บทที่ ๒

บทที่ ๒

เรือนเขียว

เดลลาเคยเห็นภาพวาดของบุรฉัตรจากหนังสือรวมผลงานจิตรกรรมศิลปินเอเชีย ในห้องสมุดมหาวิทยาลัยเมื่อหลายปีก่อน งานของเขาจับตาตั้งแต่แรกเห็น ด้วยสไตล์การวาดคล้ายคลึงกับเธอ แต่เธอไม่ได้ใส่ใจติดตามเป็นพิเศษ เพียงแค่ชื่นชมในเนื้องานละเอียดเหมือนจริง ความชำนาญในการปาดฝีแปรงอย่างประณีต สมบูรณ์ทั้งสีและแสงเงา ภาพสีน้ำมันหญิงสาวใบหน้าอ่อนหวาน ผมดำขลับสยายยาวปิดทับทรวงอก สีชมพูแต้มแต่งบนพวงแก้มเรื่อราวกับมีเลือดเนื้อ ผิวเนียนละเอียดที่ผสมสีผิวได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปูฉากหลังเขียวเข้มปาดป้ายสีเขียวต่างเฉดเป็นพุ่มไม้ดูมีมิติ เธอจำได้ว่าจ้องมองภาพนั้นอยู่นาน นึกชื่นชมว่าช่างเลือกสีมาใช้ได้สวยงามเหลือเกิน นั่นเป็นเพียงแค่ภาพพิมพ์บนกระดาษยังประทับใจยิ่งนัก ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้ชมงานต้นฉบับจริง เธอต้องไม่พลาดโดยเด็ดขาด เพราะวันเวลาระบุไว้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานนิทรรศการ

อเดลลาอาบน้ำและแต่งกายอย่างรวดเร็ว รวบผมไว้ด้านหลัง ผัดแป้งฝุ่นบางๆ แต้มลิปกลอสสีอ่อนบนริมฝีปาก เธอเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอมเขียวที่โปรดปรานกับกางเกงยีนและรองเท้าหนังสานสีน้ำตาล เก็บรวบรวมงานภาพร่างเข้ากระเป๋าสะพาย ผู้คนยังไม่คับคั่งขณะเดินมาตามทางเท้า รถบนท้องถนนดูบางตาเนื่องจากยังเป็นเวลาเช้า อากาศเย็นสบาย ร่มรื่นด้วยต้นไม้สองข้างทาง เธอตัดสินใจเดินออกจากซอยแทนการเรียกใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หญิงสาวยิ้มให้ชายหญิงวัยชราที่นั่งเก้าอี้คู่กันอยู่หน้ารั้วบ้าน ข้างหน้าคือโต๊ะไม้ตัวเล็กวางสำรับอาหารเพื่อเตรียมใส่บาตร ชายชรายิ้มตอบ ทักทายด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่ง แม่ค้ารถเข็นขายกล้วยปิ้งส่งกลิ่นหอมฉุยส่งยิ้มกว้างมาให้ คนไทยส่วนใหญ่ยิ้มง่าย มีน้ำใจ อเดลลาซึมซับความอบอุ่นในมิตรภาพเล็กน้อยเหล่านี้ ช่วยคลายความอ้างว้างโดดเดี่ยวสำหรับคนพลัดถิ่นอย่างเธอได้มากทีเดียว

ผู้คนมากมายเบียดเสียดกันบนสะพานเพื่อลงเรือซึ่งเข้าเทียบท่ารออยู่แล้ว เสียงนกหวีดให้สัญญาณดังแสบหู อเดลลาเดินเบียดผู้โดยสารหลายคนซึ่งกำลังสาละวนกับการแย่งกันจับจองที่นั่ง

หญิงสาวเดินตรงไปยังท้ายเรือ อากาศยามเช้า แสงแดดอ่อน เธอชอบให้สายลมพัดผ่านผิวขณะเรือแล่น ไอเย็นจากแม่น้ำช่วยให้สดชื่นได้มาก ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางข้ามฟาก เดินจากท่าเรือเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงมหาวิทยาลัย เธอเข้าไปส่งงานที่คณะก่อน เป็นภาพร่างลายเส้นขาวดำชิ้นแรกซึ่งจะต่อยอดเพื่อไปเขียนภาพสีน้ำมัน ไม่ลืมแวะเข้าไปยืมหนังสือที่หอสมุดกลาง จัดการอาหารมื้อเช้าง่ายๆ ด้วยแซนด์วิชและกาแฟร้อนจากซุ้มบริการ แล้วจึงตรงไปยังหอศิลป์เพื่อชมงานนิทรรศการดังที่ตั้งใจไว้

หอศิลป์ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับมหาวิทยาลัย แต่กั้นด้วยรั้วเป็นสัดส่วน อาคารชั้นเดียวก่อสร้างแบบก่ออิฐถือปูน รูปทรงเป็นแบบไทยประยุกต์ หลังคาทรงหน้าจั่วมุงกระเบื้องสีแดงเข้ม เย็นสบายด้วยเงาร่มรื่นของต้นจำปาใหญ่และต้นจัน อเดลลาพอใจที่ผู้คนบางตาเนื่องจากเป็นวันธรรมดา เธอจะได้ใช้สมาธิชมงานได้อย่างเต็มที่ มีเด็กหนุ่มเพียงสามคนแต่งกายคล้ายนักศึกษาตรงห้องโถงด้านหน้า เจ้าหน้าที่หอศิลป์ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนกำลังง่วนกับการอ่านเอกสารในมือ ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นมองเพียงแวบเดียวเมื่ออเดลลาเข้าไปยืนหน้าเคาน์เตอร์เพื่อลงทะเบียนในสมุดเข้าชม เสร็จเรียบร้อยจึงเดินเลี่ยงไปทางประตูเล็กด้านข้างซึ่งพาไปสู่ห้องแสดงงานด้านหลัง หญิงสาวตั้งใจว่าจะเริ่มชมภาพจากด้านในสุดก่อน แล้วจึงไล่เรื่อยออกมา เพื่อเลี่ยงผู้คนที่อาจเข้ามาเพิ่ม

พ้นประตูเล็กเข้ามา หญิงสาวเดินลงบันไดมุ่งสู่ห้องโถงด้านใน บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเธอคนเดียว อากาศเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่ทำงานเงียบกริบ ต่างจากภายนอกซึ่งค่อนข้างอบอ้าวด้วยแดดใกล้เที่ยง เสียงเพลงบรรเลงหวานดังแผ่วมาจากลำโพงซึ่งซ่อนไว้อย่างมิดชิด อเดลลาก้าวผ่านภาพเขียนหลายภาพบนผนัง อดใจไว้ไม่เหลียวไปมอง เลาะเรื่อยมาจนถึงห้องด้านในสุด

กลิ่นอ่อนจางคล้ายดอกไม้รั้งให้หยุดก้าว ความหอมเชิญชวนให้สูดหายใจเข้าเต็มปอด เพียงไม่กี่นาทีก็รู้สึกถึงความง่วงที่แล่นขึ้นมา ร่างเบาหวิวคล้ายลอยเลื่อนไปตามแรงดึงดูดบางอย่าง แสงสว่างภายในห้องมืดครึ้มคล้ายไฟหรี่ลง อเดลลาเห็นรางเลือนว่าผนังตรงหน้าสว่างเหมือนลำแสงส่องไปยังจุดนั้น กลิ่นเบาบางเริ่มทวีความหอมขึ้น จนเมื่อมาหยุดห่างจากผนังแค่เอื้อมมือถึง การรับรู้ค่อยกลับคืนมา จึงเพิ่งตระหนักว่าสายตากำลังจับจ้องบางสิ่งตรงหน้า

ภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ตรึงสายตาไว้ราวมีแรงดึงดูด ถ้าเป็นคนอื่นคงเห็นเป็นเพียงงานจิตรกรรมที่งดงามมากภาพหนึ่ง แต่สำหรับเธอ ภาพนั้นกลับสร้างความตื่นตะลึงอย่างล้นเหลือ

กรอบไม้แกะสลักลายเครือเถา ล้อมภาพวาดเรือนไม้เก่าที่เธอแทบจะจดจำได้ทุกพื้นที่ ฝาเรือนทำด้วยแผ่นไม้ทาสีเขียว เรียงเป็นแนวตั้ง เชิงชายลายฉลุใต้หลังคา หรือแม้กระทั่งต้นลั่นทมผลิช่อดอกสีขาวพาดกิ่งบนหลังคาสีเขียวเข้ม ทุกรายละเอียดชัดเจนเป็นพิมพ์เดียวกันราวกับผู้วาดเคยเข้าไปเยือนในฝันของเธอก็ไม่ปาน อเดลลานิ่งงัน ความหนาวเยือกแล่นวูบทั่วร่าง ไม่น่าเป็นไปได้ที่ผู้วาดจะจินตนาการภาพนี้ขึ้นมาเองได้ราวคัดลอก หรือถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คงเป็นความบังเอิญที่เหลือเชื่อที่สุด

เว้นเสียแต่ว่าสถานที่ในความฝันจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ และผู้ที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดก็คือ บุรฉัตร วิชญนานนท์ เพียงคนเดียวเท่านั้น

อเดลลาหันหลังเดินกลับออกมาด้วยความมึนงง ลืมความตั้งใจที่จะมาชมงานเสียสิ้น ก้าวผ่านประตูเล็กสู่โถงด้านหน้าอันเงียบกริบไร้ผู้คน ผลักบานประตูออกสู่ด้านนอก แดดจ้ายามบ่ายสาดไอร้อนระอุเข้ากระทบ เธอก้าวลงบันไดทีละขั้นอย่างเชื่องช้า ความวิงเวียนเริ่มก่อตัวแรงขึ้นเหมือนพายุ ร่างระหงเซไปเกาะผนังรั้วนิ่ง พยายามประคองตัวเดินตรงไปยังเก้าอี้ยาวใต้ต้นไทร บรรยากาศเริ่มมืดครึ้มเหมือนก้อนเมฆบดบังแสงอาทิตย์ ที่สุดก็ซวนเซแล้วทรุดลง ก่อนสติจะขาดหาย แว่วเสียงเรียกลอยห่างออกไปจนเงียบสนิท

“เดล เดล เป็นไงบ้าง”

เสียงแผ่วเบาไกลลิบ พร้อมกับที่ภาพพร่างพรายวูบไหวเริ่มชัดเจนขึ้น ใบหน้าค่อนข้างกลมระบายด้วยรอยยิ้มแป้นชะโงกมาอยู่ตรงหน้า ดาริกา เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอนั่นเอง อเดลลากระแอมไล่คราบแห้งผากในลำคอ พยายามยันกายลุกขึ้นแต่ถูกกดไหล่ไว้

“นอนพักก่อนเถอะเดล ไม่ต้องรีบลุก หน้าเธอยังซีดเป็นงิ้วสะดุ้งอยู่เลยเนี่ย” อีกฝ่ายบอกรัวเร็วด้วยความห่วงใย

“ดา...ฉันอยู่ที่ไหน” อเดลลาเสียงแหบพร่า กวาดตามองไปรอบห้อง พบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟายาวในห้องที่ไหนสักแห่ง แสงจากหลอดไฟบนเพดานสว่างจ้าจนต้องหยีตา เหลือบมองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาอมน้ำเงินบอกเวลาใกล้พลบค่ำ

“เธอเป็นลมไปน่ะสิ สงสัยคงหิวจัด นี่ดีนะ อาจารย์บุรฉัตรมาพบเข้าพอดี ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงนอนเกรียมเป็นเนื้อแดดเดียวไปแล้ว” ดาริกาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างโซฟา ยกสองมือขึ้นเท้าคาง เสียงกำไลแก้วบริเวณข้อมือกระทบกันดังกรุ๊กกริ๊ก

“อาจารย์...บุรฉัตรเหรอ” อเดลลาทวนคำ พยายามทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา “เจ้าของงานที่แสดงในหอศิลป์น่ะเหรอ”

“ก็ใช่น่ะซี้” ดาริกาเสียงสูง เลิกคิ้ว ตาดำขลับด้วยดินสอเขียนขอบตาดูโตขึ้นอีกเป็นเท่าตัว “แหม! ใครๆ ก็รู้จักอาจารย์บุรฉัตรทั้งนั้นแหละ หล่อสุดติ่งตลิ่งชันยันพระโขนงขนาดนั้น มาสอนที่คณะแต่ละครั้ง เธอเอ๊ย! ชะนีเก้งกวางกรี๊ดกันซะแทบจะลงไปดิ้นตาย”

อเดลลายิ้ม เธอไม่เข้าใจถ้อยคำทั้งหมดของเพื่อน แต่น้ำเสียงสูงต่ำบวกกับสีหน้าท่าทางทำให้น่าฟัง ความร่าเริงสดใสและช่างพูดด้วยถ้อยคำเปรียบเปรยของดาริกาเรียกรอยยิ้มจากคนรอบข้างได้เสมอ อเดลลาจินตนาการความหล่อเหลาของบุรฉัตรไม่ออก แต่จากการได้พบเห็น เธอคิดว่าหนุ่มไทยส่วนใหญ่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่แพ้ชาติใด ผิวสีน้ำตาลแดงแบบชายชาตรีดูเข้มแข็ง ต่างจากแถบตะวันตกที่ผิวขาวซีดคล้ายคนอมโรค เธอชอบใบหน้าเหลี่ยม คมเข้มแบบตะวันออก โดยเฉพาะดวงตาเรียวยาวกับริมฝีปากหนาชวนมองยามแย้มยิ้ม แต่เธอไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนเอเชียส่วนใหญ่มักยึดเอาความสวยความหล่อแบบคอเคซอยด์เป็นมาตรฐาน หลายคนถึงกับยอมเจ็บ ยอมเสียเงินมากมายเพื่อไปเติมแต่งใบหน้า เสริมดั้งจมูกให้โด่งเป็นสัน กรีดชั้นตา หรือแม้กระทั่งตัดและเย็บริมฝีปากให้บาง เพียงเพื่อให้ได้โครงหน้าคล้ายคลึงชนชาติตะวันตก แต่เธอก็เข้าใจธรรมชาติมนุษย์ที่มักพึงพอใจและแสวงหาความแตกต่างจากตัวเอง คนในแถบอากาศหนาวมักโหยหาไออุ่นของแสงแดด ไม่ต่างจากคนในโซนร้อนที่ชื่นชอบความหนาวเย็น อยากเห็นหิมะโปรยปราย

อเดลลาหันมามองเพื่อนด้วยรอยยิ้ม ดาริกาเต็มไปด้วยความมั่นใจในความสวยของตัวเอง ผิวคล้ำเนียน บุคลิกคล่องแคล่ว ตรงกันข้ามกับรูปร่างค่อนข้างท้วม ใบหน้ากลมแป้นประดับรอยยิ้มเป็นนิตย์ วาดขอบตาบนล่าง ริมฝีปากหนาอิ่มเคลือบสีน้ำตาลอมแดงไม่เคยเปลี่ยน ผมดำขลับดัดเป็นลอนคลื่น ปล่อยสยายยาวถึงกลางหลัง เสื้อผ้าป่านสีแสบสันปล่อยชายเข้าชุดกับกระโปรงผ้าฝ้ายทิ้งชายบานเรี่ยพื้น เครื่องประดับคือสร้อยลูกปัดหลากสีหลายเส้นห้อยยาวไล่ระดับตรงหว่างอก เสริมกำไลบนข้อมืออีกนับสิบวง เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของดาริกาที่สร้างความสนใจให้แก่ผู้พบเห็นได้เสมอ อเดลลาทราบมาว่าผู้ชายในคณะหลายคนตั้งฉายาให้เธอว่าแม่หมอยิปซี แต่ดาริกาไม่เคยถือโกรธ แถมยังร่วมวงต่อปากต่อคำกับหนุ่มพวกนั้นอย่างสนุกสนาน

ดาริกาเป็นเพื่อนคนแรกที่รู้จัก แม้เพิ่งผ่านไปได้เพียงสามอาทิตย์ แต่เธอก็สนิทกับดาริกาอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่วัดจากรูปลักษณ์ภายนอก หญิงสาวเป็นคนน่าคบหา ความมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเพื่อนคนนี้ ยังจำได้ว่าเมื่อเข้าชั้นเรียนครั้งแรก ดาริกาเป็นคนเดียวที่หยิบยื่นไมตรีให้คนต่างชาติเช่นเธอ พยายามสื่อสารภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นเพื่ออธิบายเนื้อหารายวิชา แนะนำร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ศิลปะราคาถูก พาท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และอีกหลายอย่างซึ่งสร้างความประทับใจให้อเดลลาเป็นอย่างมาก

“เมื่อกี้เธอเรียกเขาว่าอาจารย์เหรอ” อเดลลาถาม เสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้น

“ใช่จ้ะ เขาเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะเราไง อาทิตย์หน้าพอส่งงานอาจารย์เอนกเสร็จ เราก็จะได้เรียนกับเขาแล้ว ฉันรอคอยเวลานี้มานานแล้ว แหม! พูดแล้วตื่นเต้น” รอยยิ้มกว้างบวกกับนัยน์ตาเป็นประกายระยิบของดาริกาบอกความชื่นชมเต็มที่ ตัวจริงของบุรฉัตรคงจะหล่อ มีเสน่ห์ไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำให้เพื่อนของเธอพร่ำเพ้อได้ถึงขนาดนี้

“ใครๆ ก็คงอยากเรียนกับเขาอยู่แล้ว เก่งขนาดนั้น” อเดลลาเอ่ย ใจจดจ่อกับความคิดตัวเอง จริงสินะ อีกไม่นานเธอจะมีโอกาสได้พบกับบุรฉัตร คนเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบเกี่ยวกับรูปวาดเรือนไม้สีเขียวได้ดีที่สุด

“แล้ว...อาจารย์บุรฉัตรไปไหนแล้วล่ะดา” อเดลลาถาม ขยับลุกขึ้นนั่ง อาการอ่อนเพลียดีขึ้นจนเกือบเป็นปรกติ

“กลับไปแล้วละ แต่เขาก็นั่งดูอาการเธออยู่ตั้งนานนะ หาน้ำหายามาให้ บอกให้ฉันคอยดูแลเธอจนกว่าจะตื่น บ้าจริง ผู้ชายอะไรไม่รู้ น่ารักเหลือเกิ๊น” ดาริกาบิดกาย ยิ้มเอียงอาย

อเดลลาตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องใจหวาม จะว่าเขินอายก็ไม่น่าใช่ เพราะเธอยังไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบบุรฉัตรมาก่อนเลย

“เธอเป็นไงบ้าง ไหวมั้ย” ดาริกาขยับมานั่งข้างๆ เอื้อมมือมาโอบไหล่

“ขอบใจจ้ะดา ดีขึ้นมากแล้วละ” อเดลลาขยับตัวลงมายืน ปัดเสื้อผ้าเบาๆ ใช้สองมือเก็บเส้นผมรุ่ยร่ายบนหน้าผากและลำคอไปรวบไว้ด้านหลัง หยิบแว่นสายตาบนโต๊ะขึ้นสวมก่อนจะหันมาเอ่ย “เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฉันชักหิวแล้วสิ วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”

“ได้เลยจ้า แหม! พอพูดเรื่องกิน ท้องฉันมันปั่นป่วนเป็นพายุขึ้นมาเลยเชียว วันนี้ฉันจะพาไปชิมผัดไทยห่อไข่เจ้าอร่อย รับรองเธอต้องชอบ” เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกกับตาเป็นประกายของดาริกาทำให้อเดลลายิ้มกว้างด้วยความขบขัน

วันที่อเดลลานับเวลารอมาถึงในที่สุด เธอตื่นแต่เช้า เลือกสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงเอี๊ยมผ้ายีนตัวเก่าสุด เพราะวันนี้คือชั่วโมงปฏิบัติงานสีน้ำมันซึ่งอาจจะต้องเปรอะเปื้อนสีและน้ำมันลินซีด รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าดาริกา เมื่อนึกว่าผู้สอนคือคนที่เธออยากพบเจอ ส่วนรายนั้นออกอาการตั้งแต่เมื่อวาน ถึงกับยอมลงทุนไปหาซื้อชุดใหม่เพื่อใส่มาเรียนกับอาจารย์คนโปรด แต่สำหรับอเดลลา ไม่ใช่เพราะบุรฉัตรเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ฝีมือเยี่ยม แต่เขาคือคนที่จะไขข้อสงสัยในใจเธอให้กระจ่างแจ้งต่างหาก

ห้องเรียนยังไร้ผู้คนเมื่ออเดลลาไปถึง เธอเลือกมุมที่มีแสงสวยแถวหน้าสุด ฆ่าเวลาด้วยการเดินสำรวจรอบห้องเรียน เปิดหน้าต่างไล่กลิ่นสีระคนลินซีดที่อวลอยู่ภายใน หุ่นนิ่งที่ใช้เป็นแบบในการวาดวันนี้ตั้งอยู่กลางห้อง ดอกเบญจมาศสีเหลืองสดช่อใหญ่ปักอยู่ในโถแก้วสีเขียวใส ดูโดดเด่นท่ามกลางความสลัว ฟักทองกับแตงโมและกาน้ำอะลูมิเนียมจัดวางเรียงรายบนผ้าสีน้ำเงินเข้มปูบนตั่งเตี้ย มีขาตั้งเขียนภาพสำหรับนักศึกษาตั้งรายล้อมเป็นวงกลม ดาริกาตามมาในเวลาไม่นานนักและจับจองที่ใกล้กันกับเธอ ไม่ถึงชั่วโมง นักศึกษาต่างทยอยมากันจนเต็มห้องเมื่อใกล้เวลาเรียน เสียงพูดคุยเริ่มดังเซ็งแซ่สลับกับเสียงหัวเราะครึกครื้นเป็นระยะ

“เที่ยวนี้จองแถวหน้าเลยเหรอจ๊ะแม่หมอ อย่ามัวแต่จ้องหน้าอาจารย์จนลืมเขียนรูปนะจ๊ะ”

เสียงกระเซ้าดังแว่วมาจากด้านหลัง ตามด้วยเสียงหัวเราะเกรียวลั่นห้อง ผู้พูดคือหนุ่มรูปร่างสันทัด ผิวคล้ำผอมเกร็ง ผมยาวประบ่า เขายื่นหน้ามาจากหลังเฟรมผ้าใบ ยักคิ้ว ยิ้มกว้างเห็นฟันขาวใต้หนวดหร็อมแหร็มตรงสองมุมปาก ดูคล้ายหนวดตั๊กแตน 

ดาริกาซึ่งกำลังวุ่นจัดตั้งเฟรมผ้าใบหยุดชะงัก หันไปยืนเท้าสะเอว

“ก็ดีกว่ามองหน้าแมลงสาบอย่างเอ็งแหละวะไอ้ปุ่น เห็นแล้วจะอ้วก”

“แหมๆ พอเข้ามาหากินในกรุงแป๊บเดียว ลืมควาญบ้านนอกคนนี้แล้วเหรอจ๊ะ” หนุ่มชื่อปุ่นลอยหน้าลอยตาล้อเลียน ผู้ถูกเย้าหน้าคว่ำแดงก่ำ ชี้นิ้วกราด

“ปากดีนะเอ็ง เดี๋ยวแม่เอาน้ำมันสนล้างปากซะนี่”

“โอ๋ๆ ใจเย็นน่า อย่าเอางวงฟาดพี่นะ เดี๋ยวพาไปกินอ้อยแล้วจะพาไปอาบน้ำให้ด้วยนะจ๊ะ” ปุ่นยกมือขึ้นห้าม ยิ้มยียวน

“ไอ้ปุ่น มึง!” ดาริกาคว้าแปรงขนาดใหญ่ขว้างใส่คนปากดี ปุ่นหลบวูบ แกล้งแหกปากร้องเอ๋งคล้ายสุนัข เรียกเสียงหัวเราะผสมกับเสียงเป่าปากดังลั่น

“เดี๋ยวเถอะมึง วอนซะแล้ว” ดาริกาค้อนขวับ หันไปง่วนกับงานต่อ 

อเดลลาอมยิ้ม พอจะฟังออกบ้างเป็นบางคำ เป็นที่รู้กันว่าทั้งดาริกาและปุ่นเป็นคู่กัด มักโต้ตอบกันด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อนเสมอเมื่อเจอหน้า ทุกคนต่างเข้าใจดีว่าเป็นเพียงการพูดเสียดสีหยอกล้อกันในหมู่เพื่อนฝูงเท่านั้น ไม่ถึงขั้นทะเลาะจริงจัง

“โถ พี่ปุ่นก็แค่เตือนด้วยความรักเท่านั้นแหละจ้ะ ไม่อยากเห็นแม่หมอตรอมใจ ผอมไปเดี๋ยวจะไม่สวยนะจ๊ะ” 

ปุ่นโผล่มาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ พุ่งมาประชิดตัวดาริกาแล้วสวมกอดอย่างว่องไว เสียงเฮผสานเสียงเป่าปากดังลั่นห้อง อเดลลาถอยห่าง ในใจนึกห่วงเพื่อนถึงแม้จะเข้าใจว่าเป็นแค่การหยอกเย้าก็ตาม

“ไอ้ปุ่น ไอ้บ้า! ปล่อยกูนะมึง” ดาริกาหวีดร้อง ดิ้นขลุกขลัก เบี่ยงตัวออกจนหลุดจากวงแขน ก่อนจะถองศอกใส่ท้องคนข้างหลังจนเสียหลักเซไปปะทะเข้ากับใครคนหนึ่ง

“อุ๊ย! อาจารย์” ดาริกาเบิกตากว้าง อุทานเสียงดัง 

อเดลลาหันขวับไปมอง เสียงหัวเราะโดยรอบแผ่วลง เหลือเพียงเสียงกระซิบกระซาบ

ชายหนุ่มร่างสูงสง่าสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกำลังประคองปุ่นให้ยืนขึ้น เด็กหนุ่มค้อมตัวยกมือไหว้ก่อนหันกลับ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหลังห้องอย่างรวดเร็ว บุรฉัตรอมยิ้ม ก้าวมายืนหน้าห้อง กวาดตาไปทั่ว

“สวัสดีครับ ผม บุรฉัตร วิชญนานนท์ ดีใจที่ได้มาพบทุกคนนะครับ” เสียงทุ้มกังวานก้อง เต็มไปด้วยความมั่นใจ อเดลลาเหลือบมองดาริกาแล้วอดยิ้มไม่ได้ หญิงสาวนั่งตาลอย ยิ้มหวาน จับจ้องอาจารย์หนุ่มไม่วางตา

“ตั้งแต่วันนี้ ผมจะทำหน้าที่ต่อจากอาจารย์เอนกในการเรียนสีน้ำมันจนจบเทอมนะครับ เราจะเริ่มจากการเขียนหุ่นนิ่งก่อน แล้วช่วงท้ายถึงจะเขียนภาพพอร์เทรตกัน” 

ร่างสูงก้าวเดินไปด้านข้าง อเดลลาลอบพิจารณาโดยใช้เฟรมผ้าใบเป็นที่หลบสายตา บุรฉัตรหล่อเหลาสมคำชื่นชม ใบหน้าคมเข้มช่างดูคุ้นตา พยายามนึกว่าเคยเห็นเค้าหน้าแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก

“พร้อมหรือยังครับ ถ้าพร้อมแล้วเชิญทุกคนข้างหน้าเลยครับ ผมจะสาธิตการร่างภาพให้ดูก่อน” 

บุรฉัตรก้าวไปยังขาตั้งซึ่งวางเฟรมผ้าใบรอไว้แล้ว นักศึกษาต่างกรูกันเข้าไปล้อมวงจนแน่นขนัด อเดลลายืนอยู่ห่างจากเขาไปแค่เอื้อมมือ มองเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างเต็มตา บุรฉัตรเอื้อมมือขยับเฟรมให้เข้าที่ แล้วหันมาจับพู่กันป้ายสีจากจานผสม

“การร่างภาพด้วยสี ต้องมั่นใจว่าฝีมือการร่างของเราแม่นยำจริงๆ ใครจะใช้สีอะคริลิกในการร่างก็ได้นะครับเพราะแห้งเร็วกว่า สีที่เลือกใช้ควรอยู่ในโครงสีส่วนรวมของภาพ ครั้งนี้ผมใช้สีเบิร์นต์อัมเบอร์เป็นตัวร่าง” เขาอธิบายเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับตวัดปลายพู่กัน ป้ายสีน้ำตาลอมแดงลงบนผิวผ้าใบขาวสะอาดเป็นเส้นสายด้วยความชำนาญ

ตลอดเวลาที่บุรฉัตรสาธิตการร่างภาพ อเดลลาไม่ได้ใส่ใจมองเลยแม้แต่น้อย สายตากลับจับจ้องใบหน้าเขานิ่ง เค้าหน้าคมเข้ม ดวงตาแฝงแววเศร้าช่างละม้ายใครคนหนึ่ง เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน อเดลลาพยายามนึกทบทวน แล้วก็ต้องขนลุกซู่

ใช่แล้ว เด็กหนุ่มในความฝันนั่นไง

คล้ายคลึงกันเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นสีผิว ดวงตา จมูกโด่งเป็นสัน หรือริมฝีปากหนาได้รูป ดูมุมไหนก็เหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นมาปรากฏกายอยู่ที่นี่จริงๆ อเดลลางุนงง ความคิดสับสนวุ่นวาย

ไม่น่าเชื่อ ภาพวาดเรือนไม้ที่คล้ายกับภาพในความฝันยังพอจะอ้างได้ว่าเป็นความบังเอิญ แต่หน้าตาของบุรฉัตรกับเด็กหนุ่มคนนั้นแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน แล้วยังจะเรียกว่าเป็นความบังเอิญได้อีกหรือนี่


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น