15

จิตวัญญาณแห่งแหวน

15

จิตวัญญาณแห่งแหวน

 

เสียงนาฬิกาปลุกดังมาจากหัวเตียงไม้สักเก่าแก่ของยายทวด ดังจนมันตราตื่นขึ้น มือเรียวควานไปตามต้นเสียงนั้น แต่คลำอยู่นานก็ยังหาไม่เจอเสียที จนเธอต้องลุกขึ้นมาหา และเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือก็เงียบลงทันทีที่เธอกดปิด ก่อนมันตราจะถอนหายใจออกมาพลางหันไปมองรอบๆ

“หายไป...อีกแล้วสินะ”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหมองลงน้อยๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นเสือสมิงที่มีอายุอานามมายาวนานกว่ายายทวดของเธอเสียอีก แต่ก็ยังหวังว่าเมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้าจะเห็นอีกฝ่ายนอนอยู่เคียงข้างกาย เพียงแต่อาจจะไม่ใช่เช้านี้ก็ตาม...

สาวร่างบางสะบัดหน้าแรงเชิงเรียกสติ ก็ด้วยว่าหากมองตามความเป็นจริงแล้ว อีกฝ่ายก็คงมีเหตุผลอะไรบางอย่าง มิหนำซ้ำเธอกับเขาก็ดูจะไม่ได้อยู่ในสถานะอะไรที่เกี่ยวข้องกันเลย หญิงสาวชันขาเรียวขึ้นกอดเข่า ก่อนจะก้มมองไปยังฝ่ามือเล็กของเธอ ความทรงจำมากมายที่ผ่านมาทำให้หวนคิดถึงอยู่ตลอด หัวใจดวงน้อยเต้นโครมคราม สัมผัสอบอุ่นจากจูบของเขาที่มือเรียวทำเอาใจเต้นแรงทุกครั้งที่นึกถึงทีเดียว สัมผัสอบอุ่นนั้นยังเป็นที่จดจำไม่สร่างซา ก่อนเธอจะยกมือเรียวขึ้นมาจูบเบาๆ ริมฝีปากนุ่มของเธอกระดกยิ้มออกมาอย่างเขินอายเพียงลำพัง

“อีหล้า ลุกละก๋า วันนี้ไปยะก๋านบะใจ้” (ลูกเอ๊ย ตื่นแล้วเหรอลูก วันนี้จะไปทำงานไม่ใช่เหรอ) มือเล็กๆ ของยายแปงเคาะลงบนประตูไม้ใหญ่ของห้องนอน และยืนรออยู่ตรงนั้น รอให้เจ้าของห้องมาเปิดประตูให้ เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดทำให้ยายแปงเองพอเดาได้ว่าหลานสาวของแกตื่นนอนแล้ว

“ค่ะยาย” สาวเจ้าตอบก่อนจะเปิดประตูออกมามอง 

ยายแปงเลิกคิ้วขึ้นสูง ดวงตาเล็กเบิกขึ้นก่อนจะเอ่ยทัก “โคะ ผมหยังมาอั้นปะล้ำปะเหลือลูก” (โห ทรงผมทำไมเป็นขนาดนั้นล่ะลูก)

เมื่อคืนนี้หลังจากตากฝนกันอยู่สองคนกับสมิงแล้ว เธอก็ทำได้เพียงแค่เช็ดผมให้พอหมาด ก่อนจะถูกช้อนไปนอนบนเตียงนุ่ม ไออุ่นจากอ้อมกอดของเขาชวนให้เคลิบเคลิ้ม ทำเอาลืมไปหมดว่าจะต้องเช็ดผมให้แห้งก่อนนอน สภาพที่ปรากฏต่อสายตายายแปงตอนนี้จึงเป็นเส้นผมที่ชี้ฟูไม่เป็นทรง แถมยังเหมือนจะพันกันจนดูยุ่งเหยิง บ้างก็กระดกงอนไปคนละทิศละทาง และแม้จะพยายามใช้มือสางช้าๆ มันก็ดีดตัวขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งเดิมอยู่ดี ทำเอาหญิงสาวถึงกับย่นคิ้วเลยทีเดียว

“ไปล้างหน้าล้างต๋าก่อนไป๊ เด๋วยายหวีผมหื้อ” (ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อนไป เดี๋ยวยายมาหวีผมให้) ยายแปงบอกก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปหยิบน้ำมันทาผมจากในห้องนอนของแกออกมา 

มันตรายิ้มเขินๆ แล้วจึงตัดสินใจสลัดความคิดถึงใครบางคนออกไปก่อน ด้วยเพราะไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองให้เจ็บช้ำน้ำใจเสียเปล่าๆ

มันตราตบน้ำเย็นลงบนในหน้าหวานหลายครั้งอยู่ที่ชานหลังบ้าน ตุ่มน้ำดินเผาทำให้น้ำในนั้นเย็นเฉียบ จนทุกครั้งที่น้ำปะทะใบหน้าขาวของเธอทำให้ตื่นตัวขึ้น ร่างบางยืนบิดตัวไปมายืดเส้นยืดสาย ก่อนจะลงไปทำธุระส่วนตัวให้แล้วเสร็จเพื่อพร้อมสำหรับการช่วยงานในร้านของคุณหยาดทิพย์ในวันนี้

ท้องฟ้าเปิดมาแต่เช้าแล้ว แสงแดดอบอุ่นยามเช้าแบบนี้กระตุ้นให้น้าสาวต้องรีบจัดเตรียมสำรับให้เสร็จ และยกกะละมังซักผ้าสังกะสีสองสามใบออกมาวางริมบ่อน้ำของบ้าน ผ้าของครอบครัวแกสองตะกร้าถูกนำมาวาง สองมือขยี้อย่างชำนาญ จนกระทั่งมันตราเดินออกมาจากลานอาบน้ำในชุดผ้าถุงและผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่คลุมไหล่เอาไว้

“น้าสาวซักผ้าเหรอคะ” มันตราเอ่ยถามออกไปตามมารยาท ถึงแม้ว่าเธอจะเห็นอยู่กับตาว่าอีกฝ่ายกำลังซักผ้า 

เรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่งก็คือหลังจากที่พินัยกรรมถูกเปิด น้าสาวก็ได้มรดกมากมายแท้ๆ แทนที่จะหาเครื่องซักผ้า หรือเครื่องทุ่นแรงอื่นๆ มาใช้ภายในบ้าน แต่ไม่เลย แกยังคงทำตัวเหมือนเดิมอย่างเช่นที่เคยทำ

“จ้า!!” น้าสาวตอบเสียงสดใส มือก็ขยี้ผ้าไปด้วย 

“อ่อ! มันตราจะไปร้านคุณหยาดใช่มั้ยลูก น้าฝากนี่ไปหน่อยได้มั้ย” น้าสาวเอ่ยขึ้นก่อนจะวักน้ำจากอีกกะละมังที่ยังคงใสสะอาดเพื่อล้างฟองออกจากมืออวบของแก ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบถุงกำมะหยี่สีแดงที่ผูกด้วยเชือกสีทองเส้นเล็ก ภายในน่าจะบรรจุอะไรสักอย่างไว้มา

“อะไรเหรอคะน้าสาว” มันตราเอ่ยถามก่อนจะค่อยๆ ก้าวมาหาอีกฝ่าย

“เป็นจี้ห้อยคอน่ะ” น้าสาวตอบ แกเช็ดมือกับเสื้อสีขาวตัวโคร่งที่ได้แถมมาจากตอนไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะแกะถุงสีแดงในมือนั้นออก เทจี้ห้อยคอลงบนฝ่ามือขาวอวบยื่นให้มันตราดู

“เอ๋? แต่จี้อันนี้มันเป็นจี้ที่น้าสาวเคยใส่ประจำไม่ใช่เหรอคะ” มันตราเอ่ยถาม

น้าสาวยกยิ้ม แต่นัยน์ตานั้นแฝงไปด้วยความเศร้า แกถอนหายใจก่อนใส่มันคืนลงถุงดังเดิม แล้วจึงส่งให้มันตรา จี้ห้อยคออันนี้หากย้อนกลับไปสมัยก่อนแล้วถือว่าเป็นของที่มีค่ามากสำหรับน้าสาว ก็ด้วยเป็นของแทนใจที่สามีแกเคยให้ไว้สมัยที่ยังจีบกันใหม่ๆ

“น้าว่าคงไม่ได้ใส่มันแล้ว เลยว่าจะฝากไปขายหน่อย จี้นี่เป็นของเก่า ขายให้กับคุณหยาดน่าจะดีกว่า”

ริมฝีปากที่กระดกยิ้มแฝงไปด้วยความเศร้า สาวร่างบางจึงรับของสิ่งนั้นมาอย่างจำใจ ริมฝีปากเล็กของเธอเม้มอยู่น้อยๆ ด้วยเพราะสงสารผู้เป็นน้าเหลือคณานับ

 

มันตราแต้มริมฝีปากนุ่มด้วยลิปมันจากตลับเล็กที่ยายซื้อให้ ชุดที่สวมไปทำงานวันนี้คือชุดที่ยายแปงเตรียมไว้ให้อีกเช่นกัน เสื้อผ้าฝ้ายสีธรรมชาติติดกระดุมกระดิ่งกลางตัว ผ้าซิ่นลายขวางอย่างผ้าซิ่นล้านนา ต่อหัวต่อตีนแบบเรียบง่ายไม่หวือหวามากนัก พอแปรงผมกับลงน้ำมันมะกอกเสียหน่อยก็น่ารักอย่างสาวเหนือแล้ว

“หลานยายหยังมางามแต๊ะ” (หลานยายทำไมสวยจริงๆ) คนเป็นยายเอ่ยกับมันตราระหว่างที่มือเล็กของแกค่อยๆ หวีผมยาวสลวยช้าๆ 

มันตรายิ้มตอบอีกฝ่ายพร้อมๆ กับมองตอบดวงตาเล็กของยายแปงผ่านกระจกเงาบานใหม่ในห้อง แต่ก็ยังรู้สึกห่วงน้าสาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

              “ยายจ๊ะ...น้าสาว...” ร่างบางเอ่ยด้วยเสียงค่อยเพียงคำเดียว แต่ยายแปงเองกลับเข้าใจเรื่องที่มันตรากำลังจะสื่อออกมา ด้วยว่ายายเองรับรู้มานานมากแล้วเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของน้าสาว ด้วยสามีแกเป็นคนติดเหล้าและการพนันงอมแงม เงินที่มีแทบจะทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้จ่ายกันอยู่ทุกวันนี้ก็ล้วนแต่เป็นเงินที่น้าสาวหามาได้จากการรับจ้างและทำกับข้าวขายเท่านั้น ส่วนเงินที่สามีแกหามาได้นั้นก็หมดไปกับเหล้าที่เข้าปากทุกวันนั่นแล มันต่างไปมากจากวันที่สามีแกให้พ่อแม่มาสู่ขอ

มือเล็กของยายวางลงบนบ่าเล็กของมันตราก่อนจะบีบเบาๆ

“น้าสาวบะเป็นหยังหรอก ตั๋วไปยะก๋านเต๊อะ ยายจะผ่อหื้อ” (น้าสาวไม่เป็นไรหรอก หนูไปทำงานเถอะ เดี๋ยวยายจะช่วยดูให้ยายบอก 

มันตราพยักหน้าน้อยๆ แต่จะให้เลิกคิดเรื่องนี้ไปเลยก็คงจะไม่ได้ วันนี้สาวเจ้าจึงออกจากบ้านด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างหมองหน่อยๆ ทั้งที่ควรจะเป็นวันที่แจ่มใสเหมือนท้องฟ้าแท้ๆ

 

เสียงกระดิ่งหน้าร้านขายของเก่าดังขึ้นก่อนร่างบางจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปช้าๆ กระจกบานใหญ่ที่แตกไปเมื่อวานถูกถอดออกไปแล้ว พื้นที่ที่ว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยบานเลื่อนเดิมๆ ของมัน แสงไฟภายในร้านและแอร์ที่เปิดไว้จนเย็นเฉียบบ่งบอกว่าร้านนี้เปิดให้บริการตามปกติ

“สวัสดีค่ะ” มันตราเอ่ยทักทายเสียงหวานจากหน้าประตู ก่อนจะเดินเข้ามายังด้านใน ด้านหลังเคาน์เตอร์เครื่องประดับนั้นว่างเปล่า แต่ในตู้มีเครื่องประดับมากมายเรียงราย ทว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยชอบมาพากล

กลิ่นหอมของดอกพิกุลลอยมาเตะจมูกเล็กของร่างบาง ก่อนเจ้าตัวจะหันไปมองรอบๆ บริเวณ ด้วยกำลังมองหาอยู่ว่ากลิ่นดอกพิกุลโชยมาจากไหน กระทั่งพบเข้ากับต้นตอของกลิ่นหอมหวานนี้ แหวนวงหนึ่งวางรวมอยู่กับแหวนทองวงอื่นๆ ด้วยเพราะทำจากทองเหมือนกัน คุณหยาดทิพย์จึงจัดไว้ในหมวดหมู่เดียวกันเพื่อที่จะได้หยิบจับได้โดยง่าย 

เมื่อดวงตากลมของมันตราจ้องมองไปยังแหวนทรงดอกพิกุลแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงเอ่ยถามขึ้นมาจนสาวเจ้าประหลาดใจ

“ชอบหรือเปล่าจ๊ะ” เสียงนั้นนุ่มนวนเสียจนมันตราตอบออกไป

              “ชอบค่ะ สวยมากเลย” ใบหน้าหวานหันไปยิ้มให้ต้นเสียง มั่นใจว่าได้ยินเสียงหวานรื่นหูนี้มาจากข้างหลังของเธอ แต่พื้นที่นั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย

“คุณคะ” มันตราเอ่ยเรียกอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับ มือเรียวลูบต้นแขนที่เย็นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่ทันทีที่ร่างบางหันกลับมายังเคาน์เตอร์เครื่องประดับอีกครั้ง เสียงหัวเราะคิกคักก็ดังขึ้นแซมกับเสียงพูด

“คุณแกล้งเธออีกแล้ว ประเดี๋ยวสมิงก็ไม่พอใจอีกหรอก”

เสียงเล็กเอ่ยเหมือนกระซิบ และด้วยคำนั้นเองทำเอามันตราหันไปมองหาต้นตอของเสียงอีกครั้ง จนกระทั่งเริ่มใจเสีย

“ใครกันน่ะ! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาแกล้งกันสิ!”

มันตราขมวดคิ้วก่อนจะส่งเสียงโวยวายเหมือนกับว่าเธอเริ่มหมดความอดทนแล้วนะ ลมหายใจถี่ขึ้นของมันตราทำให้รับรู้ได้ว่าเธอหวาดระแวงเพียงใด ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะแวะเข้ามาช่วยงานคุณหยาดทิพย์แท้ๆ กลับถูกรับน้องแบบนี้ ไม่ชอบใจเอาเสียเลย

“ใจร่มๆ สิจ๊ะสาวน้อย เดินมาที่ตู้โชว์สิ เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าชอบข้าอยู่เลย”

เสียงนั้นดังขึ้นในโสตอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ทำเอาร่างบางถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยเพราะไม่รู้ว่าอีกคนคือใคร แถมมีแต่เสียงอีก แบบนี้จะให้ไว้ใจเดินไปหาก็คงจะใช่ที่

“ทำไมคุณถึงไม่ออกมาล่ะคะ” มันตราเอ่ยออกไปอย่างไม่ไว้ใจ

“ถ้าข้าออกไปเองได้ ข้าก็คงไม่ขอให้เจ้าเดินเข้ามาใกล้ๆ หรอกจ้ะ”

เสียงนั้นตอบมาราวกับเอ็นดูในตัวเธอ ก่อนจะค่อยๆ พูดให้เธอใจเย็นลงก่อน “เจ้ารู้จักสมิงใช่หรือเปล่า”

เสียงนั้นเอ่ยถามออกมาจนทำให้มันตราถึงกับแปลกใจ ก็ด้วยเสียงเล็กอีกเสียงเมื่อครู่ก็พูดถึงชื่อสมิงเช่นกัน ริมฝีปากนุ่มของมันตราถูกขบลงด้วยฟันสวยของเธออย่างไม่รู้ตัว ร่างบางค่อยๆ เดินมายังเคาน์เตอร์นั้นช้าๆ จ้องมองแหวนทองวงงามนั้นอีกครั้ง

“คุณ...” หญิงสาวสูดหายใจเข้า ด้วยเพราะเธอเริ่มจะสับสนกับสิ่งที่พบเจออยู่ตอนนี้ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เธอก็เคยคุยกับเสือสมิงมาแล้ว มันจะยากอะไรหากจะคุยกับแหวนได้

“คุณเป็นแหวนเหรอคะ” สาวเจ้าเอ่ยออกไปประสาซื่อ ในใจขอให้เป็นแหวนจริงๆ อย่าได้เป็นการกลั่นแกล้งของคนด้วยกันเลย ไม่เช่นนั้นหล่อนคงอับอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีเป็นแน่ สองมือเรียววางทาบลงบนกระจกใส ใบหน้าสวยก้มลงมองแหวนทองที่ระยิบระยับสู้แสงไฟที่ส่องลงอวดโฉมของแหวนวงงามนี้อย่างชัดเจน

“ข้าไม่ใช่แหวน ข้าแค่อยู่ในนี้ เป็นจิตวิญญาณในแหวนจ้ะ” เสียงนั้นอธิบาย

“แม่นายพิกุลไม่ค่อยชอบที่ตรงนี้เสียเท่าไหร่ จะรบกวนแม่หญิงมากเกินไปหรือเปล่าที่จะขอให้ช่วยย้ายที่ให้พวกเราเสียหน่อย”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากแหวนวงใกล้ๆ ตอนนี้ในหัวของมันตราเริ่มสับสนไปหมด ก็ด้วยเพราะนอกจากเธอจะได้คุยกับแหวนแล้ว เธอยังคุยกับแหวนได้หลายวงอีกต่างหาก คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ ก่อนจะเริ่มทำใจดีสู้แหวน ในเมื่อเสือสมิงหล่อนก็ยังคุยมาแล้ว จะยากอะไรเพียงแค่เจรจากับแหวน แม้ในใจตอนนี้จะอยากร้องไห้ออกมาก็ตามเถอะ

“แต่ถ้าย้าย น้าหยาดจะไม่ว่าเอาเหรอคะ” ร่างบางยังคงกล้าๆ กลัวๆ

“แต่ถ้าแม่หญิงย้าย พวกข้าว่ามันน่าจะดีกว่า แม่นายพิกุลหล่อนคงดีใจมาก”

พอได้ยินแบบนี้มันตราก็ลงมือทำการอย่างหนึ่งออกไปโดยไม่ได้ปรึกษาคุณหยาดทิพย์เลยแม้แต่น้อย เพียงเพราะได้ยินว่าสิ่งนี้จะทำให้ใครบางคนดีใจ หรือทำให้อีกฝ่ายมีความสุข เธอก็ยินดีทำให้เสียอย่างนั้น

ร่างบางเดินอ้อมมายังหลังเคาน์เตอร์โชว์เครื่องประดับตัวยาว เพียงบีบกลอนด้านหลังตู้กระจกอย่างเบามือ ตู้นั้นก็เปิดออกโดยง่าย มือที่นุ่มนวลของมันตราค่อยๆ เอื้อมไปหยิบแหวนทองทรงดอกพิกุลวงงามออกมาอย่างช้าๆ และเลือกวางแหวนวงนั้นในตำแหน่งที่ตัวแหวนร้องขอ นั่นคือด้านบนสุดของตู้โชว์ฝั่งซ้าย ซึ่งตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของแหวนวงอื่นๆ แต่แหวนบริเวณนั้นกลับเป็นแหวนเงินเสียส่วนใหญ่

“อะไรกัน ย้ายแต่แม่หญิงพิกุลเองหรือ”

อีกเสียงหนึ่งร้องทักขึ้นมาจนมันตราแปลกใจ ก่อนจะคะยั้นคะยอให้ย้ายตำแหน่งของแหวนวงอื่นๆ ด้วย จนแหวนเหล่านั้นถูกวางสลับกันไปมาสะเปะสะปะ แต่ในความสะเปะสะปะก็แฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง เพราะหากมองดีๆ แล้วแหวนเหล่านั้นเหมือนจะถูกจัดวางแยกตามต้นกำเนิดของแหวนมากกว่า อย่างแหวนงามจากทางสุโขทัย ไม่ว่าจะเงินหรือทองต่างถูกเรียงไว้ด้วยกันตามคำขอ เหมือนกับกำลังจะบอกว่าการถูกวางอยู่ในจุดที่พวกแหวนเหล่านั้นไม่ชอบจะทำให้จิตวิญญาณของแหวนไม่สงบ บางครั้งอาจทำให้เกิดเรื่องไม่ดี หรือทำให้ผู้ครอบครองเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจก็เป็นได้

หญิงสาวนั่งมองแหวนแต่ละวงที่ถูกย้ายที่อย่างพอใจแล้ว ก่อนหญิงชราคนหนึ่งจะหัวเราะออกมาน้อยๆ มันตราถึงกับหันขวับ ก่อนจะพบว่าหญิงชราคนนั้นก็คือยายมณี คุณแม่ของคุณหยาดทิพย์นั่นเอง

“อ๊ะ...สวัสดีค่ะ...คือ...” มือเรียวยกขึ้นไหว้อีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ดวงตากลมแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเหลือเกิน ก็ด้วยเพราะหล่อนเปิดตู้ของมีค่า และจัดเรียงของในร้านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากใครเลย ยิ่งมาเจอเข้ากับยายมณีเองด้วยแล้ว แกจะคิดว่าหล่อนฉวยโอกาสหยิบฉวยของหรือเปล่านะ

“หนูไม่ได้ขโมยอะไรนะคะ” สาวเจ้ารีบบอกอย่างร้อนรน 

ยายมณีหัวเราะออกมาอีกครั้ง มือสวยของแกยกขึ้นโบกน้อยๆ เชิงว่าไม่เป็นไร แกไม่ได้คิดอะไรถึงขนาดนั้นหรอก

“โอ๊ย ไม่เลยจ้ะ ยายไม่ได้คิดแบบนั้นเลย เพียงแค่คิดว่าหนูมันตราใจดีจังเลยนะที่ยอมทำตามคำขอของสาวๆ เหล่านั้นน่ะ”ยายมณีบอกด้วยเสียงเล็กที่แหบอยู่ในที 

มันตราถึงกับแปลกใจ หมายความว่ายายมณีก็รู้จักจิตวิญญาณของแหวนอย่างนั้นหรือ หรือแกเองก็คุยกับแหวนได้ คำถามมากมายผุดออกมาเต็มหัวไปหมด ก่อนยายมณีจะหัวเราะออกมาอย่างขบขันท่าทีของมันตราและคำถามมากมายในหัวของหล่อนด้วย

“ยายมณีก็ได้ยินใช่มั้ยคะ หนูไม่ได้บ้าใช่มั้ยคะ” มันตรารีบเอ่ยปากถาม 

หญิงชราบนวีลแชร์พยักหน้าน้อยๆ “แม่หยาดน่ะแกไม่ได้ยินหรอก ครั้นฉันจะบอกไป แกก็คงจะไม่ฟัง เพราะฉันรู้ดีว่าลูกสาวฉันเป็นคนยังไง” ยายมณีว่าก่อนจะกดสวิตช์เลื่อนวีลแชร์อัตโนมัติเข้ามาหามันตราที่เคาน์เตอร์อย่างช้าๆ มือของแกแม้จะเหี่ยวลงตามวัย แต่ก็ยังเรียวสวยและนุ่มอย่างกับมือเด็ก แกเปิดตู้โชว์ใบซ้ายสุดออก และหยิบแหวนทองทรงดอกพิกุลวงนั้นออกมาอีกครั้งอย่างทะนุถนอม

“แม่หญิงพิกุลคือแหวนวงนี้ หล่อนไม่ค่อยชอบตู้โชว์ฝั่งขวา เพราะตู้นั้นไฟแรง และมองไม่เห็นวิวข้างนอก” ยายมณีเล่าให้มันตราฟัง ก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นจนสองคนถึงกับสะดุ้งเฮือก

“ตายแล้ว!! ทั้งสองคนทำอะไรลงไปเนี่ย!!!”

คุณหยาดทิพย์เดินออกมาจากโซนหลังร้าน ก่อนจะรีบเอ็ดทั้งสองคนที่เรียงเครื่องประดับโบราณของหล่อนในตู้โชว์เสียใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิม สองมือเท้าเอวคอด แววตาถมึงทึง ด้วยเพราะนิสัยที่ออกจะเป็นเพอร์เฟกชันนิสม์หน่อยๆ พอของบางอย่างที่เคยถูกจัดไว้อย่างดีแล้วถูกรื้ออออกมาจัดใหม่จึงทำให้คุณหยาดหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“นะ...น้าหยาด...คือว่า...” มันตราถึงกับหงอไปในทันที 

พอคุณหยาดทิพย์กำลังจะอ้าปากเอ็ดมันตรากับแม่ของหล่อน จู่ๆ ก็กลับถูกแทรกด้วยเสียงกระดิ่งของคนที่เปิดประตูเข้ามา คุณหยาดถึงกับเปลี่ยนจากที่กำลังจะเอ็ดด่าเป็นฉีกยิ้มกว้าง พูดจาหวานหูต้อนรับแขกที่เดินเข้ามาอย่างทันทีทันใด ทำเอามันตราและยายมณีถึงกับหันมองหน้ากันอย่างงุนงง

“มีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าคะ” คุณหยาดว่า

“สวัสดีครับ พอดีผมแวะมาดู ไม่ทราบว่าที่นี่มีของนี้มั้ย” ชายแปลกหน้าเดินเข้ามาพร้อมกับหยิบรูปใบหนึ่งออกมาโชว์ให้คุณหยาดดู 

หล่อนถึงกับเลิกคิ้วสูง ด้วยเพราะแหวนวงนั้นคือแหวนทองยกช่อเป็นดอกพิกุลวงที่ยายมณีถืออยู่แล และเหตุที่หล่อนแปลกใจสุดๆ ไปเลยก็คือแหวนวงนี้อยู่กับคุณหยาดทิพย์มานานมากเหลือเกินแล้ว ทั้งๆ ที่อยากจะปล่อยของชิ้นนี้ไป แต่ก็ไม่มีใครติดต่อเพื่อขอซื้อไปเลยสักที แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด พอมันตราเดินเข้ามาที่ร้านเพื่อช่วยงาน แถมยังมาทำป่วนย้ายของจากตู้โชว์เสียหมด กลับมีคนเดินเข้ามาขอซื้อแหวนทองวงนี้ด้วยราคาสูงลิบลิ่ว แม้จะแปลกใจอยู่มากก็ตาม แต่คุณหยาดทิพย์ก็ปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ทำเอายายมณีและมันตราถูกไล่ให้ไปนั่งที่โซฟาสำหรับรับแขกใกล้ๆ แทน

“ขอบคุณมากนะครับ ผมดีใจมากเลยที่เจอแหวนวงนี้เสียที” ลูกค้าคนนั้นบอก 

คุณหยาดยิ้มแก้มปริ ด้วยเพราะรับทรัพย์ก้อนโตมาไว้ในมือแล้ว แถมก่อนลูกค้าคนนั้นจะออกไปยังเอ่ยบางประโยคออกมาจนทำให้เจ้าของริมฝีปากสีแดงสวยเบิกตาค้าง

“แหวนในตู้สวยมากครับ ไว้ผมจะแวะเข้ามาดูอีกเร็วๆ นี้”

คุณหยาดทิพย์ยกมือไหว้ขอบพระคุณลูกค้า ก่อนที่ประตูไม้สักบานใหญ่จะปิดลงพร้อมกับที่แผ่นหลังของลูกค้าหน้าใหม่ที่เข้ามาซื้อแล้วก็จากไปลับจากสายตา

“แม่ว่าสงสัยร้านจะได้นางกวักใหม่แล้วละมั้ง” ยายมณีว่าพร้อมๆ กับยิ้มเยาะเย้ยลูกสาว ทำเอาคุณหยาดทิพย์ถึงกับยอมจำนน

“จัดแบบนี้มันก็สวยดี แต่จัดแบบเดิมมันก็หยิบง่ายใช่มั้ยล่ะ” ถึงอย่างนั้นคุณหยาดทิพย์ก็ยังหันมาเถียงข้างๆ คูๆ อยู่ดี

 

วันนี้ตลอดทั้งวันมีลูกค้าเดินเข้ามาภายในร้านอย่างไม่ขาดสาย ทั้งด้วยลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก บ้างก็มาเพื่อขาย และบ้างก็มาเพื่อซื้อ จนคุณหยาดทำงานหัวหมุน แต่มันตราทำได้เพียงแค่เสิร์ฟน้ำให้ลูกค้าทุกคน และกล่าวสวัสดีและขอบคุณเท่านั้น เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งลูกเล็กที่เป็นกระดุมเสื้อกลางตัวเธอทำให้ลูกค้าหลายคนเอ่ยปากชมว่าแต่งตัวสวย มันตราก็เพียงแค่ยิ้มเขินตอบไป แต่หากยายของหล่อนได้รับรู้เรื่องนี้ละก็ แกคงยิ้มออกมาจนแก้มปริแน่ๆ

ถาดโชว์แหวนบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงสดถูกเก็บเข้าที่ของมันในตู้โชว์เครื่องประดับเดิม เมื่อทุกอย่างถูกเก็บเข้าที่ดีแล้ว มือเรียวของมันตราก็กดปิดตู้นั้นอย่างแน่นหนา ด้วยเพราะถึงเวลาเลิกงานแล้ว

“น้องมันตรา” ชายหนุ่มที่เคยพบเธอเมื่อครั้งวันเปิดพินัยกรรมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส 

เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหันไปมองสบก่อนจะยิ้มทักทายเขา “สวัสดีค่ะพี่ทนาย” 

“เรียกพี่เหมก็ได้มั้งคะ เรียกพี่ทนายดูจะแปลกๆ” หนุ่มสวมชุดสูทสีดำยิ้มขำ 

มันตราถึงกับหน้าแดงออกมา เลยทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่วน

“ได้ข่าวว่าวันนี้มาเป็นนางกวักให้ที่ร้านเหรอคะ คุณแม่ท่านเล่าให้ฟัง”

คุณเหมเอ่ยแซวจากฝั่งตรงข้ามกับเคาน์เตอร์โชว์เครื่องประดับ ท่าทีของเขาดูเป็นมิตรและสุภาพเหลือเกิน ทำเอามันตราที่มีแต่พี่สาวรู้สึกสนิทกับคุณเหมได้ง่ายกว่าคนอื่น อีกทั้งคำพูดคำจาคะขาน่าฟัง ไม่แปลกใจเลยที่จะมีสาวๆ มากมายมาแอบชอบเขา

“อ้อ จริงสิ วันนี้หน้าอำเภอมีตลาดนัด อยากลองแวะไปหาซื้อขนมทานกันมั้ยคะ” เขาเอ่ยถามอย่างสุภาพ พลันเสียงกระดิ่งที่ประตูไม้สักบานใหญ่ก็ดังขึ้น ก่อนประตูจะถูกเปิดออก 

ชายร่างใหญ่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวแบบเดิมๆ เดินเข้ามา ผมยาวหยักศกทำให้รับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคือสมิง

“สมิง...” ริมฝีปากเล็กเอ่ยออกมาอย่างเผลอตัว

“ข้ามารับเจ้ากลับบ้าน” เอ่ยเสียงทุ้มอย่างตรงไปตรงมา


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น