๑
สิบสี่ปีต่อมา...
คันธนูยาวโค้งถูกดึงโก่งจนสุด ก่อนปล่อยลูกศรออกจากแล่ง พุ่งเข้าปักกลางเป้ากระดาษ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเจ็ดสิบเมตรอย่างแม่นยำ แขนเรียวลดคันธนูลงแนบลำตัว ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง
ชลันธรมองผลงานของตนด้วยความพอใจ เวลาสิบสี่ปีเปลี่ยนเด็กหญิงน่ารักน่าชังเป็นหญิงสาวรูปร่างประเปรียว ผิวขาวเนียน ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต จมูกโด่ง คิ้วคม สวยจนคนมองเหลียวหลัง แต่เจ้าตัวไม่สนใจความสวยของตน ทั้งที่โตเป็นสาวแล้ว แต่ยังชอบแต่งตัวตามสบาย ตัดผมซอยสั้น และไม่ชอบแต่งหน้า
หญิงสาวเรียนยิงธนูตั้งแต่อายุสิบสามปี ตอนนี้ผ่านมาหกปีแล้ว ฝีมือของหล่อนอยู่ลำดับต้นๆ ของเมืองไทย นิ้วเรียวหยิบลูกศรดอกที่สองขึ้นพาดสาย ยกขึ้นเล็ง น้าวสายธนู ก่อนปล่อยลูกศรพุ่งไปปักข้างดอกแรก ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นจับไปปักไว้ข้างกัน
“สุดยอดเลยน้ำ”
เสียงปรบมือดังรัวขึ้น ชลันธรหันไปมอง เจ้าของเสียงปรบมือเป็นเพื่อนสนิทของหล่อน หญิงสาวชื่อแพรพร เป็นลูกสาวเจ้าของร้านขายโบราณวัตถุ รูปร่างเล็ก ไว้ผมหน้าม้ายาวถึงกลางหลัง ผิวขาว ดวงตาเรียวยาว เพราะมีเชื้อสายจีน นิสัยร่าเริง มีน้ำใจ และมองโลกในแง่ดี ทั้งสองรู้จักกันในมหาวิทยาลัย เพราะเรียนคณะเดียวกัน แพรพรเรียนโบราณคดี ส่วนหล่อนเรียนมานุษยวิทยา
“เธอยิงธนูเก่งขนาดนี้ ทำไมไม่ไปคัดตัวทีมชาติ”
“ขี้เกียจ” หล่อนยักไหล่ “ฉันเรียนยิงธนูเพราะพ่ออยากให้ฝึกไว้ป้องกันตัว ไม่ได้อยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ ยิงเล่นๆ แบบนี้ดีแล้ว”
“ป้องกันตัวนี่นะ” เพื่อนสาวขึ้นเสียงสูง “ประเทศเราคงอันตรายมากสิ เพราะนอกจากเรียนยิงธนูแล้ว เธอยังเรียนมวยไทยและเทควันโดด้วย”
ชลันธรหัวเราะอย่างไม่ถือสา แล้วหยิบลูกศรดอกที่สามมาพาดสาย สิ่งที่พ่อส่งเสริมให้หล่อนเรียนรู้ อาจดูแปลกสำหรับคนทั่วไป แต่หล่อนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เพราะรู้ว่าพ่อทำทุกอย่างด้วยความหวังดี
“ทำยังไงได้ ฉันมันลูกคนเดียว ต้องปกป้องตัวเอง และที่สำคัญฉันชอบด้วย” หล่อนปล่อยลูกศรออกจากแล่ง มันพุ่งฉิวเข้าปักกลางเป้า แม่นยำไม่ต่างจากสองดอกแรก
“เธอคงรักพ่อมากสินะ ฉันเห็นเธอพูดถึงพ่อตลอดเลย”
“ฉันรักทั้งพ่อและแม่นั่นแหละ ไม่มีใครมากใครน้อยกว่ากันหรอก เพราะครอบครัวของเรามีกันแค่สามคน ไม่เหมือนเธอที่มีญาติพี่น้องเกือบสองโหล”
“นั่นสินะ” เพื่อนสาวพยักหน้าเห็นด้วย “วันนี้เธอรีบกลับบ้านไหม ฉันต้องแวะไปรับของให้พ่อ ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ แล้วฉันจะไปส่งเธอที่บ้านเอง รับรองว่าถึงก่อนเวลาอาหารเย็นแน่นอน”
“ได้ ขอยิงให้ครบสิบดอกก่อนนะ”
หญิงสาวหยิบลูกศรดอกที่สี่มาพาดสาย หันไปมองเป้ากระดาษเบื้องหน้า เพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการยิงธนู แล้วเริ่มยิงทีละดอกจนครบตามที่ตั้งใจไว้
รถมินิคูเปอร์สีเหลืองคาดดำแล่นมาบนถนนย่านชานเมือง ก่อนเลี้ยวไปจอดหน้าร้านขายโบราณวัตถุแห่งหนึ่ง แพรพรดับเครื่องยนต์และเปิดประตูลงจากรถก่อน จากนั้นชลันธรจึงตามลงมา หญิงสาวเงยหน้ามองป้ายชื่อร้าน
“เพทายโบราณวัตถุ” หล่อนอ่านเสียงเบา
ร้านเพทายโบราณวัตถุเป็นอาคารพาณิชย์ขนาดสามคูหา ด้านหน้าเปิดโล่งมองเห็นวัตถุโบราณวางเรียงเป็นระเบียบ ส่วนด้านข้างจัดเป็นสวนหย่อม มีรูปสลักสัตว์หิมพานต์ทำด้วยหินทราย วางสลับกับไม้ดัดที่ปลูกไว้ในกระถาง
ชลันธรมองด้วยความสนใจ หล่อนเคยไปรับสินค้าเป็นเพื่อนแพรพรหลายครั้ง แต่เพิ่งมาร้านนี้เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกแปลกหูแปลกตา เพราะปกติร้านขายวัตถุโบราณจะค่อนข้างรก เก่าเก็บ และมีฝุ่นจับหนา แต่ที่นี่กลับดูสะอาดและเป็นระเบียบน่าเดินชม
“เธอยืนรออยู่แถวนี้ก่อนนะ ฉันจะเข้าไปรับของในร้าน” แพรพรหันมาบอก แล้วเดินตามชายคนหนึ่งไปที่หลังร้าน
“ได้ เธอไปเถอะ” หญิงสาวร้องตอบ เพื่อนของหล่อนโตมาในร้านขายวัตถุโบราณ จึงมีความเชี่ยวชาญในการดูของเก่า อายุสิบห้าบิดาก็ไว้ใจให้ไปรับสินค้าแทนแล้ว ส่วนหล่อนมีความรู้แค่งูๆ ปลาๆ เพราะสนใจศึกษาคนเป็นมากกว่าสิ่งของไร้ชีวิต
ชลันธรหันไปมองสวนหย่อม แล้วตัดสินใจไปรอผู้เป็นเพื่อนที่นั่น หล่อนเดินดูรูปสลักไปเรื่อยๆ บางชิ้นค่อนข้างเก่า มีรอยแตกร้าว แต่บางชิ้นน่าจะเป็นของที่ทำขึ้นใหม่ หญิงสาวหยุดยืนหน้ารูปสลักพญานาค รูปสลักชิ้นนี้งดงามมาก สูงประมาณสองเมตร ทำจากหินทรายสีเหลืองนวล ฝีมือแกะสลักอ่อนช้อย ทุกรายละเอียดเหมือนจริงราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำเงินแสนสวยคู่นั้น เหมือนมันกำลังจ้องมองหล่อน
“ชอบเหรอครับ”
เสียงทุ้มลึกดังขึ้นด้านหลัง หญิงสาวหมุนตัวไปมอง เจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง ผมสีดอกเลา ท่าทางใจดี เขาคงเป็นเจ้าของร้าน เห็นหล่อนมาด้อมๆ มองๆ จึงเดินมาทักทาย
“สวยดีค่ะ”
“ถ้าหนูชอบ ลุงจะขายให้ในราคาพิเศษ สนใจไหม”
“ไม่เอาค่ะ” หล่อนส่ายหน้า “ที่บ้านไม่ค่อยชอบนาคเท่าไร ถ้าซื้อเข้าบ้านพ่อต้องเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ค่ะ”
“ไม่ชอบนาค?” เขาทำท่าประหลาดใจ “แล้วทำไมสวมเกล็ดพญานาคไว้กับตัว”
ชลันธรก้มมองสร้อยคอของตน เกล็ดพญานาคที่เขาพูดถึงคือจี้ที่หล่อนสวมมาตั้งแต่เด็ก ตัวจี้เป็นรูปไข่ยาวรี สีเหลืองประกายทอง ผิวเรียบ จับแล้วเย็น ปกติหล่อนจะซ่อนไว้ในเสื้อไม่ให้ใครเห็น เพราะความลึกลับและความสวยแปลกตาของมันดึงดูดพวกเล่นของเก่าและพวกชอบของขลังได้เสมอ ไม่รู้ว่าออกมาอยู่นอกเสื้อตั้งแต่เมื่อไร
“ญาติผู้ใหญ่ของแม่ให้มา ท่านอยากให้สวมไว้ เลยจำเป็นต้องสวมค่ะ” หล่อนตอบพลางเก็บสร้อยไว้ในเสื้อให้พ้นจากสายตาของคู่สนทนา
“เกล็ดพญานาคของหนูสวยมาก ลุงไม่เคยเห็นชิ้นที่สมบูรณ์ขนาดนี้มาก่อน โบราณเชื่อว่าเป็นของขลัง จะคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของจากสิ่งชั่วร้าย แต่คนที่นับถือพญานาคจะอาภัพรัก เด็กสาวอย่างหนูอย่าสวมเลย ขายให้ลุงดีกว่านะ”
ชลันธรกลอกตาอย่างอ่อนใจ ผิดจากที่หล่อนคาดไว้ที่ไหน แต่รายนี้หนักข้อกว่ารายอื่นๆ ถึงกับยกเรื่องความรักมาพูดขู่ คงนึกว่าหล่อนจะกลัวสินะ
“มันเป็นของสำคัญ หนูขายให้ไม่ได้หรอกค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
หญิงสาวเดินหนีออกมา เพราะไม่อยากต่อความด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง หล่อนมองไปรอบๆ ก่อนหยุดสายตาที่รูปสลักพญาครุฑ รูปสลักชิ้นนี้งดงามไม่ต่างจากรูปสลักพญานาค สูงเท่ากัน ทำจากหินทรายเหมือนกัน และน่าจะเป็นฝีมือของช่างคนเดียวกัน แต่รูปสลักพญาครุฑดูดุดันน่ากลัว แตกต่างจากรูปสลักพญานาคที่ดูสงบนิ่งอย่างสิ้นเชิง
“หนูชอบครุฑเหรอ” ชายคนนั้นเดินตามมา
“เปล่าค่ะ” หล่อนส่ายหน้า “แค่รู้สึกว่าครุฑตัวนี้น่ากลัว เลยหยุดดู”
“ไม่แปลกหรอก หนูสวมเกล็ดพญานาคไว้กับตัว นาคทุกตัวกลัวครุฑ ถ้ายังไงขายให้ลุงดีกว่า อยากได้ราคาเท่าไรก็ว่ามาเลย รับรองว่าลุงไม่ต่อสักคำ”
“หนูไม่ใช่นาค หนูไม่กลัวครุฑ ถ้าเจอกันตัวต่อตัว หนูจะยิงให้ร่วงจากฟ้า ขอตัวกลับก่อนนะคะ เพื่อนหนูมาแล้ว”
ชลันธรเดินกลับไปที่รถ ไม่ได้โกรธแต่รำคาญ ทั้งที่ปฏิเสธไปแล้ว แต่เขายังไม่ยอมถอดใจ คราวหน้าคงต้องเก็บให้ดีกว่านี้ เพราะบางครั้งการครอบครองของมีค่าก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
“ทำอะไรอยู่เหรอ” แพรพรถาม
“คุยกับลุงเจ้าของร้าน”
“ลุงไหน” ผู้เป็นเพื่อนขมวดคิ้ว “ฉันเห็นเธอยืนอยู่คนเดียว ไม่เห็นมีใครเลย”
“มีสิ คนนั้นไง” หล่อนหันกลับไปมอง แต่เขาหายตัวไปแล้ว
“คนไหน อย่าบอกนะว่าเธอคุยกับ...”
“เหลวไหล” หล่อนพูดสวน ก่อนผู้เป็นเพื่อนจะหลุดคำว่า ‘ผี’ ออกมา “เขาคงเดินไปที่อื่นแล้ว เรากลับกันเถอะ เย็นแล้วเดี๋ยวรถติด”
ชลันธรผลักเพื่อนรักเข้าไปในรถ แล้วเดินไปนั่งประจำที่ของตน มินิคูเปอร์สีเหลืองคำรามเสียงต่ำ แล้วแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากขับรถฝ่าการจราจรมาร่วมสองชั่วโมง แพรพรก็พาผู้เป็นเพื่อนมาส่งถึงบ้านเทวาพิทักษ์ ก่อนเวลาอาหารเย็นตามที่สัญญาไว้ รถมินิคูเปอร์สีเหลืองแล่นไปจอดหน้าคฤหาสน์สีขาวหลังใหญ่ ชลันธรเปิดประตูลงจากรถ แล้วก้มลงโบกมือลาเพื่อนสาว
“ขอบใจที่มาส่งนะแพร”
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เจอกัน บาย” แพรพรโบกมือตอบ แล้วขับรถออกไป
ชลันธรมองตามจนรถของผู้เป็นเพื่อนพ้นรั้วไปแล้ว จึงหันกลับมามองบ้านที่หล่อนอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิด คฤหาสน์เทวาพิทักษ์ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดสองไร่ ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าเขียวขจี คั่นกลางด้วยถนนปูนขนาดสองเลน ซึ่งเชื่อมระหว่างประตูหน้ากับตัวคฤหาสน์ ด้านขวาเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ด้านซ้ายเป็นสวนไม้ดัดและเรือนกล้วยไม้ ส่วนด้านหลังเป็นสระบัวหลากสายพันธุ์ กลางสระปลูกศาลาทรงไทยไว้นั่งเล่นรับลมยามเย็น
หญิงสาวเดินเข้าบ้าน คฤหาสน์เทวาพิทักษ์มีอายุเท่ากับอายุของพ่อหล่อน ตัวอาคารเป็นสไตล์โคโลเนียลสีขาวสูงสามชั้น แบ่งออกเป็นสองปีก ชั้นสามเป็นห้องนอนของพ่อกับแม่ ห้องนอนของหล่อน และห้องพระ ชั้นสองเป็นห้องทำงาน ห้องนอนแขก และห้องนั่งเล่น ซึ่งห้องส่วนใหญ่ถูกปิดไว้ เพราะนานๆ จะมีแขกมาพักสักครั้ง ชั้นล่างเป็นห้องโถง ห้องรับแขก และห้องรับประทานอาหาร ส่วนห้องครัวและเรือนพักคนรับใช้อยู่ด้านหลังแยกออกไปจากตัวตึก
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณน้ำ” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ก่อนเจ้าของเสียงจะเดินแกมวิ่งมาหา หญิงสาวชื่อมาลีเป็นหลานสาวของป้าศรีนวล แม่บ้านของบ้านเทวาพิทักษ์ หญิงสาวอายุมากกว่าหล่อนหกปี รูปร่างผอมสูง ผิวสองสี หน้ายาว พูดเก่ง ทำงานคล่องแคล่ว
“แม่อยู่ที่ไหนจ๊ะพี่มาลี แล้วพ่อกลับมาหรือยัง”
“คุณมณีอยู่ในห้องอาหารค่ะ กำลังเตรียมของใส่บาตร ส่วนคุณท่านยังไม่กลับ เห็นโทร. มาบอกว่ามีประชุมด่วนค่ะ”
ชลันธรเอ่ยขอบคุณ แล้วเดินไปหามารดา หล่อนพบมณีเนตรนั่งจัดชุดสังฆทานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว จึงเดินไปสวมกอด แล้วก้มลงหอมแก้มฟอดใหญ่
“น้ำกลับมาแล้วค่ะ ทำอะไรอยู่คะ”
“จัดสังฆทานไว้ให้ลูกใส่บาตร ไปเที่ยวไหนมาจ๊ะ กลับบ้านเย็นเชียว”
“ไปซ้อมธนูค่ะ แล้วก็ไปรับของเป็นเพื่อนยายแพร” หล่อนตอบพลางนั่งลงข้างแม่ “ปกติวันพระแม่ใส่บาตรแค่สามรูป ทำไมวันนี้มีสังฆทานเก้าชุดคะ”
“ลูกจำไม่ได้เหรอว่าพรุ่งนี้วันอะไร” แม่ถามยิ้มๆ ดวงหน้าสวยหวานดูอ่อนโยน ทั้งที่อายุสี่สิบปีแล้ว แต่กลับดูเหมือนอายุยี่สิบห้า สวยจนหญิงสาวหลายคนยังอิจฉา รวมทั้งหล่อนด้วย
“วันอะไร...” หล่อนขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนยิ้มเขินเมื่อนึกออก “วันเกิดของน้ำ”
“ใช่จ้ะ พรุ่งนี้น้ำอายุครบสิบเก้าปี แม่จึงเตรียมสังฆทานไว้เก้าชุด คืนนี้อย่านอนดึกนะ เดี๋ยวตื่นมาใส่บาตรไม่ทัน”
“ค่ะแม่” หญิงสาวรับคำเสียงใส แม่ไม่เคยลืมวันเกิดของหล่อน ทุกปีแม่จะเตรียมของให้ใส่บาตร แต่ถ้าปีไหนตรงกับวันหยุดของพ่อ แม่จะพาหล่อนไปถวายสังฆทานที่วัดของครอบครัว พอตกค่ำก็จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ฉลองกันสามคนพ่อแม่ลูก
“พรุ่งนี้น้ำอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม แม่จะให้มาลีไปซื้อของมาเตรียมไว้”
“อะไรก็ได้ค่ะ แม่ทำอะไรให้กิน น้ำก็ชอบทั้งนั้น”
“ปากหวาน ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวจะได้ลงมากินข้าวกัน”
“ค่ะแม่” หล่อนลุกขึ้นยืน “แล้วพ่อจะกลับมากินข้าวกับเราหรือเปล่าคะ”
“เห็นบอกว่าถ้าประชุมเสร็จเร็ว จะรีบกลับมา แต่ถ้ามาไม่ทัน ก็ให้เรากินกันไปก่อน”
ชลันธรพยักหน้าเข้าใจ ก้มลงหอมแก้มแม่ แล้วเดินออกจากห้องอาหาร พ่อของหล่อนเป็นเจ้าของบริษัทแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรที่ใหญ่ลำดับต้นๆ ของเมืองไทย มีพนักงานในความรับผิดชอบเป็นพันคน จึงต้องทำงานหนัก และหลายครั้งต้องกลับบ้านดึก แต่หล่อนกับแม่ไม่เคยเหงาหรือน้อยใจ เพราะรู้ว่าพ่อทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว
ชลันธรเดินออกจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กบนศีรษะ การได้อาบน้ำสระผมทุกวันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของหล่อน ซึ่งตรงข้ามกับแพรพรโดยสิ้นเชิง เพราะรายนั้นสระผมแค่สัปดาห์ละสองครั้ง โดยให้เหตุผลว่าผมตัวเองไม่สกปรก จึงไม่รู้ว่าจะสระทำไมทุกวัน แต่หล่อนรู้ว่าความจริงแล้วผมของผู้เป็นเพื่อนหยิกเป็นฝอย เวลาถูกน้ำจะฟูเหมือนสิงโต แพรพรจึงไม่ชอบสระผมบ่อย เพราะขี้เกียจตื่นเช้ามายืดผมให้ตรง
หญิงสาวพาดผ้าขนหนูบนพนักเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเหลียวมองไปรอบห้องนอนกว้าง ห้องนี้มีชื่อว่าห้องนอนสีชมพู เพราะผนังห้อง เครื่องเรือน และของตกแต่งทุกชิ้นเป็นสีชมพู รวมทั้งชุดนอนลายการ์ตูนที่หล่อนสวมอยู่ด้วย หากใครเข้ามาเห็นคงคิดว่าหล่อนคลั่งไคล้สีชมพูมาก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย หล่อนชอบสีน้ำเงิน จะน้ำเงินเข้มหรือน้ำเงินอ่อน หล่อนชอบหมด ส่วนคนที่ชอบสีชมพูคือย่าพรไพลิน ซึ่งเป็นเจ้าของห้องคนแรก
ชลันธรนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ถึงหล่อนจะไม่ชอบสีชมพู แต่ไม่เคยคิดจะปรับเปลี่ยน เพราะห้องนี้มีความทรงจำของพ่อกับย่าอยู่มากมาย ทั้งสองคงอยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิม หญิงสาวหยิบหวีมาหวีผมซอยสั้นของตน ตอนอายุสิบห้าปี แม่เคยขอให้หล่อนไว้ผมยาว ตอนแรกหล่อนคิดจะตามใจแม่ ทว่าถูกพ่อห้ามไว้ก่อน พ่อบอกว่าผมยาวดูแลรักษายาก ไม่คล่องตัว สู้ผมสั้นไม่ได้ หลังจากตรองดูแล้ว หล่อนตัดสินใจเชื่อพ่อ เพราะชอบทำตัวตามสบายเป็นทุนเดิม
เสียงเคาะประตูดังขึ้น หญิงสาวหมุนตัวไปมอง ประตูห้องนอนเปิดออก มือขาวคุ้นตายื่นกล่องของขวัญสีชมพูเล็กจิ๋วเข้ามาก่อน จากนั้นเจ้าของมือจึงเดินมายืนหน้าประตู
“ของขวัญวันเกิด ยายหนูของพ่อ”
ชลันธรรีบถลาไปคว้ากล่องของขวัญ ทุกปีก่อนวันเกิดหนึ่งวัน พ่อจะมีของขวัญมาให้เสมอ ขนาดวันนี้ติดประชุมด่วน พ่อยังไม่ลืมเอาของขวัญมาให้หล่อน
“ขอบคุณค่ะพ่อ ประชุมเสร็จแล้วเหรอคะ น้ำคิดว่าต้องกินข้าวกับแม่สองคนเสียอีก”
“เสร็จแล้ว พอดีได้ข้อสรุปเร็ว แถมโชคดีรถไม่ติด พ่อเลยกลับมาทัน เปิดของขวัญดูสิว่าชอบไหม”
“อะไรคะ สร้อย แหวน หรือว่านาฬิกา” หล่อนถามเสียงใส ตอนเป็นเด็กพ่อจะให้ตุ๊กตาหรือของเล่น พอเริ่มโตเป็นสาวพ่อจึงเปลี่ยนมาให้เครื่องประดับ อยากรู้จังว่าปีนี้พ่อจะให้อะไร
“ลองเปิดดูสิ” พ่อพยักพเยิดไปที่กล่องของขวัญ
หญิงสาวเปิดกล่องของขวัญออก ข้างในมีกล่องกำมะหยี่อยู่หนึ่งใบ หล่อนหยิบออกมา แล้วเงยหน้ายิ้มให้ผู้เป็นพ่อ
“แหวนใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่” พ่อยิ้มตอบ ดวงหน้าคมคายดูอ่อนกว่าวัย ทั้งที่อายุสี่สิบห้าแล้ว แต่ยังดูเหมือนชายหนุ่มอายุสามสิบปี
ชลันธรเปิดกล่องกำมะหยี่ออกดู ของขวัญของพ่อแปลกกว่าทุกปี มันไม่ใช่แหวนอย่างที่หล่อนทาย ทว่าเป็นล็อกเกตสีเงินวาววับ สลักลวดลายอ่อนช้อยงดงาม ร้อยสร้อยทองคำขาวเส้นบาง
“สวยจังเลยค่ะ”
“เปิดดูสิ”
หญิงสาวทำตาม ด้านในล็อกเกตเป็นภาพแม่อุ้มหล่อนไว้ในอ้อมแขน ส่วนพ่อโอบประคองอยู่ด้านหลัง แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความสุข
“พ่อสวมให้นะ” พ่อสวมสร้อยให้หล่อน แล้วดึงเข้ามากอด “พ่อให้ช่างใส่รูปพ่อกับแม่ไว้ข้างใน ลูกจะได้รู้สึกว่ามีพ่อกับแม่อยู่ด้วยตลอดเวลา”
“ขอบคุณค่ะพ่อ น้ำจะเก็บไว้อย่างดี”
“พ่อรักลูกมากนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อจะปกป้องลูกจนลมหายใจสุดท้าย”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมพ่อดูเครียดจัง” หล่อนเงยหน้ามอง
พ่อคลายอ้อมแขน แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ไม่มีอะไรหรอกลูก แม่รอกินข้าวอยู่ข้างล่าง แต่งตัวเสร็จแล้ว รีบตามลงมานะ เดี๋ยวแม่เขาจะรอนาน”
พ่อเดินออกจากห้อง ชลันธรตามไปปิดประตู แล้วหันหลังยืนพิงไว้ พ่อมีท่าทางแปลกๆ ทุกครั้งเมื่อถึงวันเกิดของหล่อน แต่ปีนี้ดูเคร่งเครียดกว่าทุกปี แล้วยังคำพูดพวกนั้นอีก
‘พ่อจะปกป้องลูกจนลมหายใจสุดท้าย’
หญิงสาวขมวดคิ้วครุ่นคิด ทำไมพ่อถึงพูดแบบนั้น พรุ่งนี้หล่อนจะลองถามแม่ หวังว่าจะได้คำตอบนะ
ความคิดเห็น |
---|