5

บทที่ 5


 

5

 

นคราแยกกับสมาชิกตระกูลฉัตราวุธได้ก็เกือบสองทุ่ม หลังจากตระเวนจัดการรายละเอียดยิบย่อยของการแต่งงานทั้งๆ ที่สามารถใช้บริการบริษัทรับจัดงานที่ไหน หรือให้ลูกน้องในสังกัดของนคราคนไหนไปทำก็ได้ แต่คุณหญิงสรวงสุดากับเจ้าพ่อนาคราชเห็นพ้องต้องกันว่าให้ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดความสนิทสนมใกล้ชิดกันมากขึ้น หารู้ไม่ว่ากลับกลายเป็นทำให้เกิดแต่เรื่องบาดหมางใจกันไม่มีที่สิ้นสุด ถึงขั้นที่ฉัตรระวีหน้าเสียตอนเห็นนคราเดินเข้ามาร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นที่บ้านด้วยสีหน้าหมดความอดทน จวบจนฉัตรระวีเดินมาส่งที่รถแล้วดึงตัวคนที่รักเป็นน้องสาวเข้าไปกอด เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องเก็บอารมณ์ขนาดไหน จากการที่โดนพี่ชายตัวดีรวนใส่มาตลอดบ่าย

“ใจเย็นๆ นะนิคกี้ พี่ฉัตรคงเหนื่อย เลยกวนประสาทแบบนี้”

ฉัตรระวีหาข้ออ้างให้สายเลือดของตัว ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นชายหนุ่มมีอาการเกเรกับใคร ปกติก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผลสมอายุ สมหน้าที่การงานดี แต่มาดใหม่ที่หญิงสาวเห็นวันนี้บอกได้คำเดียวว่างงไม่น้อย มองหน้านคราที่ทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“อย่าถอดใจนะนิคกี้” ฉัตรระวีกลัวใจอีกฝ่ายเหลือเกิน นคราเหมือนคนสองบุคลิก บทจะใจเด็ดใจแข็งก็โหดเหี้ยมได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เวลาถอดหัวโขนลูกสาวเจ้าพ่อ เจ้าตัวก็คือสาววัยยี่สิบเอ็ดคนหนึ่งที่มีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง และอ่อนไหวเหมือนคนธรรมดาดีๆ นี่เอง “เดี๋ยวแต่งกันไปมันก็ดีขึ้น” แล้วก็ใจหายวาบเมื่อนคราส่ายหน้าดิก บอกสิ่งที่ต้องการมาตลอด พูดในสิ่งที่ตัดสินใจแล้ว

“ไม่ค่ะ นิคกี้จะทน ทนจนกว่าจะแน่ใจว่าพี่ฉัตรไม่ได้รัก ถ้าคำตอบมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นิคกี้จะไปแบบไม่ทำให้พี่ฉัตรลำบากใจเลย”

 

หลังจากเลี้ยวรถออกมาจากบรรยากาศชวนร้องไห้ได้ หญิงสาวก็ต่อสายหาเพื่อนสนิทของพี่ชายที่หอบหิ้วกันกลับมาและพักอยู่ที่บ้านหล่อน แต่อีกฝ่ายก็ลี้ภัยออกไปอยู่เกาะหลายสัปดาห์ เพิ่งได้ฤกษ์กลับมาเมื่อสองวันก่อน

“พอล ออกไปหาที่นั่งเล่นกันเถอะ” นคราออกเสียงออดอ้อนตามนิสัยจริงๆ ของตัวเอง เหนื่อยทุกครั้งที่ต้องสวมหน้ากากไปเจอผู้ชายใจร้ายที่หล่อนหลงรัก “นิคกี้เบื่อ กลับบ้านไปก็มีแต่กล้องวงจรปิดเต็มไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้”

ฝ่ายลูกครึ่งรูปหล่อก็ส่งเสียงง่วงมาตามสาย “เบื่ออะไรสาวน้อย จะได้แต่งงานกับชายในฝันทั้งที นิคกี้ควรจะตื่นเต้นมีความสุขสิ” พลพัฒน์บอกเหมือนจะไม่ออกไป “ว่าแต่อยากไปไหนล่ะ”

“ไม่รู้สิ พอลมีชอยส์ให้นิคกี้ไหม”

ด้านคนหล่ออายุไล่เลี่ยกับพี่ชายแท้ๆ ของหญิงสาวก็หัวเราะในลำคอ “จะไปมีได้ยังไง กลับเมืองไทยครั้งหลังสุดเกือบสิบปีแล้วนะ”

“เออ นิคกี้ลืมไป” คนสวยเริ่มหัวเราะได้บ้าง “งั้นแต่งตัวหล่อๆ รอไว้ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วจะได้ออกเลย”

 

เรื่องที่คนนอกไม่เคยรู้คือความสัมพันธ์ระหว่างพลพัฒน์กับนครามีมากกว่าการที่อีกฝ่ายเป็นเพื่อนพี่ชายแล้วมาสนิทกับน้องสาว เพราะในช่วงที่พลพัฒน์มีปัญหาชีวิตจนถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย เนื่องจากเห็นเฮลิคอปเตอร์ของบิดาระเบิดรวมถึงเห็นมารดาถูกยิงต่อหน้าต่อตาทำให้เจ้าตัวป่วยทางจิต นคราเป็นคนเข้าไปพบและกล่อมให้เขาละความคิดที่จะลาโลก ปลอบขู่กันท่าไหนไม่รู้ แต่พลพัฒน์ก็ตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตายและเปิดใจให้นคราอย่างที่สุด

ด้วยเหตุนี้นคราจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พลพัฒน์ไว้ใจและเชื่อใจ จนแท้ที่จริงแล้วถึงขั้นยกหัวใจให้หญิงสาวไปแล้วด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวผู้เป็นน้องสาวของเพื่อนกลับไม่ได้รู้ความอะไร เพราะยังคงเล่าถึงความรักที่มีให้ชายในฝันให้เขาฟังทุกครั้งตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปี แถมหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่หญิงสาวกลับบ้านครั้งสุดท้ายเมื่อห้าปีก่อน ‘นิคกี้เข้าใจเลยว่าทำไมคนเราถึงตกหลุมรักคนที่ช่วยชีวิตเราได้ง่ายๆ’

ครั้งแรกที่นคราพูดประโยคนี้ให้เขาฟัง พลพัฒน์ถึงกับสะดุ้งวาบ นึกว่าหญิงสาวรู้ตัวเข้าให้แล้วว่าเขาแอบรัก แต่ยังไม่อยากสารภาพเพราะเจ้าตัวเพิ่งอายุแค่สิบห้าตอนเขาเริ่มมีความรู้สึกนี้ แต่พอได้ฟังประโยคถัดไปเขาก็หัวร้อนด้วยความหึงหวง

‘พี่ฉัตรที่นิคกี้เล่าให้พอลฟัง เขาช่วยนิคกี้ไว้ พอล ยูรู้ไหม วินาทีที่เราลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าเป็นเขาที่อยู่ตรงนั้น ให้ชีวิตเราอีกครั้ง มันเหมือนมีใครมาเปิดไฟในหัวใจเลยอะ’

ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับรู้ แต่ตอบหญิงสาวในใจว่าเขารู้ดีด้วย เพราะเขาก็มอบหัวใจให้นคราเพราะเหตุการณ์แบบนี้ไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว จากวันนั้นเขาก็บอกตัวเองแค่ว่านคราจะไม่รักเขาก็ไม่เป็นไร แต่เขาจะรักหล่อนแบบนั้นตลอดไป เพราะหล่อนคือคนที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้นครามีความสุขเขายอมได้หมด ขอแค่ให้หล่อนยังวนเวียนอยู่ในชีวิต หล่อเลี้ยงหัวใจที่ไม่เหลือใครก็พอแล้ว

“พอล พอลเคยรักใครแบบนี้ไหม” คนไม่รู้เหนือรู้ใต้สอดแขนเรียวของตัวเองคล้องแขนพลพัฒน์ ก่อนจะทิ้งหัวทุยลงซบต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่าย กิริยาท่าทางสนิทสนมเพราะรู้จักชายหนุ่มมาตั้งแต่ตัวเองอายุสิบสอง คลุกคลีกับเขามาตั้งแต่นมยังไม่ตั้งเต้าด้วยซ้ำ บ่นไปตาก็มองทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ผ่านบาร์รูฟทอปที่หล่อนลากอีกฝ่ายออกมานั่งทอดอารมณ์เป็นเพื่อน ไม่ได้อยากดื่ม ไม่ได้อยากเที่ยว แต่เบื่อและไม่อยากอยู่ในที่ที่มีสายตาของบิดาจับจ้องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็เท่านั้น

“ไม่รู้สิ” คนที่รักคนข้างๆ แต่พอใจจะอยู่แบบนี้ตอบแบบเฉไฉ จนโดนลูกสาวเจ้าพ่อแหวเข้าให้ มือบางหยิกหน้าท้องที่สาวๆ คนอื่นหวังอยากลูบคลำแบบไม่ออมมือ ดูเอาเถอะ มีของดีใกล้มือแล้วก็ไม่รักษา ดีแต่ทำให้เขาช้ำอยู่ได้

“อะไรกัน โตจนป่านนี้ ไม่เคยมีความรักกับเขาหรือไง” คนที่อายุสามสิบนิดๆ หรี่ตามองคนที่เป็นเด็กในสายตาเขา รักจนยอมได้ทุกอย่าง ไม่ต้องเอามาไว้ข้างตัวแบบที่หล่อนอยากเอาชนะชายหนุ่มผู้โชคดีคนนั้น “สาวๆ ของพอลเต็มไปหมด ไม่เคยรักใครสักคนเลยเหรอ”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของผม นี่นิคกี้ลากผมออกมาเพราะเรื่องตัวเองไม่ใช่เหรอ”

พลพัฒน์ไม่เคยแทนตัวเองว่าพี่กับนครา และยืนกรานให้อีกฝ่ายเรียกเขาด้วยชื่อต้นอย่างเดียวโดยไม่ต้องมีคำนำหน้าใดๆ เพราะใจมันคิดกับสาวสวยข้างๆ เกินน้อง ส่วนสาวสวยทำหน้ายู่ แต่ก็ยอมรับว่าใช่

“ก็เผื่อยูอยากแชร์ประสบการณ์ไง บางทีมองจากมุมเรามันก็ไม่ให้คำตอบหรอก”

คนที่รักเขา แต่ผู้ชายไม่รักตอบ ท้อแท้ เจ็บหนึบในหัวใจ จากที่คิดว่าได้ใกล้ชิด ได้แต่งงานจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น แต่ยิ่งทำให้ระทมทุกข์ไปกันใหญ่

“นิคกี้เริ่มจะคิดจริงๆ ว่าที่นิคกี้ตัดสินใจไปมันผิด ไม่ควรอยากเอาชนะเขา ทำให้เขาไม่แฮปปีเลย สุดท้ายคนไม่มีความสุขก็คือนิคกี้เอง เจอเขาใจร้ายด้วยแบบนี้ นิคกี้เจ็บชะมัด” พูดไปก็ถอนหายใจไป พร้อมๆ กับความเจ็บวูบในอก ความรักมันควรทำให้คนมีความสุข ไม่ใช่ทุกข์ในอกแบบนี้

“งั้น...ถ้าบอกว่าความรักคือการเห็นคนที่เรารักมีความสุข ถ้าบอกว่านิคกี้ควรปล่อยคุณหมอไป นิคกี้จะยอมยกเลิกงานแต่งงานไหม”

คราวนี้คนสวยส่ายหน้า เล่นเอาผมยาวที่ทำเป็นลอนไว้แตกกระจาย ลำบากพลพัฒน์ต้องลูบให้เข้าที่ให้อีก หญิงสาวยิ้มหวาน ชอบที่เขาเอาใจดูแลแบบนี้จนติดเขามากกว่านคเรศพี่ชายท้องเดียวกันด้วยซ้ำ

“งั้นแสดงว่าความรักของพอลกับนิคกี้ไม่เหมือนกัน” พูดจบเจ้าตัวก็ยิ้มหวานสดใสตามบุคลิกที่แท้จริง ก่อนจะยืดตัวหอมแก้มคนที่รักเหมือนพี่ชายแท้ๆ บางครั้งใช้เวลาอยู่ด้วยมากกว่านคเรศที่มักจะไปขลุกอยู่ที่บริษัทพ่อเลี้ยง คร่ำเคร่งกับงานไม่ก็เหล่าบรรดาดารานางแบบ

“แต่ยังไงก็ขอบคุณมากที่พอลสแตนด์บายสำหรับนิคกี้เสมอ รักพอลจัง” พูดจบก็หอมแก้มชายหนุ่มอีกรอบ ไม่ได้รู้เลยว่าอีกฝ่ายหวั่นไหวมากแค่ไหน เพราะสิ่งที่พลพัฒน์แสดงออกก็คือการพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ แล้วก็ลูบหัวหล่อนแสดงความเอ็นดูแบบที่ทำมาตลอดเก้าปี

 

เป็นเวลากว่าเที่ยงคืนกว่าทั้งคู่จะตัดสินใจกลับบ้าน พลพัฒน์ยืนสูบบุหรี่รอนคราที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำอยู่ที่บริเวณระเบียงก่อนเข้าตัวตึก นึกถึงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ที่เขาเฝ้ารักเฝ้ารอให้อีกฝ่ายโตพอที่จะมีความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ บอกตัวเองเสมอว่าที่หญิงสาวรู้สึกกับฉัตรบดินทร์เป็นเพียงแค่ความประทับใจ แต่แล้ววันหนึ่งก็พบว่าสิ่งที่เขาเข้าใจนั้นผิดมาตลอด เพราะนครารักฉัตรบดินทร์ฝังรากหยั่งลึกกว่าที่เขาคาดไว้มาก

หน้าหล่อก้มลงมองปลายเท้าตัวเองขณะพ่นควัน นิ้วเรียวขยี้บุหรี่ที่เหลือในที่เขี่ย ก่อนจะสูดลมหายใจระงับความเจ็บร้าวที่ก่อขึ้นในอก บอกตัวเองแบบที่บอกมาตลอดว่าแค่ได้อยู่ข้างๆ ได้ดูแล ได้ปกป้อง ได้เห็นนครายิ้มก็พอแล้ว ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรหมุนระหว่างยกข้อมือดูเวลา แต่กลับชนเข้ากับร่างบางที่ทำท่าเข่าอ่อนทันที

“อุ๊ย!” หญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่มองออกว่าผ่านมีดหมอมาไม่น้อยช้อนตามองเขา

ชายหนุ่มเห็นแววพึงใจในนั้น แต่พลพัฒน์ก็ขยับตัวออก ไม่เคยนึกอยากใกล้ชิดผู้หญิงคนไหนมากกว่านครา

“โทษทีครับ” ชายหนุ่มเลือดผสมบอกเป็นภาษาไทยชัดแต่ไม่มาก

หญิงสาวยิ้มกว้างขึ้นไปอีก บุรุษหน้าตาหล่อจัดขนาดเป็นดาราได้สบาย กอปรกับกิริยาท่าทางที่ฉายชัดถึงความเป็นผู้ดี เล่นเอาปิ่นนภาเลือดวิ่งพล่านด้วยความอยากรู้จักทันที

“ไม่เป็นไรค่ะ” ตาหวานช้อนตอบ ใส่จริตแบบที่ผู้ชายตกหลุมมานักต่อนัก “ปิ่นไม่เจ็บ แต่ไม่ทราบว่าคุณ...เอ่อ...”

“พอลครับ” อีกคนก็ตอบไปตามมารยาท มองออกตั้งแต่แวบแรกว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร เขาไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าคนตรงหน้าจะเอื้ออำนวย เขาก็ยินดีตอบสนองตามประสาผู้ชาย

“ค่ะ ว่าแต่คุณพอลไม่ได้บาดเจ็บเพราะปิ่นใช่ไหมคะ” มือบางแตะลงบนท่อนแขนที่รั้งไม่ให้หล่อนล้มเมื่อครู่ หยุดยั้งเมื่อเขาทำท่าจะปล่อย “ปิ่นขอโทษนะคะ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ” พลพัฒน์ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเพิ่มเสน่ห์ให้หน้าหล่อเหลายิ่งขึ้น ละมือออกจากแขนเรียวเสลา แต่ยังมีลีลาอ้อยอิ่งแบบเสือจะล่าเหยื่อ

“แล้วนี่คุณพอลจะกลับแล้วเหรอคะ” ดูจากเวลาแล้วชายหนุ่มคงไม่ได้เพิ่งมาถึง แถมยังได้กลิ่นเหล้าจางๆ ที่โชยปนกับกลิ่นหอมของ บุลการี ปูร์ ออมม์ ซัวร์

“เหมือนปิ่นเลย แล้วนี่มากับแฟนหรือเปล่า ปิ่นเกะกะไหมคะ” คำถามอยากรู้อยากเห็น แต่คนเอ่ยเข้าใจพูดเสียน่าฟัง

“มากับเพื่อนสนิทครับ” พลพัฒน์ตอบตามความจริง โดยไม่รู้ว่าในสังคมไทยนั้นความหมายดังกล่าวกำกวมมากแค่ไหน “เข้าห้องน้ำอยู่”

“เสียดายจังนะคะ นึกว่าจะได้เลี้ยงขอโทษคุณพอลสักดริงก์” ปิ่นนภาเชิญชวนเปิดเผย หมดยุคสมัยนั่งรอให้ผู้ชายเข้าหาแล้ว “เอาเป็นว่าปิ่นขอเบอร์คุณพอลไว้ได้ไหมคะ เผื่อวันไหนคุณพอลสะดวกให้ปิ่นไถ่โทษ”

“เอาสิครับ ผมอยู่เมืองไทยก็มีเพื่อนสนิทแค่คนเดียว แถมเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ค่อยจะมีเวลาให้ผมแล้ว” ถึงแม้จะรักนคราก็ไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มจะต้องถือศีลอด ไม่แตะต้องเนื้อตัวสตรี ยิ่งสตรีงดงามที่เปิดโอกาสให้แบบนี้ ใครไม่เอาก็โง่แล้ว

ไม่ถึงนาทีสองหนุ่มสาวก็แลกช่องทางการติดต่อกันเป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่ปิ่นนภายังหว่านเสน่ห์อยู่ แต่พลพัฒน์กลับตัดบททันทีที่เห็นนคราเดินออกมาจากประตูห้องน้ำ

“ผมขอตัวดีกว่า เพื่อนผมมาแล้ว ยังไงไว้ว่ากันนะครับ”

หนุ่มหล่อมาดดีแต่แต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตผ้าป่านปล่อยชายสีขาวกับกางเกงสีกากีและรองเท้าลำลองง่ายๆ สีแมตช์กัน ดูดีมีออร่าฉายชัด จนเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์คนสวยแห่งโรงพยาบาลยักษ์ใหญ่มองตามตาปรอย และอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อเห็นว่า ‘เพื่อนสนิท’ ที่พลพัฒน์พูดถึงเป็นใคร

“นั่นมัน...” คนเสียงหวานเอ่ยกับตัวเอง เมื่อเห็นนคราในชุดที่หล่อนเห็นวันนี้เมื่อตอนบ่ายที่โรงพยาบาลเดินยิ้มร่าออกมาจากห้องน้ำแล้วคล้องแขนกับพลพัฒน์ ขณะที่ฝ่ายชายก็ปล่อยให้หญิงสาวเกาะแขนอยู่ครู่เดียว ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถมาโอบบ่าบางรั้งเข้าหาตัวแล้วหอมศีรษะทุย แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมแบบไม่มีทางที่เพื่อนจะทำกับเพื่อน

ปิ่นนภารีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาบันทึกทั้งภาพนิ่งและเคลื่อนไหวไว้ทั้งๆ ที่ยังไม่มีแผนอะไรในหัว แสยะยิ้มแล้วมองนคราจากด้านหลังตั้งแต่ศีรษะจดเท้าด้วยแววตาที่ไม่มีใครอ่านออก

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น