1

การจากลา

การจากลา

 

เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนผัน ทุกๆ อย่างรวมไปถึงวิถีชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามกันไป เพราะธรรมชาติคัดสรรมาดีแล้ว หลังจากเดือนเมษายนที่ปีนี้อากาศร้อนขึ้นกว่าทุกๆ ปีกินเวลาเนิ่นนานถึงสี่เดือน กว่าจะได้สัมผัสลมเย็นและห่าฝนก็ปาเข้าเดือนสิงหาคมเสียแล้ว

เมฆฝนสีดำทะมึนตั้งเค้ามาให้เห็นแต่ไกล ท้องฟ้าสีเทาปรากฏเป็นเส้นยาว แค่เพียงเท่านั้นก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเม็ดฝนใสเย็นได้ตกลงมาบนยอดดอยสูงเรียบร้อยแล้ว แต่ระยะทางที่ทอดยาวไปท่ามกลางป่าดงพงไพรตอนนี้ยังไม่มีเม็ดฝนให้เห็น แต่กลิ่นฝนก็โชยมาพอให้ได้กลิ่นดินชุ่มน้ำ เดาได้ไม่ยากว่าคงอีกไม่นานแล้ว...รถเอสยูวีราคาแพงสีดำถูกขัดจนมันวาวแล่นไปตามทางลาดยางเก่าแก่ แม้จะมีการก่อสร้างเส้นทางอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับการเดินทางมากนัก 

ภายในรถเปิดแอร์จนเย็นเฉียบ หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังกระชับเสื้อไหมพรมสีเบจขึ้นห่มต้นคอขาว มือเรียวเย็นเฉียบลูบกันไปมาด้วยหวังให้อบอุ่นขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองวิวต้นไม้สองข้างทางไปเรื่อย ๆ แตกต่างจากหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ยังที่นั่งข้างคนขับ เธอหลับไปตั้งแต่ขึ้นรถได้เพียง 15 นาที จนตอนนี้กว่าสองชั่วโมงแล้วที่รถคันนี้แล่นอยู่บนท้องถนนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

“เหนื่อยมั้ยคะพ่อ”

เอ่ยถามคนขับผู้เป็นพ่อเสียงนุ่ม เขาสวมเสื้อสูทสีดำทับเสื้อเชิ้ตขาวมาดนักธุรกิจใหญ่ นิ้วมืออวบสวมแหวนเพชรเม็ดโต สาวพวงมาลัยรถยนต์เป็นจังหวะช้าๆ ตามทางโค้งของแนวเขา

“ไม่เหนื่อยลูก” ผู้เป็นพ่อมองสบตาเธอผ่านกระจกมองหลัง

“หนูนอนไม่หลับเหรอ”

เสียงแหบของพ่อตอบกลับมาพร้อมกับคำถาม มือหนึ่งละจากพวงมาลัยหนัง ควานหาแก้วกาแฟขนาด 22 ออนซ์หุ้มด้วยกระดาษทิชชูสีน้ำตาล ที่แวะซื้อมาจากร้านกาแฟสดก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าน้ำแข็งในแก้วละลายจนแยกชั้นกับกาแฟไปเรียบร้อยแล้ว 

หญิงสาวขยับตัวเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟจากช่องวางยื่นให้พ่อของเธอกับมือ แล้วจึงกลับมานั่งพิงเบาะหนังนุ่มตามเดิม

“นอนมาทั้งคืนแล้วนี่คะ อีกอย่าง วิวต้นไม้ก็สวยดี”

คนเป็นพ่อยิ้มก่อนที่รถหรูจะเริ่มเข้าสู่เขตชุมชนเล็กๆ ไฟเลี้ยวซ้ายกะพริบก่อนรถจะเลี้ยวเข้าซอยข้างๆ โรงเรียนชนบทประจำหมู่บ้าน อีกไม่ถึง 30 นาที พวกเขาทั้งสามคนก็น่าจะถึงที่หมายแล้ว 

เสียงงัวเงียของคนเป็นแม่ดังประท้วงขึ้นเบาๆ เพราะถนนที่ทอดยาวอยู่นั้นเปลี่ยนจากยางมะตอยเป็นถนนซีเมนต์ที่ไม่ได้นุ่มเหมือนเช่นก่อนหน้านี้แล้ว

“เฮ้อ ถึงไหนแล้วคะคุณ” เธอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ถามคำถามทันที ก่อนจะขยับตัวขึ้นนั่งบิดซ้ายทีขวาที

“อีกประเดี๋ยวก็ถึงแล้วละ” พ่อตอบ

“มันตรา หนาวมั้ยลูก” เธอหันมาถามลูกสาวที่นั่งอยู่เบาะหลัง

“นิดหน่อยค่ะแม่ เสื้อตัวนี้พอกันหนาวได้อยู่” เธอว่า

ร่างบางด้านหลังตอบขณะมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ตอนนี้รถเริ่มกลับเข้าสู่โซนป่าอีกครั้ง และถนนก็ถูกลดลงมาเหลือแค่เลนเดียว ขนาดพอแค่รถยนต์เล็กสองคันสวนทางกันได้เท่านั้น วิถีชีวิตดูแตกต่างจากในเมืองโดยสิ้นเชิง บ้านหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างกันในพื้นที่ของตัวเอง ที่แปลกตาคือนอกจากบ้านไม้และบ้านไม้ครึ่งปูนที่ตั้งเรียงรายอยู่แล้ว บางที่ก็จะมีศาลเจ้าเล็ก ๆ ทำจากไม้เก่าๆ พร้อมกับของเซ่นไหว้บ้าง ดอกไม้บ้าง หรือบางหลังก็ไม่มีอะไรเลย ตั้งอยู่ในแต่ละจุดที่ขับผ่านมาหลังแล้วหลังเล่า

“เหมือนฝนจะตกแล้วนะคะ”

หลังจากสิ้นคำพูดของมันตรา ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมาในทันที

“โถ่! นึกว่าจะถึงก่อนฝนตกเสียอีก เฮ้อ เพิ่งล้างรถมาแท้ๆ” คนเป็นพ่อบ่น

ส่วนมันตราเอง เธอมองเม็ดฝนที่พากันร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเม็ดแล้วเม็ดเล่า ในใจก็อยากจะเปิดกระจกแล้วยื่นหน้าออกไปให้เม็ดฝนที่เย็นฉ่ำนั้นกระทบกับใบหน้าหวาน แต่พ่อของเธอคงไม่ชอบใจแน่ๆ เธอก็เลยทำได้เพียงแค่จ้องมองมันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน

ไม่นานนักรถสีดำคันหรูก็ขับเข้าไปยังลานกว้าง ผ่านต้นขนุนยักษ์ที่สูงขึ้นเสียดฟ้า แค่ลำต้นก็ปาไปเท่ากับผู้ใหญ่สองสามคนโอบแล้ว เบื้องหน้าเป็นบ้านเก่าหลายหลังตั้งตระหง่านอยู่อย่างมีมนตร์ขลัง บ้านใหญ่คือบ้านทางซ้ายมือ เป็นบ้านไม้บะเก่า ซึ่งหมายถึงเรือนเก่าแก่โบราณ ทำจากไม้ยกพื้นสูง ด้านบนเป็นชานบ้าน และยกระดับเป็นเติ๋นในร่ม ซึ่งเติ๋นนี้เป็นพื้นที่กึ่งเปิดโล่ง ยกระดับขึ้นสูงกว่าชานเรือน หลังคาแฝดเชื่อมติดกันด้วยรางริน หรือก็คือรางน้ำ ตามแบบฉบับของบ้านโบราณล้านนา 

เสาไม้เนื้อแข็งเก่าแก่อายุกว่าร้อยปียังอยู่ในสภาพดี แม้จะผ่านการซ่อมแซมโดยการตีเหล็กยึดกับฐานและเทปูนทับ บริเวณพื้นใต้ถุนที่เคยเป็นดินปูด้วยปูนซีเมนต์ทับฐานเหล็กยึดเสาเรือนเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง โดยสภาพแล้วยังใช้งานได้ แม้จะดูเก่ามากก็ตาม ส่วนเรือนอื่นๆ เป็นเรือนไม้สมัยกลาง และเรือนสมัยใหม่ปลูกสร้างอยู่ในละแวกพื้นที่เดียวกัน

ทันทีที่สี่ล้อจอดสนิท ประตูหลังเปิดออก หญิงสาวร่างเพรียวก้าวลงจากรถ ภายในบริเวณนั้นมีผู้คนมากมาย อีกทั้งเต็นท์ผ้าใบที่ถูกหยิบยืมจากวัดกางไว้อยู่เป็นระเบียบ ใต้เต็นท์ผ้าใบเป็นเก้าอี้พลาสติกสีสดที่ก็ยังคงหยิบยืมมาจากวัดอีกเช่นกัน จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบให้สำหรับแขกเหรื่อต่างๆ ที่มาร่วมงาน ทุกคนล้วนแต่สวมเสื้อผ้าสีดำ ก็แน่ละ ก็นี่มันงานศพของยายทวดของเธอที่เพิ่งจากไปอย่างสงบเมื่อคืนนี้

“มาแล้วเหรอลูก” หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยทักทายหลานสาวของเธอ 

มันตราหันไปมองก่อนจะเดินไปหา และยกสองมือขึ้นพนมไหว้สวัสดีอย่างมีมารยาท

“สวัสดีค่ะคุณยาย”

รอยยิ้มหวานของเธอมีเสน่ห์ และแน่นอน มันทำให้คุณยายของเธอรักหลานคนนี้มากเหลือเกิน ก็ด้วยมันตราเป็นเด็กว่าง่าย ผิดกับนิสัยลูกคนเล็ก แถมยังเรียบร้อยต่างจากพี่สาวคนโตและคนกลาง ที่วันนี้ติดธุระมางานศพยายทวดไม่ได้ พวกเธอบอกเพียงว่าจะตามมาในอีกสองถึงสามวัน

มือเหี่ยวย่นตามวัยของหญิงชรายกขึ้นรับไหว้อย่างช้าๆ ใบหน้ายับย่นขยับฉีกยิ้มดีใจที่ได้เจอหลานสาวคนนี้เสียที ต่างจากลูกสาวของแก หรือก็คือแม่ของมันตราที่เดินหอบกระเป๋าหรูราคาแพงลงมาพร้อมด้วยคำพูดแกมหยอกเชิงว่า น้อยใจที่แม่ของตัวเองเหมือนจะรักหลานมากกว่าลูกเสียอีก

“แหม ยายคิดถึงหลานเหลือเกินนะคะ”

ว่าเสร็จก็หอบของไปหลบฝนเสียก่อน ก็ด้วยกลัวว่ากระเป๋าหนังของเธอจะเป็นรอยนี่แล

“สวัสดีครับคุณแม่” พ่อเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมกับยกมือไหว้สวัสดีตามมา 

ยายรับไหว้และรีบบอกให้ทุกคนไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทางเสียก่อน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น