4

ชายชุดขาว

 4

ชายชุดขาว

 

หยาดฝนร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้ากว้าง ด้วยเมฆดำก่อตัวทะมึนมาแต่เช้าแล้ว ใบไผ่เรียวลู่ลงด้วยแรงของฝน ใบไม้เล็กๆ ไหวระริกช้าๆ เสียงเพลงในงานศพของยายทวดดังคลอเสียงฝนเป็นท่วงทำนองที่ทำให้รู้สึกหนาวเย็นเข้าไปอีก ดีที่ผ้าใบผืนใหญ่ที่แผ่กว้างช่วยกันฝนให้แก่แขกผู้มาร่วมงาน โต๊ะกลมใหญ่มีแขกเหรื่อจับจองหมดแล้ว บนเรือนก็เช่นกัน

มันตราสวมชุดพื้นเมืองสีดำ ผ้าซิ่นฝ้ายทอมือผืนสวยที่สัญญากับยายว่าวันนี้เธอจะนุ่งเข้ากับมวยผมเกล้าสูงที่ยายมวยให้ในทุกๆ เช้า น้ำอบไทยที่ยายมักจะแต้มอยู่เป็นประจำถูกพรมให้หลานสาวด้วยเช่นกัน ในจังหวะที่แขกเหรื่อทุกคนกำลังวุ่นอยู่กับการรับประทานอาหารที่นำมาเลี้ยงในงาน หญิงสาวก็เดินดูรอบๆ เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ที่มาร่วมแสดงความเสียใจทั้งหลาย

“กับข้าวพอมั้ยคะ เดี๋ยวหนูไปตักเพิ่มให้นะคะ”

เธอบอกก่อนจะเดินเข้าไปยังโรงครัวที่ตอนนี้ทุกคนก็กำลังวุ่นอยู่กับการตักอาหาร ภายในโรงครัวไฟนี้อากาศจะอบอุ่นกว่าหน้าเรือนมาก เพราะมีทั้งเตาอั้งโล่และเตาแก๊สที่ใช้สำหรับหุงหาอาหาร กระติกข้าวเหนียวสีฉูดฉาดวางเรียงกันพร้อมจะนำไปเสิร์ฟให้แขกที่โต๊ะแล้ว เพียงแค่เปิดฝากระติกออกก็จะเห็นว่าข้าวทั้งหมดถูกแบ่งและนำใส่ถุงเล็กๆ เหมาะสำหรับให้หนึ่งคนรับประทาน

“เอาอะไรลูก มันตรา” น้าสาวเอ่ยถาม

“มาเอากับข้าวไปเติมน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบ

น้าสาวได้ยินแบบนั้นก็รีบกวักมือให้หล่อนเดินมายังจุดที่แกยืนอยู่ จัดเตรียมสำรับพอให้เธอยกไหวเพื่อเดินไปเสิร์ฟแขก ส่วนหนึ่งเป็นข้าวเหนียวที่ใส่จานแยก ส่วนนี้จะให้จุ๊บแจงรับผิดชอบช่วยถือและเดินตามมันตราไป

“ถือดีๆ นะจุ๊บแจง อย่าทำหล่นหมดล่ะ” น้าสาวย้ำคำ ก่อนเจ้าเด็กตัวน้อยจะพยักหน้ารับรัวๆ

มันตรายิ้มให้หล่อนก่อนจะยกถาดที่เต็มไปด้วยกับข้าวออกมาจากโรงครัว พร้อมๆ กับหันไปมองดูเด็กน้อยที่เดินตามมาเป็นระยะๆ ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับชายร่างใหญ่คนหนึ่ง น่าแปลกใจที่ชายคนนี้เข้ามาร่วมงานโดยสวมชุดสีขาว เพราะโดยปกติแล้วตามธรรมเนียมการสวมชุดสีขาวหรือชุดสีดำมาร่วมงานศพ ส่วนใหญ่ผู้ที่สวมชุดสีขาวจะต้องเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่าผู้ตาย หรือไม่ก็เป็นเครื่องแบบราชการที่เป็นชุดสุภาพอยู่แล้วเท่านั้น แต่ไม่เลยสำหรับเขาคนนี้ เสื้อที่สวมมาเป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวคอกลมแขนสั้น มีกระดุมไม้กลัดกลางตัว นุ่งกางเกงขาก๊วยสีขาว เขายืนอยู่บริเวณทางเดินเล็กซึ่งเป็นทางเหนือของตัวบ้านเหมือนกำลังจะเดินเข้ามาร่วมงาน

“พี่มันตรา พี่มันตรา” 

เสียงเจื้อยแจ้วของจุ๊บแจงทำให้หล่อนหันขวับกลับมาหาทันที เด็กน้อยดึงแขนเสื้อเชิงเร่งให้เดินได้แล้ว เพราะข้าวบนถาดของเธอร้อนมาก แม้ตอนแรกที่ได้จับจะอุ่นมือได้ดีก็ตาม แต่พอถือนานๆ เข้าก็ทำเอาร้อนเหมือนกัน

“อ๊ะ ขอโทษจ้า” มันตรารีบก้าวต่อ แต่พอมองกลับไปทางเดิมนั้นเอง ชายแปลกหน้าก็หายตัวไปเสียแล้ว

“แกงนะคะ ร้อนๆ เลย”

มันตราเดินไปบริการตามโต๊ะต่างๆ แขกเหรื่อต่างชมมากมายว่าเธอสวยและดูขยันเหมือนยาย มันตรายิ้มรับคำชมอย่างเก้อเขิน ก่อนจะเดินไปเสิร์ฟแขกโต๊ะอื่นๆ ต่อไป

“เนี่ย เดี๋ยวคอยดู จุ๊บแจงโตขึ้นก็จะสวยเหมือนพี่มันตรานี่แหละ” เด็กสาวไม่ยอมน้อยหน้า ยืดคอเปิดบ่าอย่างภาคภูมิใจ ทำเอาแขกในงานหัวเราะอย่างเอ็นดู 

ตอนนี้เองที่ทุกคนสนใจอยู่กับจุ๊บแจง ชายปริศนาคนเดิมก็มายืนอยู่หน้าเรือนไม้บะเก่า มันตราเห็นจึงรีบจ้ำเท้าตามไป ด้วยเพราะมีหน้าที่ต้องส่งธูปให้แขกอีกเช่นกัน ในเวลาเพียงไม่ถึง 20 วินาที เธอก็เดินตามมายังหน้าเรือนและก้าวขึ้นบันไดไม้เก่าตามเขาไปทันที ชายคนนั้นหยุดอยู่หน้าภาพถ่ายขาวดำของยายทวด ภาพเก่าในรูปแม้จะดูมีอายุ แต่รอยยิ้มของยายทวดดูมีความสุขเหลือเกิน มันตราเดินเข้าไปหาก่อนจะหยิบธูปดอกหนึ่ง และยื่นให้แขกที่ดูจะไม่รู้กาลเทศะคนนี้

“ธูปค่ะ”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ทำให้รู้สึกดุดัน น่ากลัว...เขาไม่แม้แต่จะสนใจเธอ เหมือนมือใหญ่จะวางอะไรบางอย่างไว้ ก่อนเขาจะเดินต่อไปเบื้องหน้าโลงศพไม้แกะสลักที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สดมากมาย บนเนื้อไม้ถูกปิดด้วยทองคำเปลวเป็นลวดลายไทยที่ลูกศิษย์ลูกหาสั่งทำมาให้ยายทวดโดยเฉพาะ

“คุณคะ...”

มันตราเรียกไล่หลัง แต่ชายร่างใหญ่ไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย เขายืนมองโลงศพของหญิงชราอายุกว่า 106 ปีอยู่อย่างนั้น แล้วจึงเดินกลับออกไป ทำเอาเธอทำตัวไม่ถูก ก่อนจะจุดธูปที่ชายคนเมื่อครู่ปฏิเสธแล้วยกขึ้นไหว้ขอขมาแทน ปักก้านธูปบางๆ ลงยังกระถางธูปใหญ่ จังหวะนั้นเองที่เธอเหลือบไปเห็นแหวนวงหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น หญิงสาวเลิกคิ้วมอง และคิดว่าชายคนเมื่อครู่อาจจะลืมไว้ก็ได้ แม้ในสายตาเธอเขาจะดูไร้มารยาทเพียงใด แต่แหวนวงนี้ดูมีราคามากอยู่ ด้วยตัวเรือนทำจากทองคำ หัวแหวนเป็นทับทิมสีแดงสด ท่าทางจะเป็นของเก่ามีอายุมากแน่นอน เพราะรอยสลักบนเรือนแหวนจางลงไปมากแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจคือแหวนวงนี้ไม่ใช่แหวนของผู้ชาย

“คุณคะ!! คุณลืมของไว้”

มันตรารีบเดินตามอีกฝ่ายไป เพราะยังมองเห็นแผ่นหลังกว้างและชุดสีขาวอยู่ไวๆ แต่เดินเท่าไรก็ตามไม่ทันเขาเสียที ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ได้วิ่งหรือเร่งฝีเท้า

ผ่านช่องเล็กทางเหนือของเขตตัวบ้าน ซึ่งเป็นรั้วไม้ชาทองที่แหวกตรงกลางเหมือนเป็นทางเดินเล็กที่ใช้กันมาช้านานแล้ว มันตราเดินตามชายคนนั้นไปด้วยหวังว่าเขาอาจจะได้ยินเสียงที่เธอเรียก เมื่อผ่านบ่อน้ำใหญ่เก่าแก่ก็ยังเห็นเขาเดินอยู่ ในใจคิดไว้แล้วว่าหากเดินตามก็คงจะเดินไปไม่ทันแน่ๆ ร่างงามจึงเริ่มออกวิ่ง โดยไม่ได้เหลียวหลังไปมองเลยว่าเธอวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว

“หยุดก่อนเถอะโยม ไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เสียงหนึ่งเอ่ยท้วงขึ้น 

มันตราหันขวับไปมองยังต้นเสียง พระธุดงค์รูปหนึ่งยืนอยู่พร้อมกับถือตะเกียงเจ้าพายุในมือ หญิงสาวหอบเบาๆ เพราะความเหนื่อยที่วิ่งออกมาโดยไม่ได้คิดว่าเธอจะมาไกลได้ขนาดนี้ แล้วยกมือไหว้ท่านก่อนจะเอ่ย

“คะ? หลวงพี่”

“ของนั่นก็ของยายทวดแกนั้นแล เก็บเอาไว้เถอะ อาตมาว่าท่านคงแค่เอามาคืน”

คำพูดแปลกๆ ที่ได้ยินทำให้หญิงสาวถึงกับไม่เชื่อหูตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปยังทางที่เห็นชายชุดขาวคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แต่เบื้องหน้าของเธอกลับกลายเป็นทุ่งนากว้าง ทางข้างหน้าแทบมืดสนิท หากไม่ได้ตะเกียงเจ้าพายุของพระธุดงค์ท่าน หล่อนคงเดินตกคันนาไปแล้วเป็นแน่

“ของยายทวดเหรอคะ...” เธอทวนคำพูด

“เอานี่ไปใช้ แล้วเดินกลับไปทางเดิมที่สีกาเดินมา พอถึงบ่อน้ำก็จะเห็นแสงไฟที่บ้านแล้ว”

เมื่อพระธุดงค์ว่าจบก็วางตะเกียงเจ้าพายุไว้ให้เธอ ก่อนท่านจะบอกลาและเดินหายไปในความมืดอีกคน...

ในความสับสนนั้นมันตรายังไม่อาจตัดสินใจอะไรเองได้ ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เธอต้องรับตะเกียงนั้นมา และเดินกลับอย่างที่พระธุดงค์ท่านบอก หญิงสาวจึงทำได้เพียงแค่ยกมือไหว้ตามหลังท่านไป ก่อนจะถือตะเกียงส่องนำทางกลับมายังบ้านไม้บะเก่าของยาย

ระหว่างทางเธอมองเห็นบ่อน้ำเก่าแก่ชัดเจนขึ้น ขอบบ่อน้ำถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว เห็ดดอกเล็กๆ ขึ้นแซมเหมือนพวกมันได้รับความชุ่มชื้นตลอดเวลา เธอมองเข้าไปเหนือบ่อน้ำปรากฏว่าปากบ่อถูกปิดด้วยไม้ เหลือพื้นที่ว่างเล็กน้อยไว้ตามความเชื่อ มันตราไม่ได้พยายามจะส่องไฟเพื่อมองลงไปในบ่อแต่อย่างใด และเธอเลือกทำตามที่พระธุดงค์ท่านบอกเอาไว้ว่าถ้าถึงจุดนี้จะมองเห็นแสงไฟที่บ้าน ร่างบางเดินทิ้งบ่อน้ำนั้นไว้เบื้องหลัง ก่อนจะพบว่าเธอเดินเข้ามายังเขตบ้านของยายทวดเรียบร้อยแล้ว

“มันตรา!! ไปไหนมาลูก!!”

น้าสาวเอ็ดเสียงดัง ผละจากกระทะในโรงครัวเดินมาหา ก่อนจะตำหนิหญิงสาวนิดๆ เชิงว่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงไปหมดแล้; “ยายเดินตามหาทั่วทั้งงาน หายไปไหนมา!”

“ขอโทษค่ะ พอดีว่า...” หญิงสาวไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหน เธอยังแทบไม่เชื่อตัวเองว่าทำไมถึงวิ่งตามเขาไปไกลขนาดนั้น ในใจก็คิดว่ายังโชคดีที่เจอพระธุดงค์ห้ามเอาไว้เสียก่อน

“ดูสิ ตัวเปียกไปหมดเลย...ไปเลย ไปอาบน้ำ โดนยายด่าแน่ๆ” น้าสาวก็ยังไม่ทิ้งนิสัยชอบขู่เด็ก ทั้งๆ ที่มันตราก็ไม่ได้เด็กแล้วแท้ๆ แต่น้าสาวก็มักจะทำแบบนี้กับลูกหลานทุกคน เพราะแกเอ็นดูและคิดว่าพวกหลานๆ ยังไม่โตสักที

“ค่ะน้าสาว”

มันตราพยักหน้าตอบก่อนจะเดินไปล้างเท้าที่เปื้อนโคลนออก น้ำในโอ่งดินเผาเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง เพราะตั้งอยู่กลางฝนมาตั้งแต่เช้าแล้ว ก่อนเท้าเล็กๆ จะก้าวขึ้นไปบนเรือนช้าๆ ใจหนึ่งก็กลัวเหมือนกันว่ายายจะดุเอา

“หูยยย ขวัญเอ้ยขวัญมา จะเอายายมาต๋ายลุหนิ” (โถ ขวัญเอ๊ยขวัญมา จะทำยายหัวใจวายตายนะเนี่ย)

“อิหล้าไปไหนมา ยะหยังมาเปี๋ยะซึกปึ๊ก” (ลูกไปไหนมา ทำไมถึงได้เปียกมะล่อกมะแล่กแบบนี้)

หญิงชราเดินออกมาจากห้องและพบกับหลานของแกเข้า ทันทีที่เห็นหลาน แกรีบเดินไปคว้าผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ จนมันตรารู้สึกผิดไปในทันที

“ขอโทษค่ะยาย หนู...” หญิงสาวอ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะแบมือเรียวสวยออก ในมือเป็นแหวนทองเก่าประดับด้วยทับทิมวงเดิม 

ยายถึงกับอึ้งเงียบไปเพราะแกมั่นใจว่าแกเคยเห็นแหวนวงนี้มาก่อน มือเล็กเหี่ยวของยายหยิบมันมาดูใกล้ๆ ก่อนจะเร่งให้หลานสาวไปอาบน้ำอาบท่าเสีย

“ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน จุ๊บแจงมันท่าน้องมาอาบตวยอยู่” (ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป จุ๊บแจงมันรออาบน้ำกับหนูอยู่) ยายบอกก่อนจะวางแหวนวงนั้นไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง 

มันตรารับคำก่อนจะเดินไปจัดการตัวเองอย่างว่าง่าย เพราะอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาที่พระเริ่มสวดแล้ว พวกเธอคงต้องรีบกันหน่อย

หญิงสาวผมดำยาวเดินนุ่งกระโจมอกลงมาทางหลังเรือน จุ๊บแจงที่ยืนรออยู่ก็รีบเข้ามาหาและเดินไปอาบน้ำด้วยกัน แม้ฝนจะยังตกอยู่ก็ตาม คนที่นี่เชื่อกันว่าฝนในหน้านี้สะอาด เพราะฉะนั้นถ้าหากอาบน้ำกลางสายฝนก็จะเหมือนได้อาบน้ำสะอาดไปด้วย แต่ก็อย่าเผลออาบนานเกินไป เพราะน้ำฝนนั้นเย็นเฉียบ จะทำเอาจับไข้ได้ง่ายๆ

ผ่านไปเพียงไม่นานทั้งคู่ก็เดินกลับมายังเรือนไม้หลังเดิม จุ๊บแจงเตรียมเสื้อผ้ามาไว้ที่เรือนด้วย ทำให้เธอเดินไปไหนมาไหนกับมันตราได้ตลอด แถมยังไม่ถูกไล่ให้กลับไปแต่งตัวที่บ้านของเธออีกด้วย 

มันตราเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ก่อนจะพบว่ายายงยังไม่ได้ลงไปรอฟังพระสวด แกเปิดอัลบัมรูปเก่าแก่อัลบัมหนึ่งดู ก่อนจะกวักมือเรียกให้มันตราเดินเข้าไปดู

“เนี่ย...” แกชี้ไปที่แหวนวงหนึ่งบนนิ้วชี้ของยายทวด 

แม้ภาพถ่ายเก่าแก่นั้นจะเริ่มซีดจางไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังพอมองออกว่ามันคือแหวนวงเดียวกัน มันตรามองหน้ายายก่อนจะรู้สึกอึดอัดใจที่จะพูดออกมา 

ยายเองเหมือนเข้าใจ แกพยักหน้าให้และขอตัวลุกออกไปรอฟังพระสวด

“เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขะใจ๋โตยมาเน่อ” (เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบตามออกมานะ) ยายว่าและเดินออกจากห้องไป 

มันตราและจุ๊บแจงใช้เวลาแต่งตัวอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินออกมาร่วมฟังพระสงฆ์สวดอภิธรรมศพเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

ส่วนแหวนเก่าวงนั้นถูกวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง หน้ากระจกบานเก่าเช่นเดิม...

 

 

หลังจากจบพิธีสวดตอนค่ำแล้ว แขกเหรื่อมากมายทยอยกันกลับ เว้นเสียแต่กลุ่มขาพนันเจ้าประจำ และวงเหล้าที่ยึดเอาพื้นที่ในร่มนั่งพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ยายและมันตรากลับเข้ามาในห้องนอนแล้ว หญิงสาวนั่งลงบนเตียงขณะที่ยายเตรียมตัวจะออกไปอาบน้ำก่อนเข้านอนอีกครั้ง

“ให้หนูไปส่งมั้ยคะยาย”

“บะต้องๆ อิหล้าอยู่ในห้องเนี่ย ยายอาบกำเดว หนาว บะไค่อยากอาบเมิน” (ไม่ต้องๆ หนูอยู่ในห้องนี่แหละ ยายอาบแป๊บเดียว หนาว ไม่อยากอาบนาน)

“ค่ะยาย”

มันตรารับคำอย่างว่าง่าย เธอเลือกจะเดินไปหยิบหนังสือนิยายที่พกมาด้วยนั้นเปิดอ่านเล่นๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าแหวนของยายทวดยังวางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง หญิงสาวมองมันก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบแหวนเก่าวงนั้นมาดูอีกครั้ง คิดในใจว่าหากมันคือวงเดียวกับที่ยายทวดสวมอยู่ในรูปถ่ายนั้น แหวนวงนี้ก็คงจะอายุเกือบๆ ร้อยปีแน่ๆ

“สวยจัง...”

ชั่วความคิดหนึ่งนัยน์ตาคู่เดิมปรากฏขึ้นในห้วงความทรงจำของเธอ สีแดงเพลิงที่เคยเห็นนั้นคล้ายกับทับทิมที่ประดับบนหัวแหวนวงนี้เสียเหลือเกิน

“เสือสมิง ผู้ชายชุดขาว แหวนทับทิม พระธุดงค์ ทำไมมีแต่เรื่องที่ทำให้ไม่เข้าใจนะ...”

หญิงสาวบ่นกับตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ลองสวมแหวนในมือเข้าไปในนิ้วเรียว น่าแปลกใจที่เธอสวมมันเข้าที่นิ้วนางข้างขวาได้อย่างพอดิบพอดี ไม่นานนักประตูห้องนอนก็เปิดออก ยายเดินเข้ามาพร้อมกับผ้าถุงและผ้าขนหนูคลุมไว้ที่บ่า มันตรารีบลุกขึ้นมานั่งในทันที และรีบถอดแหวนวงนั้นออก จังหวะเดียวกันกับที่ยายเห็นเข้าพอดี แกไม่ได้ว่าอะไร และเดินไปแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อรอเข้านอน

“ซอบก๋า?” (ชอบเหรอ?)

“ถ้าซอบก่อเก็บเอาไว้ก่อได้ล้อ” (ถ้าชอบก็เก็บเอาไว้ก็ได้นะ)

ยายว่าระหว่างที่นั่งประแป้งสำหรับเด็กอยู่ 

มันตรามองแหวนวงนี้ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเจอมาวันนี้ให้ยายฟัง แน่นอนว่าเธอโดนเอ็ดไปยกใหญ่ ยายว่าถึงมันจะเป็นของมีค่าแค่ไหน แต่การที่เดินตามผู้ชายที่ไม่รู้จักไปตอนค่ำๆ มืดๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่แล้ว หญิงสาวทำได้เพียงแค่ก้มหน้ารับความผิดทั้งหมด มันคือความจริงตามที่ยายแกว่า

“เตื้อหน้าจะไปยะอี้แหมเน่อ เกิดไปป๊ะผีก็ยังว่าผีหลอก ไปป๊ะผีหัวดำมันจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้เน่อ” (ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ เกิดไปเจอผีจริงก็จะแค่โดนผีหลอก แต่ถ้าเกิดไปเจอผีหัวดำ (คน) มันจะเป็นเรื่องใหญ่)

“ค่ะยาย...” มันตราทำหน้าหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำเอายายเองก็ไม่กล้าบ่นต่อเพราะสงสารหลาน

“ขอโทษนะคะที่ทำให้ยายเป็นห่วง” หญิงสาวหันไปกอดยายของเธอก่อนที่ยายจะกอดตอบเบาๆ

“นอนเต๊อะ แหมพูกยายจะไปใส่บาตรพระธุดงค์เปิ้นตวย” (นอนเถอะ พรุ่งนี้ยายจะตื่นไปใส่บาตรพระธุดงค์ด้วย)

“หนูไปด้วยได้มั้ยคะ...” มันตราขอ

ยายพยักหน้าก่อนจะลูบหัวหลานสาวเบาๆ ทั้งคู่กอดกันแบบนั้นก่อนจะเข้านอน คืนนี้ดูทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่มีอะไรผิดปกติ แหวนวงเดิมถูกถอดวางไว้บนหัวนอนของมันตรา ไร้วี่แววของเสียงคำรามใดๆ คืนนี้มีแต่เพียงเสียงลมและเสียงหยดน้ำที่ค้างอยู่บนใบไม้ตกลงมาเปาะแปะโดนหลังคาบ้านเท่านั้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น