2
“ฉัตรกลับไปก่อนไหม แต่พ่อว่าขับรถไม่ไหวหรอก พักสักหน่อยละกัน”
ฉัตรภพมองหน้าลูกชายก็รู้ว่าอาการไม่สู้ดี ส่วนเขาเองกับนาคราชก็ยังมีเรื่องต้องจัดการกันอีกมาก จะให้กลับตอนนี้เลยก็ไม่สะดวก
“นั่นสิ ไปพักในถ้ำของนิคกี้ก็ได้ ป่านนี้เจ้าตัวคงไปขลุกอยู่กับพอลที่เรือนรับรองนั่นแหละ ถ้าพอลตามกลับมาด้วยทีไร ไม่มีทางได้เห็นนิคกี้ก่อนเวลาขึ้นนอน ไม่มีใครกวนฉัตรหรอก” เจ้าของบ้านเอ่ยปากบอกว่าที่ลูกเขยบ้าง
“เดี๋ยวลุงให้คนพาไป” พูดจบก็มีลูกน้องปรี่เข้ามารับคำสั่งทันที ราวกับแฝงตัวอยู่ในเสาทุกต้นของบ้าน
“พาคุณฉัตรไปพักฝั่งนิคกี้” นายใหญ่สั่งแค่นั้นก็เหมือนกับทุกคนจะทราบว่าต้องทำอย่างไร
ชายหนุ่มร่างกำยำก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะผายมือเชิญให้แขกพิเศษลุกตาม โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้โต้แย่ง อยู่ดีๆ ก็ง่วงเหลือเกิน ได้พักสักตื่นน่าจะดีขึ้น
บ้านของเจ้าพ่อใหญ่อย่างนาคราชนั้นมองจากภายนอกเหมือนคอนโดมิเนียมรูปตัวยูใหญ่ๆ เป็นอาคารสี่ชั้น โดยมีส่วนกลางของบ้านเป็นชั้นล่าง ที่ทั้งพ่อและลูกทั้งสองคนใช้ร่วมกัน ในขณะที่ปีกซ้ายขวาถูกแบ่งอย่างชัดเจนว่าเป็นของพี่ชายและน้องสาวคนละฝั่ง ฝั่งของลูกสาวเจ้าพ่อคือฝั่งซ้ายซึ่งฉัตรบดินทร์กำลังก้าวเท้าเข้าไป
และทั้งๆ ที่อยู่ในตึกเดียวกัน แต่กลับมีระบบรักษาความปลอดภัย และมีการแบ่งแยกสัดส่วนกันอย่างชัดเจน คนสนิทของเจ้าของบ้านกดกริ่งหน้าประตูกระจกอยู่ไม่นานก็มีแม่บ้านวัยกลางคนเดินมาเปิดให้ ก่อนจะรับช่วงพาฉัตรบดินทร์ไปส่งไว้ในห้องพักผ่อนที่นาคราชเรียกว่า ‘ถ้ำของนิคกี้’ ซึ่งเป็นห้องพักผ่อนหรือน่าจะเป็นห้องสมุดปนห้องดูหนังขนาดไม่เล็ก มีโซฟาที่แค่เห็นก็รู้ว่านั่งสบายตั้งเด่นอยู่กลางห้อง แอร์เย็นฉ่ำชนิดที่ก้าวเข้ามาปุ๊บก็พร้อมนอนปั๊บ
“เอ๊ะ ใครเปิดแอร์ทิ้งไว้” แม่บ้านอุทานขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันมาพูดกับเขาด้วยท่าทางสำรวม “แต่เชิญคุณฉัตรค่ะ เดี๋ยวถ้าผู้ใหญ่คุยธุระกันเสร็จดิฉันจะมาเชิญนะคะ” พูดจบก็เดินไปปิดไฟหน้าห้องน้ำที่สงสัยจะมีคนลืมปิด เหมือนกับที่ลืมปิดแอร์ ทิ้งให้ชายหนุ่มที่ทั้งมึนทั้งง่วงเต็มทนได้พักผ่อน
เขาถอดสูท ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเพื่อเพิ่มความสบายตัว ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่ม ตวัดผ้าห่มที่วางอยู่ขึ้นมาห่มแล้วหลับไปในวินาทีถัดมา ไม่ทันได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจากประตูห้องเล็กๆ ข้างชั้นหนังสือ
“ไฟดับหรือไง” นคราล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำด้วยความประหลาดใจ จำได้ว่าหล่อนเปิดไฟหน้าห้องน้ำในห้องนั่งเล่นไว้ ห้องที่หล่อนชอบที่สุดรองจากห้องนอนในตึกซ้ายของตน แล้วไปเข้าห้องน้ำ หลังจากพยายามล้วงคออาเจียนเอาไวน์ผสมยานอนหลับออก และดื่มน้ำเป็นลิตรๆ เพื่อพยายามขับยาที่เผลอดื่มเข้าไป แต่ท่าทางจะช่วยอะไรได้ไม่เท่าไร เพราะแค่นี้ก็เดินแทบจะไม่ตรง สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงเลิกใส่ใจเรื่องเล็กน้อย อยากลากสังขารไปให้ถึงโซฟาให้ไวที่สุด จะได้นอนหลับอย่างที่ร่างกายต้องการเสียที
ด้วยความคุ้นชินกับห้องหับของตัวเอง นคราก็ก้าวถึงที่ประจำทั้งๆ ที่ห้องมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง และทิ้งตัวลงนอน ก่อนจะตวัดผ้าห่มที่ใครหวังดีคลี่ไว้ก็ไม่รู้ขึ้นห่มแล้วหลับไปทันที
“ร้อน” เป็นความรู้สึกแรกที่ฉัตรบดินทร์สัมผัสได้ จากนั้นก็รู้สึกอึดอัดเหมือนมีอะไรกดทับ แต่ด้วยความง่วงงุน ทำให้เจ้าตัวลืมตาไม่ขึ้น จึงทำได้แค่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ลืมสถานที่ ลืมทุกอย่างเสียสนิท และรู้สึกร้อนวูบวาบมากขึ้นเพราะสัมผัสพิเศษที่เกิดขึ้น คุณหมอรูปหล่อที่มีสติไม่ครบถ้วนคิดว่าตัวเองฝันวาบหวามไปเอง จึงปล่อยจิตใจให้เตลิดเปิดเปิงไปกับภาพในจินตนาการ...จินตนาการที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ สติส่วนที่รับรู้น้อยนิดบอกตัวเองว่านี่เป็นฝันกลางวันที่หวิวหวานที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา
ฝ่ายนคราเองก็อึดอัดไม่แพ้กัน รู้สึกเหมือนมีคนนอนทับจนแทบหายใจไม่ออก หญิงสาวได้แต่บิดตัวหนีไปมา รู้สึกเหมือนฝันร้าย ก่อนที่จะรู้สึกดีขึ้น หายใจคล่องขึ้นเหมือนมีใครมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้ และอดเขินอายในสติแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นไม่ได้ว่า ทำไมฝันวันนี้มันล่อแหลมเหมือนจริงเสียจนทำเอาหญิงสาวเคลิบเคลิ้มขนาดนี้ เคลิ้มขนาดผล็อยหลับไปอีกทีเมื่อไรก็ไม่รู้
นี่ถ้าให้ใครมาบอกว่าคนอย่างนายแพทย์ฉัตรบดินทร์จะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ อาจารย์หมอฉัตรของนักเรียนแพทย์ หรือคุณหมอฉัตรของคนในโรงพยาบาลคงกล้าเอาทรัพย์สินของผู้เป็นพ่อมาวางเป็นเดิมพันว่าไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะเมาเหล้าผสมยานอนหลับจนขาดสติ ไม่รู้เรื่องเสียจนพาตัวเองมาอยู่ในเหตุการณ์ที่นำไปสู่งานวิวาห์ที่มารดาพูดเมื่อเช้านี้
ชายหนุ่มได้แต่นั่งนิ่ง นึกทบทวนว่าเขาก้าวพลาดตรงไหนถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จนไม่ทันฟังเรื่องที่พ่อแม่ของเขาและพ่อของนคราพูดกันอยู่
“แม่ละไม่คิดเลยว่าฉัตรจะใจเร็วแบบนี้ ยังไงก็ได้แต่งกันแน่ๆ อยู่แล้ว จะรอจนฤกษ์มาซะหน่อยก็ไม่ได้ นี่ถ้าไม่ใช่ลูกพ่อลูกแม่นะ คุณนาคยิงหัวเรากระจุยไปแล้ว”
คุณหญิงสรวงสุดาเอ็ดบุตรชายอย่างจริงจัง ขัดกับแววตาและน้ำเสียงที่สะท้อนความสุข สมปรารถนาเหลือเกิน
ฝ่ายเจ้าพ่อใหญ่ก็โบกไม้โบกมือเป็นทำนองว่าให้มันแล้วไป ไม่ได้ถือสาหาความเรื่องที่เปิดประตูเข้าไปเจอภาพล่อแหลมของบุตรสาวกับบุตรชายสหายสนิท เขาไม่ใช่คนมีศีลธรรมจรรยา เมียที่เป็นแม่ของลูกทั้งสองก็กึ่งจีบกึ่งปล้ำจนฝ่ายหญิงต้องแต่งงานด้วย ไม่ทันได้เรียนรู้กันจนพานจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ กระทั่งเลิกรากันไปอย่างที่เห็นๆ กันอยู่
“เอาเถอะ นี่เรื่องมันมาจนแบบนี้ละ จะไปดุไปว่าอะไรกันก็คงเปล่าประโยชน์ เอาเป็นว่าคุณหญิงไปจัดการเรื่องฤกษ์เรื่องยามมานะ เรื่องเข้าวัดหาพระหาเจ้าผมไม่ค่อยสะดวก”
นาคราชบอกภรรยาเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาช้านาน พูดกันมาหลายสิบปีว่าอีกหน่อยจะให้ฉัตรบดินทร์แต่งงานกับนครา จนเมื่อสายนี่เองทั้งฉัตรภพและภรรยาก็มาย้ำความตั้งใจเดิมอีกหน
‘เอาจริงๆ เหรอภพ’
‘จริง วันนั้นถ้านาคไม่ช่วยผมไว้ ป่านนี้คุณดาก็คงเป็นแม่ม่าย เจ้าฉัตรก็กำพร้าพ่อตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว’
ฉัตรภพเอ่ยถึงอุบัติเหตุเมื่อสามสิบหกปีก่อน ที่เพื่อนคนนี้ช่วยชีวิตไว้ หลังจากรู้จักกันเพราะเขาใช้บริการเจ้าพ่อใหญ่ซึ่งสมัยนั้นเริ่มต้นแค่งานล็อบบียิสต์นิดๆ หน่อยๆ ให้ช่วยหาที่ในการสร้างโรงพยาบาลให้ จึงนัดแนะกันไปตกลงค่านายหน้าในสนามกอล์ฟย่านปทุมธานี ขากลับฉัตรภพโดนแก๊งวัยรุ่นแถวนั้นปาหินใส่รถเพื่อดักปล้น ตัวเขาเจ็บตั้งแต่หินทะลุกระจกเข้ามากระแทกศีรษะจนแตกแล้ว ไม่นับที่พวกกุ๊ยเหล่านั้นลากเขาลงมาจากรถแล้วซ้อมเสียปางตาย และคงตายไปแล้วหากนาคราชที่ขับรถตามหลังมาไม่มาเจอเข้า แล้วยิงจัดการพวกนั้นถึงสามศพ ก่อนจะพาเขาส่งโรงพยาบาลโดยมีอาการบาดเจ็บสาหัส ต้องพักฟื้นอยู่ในห้องไอซียูเป็นสัปดาห์
เขาอยากตอบแทนบุญคุณเพื่อนร่วมธุรกิจที่กลายมาเป็นเพื่อนตายหลายครั้ง แต่เจ้าตัวก็บอกว่าไม่จำเป็นอะไรเลย เพราะนาคราชเองก็สมบูรณ์พูนสุขไปเสียทุกด้าน เอ่ยทีเล่นทีจริงแค่ว่าเสียดายที่มีลูกชาย ไม่อย่างนั้นจะจับแต่งงานกันไว้ ได้มรดกของพวกฉัตราวุธเป็นค่าตอบแทนคงจะคุ้มไม่น้อย จนผ่านไปสิบห้าปีนาคราชถึงได้มีลูกสาวที่เป็นลูกหลงโผล่ออกมาได้ จากนั้นก็เป็นฝ่ายของฉัตรภพบ้างที่เทียวขอลูกสาวเพื่อนให้ลูกชายตัวเอง
เหตุการณ์ที่ทำให้เรื่องทั้งหมดทั้งมวลเป็นมากกว่าการหยอกล้อกันก็เมื่อนาคราชเลิกรากับภรรยาที่อยู่กินกันมาเป็นสิบปี เพราะอาชีพทั้งใต้ดินและบนดินของเขาทำเอานาคราชเกือบตายจากการโดนศัตรูลอบทำร้าย ภรรยาถึงกับส่ายหัว บอกว่าทนอยู่กับอาการนอนไม่หลับเพราะกลัวสามีตายไม่ได้อีกต่อไป หากไม่เลิกอาชีพสีเทาก็เลิกกับหล่อนไปซะ
เมื่อตกลงกันได้หล่อนก็หอบลูกชายคนโตไปเรียนหนังสือต่อ ก่อนจะพบรักและแต่งงานใหม่ โดยทีแรกก็ดึงดันว่าจะพาลูกสาวไปด้วยให้ได้ แต่นาคราชบอกว่าถ้าไม่ยอมให้ลูกสาวอยู่กับเขาก็ไม่ต้องหย่า ไม่ต้องไปไหนทั้งสิ้น สุมนฑาจึงต้องตัดใจแบ่งลูกให้อดีตสามี และเมื่อนั้นเอง ฉัตรภพก็พาภรรยากับลูกชายและลูกสาวมาเยี่ยมนาคราชที่บ้านแบบที่ทำเป็นประจำ เจ้าตัวถึงได้เปรยด้วยสีหน้าจริงจังกับเพื่อนแท้ที่คบกันมาหลายสิบปี
‘นิคกี้มาช้ามาก มากจนนึกว่าจะมีแต่เจ้าแน่คนเดียว’ นาคราชเอ่ยถึงนคเรศ หรือคุณแน่ของทุกคน
‘ไม่รู้ผมจะอยู่ทันลูกโตไหม ไม่รู้ด้วยว่าถ้าตายไป นิคกี้จะอยู่ยังไง’ นาคราชพูด ตาจับจ้องลูกสาววัยสี่ขวบที่นั่งขีดเขียนอะไรอยู่ใกล้ๆ มีฉัตรระวี ลูกสาวของฉัตรภพที่แก่กว่าเจ้าตัวสองปีนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนฉัตรบดินทร์ในวัยสิบเก้าปีโตเกินกว่าจะเล่นกับเด็กผู้หญิงวัยนี้แล้ว ทว่าเขากลับคอยจับมือเล็กๆ ของนคราขีดเขียนตามแต่เจ้าตัวจะขอร้องพี่ชายตัวโต
‘นี่ถ้ารู้แน่ๆ ว่านิคกี้มีคนดีๆ ดูแล ผมคงสบายใจ คุณภพก็รู้ คนอย่างผมศัตรูรอบด้าน จะตายวินาทีไหนก็ไม่รู้ นิคกี้เองก็เฮี้ยวมาก เลี้ยงมากับลูกน้องเป็นร้อย ตัวแค่นี้ชี้หน้าสั่งไอ้พวกนั้น’ นาคราชปรายตามองไปที่ลูกน้องหน้าเหี้ยมที่ยืนรักษาความปลอดภัยเต็มไปหมด ‘ใครจะเอาอยู่ ผมยังนึกไม่ออก’
คนเป็นเจ้าพ่อใหญ่ที่คุมลูกน้องทั้งดีทั้งเลวเป็นร้อยเป็นพันส่ายหน้า ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกหรือผิดที่เอานคราไว้เลี้ยงเองตั้งแต่อ้อนแต่ออก เลยทำให้เจ้าตัวโตมาเป็นคนไม่กลัวใคร เพราะมีคนล้อมหน้าล้อมหลังพร้อมตามแก้ปัญหา พะเน้าพะนอเอาใจยี่สิบชั่วโมงเพราะเป็นลูกสาวนายใหญ่ ต่อให้ทำผิดก็มีคนพร้อมเข้าไปเก็บกวาดให้ แถมพออายุสิบสองเขาก็ตัดสินใจส่งลูกสาวไปอยู่กับอดีตภรรยา ฝ่ายโน้นก็ยิ่งตามใจลูกเป็นทวีคูณเพราะกลัวลูกไม่รัก นี่ยังไม่นับเจ้าลูกชายคนโตที่ตามใจน้องสาวอย่างกับอะไรดี เพราะวัยที่ต่างกันเป็นสิบปีทำให้นคเรศทั้งโอ๋ทั้งเอาใจน้องสาวราวกับเป็นลูกสาว
‘คุณนาคไม่ต้องห่วง นิคกี้เรียนจบเมื่อไหร่ ผมจะให้เจ้าฉัตรแต่งงาน ดูแลนิคกี้เอง’
‘ไหวเหรอ ห่างกันตั้งสิบห้าปี ป่านนั้นหมอฉัตรของผมไม่มีลูกไปแล้วหรือไง ภพ’
‘ไม่ดีหรือไง ห่างกันเยอะๆ เผื่อนิคกี้จะกลัวขึ้นมาบ้าง และถ้าเกิดอะไรขึ้นก่อนนิคกี้เรียนจบ ผมกับคุณดาจะเลี้ยงนิคกี้ให้ดีเหมือนลูกตัวเอง ผมสัญญา’
“ส่วนสินสอด คุณนาคไม่ต้องห่วงเลย ดาจะจัดการมาอย่างดี ไม่ให้เสียชื่อสะใภ้คนเดียวของฉัตราวุธ เรานี่แน่ะตาฉัตร พรุ่งนี้พาน้องไปเลือกแหวนซะด้วย แม่จะโทร. บอกร้านเพชรไว้ให้”
ฉัตรบดินทร์เพิ่งมารู้สึกตัวตอนที่มารดาฟาดป้าบเข้าให้ที่แขนแกร่ง ปากกำลังจะหาทางแก้ตัวให้พ้นจากเรื่องนี้ แต่หญิงสาวผู้ที่ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกันกลับเอ่ยขึ้นแทน
“นี่ตกลงคุณป้าไม่กะให้นิคกี้กับพี่ฉัตรเรียนรู้กันเลยหรือคะ”
คำถามนั้นเรียกให้ผู้ใหญ่อีกสามคนในห้องหันไปมองหน้าสวยเฉี่ยว ไม่เหลือเค้าเด็กอ้วนดำในอดีต ท่าทางมั่นใจในตัวเองติดจะแข็งด้วยซ้ำ คงมีเพียงน้ำเสียงยามพูดกับผู้ใหญ่ที่ดูสุภาพอ่อนน้อม แต่ความไม่ยอมคนฉายในแววตาชัดเจน
“เรียนรู้อะไรกันอีกคะลูก รู้จักกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” คุณหญิงสรวงสุดาลูบแขนหญิงสาวที่ตนหมายมั่นปั้นมือมาตั้งนานว่าต้องได้มาเป็นลูกสะใภ้ พูดตามจริง พอหายตกใจหล่อนก็ดีใจจนเนื้อเต้น จะว่าส่งเสริมให้ลูกชายรวบหัวรวบหางก็คงไม่ผิด แต่เรียกว่าสมปรารถนาจริงๆ เพราะไม่ต้องกล่อมฉัตรบดินทร์แม้แต่น้อย “ลูกชายป้าเองก็เป็นสุภาพบุรุษ ทำก็ต้องรับ”
“แต่หน้าตาพี่ฉัตรไม่เต็มใจเลยนะคะ” นครามองหน้าสุภาพบุรุษที่นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาอะไร สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรสักอย่าง ไม่แม้แต่จะปริปากพูด
“โอ๊ย ตาฉัตรน่ะ ฟ้าจะถล่มทลายก็มีหน้าเดียวนี่แหละ นิคกี้ไม่ต้องสนใจหรอกลูก” คนเป็นแม่หันไปค้อนลูกชายไม่รู้รอบที่เท่าไรของวัน ก่อนจะหันไปยิ้มเอ็นดูหญิงสาว “ส่วนเรื่องแต่ง ยังไงก็ต้องแต่งค่ะ ไม่แต่งได้ไงคะนิคกี้ หนูกับพี่ฉัตรน่ะเสื้อผ้าหลุดลุ่ยกันขนาดนั้น ยังไงลูกชายป้าก็ต้องรับผิดชอบ”
ว่าที่แม่สามีตั้งท่าจะสาธยายต่อ แต่เหมือนพระเอกของเรื่องจะเริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง
“ขอผมคุยกับนิคกี้เป็นส่วนตัวหน่อยแล้วกันนะครับ ขอสักครึ่งชั่วโมง แล้วเดี๋ยวเราค่อยสรุปกันนะครับว่าจะเอายังไง” พูดจบชายหนุ่มวัยสามสิบหกร่างสูงใหญ่ก็ลุกขึ้นยืน มองหน้านครานิ่ง และเอ่ยเสียงเรียบเหมือนพูดกับนักศึกษาแพทย์มากกว่าผู้หญิงที่เพิ่งคลุกวงในกับเขามา “ตามผมมา เชิญครับ”
ทั้งคู่เดินกลับเข้ามาในที่เกิดเหตุอีกครั้ง หลังจากที่ต้องออกไปนั่งคุยกับผู้ใหญ่ทั้งสามด้านนอก ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาก่อนยืนกอดอกหันหลังให้นครา เจ้าของบ้านที่เดินตามหลังมา คนที่เคยจัดการกับปัญหาได้ทุกอย่าง มั่นใจมาตลอดกลับหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะตกลงกับอีกฝ่ายอย่างไร หญิงสาวก็เป็นคนเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน
“นิคกี้ขอโทษพี่ฉัตรด้วย ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
ฉัตรบดินทร์หันกลับมามองและยกมือรับไหว้การขอโทษจากนคราแบบงงๆ เพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาตั้งใจเรียกหญิงสาวออกมาตั้งสติ มาคุยกันก่อน แต่นี่นครากลับเปิดประเด็นด้วยการขอโทษแบบนี้ หรือเจ้าตัวจะรู้ว่าเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร
“ขอโทษผมเรื่องอะไร”
“ก็ที่ทำพี่ฉัตรเมายาจนทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัวแบบนั้น ซวยชะมัด”
ประโยคอธิบายความของหญิงสาวทำเอาชายหนุ่มอึ้งไปพักใหญ่ เหมือนโดนคนน็อกปลายคาง นี่แปลว่าหล่อนรู้ หล่อนตั้งใจหรือ
“ว่าไงนะ”
นคราก็อธิบายตาใส เสียงดังชัดถ้อยชัดคำแบบคนมั่นใจในตัวเอง คนที่อยู่กับนักเลงมาตั้งแต่เด็กๆ คนตรง เปิดเผย และเอาจริง
“ก็ที่เราสองคนทำเรื่องแบบนั้นอย่างไร้สติเป็นเพราะเราเมายาค่ะ ไวน์ที่เราดื่มเข้าไปผสมยานอนหลับ”
“แล้วคุณรู้ได้ไง” สีหน้าเขานิ่งสนิท มีเพียงนัยน์ตาเท่านั้นที่ฉายชัดว่าเขาอารมณ์ไม่ปกติ แต่นคราไม่สังเกตเห็นเพราะมัวแต่พลิกฝ่ามือดูสีเล็บของตัวเอง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. สั่งลูกน้องให้นัดช่างทำเล็บ ไม่สนใจจะตอบคำถามชายหนุ่มที่ยืนรอคำตอบอยู่
“ภูมิ นิคกี้จะออกไปทำเล็บ อีกสักชั่วโมง เอาช่างคนเดิมเท่านั้นนะ” พูดจบถึงได้หันมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อ เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ
“เพื่อนนิคกี้ คนที่หน้าหล่อๆ ที่เป็นลูกครึ่ง จำได้ไหมคะ เขาเป็นคนใส่ยาในแก้วของเราสองคน” ตาหวานปรายมองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะไถหน้าจอโทรศัพท์มือถือต่อ ปากก็พูดอธิบายไปเรื่อย
“นั่นแหละ เราดื่มกันเข้าไป เราก็เลยนัวกันยับ จนพ่อแม่มาเห็นแล้วให้เราแต่งงานกันแบบนั้นไงคะ” คำพูดตรงๆ ทำเอาฉัตรบดินทร์ขมวดคิ้ว ตกลงว่าเป็นแผนของนคราที่จะจับเขาหรืออย่างไร
“คุณรู้ว่าในแก้วมียาเหรอ” ฉัตรบดินทร์ถามย้ำความเข้าใจเรื่องที่เพิ่งรับรู้ ส่วนนคราพยักหน้ารับ “แล้วคุณก็ดื่มมันเข้าไปเหรอ” ฟังเขาพูดจบหล่อนก็พยักหน้าอีกรอบเป็นการยืนยันสิ่งที่เขาเพิ่งถาม
“แล้วคุณก็เข้าไปในห้องที่ผมหมดสติอยู่งั้นเหรอ นี่คุณสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องมอมยาผู้ชายเพื่อจับเขาแต่งงานเลยเหรอ” อคติในใจทำให้คนไม่อยากแต่งงานโยนความผิดให้ผู้หญิงตรงหน้า อารมณ์ร้อนๆ ทำเอาลืมเหตุการณ์ที่หญิงสาวพยายามห้ามเขาดื่มไวน์แก้วนั้น “ไร้ยางอาย”
นคราถึงกับหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดที่เขาโยนใส่หน้า หล่อนรู้แต่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เขาดื่ม ไม่ใช่หล่อนหรือที่ปรี่เข้าไปขอแก้วคืน แล้วถ้าจำไม่ผิด หล่อนอยู่ในบ้านของตัวเอง โซนของตัวเอง เขาไม่ใช่หรือที่เข้ามารุกล้ำพื้นที่ส่วนบุคคลเอง
“จะเกินไปแล้วนะคะ พี่ฉัตรมานอนอยู่ในบ้านนิคกี้ นิคกี้ควรจะเป็นคนพูดมากกว่าว่าพี่ฉัตรตั้งใจเข้ามาปล้ำนิคกี้หรือเปล่า”
ตาหวานวาววับด้วยความไม่พอใจบ้าง จากที่ตั้งใจว่าจะดื้อแพ่งใส่คุณพ่อ ไม่ยอมให้ถูกจับแต่งงานไม่ว่าจะชอบเขามากแค่ไหน แต่จะทำให้เขาตกหลุมรักหล่อนด้วยตัวเอง กลับกลายเป็นคนละเรื่องไปทันที
“เนื้อตัวนิคกี้มีแต่รอยบีบ รอยดูดเต็มไปหมด ปฏิเสธไหมล่ะคะว่าพี่ฉัตรไม่ได้เป็นคนทำ”
สาวหน้าสวยยังลอยหน้าลอยตาถาม นึกโกรธเมื่อเขาไม่ฟังอะไรให้ได้ศัพท์ครบถ้วนเสียก่อน อดน้อยใจลึกๆ ว่าพี่ชายแสนดีในวัยเด็กคนนั้นหายไปไหน เหลือแต่ผู้ชายใจร้ายคนนี้ นี่ไม่ใช่ผู้ชายคนที่นิคกี้หลงรักนี่นา
“ผมไม่เคยคิดอยากจะยุ่งกับผู้หญิงแบบคุณแน่ๆ”
อีกประโยคที่ทำเอานคราล้มเลิกความคิดไปเลย ไม่เอาแล้วตกหลุมล้งหลุมรักแบบคนปกติ นิสัยต้องชนะ ต้องได้ทุกอย่างตามความต้องการพุ่งพรวด คนหน้าสวยเลยยกริมฝีปากเป็นเชิงยิ้มเยาะ แววตาดูถูกอาจารย์หมอมีชื่อแบบไม่เกรงใจอีกต่อไป
“คิดไม่คิด พี่ฉัตรก็ยุ่งไปแล้ว และคนอย่างเจ้าพ่อนาคคงไม่ปล่อยให้ใครล่วงเกินลูกสาวเขาฟรีๆ นะคะ”
นครายืนขึ้นบ้าง มองหน้าหล่อของพี่ฉัตรตาไม่กะพริบ เอากับหล่อนสิ หล่อนอุตส่าห์ปรานีว่าจะให้กามเทพทำงานตามปกติ เล่นทางสะอาดแล้ว แต่ดูเอาเถอะ ฉัตรบดินทร์ทำตัวเองแท้ๆ ที่ต้องให้หล่อนใช้วิธีสกปรกแบบนี้ แล้วไอ้เรื่องเล่นนอกกฎก็ดันเป็นสิ่งที่นคราถนัดเสียด้วย
“ก็ใช่ไง ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ายังไงเราก็คงต้องแต่งงานกันแน่ๆ” ชายหนุ่มสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ส่ายหัวแบบคนหาทางออกไม่ได้ อีกใจหนึ่งก็บอกว่าแต่งๆ ไปก็จบเรื่อง คุณแม่จะได้เลิกเซ้าซี้กวนใจให้มากความ
“ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้นึกชอบคุณด้วยซ้ำ” เขามองหน้าผู้หญิงตรงหน้าที่ไม่เหลือเค้าเดิมของเด็กหญิง แต่โตมาเป็นผู้หญิงสาวเต็มตัว แค่หกปีก่อนเขายังจะบ้า มาแบบนี้ ทรงนี้ เขาคงไม่รอด
“แต่ตอนนี้เรื่องชอบไม่ชอบไม่ใช่ประเด็นแล้วมั้งคะ” นคราเสยผมยาวถึงบั้นเอวขึ้น มองหน้าเขาแบบซ่อน ความรู้สึกของตัวเอง เสียใจไม่น้อยเพราะเขาพูดออกมาได้หน้าตาเฉยว่าไม่เคยคิดอะไรกับหล่อน ทั้งๆ ที่
นครารักเขาฝังใจมาตั้งแต่เยาว์วัย “พี่ฉัตรคงปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ รวมถึงคงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ไม่งั้นพี่ฉัตรคงไม่แมนน่าดู”
คำพูดท้าทายทำเอาทิฐิของฉัตรบดินทร์พุ่งพรวด คนอย่างเขานี่นะไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ไอ้ที่ข่มอกข่มใจบอกตัวเองว่าไม่ให้สนใจเรียกว่าโคตรสุภาพบุรุษต่างหาก
“ในเมื่อต้องแต่งก็แต่ง” เสียงห้วนสั้นแบบไม่เคยมีใครได้ยิน ถึงแม้อาจารย์หมอฉัตรจะขึ้นชื่อเรื่องความดุในหมู่นักเรียนแพทย์ แต่ก็ไม่เคยใส่อารมณ์กับใครแบบนี้ “เอาเป็นว่าแต่งกันไปก็ต่างคนต่างอยู่ไปละกันนะครับ ผมจะไม่ก้าวก่ายชีวิตคุณ”
หญิงสาวจุกมากขึ้นอีก
“แล้วคุณก็อย่ามาคาดหวังอะไรกับผม ถ้าคุณทนไม่ได้ แต่งไปสักพักจะหย่า จะเลิก ผมก็ยิ่งกว่ายินดี บอกมาละกัน ผมพร้อมยี่สิบสี่ชั่วโมง”
พูดจบเจ้าตัวก็เดินออกไปทันที ไม่รอให้หญิงสาวตอบตกลงหรือแสดงความเห็นใดๆ จนลูกเจ้าพ่อใหญ่อดกระทืบเท้าเพราะความหงุดหงิดไม่ได้ ปกติบทสั่งคนอื่นน่ะมันหน้าที่หล่อน นี่คิดว่าเป็นใครมาจากไหนถึงอำนาจบาตรใหญ่มาสั่งนคราได้
ความคิดเห็น |
---|