้มีแนวคิดแบบนั้นแล้วก็ตาม

“อ๋อ...” สีหน้าของวาดฟ้าดูดีขึ้นมานิดหนึ่งหลังจากได้ฟังเหตุผลของว่าที่สามี 

‘เอาน่า อย่างน้อยพี่ภีมก็เป็นห่วงเรา’ เธอคิดในใจ พลันดวงตาซุกซนก็กลับมามีประกายความหวังอีกครั้ง

“วิวเข้าใจแล้วค่ะว่าพี่ภีมหวังดี แต่พี่ภีมเอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้นว่าสามเดือนเราต้องเลิกกัน ในเมื่อเรายังไม่ได้ลองใช้ชีวิตร่วมกันแบบสามีภรรยาตามที่ตกลงกับผู้ใหญ่เลย นี่เพิ่งจะวันแรกเองนะ”

“จะเลิกหรือไม่เลิกถึงตอนนั้นก็คงรู้เอง เราเป็นเหมือนพี่น้องกันมาทั้งชีวิต วิวเชื่อจริงๆ เหรอว่าเวลาสามเดือนมันจะเปลี่ยนอะไรได้”

“ถ้าพี่ภีมไม่เชื่อว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้ งั้นพี่ภีมยื่นข้อเสนอให้เรามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทำไมอะ หรือแค่อยากแสดงความรับผิดชอบเฉยๆ”

“...”

ภาวัฒน์เถียงไม่ออก ได้แต่นั่งก้มหน้า ดวงตากลอกไปมาคล้ายกำลังคิดหนัก จริงอยู่ เขาก็แค่ต้องการแสดงความรับผิดชอบและพิสูจน์ให้พวกผู้ใหญ่เห็นว่าเขากับยายจอมแสบไม่มีทางเป็นมากกว่านี้ได้ แต่ไม่เคยคิดเรื่องจะให้โอกาสคนตรงหน้าจริงจังเลย

“งั้นไม่เป็นไรค่ะ ไม่ว่าเหตุผลของพี่ภีมคืออะไร วิวก็คิดไว้แล้วว่าสามเดือนนี้วิวจะทำให้เต็มที่ที่สุด พิสูจน์ให้พี่ภีมเห็นว่าเราเป็นมากกว่านี้ได้ แต่ถ้าถึงเวลานั้นมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้จริงๆ วิวจะมูฟออน”

วาดฟ้าเอ่ยประโยคแสนเศร้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โดยไม่แสดงออกถึงความเศร้าลึกๆ ภายในจิตใจให้ภาวัฒน์เห็นแม้แต่น้อย 

“ตกลงตามนั้น” ชายหนุ่มตอบรับ 

นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ยินคำว่า ‘มูฟออน’ จากปากของหญิงสาว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่ายินดี หากเธอตัดใจจากเขาได้ พบเจอคนที่ใช่ เขากับเธอก็คงจะกลับไปเป็นพี่น้องกันได้เหมือนเดิม

เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้น ตามด้วยร่างท้วมของเมดสาวใช้วัยกลางคนประจำคอนโดหิ้วถุงของสดพะรุงพะรังเข้ามา เมื่อเห็นเจ้านายทั้งสองของตนนั่งอยู่บนโซฟา ดวงพรจึงยกมือไหว้ทักทายทั้งคู่อย่างทุลักทุเล

“สวัสดีค่ะคุณภีม คุณวิว พอดีพี่เพิ่งกลับจากซื้อของทำกับข้าวที่ตลาด จะรับน้ำ กาแฟกับของว่างไหมคะ”

“ไม่เป็นไรครับพี่ดวง เดี๋ยวรบกวนพี่ดวงช่วยวิวขนกระเป๋าเข้าไปไว้ในห้องนอนข้างๆ ผมด้วยนะครับ ผมจะกลับไปทำงานต่อ” 

ภาวัฒน์ว่าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนหรู สายมากแล้ว เขาต้องรีบเข้าบริษัท

“ได้ค่ะคุณภีม” ดวงพรพยักหน้ารับรู้

“ต่อไปนี้วิวจะย้ายมาอยู่กับผมสักพัก ฝากพี่ดวงช่วยดูแลอย่าให้ก่อเรื่องวุ่นวาย แล้วก็...วิว ขาดเหลืออะไรก็บอกพี่ดวงได้เลยนะ นี่คีย์การ์ดสำรอง แม่พี่ฝากมาให้”

เขายื่นคีย์การ์ดสำหรับผ่านเข้าคอนโดให้วาดฟ้า ซึ่งก่อนหน้านี้มารดาของเขาเป็นคนถือ แต่เมื่อเธอย้ายเข้ามาอยู่กับเขาแล้ว มารดาจึงเห็นสมควรที่จะยกคีย์การ์ดนั้นให้เธอเป็นคนถือแทน

“พี่ไปก่อนละ” 

“รับทราบค่ะ” หญิงสาวยิ้มตาหยี โบกมือลาว่าที่สามีซึ่งเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองเธอเลยแม้แต่น้อย

ช่างเถอะ...เธอชินแล้วกับพี่ภีมของเธอคนนี้ เขาเริ่มหันหลังให้ตั้งแต่เธอสารภาพความในใจออกไปตอนอายุสิบแปดปี จากพี่ชายที่แสนดีกลายเป็นคนเฉยชา เขาไม่เคยมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยนเหมือนเดิมอีกเลย

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น