8

บทที่ 8


 

8

 

“สวยมาก” ช่างแต่งหน้าชื่อดังวางพู่กันทาปากลงหลังจากแต่งแต้มใบหน้าที่งดงามตามธรรมชาติรอบสุดท้าย “นี่เป็นคนแรกนะ ที่พี่แต่งแล้วไม่ต้องใส่ขนตาปลอม หน้างี้เห็นทีแรกนึกว่าลูกครึ่ง”

หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ รับคำชม ได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร คงเป็นเพราะดวงตาเฉดสีน้ำตาลอ่อนล้อมกรอบด้วยแพขนตาทั้งยาวทั้งหนา รับกันพอเหมาะกับจมูกโด่งเรียวและปากรูปกระจับสีแดงสด ไม่นับผมยาวสีน้ำตาลอ่อนแบบธรรมชาติที่วันนี้เกล้าไว้เป็นมวยต่ำ เผยหน้าสวยให้จับตาทุกคน

นครายืนขึ้นบิดร่างกายเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ หลังจากนั่งนิ่งๆ ให้ช่างมากฝีมือทั้งหลายมะรุมมะตุ้ม ก่อนจะก้าวไปทางห้องน้ำที่พี่เลี้ยงแขวนชุดสำหรับงานเช้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเลือกตัดชุดเองจากดีไซเนอร์ชื่อก้องในเมืองไทย มากกว่าที่จะใช้ชุดไทยตามที่นิยมกันอยู่

ไม่นานหล่อนก็กลับออกมาในชุดลูกไม้สีงาช้างปาดไหล่เผยบ่าเนียน แขนยาวจนถึงข้อมือ ช่วงล่างเป็นกระโปรงลูกไม้เนื้อเดียวกันทรงสอบยาวคลุมเข่าแบบเปลือยปลายเน้นดีไซน์หรูหรา เรียกเสียงชมจากคนทั้งห้องได้อีกครั้ง

“เห็นละเสียดาย อยากเก็บนิคกี้ไว้ให้หนุ่มๆ ที่อเมริกาเสียจริงๆ” มารดาหล่อนยิ้มพรายแล้วพูดเสียงใส ใครจะรู้ว่าหนุ่มที่โน่นตามจีบนครามากขนาดไหน แถมแต่ละคนมีดีกรีดีๆ เป็นลูกรองประธานาธิบดีบ้าง ลูกเจ้าของบริษัทใหญ่โตบ้าง เรียกว่ารวยล้นฟ้ากว่าพวกฉัตราวุธไม่รู้กี่เท่า นี่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่ฉัตรบดินทร์ที่ลูกสาวหล่อนหลงใหลได้ปลื้มมานาน มาดามซาแมนธาหรือคุณสุมณทาคงได้มีคัดค้านอดีตสามีกันบ้าง

“มานี่มา แม่ให้ต่างหูคู่นี้ ถือว่าเป็นของเก่า” ตามธรรมเนียมตะวันตก เจ้าสาวต้องใช้ของใหม่ ของเก่า ของขอยืม ของสีฟ้า และเงินหกเพนนีในงาน เป็นการถือเคล็ดอย่างหนึ่ง

This is something old แม่ใส่คู่นี้ตอนแม่แต่งงานกับพ่อหนู แล้วก็ใส่คู่นี้ตอนแต่งงานกับแด๊ดนะ ใส่แล้วก็เก็บไว้ ให้ลูกสาวหรือลูกสะใภ้ใช้เป็นของสืบทอดกันต่อไป”

นครายิ้มกว้างเมื่อรู้ถึงที่มาของของสำคัญ

“ส่วนนี่...” มารดาชูสร้อยข้อมือแบบไดมอนด์ไลน์เม็ดไม่เล็กรวมกันได้หลายกะรัตให้ชม ก่อนจะพาดลงบนข้อมือขวาของบุตรสาว “Something new แม่ให้หนูเป็นของขวัญ”

“ส่วนของขอยืม Granny...” สุมนทาเอ่ยถึงแม่สามีใหม่ผู้ครองคู่กับคู่ชีวิตยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ “ฝากมาให้ใช้” มือบางของมารดาค่อยๆ รัดที่รัดผมซึ่งทำจากเพชรแท้รอบมวยผมลูกสาว เพิ่มความหรูหราให้องค์ประกอบทั้งหมดมากขึ้นไปอีก

“สีฟ้าก็คงไม่ต้องเพราะเล็บมือหนูจัดการมาแล้ว” หญิงวัยห้าสิบมองลูกสาว ถึงแม้ว่าครึ่งแรกของชีวิตจะไม่ได้เลี้ยง แต่เก้าปีที่ผ่านมาหล่อนก็เป็นคนฟูมฟัก ขัดเกลาจนนคราเติบโตมาแบบทุกวันนี้ น้ำตาเริ่มคลอด้วยความซาบซึ้งเมื่อจะเห็นลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา

“สุดท้าย เงินหกเพนนี แม่ไม่มี แต่...” ขึ้นชื่อว่าเป็นอดีตเมียเจ้าพ่อและมาดามของเจ้าของบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาแล้ว คนอย่างสุมณทาก็ควักธนบัตรฉบับละร้อยยูเอสดอลลาร์ออกมา พับใส่ไว้ที่พื้นรองเท้าลูกสาว เพื่อให้ครบถ้วนตามประเพณี “เท่านี้ก็เรียบร้อย”

นคราได้แต่กะพริบตา พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมาทำลายความสมบูรณ์แบบบนใบหน้าที่หล่อนเสียเวลานั่งนิ่งตั้งสองชั่วโมง ก่อนจะโผเข้ากอดมารดาแน่น รับรู้มาตลอดว่าท่านรักหล่อนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร

“นิคกี้รักคุณแม่ ขอบคุณนะคะ ที่เลี้ยงนิคกี้มาจนทุกวันนี้”

“แม่ก็รักนิคกี้ รักมาก ถึงยอมให้มีงานวันนี้ เพราะรู้ว่าหนูรักเขา แต่แม่ขอนะ หากวันใดที่รักเขานานพอที่จะรู้ว่าเขาไม่รักเรา ขอให้กลับมารักตัวเอง และขอให้จำไว้ว่าทุกคนในชีวิตนิคกี้รักนิคกี้มาก นิคกี้จะไม่มีวันอยู่คนเดียว”

คนเป็นแม่สอนลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาของคนอื่น มือบางที่ถอดแบบกันมาทางพันธุกรรมเลื่อนกุมมือบุตรสาวแสนสวยไว้ พยักหน้าบอกเป็นสัญญาณว่าได้เวลาต้องลงไปร่วมพิธีด้านล่างแล้ว

 

บรรยากาศงานมงคลในวันนี้ถูกบอกกล่าวเฉพาะกลุ่มคนสนิท และคนที่มีประโยชน์ในการกระจายข่าว ถึงกระนั้นจำนวนแขกในงานก็ยังขึ้นหลักร้อย โดยมีเพื่อนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาร่วมงานกันรวมๆ แล้วยังไม่ถึงห้าสิบคน ที่เหลือเป็นแขกเหรื่อของผู้ใหญ่ทั้งสิ้น

พิธีที่นิยมกันแบบกั้นประตูเงินประตูทองผ่านไปแบบง่ายๆ เนื่องจากเพื่อนสนิทของหญิงสาวเป็นชาวต่างชาติที่ไม่ค่อยเข้าใจพิธีไทยมากนักเลยไม่มีใครเสนอตัวเข้าร่วม ดังนั้นในพิธีจึงมีแต่ประตูเงินของฉัตรระวี น้องสาวเจ้าบ่าวที่ประกาศกร้าวว่าขอย้ายเข้าครองตำแหน่งเพื่อนเจ้าสาวคู่กับบอดีการ์ดหน้าตี๋ของนคราอย่างภูมิ ในขณะที่ประตูทองเป็นของพี่ชายแพ็กคู่ มีพลพัฒน์กับนคเรศยืนทำหน้าเครียดเหมือนไม่อยากให้น้องสาวแต่งงาน ถึงจะดูนิ่งๆ เงียบๆ แต่เมื่อพี่ชายตัวจริงก้มกระซิบถามเจ้าบ่าวเป็นการส่วนตัวหลังจากดึงดันไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้าไปอยู่นาน เจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก ก่อนจะพยักหน้ารับท่าทางจริงจัง เท่านั้นนคเรศก็หย่อนสร้อยเส้นที่กั้นไว้โดยไม่รับซองเพิ่ม ก่อให้เกิดความสงสัยจากคนทั่วงานว่าคำถามคืออะไร และการพยักหน้านั้น ดีกว่าซองขนาดไหน จนฉัตรระวีซึ่งได้ที่นั่งติดกันตอนเริ่มพิธีบนเวทีอดถามไม่ได้

“พี่หนามถามอะไรพี่ฉัตรคะ” คนเสียงใสถามดังพอแค่ได้ยินกันสองคน นิ้วเรียวทัดผมไว้หลังหูด้านซ้ายเปิดรับฟังคำตอบเต็มที่

แต่อีกฝ่ายก็ยียวน ไม่ตอบ กลับใช้ปลายนิ้วเขี่ยหัวเข่าสาวสวยข้างๆ ที่โผล่พ้นชายกระโปรงออกมา หน้าหล่อส่ายน้อยๆ เลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางกวนประสาทเป็นที่สุด

“ความลับค่ะ” คนเสียงทุ้มตอบกลับ ลงท้ายคะขาเสียจนคนฟังใจสั่น ขยันอ่อยแบบนี้จะให้ฉัตรระวีไม่หวั่นไหวได้อย่างไร

“ฮือ” หญิงสาวครางแบบขัดใจ เล่นเอาชายหนุ่มร่างใหญ่หัวเราะ เปลี่ยนท่ามาเป็นพาดแขนยาวไปตามพนักเก้าอี้ เหมือนโอบแสดงความเป็นเจ้าของอีกฝ่ายกลายๆ โดยที่ฉัตรระวีก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะมัวแต่อยากได้คำตอบจากหนุ่มฮอตข้างๆ อยู่

“บอกเถอะนะคะ ระวีอยากรู้ ทนไม่ไหวแล้ว” หน้าเฉี่ยวหันหาเขา ออดอ้อนเต็มที่แบบที่ผู้ชายที่ไหนก็อ่อนให้

แต่สงสัยคู่สนทนาในวันนี้จะมีภูมิต้านทานดีหรือไม่ก็ศีลเสมอกันมากไปหน่อย คนรูปหล่อเลยไม่อ่อนยวบใส่หล่อนเหมือนคนอื่น

“มีอะไรตอบแทนพี่คะระวี จะแลกความลับของพี่กับอะไรดีเอ่ย”

คราวนี้ฉัตรระวีสะบัดหน้าหนี ไม่ยอมเล่นตามเกมของอีกฝ่าย รู้ดีว่าคำถามล่อแหลมของเขาต้องการคำตอบแบบไหน ถึงแม้จะมีใจ แต่ยังไม่วางใจเพราะรู้กิตติศัพท์เรื่องความเป็นเพลย์บอยตัวพ่อทั้งที่ประเทศไทยและที่อเมริกาเป็นอย่างดี

“แน่ใจเหรอคะ ว่าเรื่องที่ระวีอยากรู้มีค่าเท่าสิ่งที่ระวีต้องเสีย” คนตาหวานทิ้งสายตามองคนรูปหล่อข้างๆ ยอมรับว่าเสน่ห์ของเขาทำเอาเลือดหล่อนสูบฉีดเกินปกติ แต่จะให้กระโจนเข้าใส่ความสัมพันธ์ก็ดูจะเป็นการเสี่ยงมากไปหน่อย เพราะรู้ไส้รู้พุงกันดีทั้งสองฝ่าย

“เอาเป็นว่าระวีไม่ถามพี่หนามให้ลำบากใจแล้วดีกว่า” ฉัตรระวีขยับตัวออกห่าง ถึงแม้เพียงไม่กี่นิ้ว แต่ก็พอที่จะทำให้นคเรศรู้สึกได้ว่าหล่อนไม่เล่นด้วย

ชายหนุ่มตัวโตก้มลงกระซิบข้างหูหล่อน “พี่ว่าจบงานนี้เราสองคนคงต้องคุยกันจริงๆ จังๆ อ่อยกันไปอ่อยกันมาแบบนี้ เมื่อไหร่จะได้กินกัน เตรียมตัวนะครับ เสร็จจากพิธีพี่ขอตกลงอะไรนิดหน่อยนะครับ”

แค่นั้นฉัตรระวีก็นั่งไม่เป็นสุขอีกเลย หูเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีที่เขาพูดจบ สัมผัสได้ถึงคำว่า ‘เอาจริง’ ที่เขาส่งมาทางสายตา หล่อนสงบจิตใจครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ชวนให้เขาดื่มด่ำกับพิธีการตรงหน้า

“โอ๊ย พี่หนามอย่ามาไร้สาระ โน่นค่ะ เราดีใจไปกับพี่น้องเราดีกว่า ดูสิคะ นิคกี้สวยมาก ถ้าพี่ฉัตรไม่ตกหลุมรัก ระวีว่าบ้าเต็มที” สาวสวยเปรี้ยวจี๊ดพยักพเยิดให้คนข้างๆ มองพ่อแม่ตัวเองแจกแจงสินสอดมูลค่ามหาศาล

“นี่คุณพ่อคุณแม่ทุ่มสุดตัว ทุ่มจนไม่รู้ว่าเหลืออะไรให้ระวีบ้าง” สตรีร่างเย้ายวนขยับสลับขาเพื่อไขว่ห้าง เปลี่ยนอริยบท จนนคเรศต้องขยับปกเสื้อดับอาการร้อนรุ่มที่เกิดขึ้น ก็ขายาวเรียวสีน้ำผึ้งสะท้อนไฟเสียจนเขาตาพร่า ต้องวางมือหนาลงบนขาอ่อนทำให้เจ้าของเนื้อเนียนสะดุ้ง

“นั่งนิ่งๆ เลยนะระวี หยุดสลับขาไปมาได้แล้ว ถ้าไม่อยากแต่งตามนิคกี้วันนี้ ส่วนเรื่องมรดกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวตอนพี่ไปขอเราจะทอปอัปให้จนเกินคุ้มเลยละ”

 

“สินสอดที่เตรียมมานี้ หวังว่าคุณนาคกับคุณสุคงจะไม่รังเกียจนะคะ”

คุณหญิงสรวงสุดาเป็นคนออกโรงเจรจาเองแบบไม่ต้องมีผู้ใหญ่ฝ่ายชายให้ยุ่งยาก ด้านเจ้าสาวก็มีพ่อแม่ทั้งสามนั่งเป็นเจ้าภาพแบบกันเองเช่นเดียวกัน

“เกินพอดี คุณหญิง” เป็นฝ่ายเจ้าพ่อที่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รู้สึกเหมือนคนสมใจทุกประการเมื่อรู้ว่าต่อจากนี้นคราจะมีคนคอยดูแลหากเขาเป็นอะไรไป ส่วนสินสอดที่ได้มานั้นถึงแม้จะประกอบไปด้วยเงินสดเกินเก้าหลัก หุ้นโรงพยาบาลอายุวัฒน์จำนวนพอๆ กับทายาททั้งสอง เครื่องเพชรชุดใหญ่อีกห้าชุด รวมไปถึงโฉนดที่ดินบริเวณที่เป็นเรือนหอ รวมถึงกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวล้วนเป็นชื่อของนครา แต่ก็ไม่ได้สร้างความสำราญใจให้เจ้าพ่อใหญ่เท่ากับลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝา “ว่าไงคุณแม่ ขัดข้องไหม”

เจ้าพ่อใหญ่หันไปถามอดีตภรรยา ที่นั่งหน้าเปื้อนยิ้มไม่ต่างกัน

“ไม่ค่ะ ยินดี แล้วน้าก็ฝากน้องด้วยนะฉัตร”

“ถ้าอย่างนั้น จริงๆ ก็ได้เวลาตามฤกษ์แล้ว ฉัตรสวมแหวนให้น้องได้เลยลูก”

คุณหญิงสรวงสุดาเลื่อนพานแหวนข้างๆ ลูกชายที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้า ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับคำมารดาด้วยท่าทีโอนอ่อน เปิดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน ก่อนจะหยิบแหวนเพชรน้ำงามเม็ดเขื่องขนาดแปดกะรัต ส่องประกายแวววาว

คนหน้าหล่อสบตาคนตรงหน้าที่กำลังจะเป็นภรรยาเขาในไม่ช้า พยักหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มด้วยความพอใจ นคราสวยหวานน่ารักไปทั้งตัว ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายมองเขากลับมา หน้าสวยที่วันนี้ตกแต่งไว้อย่างประณีตเป็นพิเศษจับตาเขายิ่งนัก

พอหล่อนเห็นฉัตรบดินทร์ยิ้มให้ เจ้าตัวก็ยิ้มน่ารักกลับไปทันทีด้วยความสุขไม่แพ้กัน ก่อนจะยื่นมือบางให้เขา ในขณะที่ฉัตรบดินทร์ก็จ่อแหวนเข้ากับปลายนิ้วทันที แต่หยุดชะงัก ไม่ยอมสวม และเอ่ยเรียกนคราที่ก้มหน้ามองแหวนอยู่

“นิคกี้” ครั้งแรก...ครั้งแรกหลังจากที่เกิดเรื่อง ที่ฉัตรบดินทร์เรียกชื่อหล่อน

หญิงสาวได้แต่เงยหน้าขึ้นตามเสียง ตาโตฉายแววสงสัยเล็กน้อย หวั่นใจว่าเขาจะเปลี่ยนใจไม่ยอมเข้าพิธีสำคัญ​จนหน้าชาเมื่อนึกถึงความอายที่จะเกิดขึ้น แต่แล้วหน้าสวยก็แดงซ่านเพราะสิ่งที่ได้ยิน ขณะที่ชายหนุ่มจดแหวนลงสู่ปลายนิ้ว ตาคมกริบจ้องลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนไม่วาง พร้อมกับเสียงทุ้มดังขึ้นพอให้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ได้ยินทั่วกัน

“ยินดีต้อนรับสู่ฉัตราวุธครับ”

 

เมื่อเสร็จเรื่องตามประเพณี สองหนุ่มสาวพร้อมด้วยสักขีพยานที่เป็นสมาชิกทั้งหมดในครอบครัวก็ย้ายเข้าไปในห้องประชุมใหญ่ เพื่อลงชื่อในทะเบียนสมรส โดยแขกเหรื่อที่เหลือมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทรับจัดงานคอยดูแลในเต็นท์จัดเลี้ยงติดแอร์ รอเวลาระหว่างบ่าวสาวหมาดๆ นั่งเคียงคู่กัน ในขณะที่ผู้อำนวยการเขตยื่นทะเบียนสมรสมาให้ตรงหน้า

“สินสอด สินเดิม ผมระบุไว้ให้แล้วนะครับ”

“ส่วนทางนิคกี้ก็ไม่ต้องการเซ็นสัญญาก่อนสมรสค่ะ นิคกี้ไว้ใจพี่ฉัตร” ในเมื่อเขายกทรัพย์สินมหาศาลให้หล่อนเพื่อเป็นสินสอดตามธรรมเนียม หล่อนก็แสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่กีดกันเขาออกจากทรัพย์สินของตัวเอง

“แล้วพี่ฉัตรก็ไว้ใจได้ว่าต่อให้เราหย่ากัน นิคกี้จะไม่เอาอะไรจากพี่สักแดงเดียว” หล่อนทำหน้าเครียดให้เขารับรู้ถึงความจริงใจ

แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายดุเข้าให้ระหว่างที่เขาลงชื่อในเอกสาร “วันดีๆ มาพูดเรื่องหย่า บ้าหรือไง”

ได้ยินแบบนั้นนคราก็หุบปากฉับ อุตส่าห์แสดงความจริงใจ เป็นตัวเองอย่างที่พี่ชายสอน แต่กลับได้ผลตอบแทนแบบนี้กลับมา คนสวยก็เลยหน้าเจื่อนอย่างเห็นได้ชัด

“วันดีๆ ก็ไม่ดุน้องเหมือนกันฉัตร” คุณหญิงแม่ปรามบุตรชายบ้าง

เมื่อคนที่ลงชื่อแล้วได้ยินมารดาบอกดังนั้นก็หันมองคนข้างๆ ใจวิบๆ ทันทีที่เห็นอีกคนหน้าเจื่อน กัดริมฝีปากอิ่ม เลยเอาใจด้วยการยื่นแฟ้มทะเบียนสมรสให้ เพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศพอกัน

“เซ็นซะ เดี๋ยวจะได้ออกไปทานข้าวกัน ตื่นตั้งแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” เสียงที่ดุเอาเรื่องเมื่อครู่อ่อนลง ก่อนจะพยักหน้าเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“ป้ะ ผอ. เขาจะได้กลับ เสร็จเรื่องแล้วเราต้องไปบ้านโน้นกันอีก” คนที่แก่กว่าสิบห้าปีตะล่อม ง้อกลายๆ

แต่คนข้างๆ ไม่รับรู้ ได้แต่รับปากกาไปแล้วจัดการในส่วนของตัวเองจนเรียบร้อย หน้านิ่งเรียบเสียจนฉัตรบดินทร์อยากตบปากตัวเองที่เอานิสัยดุลูกศิษย์มาใช้กับคนข้างๆ

“ยินดีด้วยนะครับ ตอนนี้ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้มีความสุขในชีวิตสมรสครับ”

หมดหน้าที่แล้วบุคคลที่เกี่ยวข้องก็ลากลับไป เหลือเอกสารสำคัญของทางราชการไว้ให้สามีภรรยาหมาดๆ ที่ต่างฝ่ายต่างมองกระดาษตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง

นครามองลายกระดาษตรงหน้า ดีใจเพราะได้แต่งงานกับคนที่หล่อนรัก แต่ก็ไม่มั่นใจว่าสถานะใหม่ที่เพิ่งได้รับจะยืนยาวแค่ไหน

ส่วนชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ เขาก็มีเมีย เมียที่เด็กกว่าสิบห้าปี เด็กที่เขาเห็นมาตั้งแต่เกิด เด็กที่ทำให้เขาโดนแม่โยนข้อหาโลลิคอนให้เมื่อหกปีก่อน เล่นเอาเขาเป๋ไปไม่เป็นจนต้องสร้างเกราะป้องกันนคราจากหัวใจตัวเอง

เมื่อได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเขาก็จำหล่อนได้ตั้งแต่วินาทีที่เดินชนกัน แต่ความขุ่นมัวที่โดนมารดาเป่าหูว่าต้องแต่งงานบดบังโอกาสที่จะเปิดใจทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงจนกลัวอีกฝ่ายจะรู้ พอมาวันนี้ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจากที่โกรธจนควันออกหู ค้านหัวชนฝา เกลียดวิธีที่นคราทำจนได้แต่งงานกัน ทำไมกลับมีความอิ่มเอมผุดขึ้นเล็กๆ ในใจ

ชายหนุ่มละสายตาจากกระดาษตรงหน้า หันมองคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยา ก่อนจะลุกขึ้นเรียกคนที่เขาต้องดูแลให้ลุกขึ้นด้วยเมื่อพิธีที่สองเสร็จสิ้นแล้ว

“ไปไหม ต้องเปลี่ยนชุด เข้าห้องน้ำอะไรหรือเปล่า” คนเสียงทุ้มถามขึ้นอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่นคราเคยได้ยินมา

ตาหวานเลยวาวเป็นประกายด้วยความพอใจ ยิ้มน่ารักให้เขาไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรของวัน ความขุ่นมัวเมื่อครู่หายวับไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

“ค่ะ พี่ฉัตรเปลี่ยนไหมคะ” เมื่อเขาดีมาหล่อนก็ดีกลับ ลุกขึ้นเดินตามหลังสามี

อีกฝ่ายก็ผ่อนความเร็วลงจนเหมือนเดินเคียงคู่กัน เรียกรอยยิ้มจากคนในครอบครัวได้ ถ้าคนหนึ่งยอมผ่อน อีกคนก็ยอมอ่อน มันถึงจะอยู่กันได้

“นิดหน่อย ว่าแต่ใช้ห้องเราได้ใช่ไหม” ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องไปใช้ห้องไหน

แต่เสียงตอบรับกลับเป็นของพี่เมียหมาดๆ “ทำไมจะไม่ได้พี่ฉัตร” คนตัวโตมีน้องสาวเขายืนอยู่ข้างๆ

“เป็นผัวเมียกัน นอกจากใช้ห้องเดียวกันแล้ว พี่ต้องนอนเตียงเดียวกันกับน้องสาวผมด้วย ดังนั้นที่พี่พูดเมื่อกี้เรื่องเล็ก ป่านนี้เด็กมันยกของที่พี่ต้องใช้เข้าไปในห้องนิคกี้หมดแล้วด้วยซ้ำ” พูดจบนคเรศก็ปรายตามองคนรับใช้ในบ้าน ท่าทางน่ายำเกรงฉายรังสีมาเฟียชัดกว่าผู้เป็นพ่อ จนสาวใช้ทำหน้าเจื่อนด้วยความหวาดกลัวทุกครั้งที่คุณหนามเรียกใช้

“พาคุณฉัตรขึ้นห้อง แล้วนี่หายไปไหนกันหมดบ้าน” เสียงกังวานเหมือนจะเอาเรื่อง เล่นเอาคนรับใช้ยิ่งหัวหดลงไปอีก “ทำไมไม่มีใครมาช่วยประคองนิคกี้ ชุดยังงี้จะเดินยังไง”

นคเรศพูดแค่นั้น ภูมิที่ยืนไม่แสดงตัวอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น เตรียมทำหน้าที่ปกป้องดูแลประคับประคองนคราแบบที่เคยทำมาตลอด แต่คราวนี้ฉัตรบดินทร์กลับหันไปสบตาบอดีการ์ดประจำตัวภรรยา หยุดอีกฝ่ายไว้ โดยที่ภูมิเองก็รับรู้ความหมายได้ จึงยืนนิ่งทันที

“ภูมิไม่ต้อง เดี๋ยวผมช่วยนิคกี้เอง ขอบคุณนะครับ” สามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของนครามองคนอารักขาวัยสามสิบสี่ ปรามให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่สามารถเข้าใกล้ภรรยาเขาได้แบบเมื่อก่อนอีกแล้ว

หน้าหล่อเหมือนดาราเกาหลีแบบที่ใครๆ ก็ต้องเรียกว่าเป็นอปป้าขึงตาใส่ชายอื่นเสร็จก็ปรับสีหน้าให้อบอุ่นขึ้น และหันไปหาญาติที่เหลือที่ยืนอยู่รอบๆ

“ขอเวลาส่วนตัวกันสักครู่ครับ เชิญทุกท่านรอในเต็นท์เลยก็ได้”

 

ฉัตรบดินทร์ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวปักอักษรย่อของนคราที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบบนชั้นข้างอ่างล้างหน้า มือหนาปลดเนกไทสีเทาควันบุหรี่ออก ก่อนจะจัดคอเสื้อให้ดูลำลองขึ้น โดยที่ยังไม่ถอดทั้งเสื้อกั๊กตัวใน ทั้งสูทตัวนอก

ชายหนุ่มมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ก่อนจะพบว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขามีรอยยิ้มเจืออยู่ ตาคมกริบที่เคยใช้ตำหนินักศึกษาแพทย์ได้ดีกว่าคำพูดก็ส่องประกายระยิบระยับแบบคนได้ของถูกใจ จนคุณหมอใหญ่อดส่ายหัวให้ความจริงที่รู้อยู่คนเดียวไม่ได้ว่า เขานั้นสมปรารถนามากแค่ไหนเมื่อได้แต่งงานกับนครา

คนหน้าหล่อยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเองในกระจก เมื่อนึกถึงว่าคนรอบกายเขาต่างจับอาการได้ แต่ต่อให้สมใจเพียงใด เขาก็จะยังไม่ยอมเผยความจริง แต่จะยอมทำตามที่พี่เมียขอร้องไว้ตอนตั้งขบวนขันหมาก ถ้านครายังสวมหน้ากากอยู่ตามที่นคเรศบอก

‘พี่ฉัตรจ่ายน้อยแบบนี้ เห็นน้องสาวผมมีค่าบ้างหรือเปล่า’ นคเรศถามหน้านิ่งๆ ยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ท่าทางกวนประสาทคนได้เป็นอย่างดี

สิ้นประโยคนั้นฉัตรบดินทร์ก็ยื่นซองหนาๆ ให้อีก แถมทำท่าจะหยิบสมุดเช็คออกมาจากกระเป๋าสูทด้านใน ทว่าลูกชายเจ้าพ่อ ลูกเลี้ยงมหาเศรษฐีระดับโลกรั้งข้อมือน้องเขยไว้ ดึงอีกฝ่ายเข้าหาก่อนจะขอร้องแบบลูกผู้ชาย พูดเสียงดังแค่พอได้ยินกันสองคน

‘ที่นิคกี้เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เธอ มันเป็นเกราะที่เธอสร้างขึ้นมาป้องกันความใจร้ายของพี่ ในเมื่อเราต่างฝ่ายต่างรู้กันดีว่าพี่เองก็รู้สึกกับนิคกี้แบบไหน ต่อให้พี่ไม่ยอมรับ แต่ผมขอ พี่ลองวางทิฐิ แล้วลองพยายามถอดหน้ากากนิคกี้ดู เชื่อผมสิ แล้วพี่จะรู้ว่าพี่โชคดีที่ได้แต่งงานกับน้องสาวผม’

ทบทวนอยู่ไม่นาน คนรูปหล่อร่างใหญ่ก็เดินออกมาจากห้องน้ำหรูหราของภรรยา ก่อนจะพบว่าสาวสวยโดนช่างผมเปลี่ยนทรงผมให้ ด้านหน้ารวบโชว์เครื่องหน้าสวย มีโบเล็กๆ กลางกระหม่อม ส่วนที่เหลือปล่อยยาวสยายเป็นคลื่นสวยเต็มหลัง ชุดเปิดไหล่ที่สวมเมื่อเช้าก็เปลี่ยนเป็นเดรสคอเหลี่ยมแขนกุดสีเงิน ด้านล่างพองเป็นสุ่ม ปักมุกเล็กๆ ตามชายกระโปรง ดูหรูหรา น่ารัก  หน้าสวยจับตาหันมามองเขาทันทีที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว และคลี่ยิ้มเป็นการต้อนรับ ยังขยับตัวไม่ได้เนื่องจากผู้ช่วยทั้งหลายยังจับโน่นขยับนี่บนตัวหล่อนอยู่

“พี่ฉัตรเสร็จไวจัง ไม่เปลี่ยนชุดจริงๆ หรือคะ” นคราถามด้วยความเอาใจใส่ ท่องไว้ว่าให้เป็นตัวเองมากที่สุดตามที่พี่ชายสอน พยายามไม่ถือโทษโกรธเคืองไม่ว่าฉัตรบดินทร์จะทำหน้านิ่ง ทำเสียงดุแค่ไหน ตั้งใจจะทำให้เต็มที่ ถ้ามันไม่มีอะไรดีขึ้นก็จะยอมเดินออกไปจากชีวิตเขาแต่โดยดี

“นิคกี้จะเสร็จแล้ว รอแป๊บหนึ่งได้หรือเปล่าคะ” หญิงสาวก้มหัวขอบคุณผู้คนทั้งหลายที่ล้อมรอบตัวหล่อนอยู่

ในขณะที่ชายหนุ่มเดินไปนั่งรอบนโซฟาในห้องแต่งตัว พยักหน้ารับแล้วบอกเสียงเรียบ แต่ดูตามใจพิกลจนเจ้าสาวอดขมวดคิ้วไม่ได้

“ได้สิ รอตรงนี้แหละ” เขาเพิ่งนั่งลงมองคนสวยหันซ้ายหันขวาอยู่หน้ากระจกได้ไม่นาน หล่อนก็เดินมาเลือกรองเท้าอยู่ตรงชั้นข้างหน้า ท่าทางก้มๆ เงยๆ บางทีก็เขย่งเท้า เล่นเอาคนนั่งดูของสวยงามเพลินๆ ทนไม่ได้

“จะเอาอะไร เดี๋ยวหยิบให้” คนตัวโตกว่ายี่สิบเซ็นต์เดินมาประชิดหลังหญิงสาว ชี้นิ้วกราดไปบนชั้นวางรองเท้าหลายร้อยคู่ ที่ตอนนี้เหลืออยู่ไม่เท่าไร “จะใช้คู่ไหนล่ะ”

ตาหวานกวาดมองทั่วๆ อีกครั้ง หงุดหงิดไม่น้อยเมื่อแม่บ้านใหม่มาวุ่นวายในส่วนของหล่อน หยิบรองเท้าที่เตรียมไว้แล้วกลับขึ้นบนชั้นวางอีก เมื่อหญิงสาวมองเห็นก็ตั้งใจจะหันไปหาชายหนุ่ม แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายก็ก้มหน้าลงมาเพราะจะถามความต้องการของหล่อนอีกรอบ ทำให้ใกล้ชิดกันแค่ปลายจมูก รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ตาสีน้ำตาลใสแจ๋วกะพริบถี่ ในขณะที่หน้าสวยแดงเรื่อเพราะความใกล้ชิด มือบางตั้งท่าจะยันอกเขาออก

“พี่...” ชื่อของชายหนุ่มถูกดูดกลืนทันทีที่ริมฝีปากบางปิดทับลงมา มือหนาหมุนเอวบางให้หันมาหาเขา รั้งตัวเจ้าสาวเข้ามาเบียดอกแกร่ง ในขณะที่อีกมือประคองหน้าสาวปรับองศาให้รับจูบได้ถนัดถนี่

ด้านนคราก็ตกใจ พยายามอ้าปากหมายจะทักท้วง แต่กลับเป็นการเปิดทางให้ฉัตรบดินทร์จูบรับขวัญได้สะดวกขึ้น ลิ้นร้อนสัมผัสความหวานล้ำที่เคยได้ชิมผ่านๆ แต่คราวนี้กลับได้ดื่มด่ำสมใจอยาก จนแทบจะเตลิดไปไกลหากไม่มีเสียงใครขัดจังหวะขึ้น

“ขอโทษครับ”

ฉัตรบดินทร์ถอนปากออกจากปากนคราที่ยังหลับตาพริ้ม เคลิ้มไปกับสัมผัสหวานติดเรตแบบที่เคยได้เรียนรู้ครั้งแรก ตาคมกริบตวัดมองต้นเสียง แต่อีกฝ่ายกลัยยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน

“นายให้มาตามครับ บอกว่าใช้เวลาพักกันพอแล้ว” พูดจบภูมิก็หมุนตัวเดินออกไป เหมือนไม่สนใจสามีภรรยาคู่ใหม่ ฝ่ายหญิงตั้งสติได้ก็รีบบิดตัวหนีทันที อายเป็นสองเท่าเมื่อรู้ว่าคนที่เห็นภาพหวามเมื่อครู่คือคนสนิทของตัวเอง แต่กลับทำให้ฉัตรบดินทร์คิดไปว่าหล่อนไม่ต้องการให้อีกคนเห็นภาพนั้น

“พี่ฉัตรทำทำไมคะ” คนที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกดีไม่ต่างกันถาม พยายามถอนตัวออกจากการเกาะกุมของเขา

ส่วนฉัตรบดินทร์ก็ได้แต่รัดแน่นขึ้น มองตาคนของเขา ใช่! นคราเป็นของเขา

“ทำไมจะทำไม่ได้” เสียงคุ้นหูห้วนขึ้นเล็กน้อย

“กลัวใครมันเข้าใจผิดหรือไง” ตาคมสีนิลวาววับแบบเอาเรื่อง ก่อนคนหน้าหล่อจะประทับจูบไวๆ อีก เล่นเอานคราทั้งโกรธทั้งงง เอนตัวออกห่างอีกฝ่าย

“พี่ฉัตรไม่อยากแต่งงาน ไม่ชอบนิคกี้ แล้วมาทำแบบนี้ทำไม” เก่งกล้าสามารถแค่ไหนก็ยังอ่อนต่อโลก เสียงหวานที่อ่อนให้เขามาทั้งวันแข็งขึ้นสู้อีกฝ่ายพอกัน

“คนละเรื่อง” คนตัวโตตอบหน้าตาเฉย ไม่รู้ละ เขารู้สึกตงิดๆ เรื่องคนสนิทของภรรยามาหลายที เมื่อก่อนก็ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่ใส่ใจ บวกกับไม่มีสิทธิ์ แต่ในเมื่อบางอย่างมันชัดขึ้นจนฝืนความรู้สึกตัวเองไม่ได้ กอปรกับเขาเป็นสามีนคราอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกประการ ก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ

“คนละเรื่องยังไง ไม่รัก ไม่ชอบ ก็อย่ามายุ่ง มาหากำไรแบบนี้สิคะ” นคราออกจากอ้อมกอดเขาได้ในที่สุด โดยไม่รู้เลยว่าฉัตรบดินทร์ยอมผ่อนแขนแกร่งออก เพราะอยู่ดีๆ ก็ไม่อยากเห็นหญิงสาวหน้าบึ้ง “พี่ฉัตรพูดเองว่าทำแค่ให้มันจบๆไป ไม่ได้พิศวาสอะไรนิคกี้”

“ก็ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มยักไหล่ท่าทางกวนประสาทแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น

“ยังไงก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว จะกอดนิดจูบหน่อย คงไม่เป็นไรมั้ง” ฉัตรบดินทร์ถาม เพราะอยากสังเกตอาการคนตรงหน้าว่าจะทำตัวเป็นสาวสมัยใหม่ ไม่ถือเนื้อถือตัวหรือเปล่า แต่แล้วคำตอบที่พอใจกลับต้องแลกมาด้วยหยดน้ำตาเล็กๆ ของเจ้าสาว เล่นเอาใจฉัตรบดินทร์ร้อนวาบขึ้นมาทันใด

“นิคกี้ไม่รู้นะคะ ว่าในใจพี่ฉัตรมองนิคกี้แย่ขนาดไหน แต่เชื่อเถอะค่ะ นิคกี้ไม่เคยคิดจะเอาตัวเข้าแลกเพื่อมัดพี่ฉัตรไว้ และต่อให้นิคกี้อยู่เมืองนอกมานาน นิคกี้ก็รับเรื่องถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิคกี้ขอ พี่ฉัตรอย่าทำให้นิคกี้รังเกียจตัวเองที่ปล่อยให้พี่เอาเปรียบตามสิทธิ์เลยค่ะ”

พูดจบคนร่างบางก็เปิดประตูห้องแต่งตัวออกไป ได้ยินเสียงหล่อนบอกช่างแต่งหน้าให้เติมปาก เติมหน้า พร้อมสั่งภูมิที่คงยังวนเวียนอยู่แถวนั้นว่าอีกห้านาทีจะเข้างาน เจ้าบ่าวอย่างเขาก็ได้แต่ใช้หลังนิ้วเช็ดคราบลิปสติกออกจากปาก ส่ายหัวทั้งๆ ที่ยิ้มกริ่ม บอกตัวเองแค่ว่า สงสัยต้องหาวิธีทำให้เด็กน้อยของเขายอมอ่อนอยู่ในโอวาทเสียแล้วละมั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น