5

ตอนที่ 5


 

บนถนนสายเล็กเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา รถมินิคูเปอร์สีเหลืองแล่นมาตามทาง ก่อนเลี้ยวไปจอดข้างกำแพงอิฐสีแดงส้ม ประตูรถทั้งสองด้านเปิดออก หญิงสาวในชุดนักศึกษาสองคนก้าวลงมา คนหนึ่งผมยาวถักเปียเดี่ยว ส่วนอีกคนรวบผมเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ทั้งสองหมุนมองไปรอบตัว แล้วหันกลับมาสบตากัน

“เธอแน่ใจนะว่าใช่ที่นี่” ชลันธรถามเพื่อนสาว ใบหน้าเรียวสวยบึ้งตึง

แพรพรก้มมองแผ่นกระดาษในมือ แล้วพยักหน้ายืนยัน

“ใช่ ที่นี่แหละ บ้านวงศ์นาคา บ้านเลขที่ตรงกันเลย”

ชลันธรหันไปมองเรือนหมู่คหบดี๕หลังงาม ซึ่งตั้งอยู่หลังกำแพงอิฐสูงท่วมศีรษะ เรือนฝาปะกน๖ไม้สักทองแบบนี้ เป็นเรือนสำหรับผู้มีอันจะกิน ปัจจุบันหาดูได้ยากมาก ถ้าที่นี่เป็นบ้านของอาจารย์มุจลินท์จริง อาจารย์หนุ่มคงเป็นลูกหลานผู้ดีเก่า หรือไม่ก็รวยระดับมหาเศรษฐีแน่นอน

“แล้วทำไมไม่มีคนเลย วังเวงยังกับบ้านร้าง”

“คงอยู่ข้างในมั้ง ลองกดออดดูดีกว่า” ผู้เป็นเพื่อนเดินไปกดกริ่งที่ประตูรั้ว เวลาเคลื่อนผ่านไปหลายอึดใจ แต่ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท ไม่มีใครเดินออกมาให้เห็นเลย

“สงสัยไม่ได้ยิน ลองกดอีกทีนะ” แพรพรหันมาถาม

ชลันธรพยักหน้าแกนๆ เรื่องยุ่งยากที่หล่อนกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มีจุดเริ่มต้นจากการบ้านวิชาคติชนวิทยา ที่แพรพรรวบรวมไปส่งอาจารย์มุจลินท์ แต่ดันลืมส่งการบ้านของตัวเอง ซึ่งกว่าจะนึกได้อาจารย์หนุ่มก็กลับไปแล้ว ผู้เป็นเพื่อนจึงลากหล่อนตามมาส่งการบ้านให้เขาถึงบ้าน โดยแอบจดที่อยู่ของเขาจากสำเนาทะเบียนบ้าน ซึ่งอาจารย์หนุ่มวางลืมไว้บนโต๊ะทำงาน

“สงสัยออดจะเสีย ตะโกนเรียกดีกว่า”

“อย่าเลยแพร” หล่อนร้องห้าม “ไม่มีใครอยู่หรอก เรากลับกันเถอะ”

“ขอเวลาอีกนิดนะ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ไม่ต้องเจออาจารย์ก็ได้ แค่ฝากการบ้านไว้ก็ยังดี” ผู้เป็นเพื่อนทำหน้าเศร้า

ชลันธรถอนใจยาว ก่อนเอ่ยอย่างจนใจ “ก็ได้ แต่ถ้าไม่มีใครออกมา เราต้องกลับเลยนะ”

“โอเค” ผู้เป็นเพื่อนพยักหน้า แล้วป้องปากตะโกน “มีใครอยู่ไหมคะ หนูมาขอพบอาจารย์มุจลินท์ค่ะ”

แพรพรตะโกนอยู่หลายครั้ง แต่ทุกอย่างยังคงเงียบ หล่อนเกือบเรียกเพื่อนสาวกลับแล้ว ถ้าไม่เหลือบไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเสียก่อน เขาเดินมาจากไหนไม่รู้ พอเห็นอีกทีก็เกือบถึงประตูรั้วแล้ว

“มีคนมาแล้วแพร” ชลันธรร้องบอก ผู้เป็นเพื่อนรีบวิ่งไปรอ ชายคนนั้นเปิดประตูออกมา เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม รูปร่างกำยำ ตัดผมสั้นเกรียนเหมือนทหาร แววตาดุดันน่าเกรงขาม

“มาหาใคร” เขาถามเสียงห้วน

“ที่นี่บ้านอาจารย์มุจลินท์ใช่ไหมคะ” แพรพรถาม

“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้า ผู้เป็นเพื่อนยิ้มหน้าบาน จนหล่อนแอบสงสัยว่าอีกฝ่ายลืมส่งการบ้านจริงหรือว่าแกล้งลืมกันแน่

“หนูเป็นลูกศิษย์อาจารย์มุจลินท์ค่ะ อาจารย์อยู่ไหมคะ หนูเอาการบ้านมาส่งค่ะ”

“อยู่บนเรือน เข้ามาก่อนสิ” เขาเปิดประตูรับ

แพรพรจะเข้าไป แต่หล่อนคว้าแขนไว้

“ไม่เป็นไรค่ะ ฝากการบ้านไปส่งให้อาจารย์ก็พอ พวกเรากำลังจะกลับแล้ว”

“เข้ามาเถอะ ถ้าท่านรู้ว่าผมไม่เชิญพวกคุณเข้าบ้าน ผมจะถูกท่านดุได้ แค่ดื่มน้ำแก้วเดียว คงไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก” ชายหนุ่มเอ่ยเหมือนขอร้อง แต่น้ำเสียงฟังเหมือนบังคับ

“ขอบคุณค่ะ แต่พวกเรา...”

“พวกเรายินดีมากค่ะ” แพรพรพูดแทรกขึ้นก่อนชลันธรจะพูดจบ แล้วหันมาชวนหล่อน “เราเข้าไปกันเถอะน้ำ”

“เธอจะเข้าไปทำไมอีก ไหนบอกแค่ฝากการบ้านไง” หญิงสาวกระซิบถาม

ผู้เป็นเพื่อนยื่นหน้ามาใกล้ แล้วกระซิบตอบ “ไหนๆ เราก็มาแล้ว เธอไม่อยากเข้าไปดูข้างในเหรอ เรือนฝาปะกนไม้สักทองทั้งหลังแบบนี้ ไม่ใช่จะหาดูได้ง่ายๆ นะ”

“ไม่ต้องเอาบ้านมาอ้างเลย” หล่อนเอ่ยอย่างรู้ทัน “บอกมาตรงๆ ดีกว่า เธออยากดูบ้าน หรืออยากดูของเก่าในบ้าน”

“รวมๆ กันนั่นแหละ ถ้าเธอไม่อยากเข้าไป นั่งรอในรถก่อนก็ได้ ฉันไปไม่นานหรอก” ผู้เป็นเพื่อนส่งกุญแจรถให้หล่อน แล้วหันไปพูดกับชายคนนั้น “หนูพร้อมแล้วค่ะ อาจารย์อยู่ที่ไหนคะ”

“ท่านอยู่บนเรือน ตามมาสิ” ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปในบ้าน แพรพรเดินตามเขาไป โดยไม่สนใจหล่อนอีก

ชลันธรส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วเดินตามผู้เป็นเพื่อนไป ชายคนนั้นพาพวกหล่อนเดินขึ้นบันได ลอดผ่านซุ้มประตูทรงจั่ว แล้วพาไปหยุดยืนที่หอนั่ง๗กลางเรือน หญิงสาวมองด้วยความสนใจ หอนั่งปูราดด้วยเสื่อกกผืนใหญ่จนเต็มพื้นที่ มีโต๊ะไม้สักสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเบาะนั่งสีขาวนวลสี่ด้าน บนโต๊ะวางถาดไม้ทรงกลมบรรจุปั้นน้ำชากระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินเข้ม และถ้วยน้ำชาสีเดียวกันสี่ใบ

“พวกคุณนั่งรอที่นี่ก่อน ผมจะไปเรียนท่าน” เขาบอกเสียงเรียบ แล้วเดินเข้าไปข้างใน ผู้เป็นเพื่อนนั่งลงบนเบาะใบหนึ่ง แล้วดึงมือหล่อนลงนั่งข้างกัน

“ลมเย็นดีเนอะ”

“ใช่” หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย เรือนไทยนิยมปลูกแบบยกใต้ถุนสูง โดยมีระเบียงและนอกชานทอดรับกัน ในลักษณะไล่ระดับ พื้นระเบียงลดจากพื้นห้องนอน พื้นชานลดจากระเบียง และปิดทับด้วยไม้ระแนง ตีเว้นช่องโปร่ง ช่วยให้ลมพัดผ่านจากใต้ถุนขึ้นมาข้างบน ทำให้ไม่ร้อนอบอ้าว เพราะมีอากาศเย็นไหลเวียนตลอดเวลา

“เธอว่าอ่างบัวใบนั้นใช่สมัยราชวงศ์ซ่งไหม” แพรพรชี้มือไปยังอ่างบัวลายดอกท้อสีฟ้าคราม ซึ่งตั้งอยู่บนชานแล่นใกล้กับซุ้มประตู ดวงตาเรียวยาวเป็นประกายวาววับ นิสัยพ่อค้าแก้อย่างไรก็ไม่หาย เห็นอะไรก็ตีเป็นตัวเงินหมด

“ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องกังไส๘เท่าไร”

ชลันธรเหลียวมองไปรอบๆ ขณะที่ผู้เป็นเพื่อนตื่นตาตื่นใจกับของเก่า ซึ่งหลายชิ้นน่าจะตีราคาเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่หล่อนกลับสนใจสถาปัตยกรรมของบ้านหลังนี้มากกว่า หญิงสาวหยุดสายตาที่เรือนหลังใหญ่ทางขวามือ เรือนหมู่คหบดีจะปลูกแบบหันหน้าชนกันสี่ด้าน เรือนที่หล่อนมองอยู่ตอนนี้เรียกว่าหอนอน เป็นเรือนประธานมีขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เป็นห้องนอนเจ้าของบ้าน เรือนที่อยู่ตรงข้ามเรียกว่าหอรี เป็นห้องนอนของลูกๆ ที่โตแล้ว ส่วนเรือนหลังเล็กที่ปลูกเรียงกันอยู่ด้านหลัง คือเรือนคนรับใช้ เรือนเก็บของ และเรือนครัว

หญิงสาวเลื่อนสายตาไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ใกล้กับหอนอน เรือนหลังนี้เรียกว่าหอนก เมื่อก่อนใช้แขวนกรงนกเขา ซึ่งเป็นงานอดิเรกยอดนิยมในหมู่คหบดีทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่นิยมเลี้ยงนกกันแล้ว เจ้าของบ้านอาจปรับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เรือนทุกหลังมีชานแล่นเชื่อมระหว่างกัน ส่วนหอนั่งหรือหอกลางที่หล่อนนั่งอยู่ตอนนี้ ใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อน รับรองแขก และรับประทานอาหาร ส่วนใหญ่ปลูกอยู่ตรงกลางชาน

เสียงกระดานลั่นดังขึ้นเบาๆ ชลันธรหันหน้าไปมอง เจ้าของเรือนเดินออกมาจากหอนอน โดยมีชายที่เปิดประตูให้หล่อนเดินตามหลัง อาจารย์มุจลินท์สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงแพรสีน้ำเงิน หวีผมเสยไปด้านหลัง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มสดใส

“สวัสดีค่ะอาจารย์” แพรพรลุกขึ้นยืนพลางยกมือไหว้ หญิงสาวทำตามผู้เป็นเพื่อน แต่ไม่เอ่ยทักทาย อาจารย์หนุ่มรับไหว้ แล้วนั่งลงบนเบาะด้านตรงข้าม

“นั่งก่อนครับ” เขาชวนอย่างเป็นกันเอง “บ้านผมอยู่ค่อนข้างลึก พวกคุณมาถูกได้ยังไง”

“มันเป็นเรื่องบังเอิญค่ะ” ผู้เป็นเพื่อนทรุดตัวลงนั่งที่เดิม ทำให้หล่อนต้องนั่งลงด้วย ทั้งที่อยากกลับบ้านมากกว่า

“บังเอิญเหรอ” เขาเลิกคิ้วถาม

“ใช่ค่ะ” แพรพรพยักหน้ายืนยัน “บังเอิญหนูลืมส่งการบ้านของตัวเอง พอนึกได้ก็รีบเอาไปส่ง แต่อาจารย์กลับไปแล้ว บังเอิญหนูเห็นสำเนาทะเบียนบ้านของอาจารย์วางอยู่บนโต๊ะ หนูเลยลองขับรถมาเรื่อยๆ โชคดีไม่หลงทางไปไหนเสียก่อน หนูรับรองว่าบังเอิญเหลือบไปเห็นจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาค้นโต๊ะอาจารย์เลยนะคะ”

“ครับ บังเอิญจริงๆ ด้วย” อาจารย์หนุ่มหัวเราะ แล้วหันไปสั่งชายคนนั้น “เวคินช่วยไปเอาของว่างมารับแขกหน่อย”

“ครับท่าน” ชายหนุ่มรับคำ แล้วเดินออกไป

“การบ้านของคุณอยู่ไหนครับ ผมจะได้ตรวจคืนนี้ พร้อมกับการบ้านของคนอื่น”

“อยู่นี่ค่ะ” แพรพรหยิบการบ้านจากกระเป๋าสะพายส่งให้เขา อาจารย์หนุ่มรับไปวางบนโต๊ะ แล้วหันมายิ้มให้หล่อน “เจ็บคอเหรอครับ ตั้งแต่มาไม่เห็นพูดสักคำ”

“เปล่าค่ะ แค่ไม่รู้จะพูดอะไร”

“พูดเรื่องตัวเองก็ได้ครับ ทำไมถึงเรียนมานุษยวิทยา”

“หนูชอบศึกษาเรื่องมนุษย์ค่ะ แต่ไม่ค่อยชอบพวกอมนุษย์” หล่อนมองสบตาเขา

อาจารย์หนุ่มหัวเราะ ก่อนหันไปมองคนของตน เมื่อชายที่ชื่อเวคินยกของว่างมาเสิร์ฟให้ทุกคน

“ขนมเกสรลำเจียกกับน้ำมะตูมครับ” เขาบอกด้วยเสียงสุภาพ แล้วถอยหลังออกไป

ชลันธรก้มมองขนมสีชมพูอ่อนที่วางอยู่บนจานลายคราม แล้วใช้ส้อมจิ้มขึ้นมาดม กลิ่นดอกไม้หอมเตะจมูก ไม่ต้องกินหล่อนก็รู้ว่าอร่อย เพราะกลิ่นหอมยวนใจเหลือเกิน หญิงสาวกัดขนมกิน รสชาติหวานหอมซ่านไปทั่วปาก จนหล่อนต้องหยิบมากินอีกชิ้น

“อร่อยไหมครับ” อาจารย์หนุ่มถาม หล่อนยังไม่ทันตอบ แพรพรก็พูดขึ้นก่อน

“จานพวกนี้สวยมาก ต้องทำในสมัยซ่งแน่ๆ” หญิงสาวหยิบจานขนมขึ้นมาดู แล้วหันขวับไปมองเจ้าของจาน “อาจารย์มีครบชุดไหมคะ”

“ไม่แน่ใจครับ ผมไม่เคยนับ”

“หนูว่างค่ะ หนูนับให้เอง อาจารย์เก็บไว้ที่ไหนคะ” แพรพรขันอาสา น้ำเสียงตื่นเต้น

ชลันธรถอนใจ แล้วลุกขึ้นยืน “หนูกลับก่อนนะคะอาจารย์ ขอบคุณสำหรับขนมค่ะ”

“เธอจะรีบไปไหน” ผู้เป็นเพื่อนคว้าแขนหล่อน “ฉันยังไม่ได้ดูถ้วยเลย เดี๋ยวค่อยกลับก็ได้ นนทบุรีอยู่ใกล้กรุงเทพฯ แค่นี้เอง”

“ฉันจะกลับแล้ว เชิญเธอดูคนเดียวเถอะ”

ชลันธรยกมือไหว้อาจารย์หนุ่ม แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกมา ผู้เป็นเพื่อนมองตามอย่างสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็บอกลาเจ้าของบ้านแล้ววิ่งตามหล่อนมา

“หนูต้องกลับแล้วค่ะ ขอบคุณที่เลี้ยงขนมนะคะ วันหลังหนูจะมาเที่ยวใหม่”

...

องค์มุจลินท์มองตามพลางยิ้มอย่างเอ็นดู เด็กสาวสองคนนิสัยไม่เหมือนกันเลย แพรพรตื่นเต้นกับของโบราณทุกชิ้นที่เห็น ดวงตาวาววับยามนึกถึงราคาของมัน ส่วนชลันธรไม่สนใจมูลค่าของพวกนั้นเลย แต่กลับสนใจภูมิปัญญาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแทน ทั้งสองไม่น่าจะคบหากันได้ แต่กลับเป็นเพื่อนรักกัน ความสัมพันธ์ของพวกมนุษย์ช่างซับซ้อนยิ่งนัก

“ธิดาของพระนางมณีเนตรมีจิตใจกล้าแข็ง การเอาชนะใจนางคงไม่ใช่เรื่องง่าย แบบนี้เราไม่ต้องอยู่เมืองมนุษย์ตลอดไปหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มพูดขึ้น

“เจ้าจะกังวลไปทำไมเวคิน พวกเรามีเวลาเป็นนิรันดร์ จะอยู่กี่ปีก็ไม่เห็นเดือดร้อน แถมที่นี่ยังสนุกดีอีกต่างหาก”

“พระองค์รับสั่งเหมือนติดใจเมืองมนุษย์”

“คงงั้นมั้ง เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ เราจะเข้าห้องไปตรวจการบ้านหน่อย” องค์นาคาทรงหยิบการบ้านของแพรพร แล้วเสด็จเข้าไปในหอนอน

เวคินถอนใจยาว แล้วเดินลงจากเรือน เขาไม่เคยรักใคร และไม่เคยคิดจะรัก เพราะรู้ว่าฤทธิ์รักรุนแรงนัก รุนแรงจนเขานึกกลัว

 

กรุงเทพฯ กับนนทบุรีไม่ไกลกันเท่าไร แต่ปัญหาการจราจรของเมืองไทยทำให้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ทอดยาวเป็นสองชั่วโมงได้อย่างน่าโมโห แพรพรจอดรถหน้าประตูรั้วบ้านเทวาพิทักษ์ แล้วหันมาถามหล่อนด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ให้ฉันเข้าไปส่งข้างในเหรอ”

“ไม่ต้องหรอก ฉันเดินเข้าไปเองได้” หล่อนเปิดประตูลงจากรถ แล้วดันประตูรถปิด “ค่ำแล้ว เธอรีบกลับเถอะ เดี๋ยวคุณลุงจะเป็นห่วง”

“พรุ่งนี้เจอกัน” เพื่อนสาวโบกมือลา แล้วขับรถออกไป

ชลันธรกดกริ่งบนประตูรั้ว สมพงศ์วิ่งมาเปิดประตูรับ หล่อนขอบคุณเขา แล้วเดินเข้าบ้าน ตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว คฤหาสน์เปิดไฟสว่าง พ่อกับแม่น่าจะดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น พวกท่านคงกินข้าวเย็นกันแล้ว เพราะหล่อนโทร. มาบอกว่าจะกลับบ้านช้า

กลิ่นดอกลำดวนที่ปลูกอยู่ริมรั้วลอยมาตามลม หญิงสาวสูดกลิ่นหอมเย็นเข้าปอด แล้วขมวดคิ้วมองไปยังรถสปอร์ตสีแดง ซึ่งจอดอยู่ตรงหน้าโรงจอดรถ ภาสกรมาบ้านหล่อนตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่กลับบ้านตัวเองอีก

ชลันธรเก็บความสงสัยไว้ แล้วเปิดประตูเดินเข้าบ้าน หล่อนมองหาสาวใช้สักคน เพื่อถามเรื่องเจ้าของรถสปอร์ตสีแดง แต่ต้องก้าวถอยหลังอย่างตกใจ เมื่อภาสกรโผล่พรวดมาดักหน้าหล่อน แล้วถามด้วยน้ำเสียงขุ่นจัด

“ไปไหนมาน้ำ”

“ไปทำธุระกับยายแพร” หญิงสาวพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ทั้งที่ไม่ชอบใจน้ำเสียงของอีกฝ่ายเท่าไร ภาสกรเป็นแค่เพื่อน ไม่ใช่ผู้ปกครอง เขาไม่ควรใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับหล่อน

“ธุระอะไรนักหนา ทำไมกลับบ้านมืดค่ำ”

“ธุระส่วนตัวของยายแพร นายอย่ารู้เลย” หล่อนบอกปัด แล้วเดินหนี

ชายหนุ่มเดินตาม “ฉันไม่ชอบยายนั่น เมื่อไรเธอจะเลิกคบกับหล่อน คนหน้าเงินแบบนั้นไม่จริงใจกับใครหรอก”

ชลันธรหยุดเดิน หันไปมองหน้าเขา แล้วเตือนเสียงเข้ม

“แพรเป็นเพื่อนของฉัน ถ้ายังรักจะคบกัน อย่าว่าแพรแบบนั้นอีก”

“ฉันขอโทษ” เขาเอ่ยอย่างขอไปที “ฉันจะพยายามไม่ว่าเพื่อนเธออีก ว่าแต่วันนี้ยายนั่นลากเธอไปไหนมา”

“ฉันเหนื่อยมาก ขอตัวไปอาบน้ำก่อน ส่วนเธอควรกลับบ้านไปได้แล้ว เดี๋ยวคุณป้าจะเป็นห่วง ฉันไม่ส่งนะ”

ชลันธรเดินหนีขึ้นบันได ชายหนุ่มทำท่าฮึดฮัด แล้วเดินกระทืบเท้าออกไป หญิงสาวก้มมอง แล้วถอนใจเฮือกใหญ่ หล่อนเห็นว่าภาสกรเป็นเพื่อน จึงให้ความสนิทสนมด้วย แต่เขาชอบทำตัวเป็นเจ้าชีวิตหล่อน นับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ขืนเป็นแบบนี้ หล่อนคงต้องเลิกคบกับเขาสักวัน

“มายืนทำอะไรตรงนี้น้ำ ตั้มกลับไปแล้วเหรอ” พ่อร้องถามมาจากชั้นสอง

หล่อนเงยหน้ามอง แล้วเดินขึ้นไปหา

“กลับไปแล้วค่ะ นับวันยิ่งทำตัวน่าเบื่อ”

“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”

“ไม่เชิงค่ะ” หล่อนส่ายหน้า ไม่รู้จะเล่าอย่างไร

“เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ หนักนิดเบาหน่อย อภัยได้ก็อภัยเถอะลูก”

“หนูพยายามแล้วค่ะ แต่พักหลังๆ นายตั้มไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนของหนู เขาพยายามจะเป็นเจ้าชีวิตหนูด้วย”

“น้ำรู้ใช่ไหมว่าตั้มไม่ได้คิดกับน้ำแค่เพื่อน” พ่อมองหน้าหล่อน แววตาเคร่งขรึม

หญิงสาวถอนใจ แล้วพยักหน้ารับ “รู้ค่ะ”

“แล้วน้ำไม่ชอบนายตั้มบ้างเหรอ พ่อว่าเขาเป็นคนที่ไม่เลวเลยนะ”

“ไม่ค่ะ” หล่อนตอบเสียงหนัก “นายตั้มเป็นเพื่อนเล่นของน้ำมาตั้งแต่เด็กๆ น้ำคิดกับเขามากกว่านั้นไม่ได้หรอกค่ะ”

“น้ำมีใครอยู่ในใจหรือเปล่า”

ชลันธรชะงัก ภาพอาจารย์มุจลินท์แวบเข้ามา หล่อนรีบปัดทิ้งไปทันที เพราะเขาเป็นอาจารย์ของหล่อน ไม่มีวันเป็นอย่างอื่นเด็ดขาด

“ไม่ค่ะ วันนี้น้ำเหนื่อยมาทั้งวัน ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”

หญิงสาวเดินเข้าห้องนอน ปิดประตูแล้วยืนพิงไว้ เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน ทำไมจู่ๆ นึกถึงอาจารย์มุจลินท์ สงสัยการนั่งจับเจ่าอยู่ในรถสองชั่วโมง ทำให้ระบบประสาทของหล่อนรวน น้ำอุ่นๆ น่าจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้

“อาบน้ำดีกว่า” หล่อนหยิบผ้าขนหนู แล้วเดินเข้าห้องน้ำ

 

รถสปอร์ตสีแดงแล่นมาจอดหน้าคฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ ภาสกรเปิดประตูลงจากรถ ส่งกุญแจให้คนขับรถสูงวัย แล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์ สาวใช้ร่างเล็กวิ่งมารับหน้า เขาส่งกระเป๋าเอกสารให้หล่อน แล้วถามถึงพ่อกับแม่ เพราะไม่เห็นรถของพวกท่านจอดอยู่ในโรงรถ

“คุณพ่อคุณแม่ไปไหน”

“ไปงานเลี้ยงค่ะ คุณตั้มจะให้ตั้งโต๊ะเลยไหมคะ”

“ไม่ต้อง ฉันกินมาแล้ว”

ภาสกรเดินขึ้นห้องนอน พ่อกับแม่ของเขาเป็นนักธุรกิจที่มีงานรัดตัว ทั้งงานสังคมและงานในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งสองต้องออกงานสังคมเป็นประจำ การกลับบ้านแล้วไม่พบพวกท่านจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา

ชายหนุ่มเดินเข้าห้องนอน ยกมือไหว้รูปถ่ายของตาบนฝาผนัง แล้วถอดสร้อยคอเล็บครุฑห้อยไว้ข้างกรอบรูป เขากับตาสนิทกันมาก ตาเสียไปเกือบแปดปีแล้ว แต่เขายังคิดถึงท่านทุกวัน สร้อยเส้นนี้เป็นของตา เขาสวมมันมาตั้งแต่ห้าขวบ เพื่อคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายและอันตรายทั้งมวล

“ผมรักตาครับ” เขายื่นมือไปแตะรูปถ่าย แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ถอดเสื้อเชิ้ตพาดไว้บนเก้าอี้ แล้วหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ

...

นอกหน้าต่างห้องนอน ท้าวเตชทัตประทับนิ่งอยู่กลางอากาศ ทรงพบภาสกรครั้งแรกตอนชายหนุ่มอายุห้าขวบ ตอนนั้นเขาป่วยหนัก ทรงพลตาของเขานับถือพญาครุฑมาก จึงบนบานขออิทธิฤทธิ์พญาครุฑช่วยชีวิตหลานชาย พระองค์ทรงเห็น

ว่าครอบครัวนี้สนิทกับครอบครัวของมณีเนตรนาคี จึงทรงใช้มนต์วิเศษต่อชีวิตเด็กชาย แล้วครอบงำจิตวิญญาณของเขาไว้ใช้งาน

ความรักที่ภาสกรมีต่อชลันธรไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง แต่เป็นความรู้สึกที่ทรงปลูกลงในหัวใจของเขา ทีละเล็กทีละน้อยตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแก้แค้น ที่ทรงรอคอยมานานกว่ายี่สิบปี พญาสุบรรณทรงแย้มพระสรวลเหี้ยมเกรียม แล้วหันขวับไปทอดพระเนตรด้านหลัง เมื่อเสียงกรีดร้องอย่างตกใจดังขึ้น ก่อนเจ้าของเสียงจะวิ่งหน้าตื่นหนีไป

“ผี! ช่วยด้วย ผีหลอก”

ท้าวเตชทัตทรงขมวดพระขนง มนุษย์ปกติไม่สามารถมองเห็นพระองค์ แต่หญิงคนนี้กลับมองเห็น แสดงว่าหล่อนต้องมีสัมผัสที่ละเอียดมาก คราวหน้าคงต้องทรงระวังให้มากกว่านี้ องค์ผู้เป็นใหญ่แห่งเวหาทรงครุ่นคิด แล้วทรงหายองค์จากไปอย่างรวดเร็ว

 

ม่านวิกาลคลี่คลุมแผ่นฟ้า จันทราข้างแรมส่องแสงนวลกระจ่างตา สายลมเย็นพัดผ่านกิ่งไม้ แมลงกลางคืนบรรเลงเพลงขับกล่อม บนสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์เทวาพิทักษ์ปรากฏกลุ่มควันสีขาวหมุนเกลียวเป็นวงกลม แล้วรวมตัวเป็นร่างมานพหนุ่มรูปงาม ในเครื่องทรงยกดอกแทรกดิ้นทอง เกศาดำยาวสยายเต็มแผ่นหลัง คาดสังวาลทองเส้นเล็ก และสวมสร้อยคอไพลิน

องค์มุจลินท์ทรงก้าวพระบาทไปบนผืนหญ้า ทรงเฝ้าดูบ้านหลังนี้ผ่านคันฉ่องนับครั้งไม่ถ้วน แต่เพิ่งเคยเสด็จมาที่นี่เป็นครั้งแรก บ้านของมณีเนตรงดงามมิใช่น้อย อาคารสีขาวสูงสามชั้นรูปทรงแปลกตา แวดล้อมด้วยสวนหย่อมร่มรื่นและสนามหญ้าเขียวขจี หลายปีที่ผ่านมาชลธิศรักษาสัญญาอย่างมั่นคง เขาไม่เคยทำให้มณีเนตรช้ำใจเลยสักครั้ง พระขนิษฐาของพระองค์มีความสุขมาก แม้ต้องแลกด้วยอายุขัยแสนสั้นของมนุษย์ก็ตาม

องค์นาคาทรงถอนพระปัสสาสะแผ่วเบา ตั้งแต่วันที่มณีเนตรแต่งงานกับชลธิศ พระองค์ไม่เคยเสด็จมาพบหล่อนเลย เพราะทรงเจ็บแปลบพระทัยทุกครั้ง ยามนึกถึงหล่อนกับสามีมนุษย์ต่ำต้อย ทรงเฝ้าถามองค์เองครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ามนุษย์คนนั้นมีดีอะไร เหตุใดพระขนิษฐาจึงรักเขา แต่ไม่รักพระองค์ หลายปีผ่านไปความสงสัยยังคงอยู่ ทว่าความเจ็บปวดกลับจางหายไป เดี๋ยวนี้ทรงมีแต่ความปรารถนาดีมอบให้หล่อนเท่านั้น

องค์มุจลินท์ทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรระเบียงห้องนอนของชลันธร เด็กหญิงตัวน้อยเติบโตเป็นสาวแล้ว หล่อนดื้อดึง ถือตัว และเชื่อมั่นในตัวเอง การเฝ้าดูหล่อนผ่านคันฉ่องช่วยเยียวยาความเจ็บปวดของพระองค์ทีละน้อย พอรู้องค์อีกทีในพระทัยของพระองค์ก็ไม่มีพระขนิษฐาอีกแล้ว ทว่ามีบุตรสาวของมณีเนตรเข้ามาอยู่แทน

องค์นาคาทรงแย้มพระสรวล แล้วหายองค์จากสนามหญ้าไปที่ห้องนอนของหญิงสาว ชลันธรนอนหลับอยู่บนเตียงสี่เสาหลังใหญ่ ผมดำยาวสยายเต็มหมอน ผมยาวที่โปรดมากๆ มากจนเนรมิตให้หล่อนเอง ทรงหยิบผมปอยหนึ่งขึ้นมา แต่ต้องทรงชะงักพระหัตถ์ เมื่อมีเสียงแหลมเล็กร้องทักขึ้น

“ทำอะไรเจ้าแมวขโมย”

องค์มุจลินท์ทรงหมุนองค์ไปมอง เจ้าของเสียงคือกระรอกเผือกตัวใหญ่ ขนขาวปุกปุย ดวงตากลมโตแวววาว เจ้าตัวเล็กยืนเท้าเอวอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ดวงตาจ้องมองพระองค์เขม็ง

“ท่านน้ารัมภา”

“น้าเน้ออะไร เรามุนาต่างหาก” เสียงเล็กเอ่ยอย่างเคืองๆ

องค์นาคาทรงพระสรวล พระนางรัมภานาคีคือพระมาตุจฉาของพระองค์ พระนางชอบแปลงร่างเป็นกระรอกเผือก ท่องเที่ยวไปทั่วป่าหิมพานต์ นานๆ จึงจะได้พบหน้ากันสักครั้ง แล้วเหตุใดคืนนี้จึงมาอยู่ที่นี่ได้

“มุนาก็มุนา” ทรงยกพระหัตถ์ยอมแพ้ “แล้วมุนาขึ้นมาโลกมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไร”

“สองวันแล้ว”

“แล้วมุนาขึ้นมาทำไม เบื่อป่าหิมพานต์แล้วหรือ”

“เปล่า” กระรอกน้อยส่ายหน้า “ชลธิศขอให้เรามาเฝ้าลูกสาว เขากลัวว่าจะมีแมวขโมยมาลักตัวนาง แล้วก็มีจริงๆ ด้วยสิ”

“กระหม่อมไม่ได้มาลักตัวนาง แค่ผ่านมาทางนี้ เลยแวะมาดูเท่านั้น”

“เหรอ” มุนาลากเสียงยาวพลางทำหน้ารู้ทัน “เราไม่อยากอยู่โลกมนุษย์ก็เพราะแบบนี้แหละ อยู่ที่นี่หลีกเลี่ยงการผิดศีลยากเหลือเกิน”

องค์มุจลินท์ทรงพระสรวล ถูกจับได้แบบนี้ คงต้องยอมสารภาพเสียแล้ว

“กระหม่อมคิดถึงนาง เลยแอบมาหา แต่ไม่ได้คิดจะลักตัวนาง เพราะถ้าจะทำแบบนั้น กระหม่อมคงทำไปนานแล้ว”

“เราก็ไม่ได้ว่าอะไร” กระรอกน้อยยักไหล่ “ถ้าเจ้าจะลักตัวนางจริงๆ เราคงขัดขวางอะไรไม่ได้ เพราะเราเป็นแค่กระรอกตัวนิดเดียว แต่ก่อนจะทำอะไร เราอยากให้เจ้านึกถึงสัญญาที่ให้ไว้แก่มณีเนตรด้วย โบราณว่าไว้กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ เจ้าคงไม่คิดจะฝ่าฝืนหรอกนะ”

“ท่านน้าคิดว่ากระหม่อมจำเป็นต้องบังคับนางด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” องค์นาคาทรงย้อนถาม

ในวันแต่งงานของพระขนิษฐา พระองค์ทรงหลอกล่อขอลูกสาวจากชลธิศ เจ้ามนุษย์ขี้โมโหหลงกลรับปาก แต่พอรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็โวยวายไม่ยอมทำตามสัญญา มณีเนตรจึงเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ให้สามี ด้วยการขอให้ทรงสัญญาว่าจะไม่บังคับ หากลูกสาวของหล่อนไม่ยินยอมพร้อมใจ พระองค์จะต้องทรงยกเลิกสัญญา แล้วไม่มายุ่งกับครอบครัวของหล่อนอีก

“อย่าเพิ่งมั่นใจนัก ชลันธรไม่เหมือนผู้หญิงอื่นที่เจ้าเคยพบ นางไม่หลงเสน่ห์เจ้าง่ายๆ หรอก”

“เดิมพันกันไหมพ่ะย่ะค่ะ” รับสั่งถามอย่างท้าทาย

กระรอกน้อยมองนิ่ง แล้วโบกมือไล่พระองค์ “เจ้ากลับไปเถอะ เราง่วงนอนแล้ว”

องค์มุจลินท์ค้อมพระเศียรถวาย แล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น