20

บัตรเชิญ

20 

บัตรเชิญ

 

เสียงสวดให้พรจากพระสงฆ์สองรูปและเณรน้อยสองสามรูปดังขึ้นอยู่บริเวณทางเข้าลานกว้างหน้าบ้าน บทสวดที่สงบนิ่งนี้เปี่ยมไปด้วยความเรียบง่าย ฟังแล้วพอให้ใจสงบจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้บ้าง หญิงต่างวัยสามสี่คนนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นดินที่ชื้นน้อยๆ  ใช้รองเท้าแตะรองหัวเข่าไว้ไม่ให้โดนก้อนหินเล็กๆ ถึงอย่างนั้นความเย็นจากผืนดินเย็นเฉียบก็ทำให้ปลายเท้าที่เหยียบลงไปบนพื้นดินชาอยู่น้อยๆ เช่นกัน ส่วนหญิงชราที่แก่เกินกว่าจะนั่งคุกเข่านั่งได้เหมือนสาวๆ นั่งพนมมืออยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีแดงที่ซื้อมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“สาธุ”

การสวดให้พรเสร็จสิ้นด้วยคำสั้นๆ ที่ถูกเอ่ยขึ้นมาพร้อมๆ กันอย่างเคยชิน มือเรียวของมันตราลูบหัวตัวเองน้อยๆ เมื่อได้รับสิริมงคลในยามเช้า ในใจยังคงภาวนาว่าขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งของเธอ ภิกษุในจีวรสีเข้มเดินลับสายตาไปก่อนที่พวกเธอจะเดินกลับเข้าบ้านมา แต่น้าสาวยังคงยืนมองลูกชายคนเล็กของแกในผ้าจีวรสีส้มสดใส ริมฝีปากของแกยิ้มน้อยๆ ด้วยเพราะลูกชายขอบวชให้พ่อ แม้จะต้องหยุดเรียนเป็นเวลาสองสัปดาห์ก็ตาม

“ไปยะก๋านได้ละลูก เดวจะขวายหนะ” (ไปทำงานได้แล้วลูก เดี๋ยวจะสายเอานะ) ยายแปงบอกขณะที่ป้าหมวยคอยพยุงแกอยู่ตลอด 

สาวเจ้าพยักหน้ารับก่อนจะยกมือขึ้นสวัสดีทุกคนเพื่อขอตัวออกจากบ้าน แม้ในท้องตอนนี้จะว่างเปล่าเพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยก็ตาม

“มันตรา! จะไปทำงานแล้วเหรอลูก”

น้าสาวที่เดินย่ำเท้าตามเข้ามาอย่างรีบร้อนร้องถาม ด้วยกลัวว่ามันตราจะออกไปทำงานก่อนจะได้กินข้าวกินปลา ร่างอวบเดินเข้าไปยังใต้ถุนบ้านพร้อมกับตะโกนกำชับเสียงดังว่าอย่าเพิ่งไปไหน ให้รอแกอยู่ที่หน้าเรือนเสียก่อน เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นที่น้าสาวหายไป แกก็กลับออกมาจากห้องครัวไฟพร้อมกับปิ่นโตเล็กสีพาสเทล 

มันตราจ้องมองความน่ารักของมัน ด้วยเพราะน้าสาวแกเห็นว่ามันตราน่าจะชอบ เลยถือโอกาสซื้อกลับมาให้เมื่อสองสามวันก่อน ด้วยหมายใจว่าจะได้ใช้ใส่กับข้าวไปให้มันตรากินที่ทำงาน จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อกิน

“เอานี่ไปกิน เนี่ย! จะออกบ้านโดยที่ไม่กินข้าวกินปลาอีกแล้ว เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไง” น้าสาวบ่นเสียงดัง 

มันตราเองกลับอมยิ้มหวาน ด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าน้าสาวเป็นห่วงเรื่องอาหารการกินของเธอมากกว่าใคร

“ขอบคุณค่ะน้าสาว” มือเรียวยื่นไปรับปิ่นโตเล็กพร้อมกับยิ้มหวาน เพราะฝีมือทำกับข้าวของน้าสาวอร่อยเกินจะมีใครเทียบได้

หลังจากนั้นไม่นานรถสีแดงก็ถูกขับออกไปจากลานดินกว้างอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยังร้านขายของเก่าประจำที่มันตราขับรถไปทำงานทุกที ท้องฟ้าในวันนี้ยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อวาน อึมครึม หม่นหมอง แลดูโศกเศร้าอยู่ในที ชวนให้หวนนึกถึงวันที่น้าสาวร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด จนทำเอามันตราถอนหายใจออกมา

เมื่อออกมาถึงยังปากทางซอยเล็กข้างโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เสียงเพลงในโรงเรียนให้สัญญาณว่ายังไม่ถึงเวลาเคารพธงชาติ ดวงตากลมเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาในรถ ก่อนจะมองไปยังสองข้างทาง ซ้ายที ขวาที ด้วยกลัวว่าจะเฉี่ยวชนเด็กนักเรียนตัวน้อยที่พากันเดินไปโรงเรียนในตอนนี้ ครั้นแน่ใจแล้วจึงขับรถออกไปอย่างช้าๆ เปิดเพลงคลอในรถเบาๆ พอไม่ให้เงียบเหงา

“รถเยอะจังเลย” หญิงสาวพูดกับตัวเอง เนื่องด้วยการจราจรในวันนี้แน่นขนัด แม้มันตราจะเผื่อเวลาในการเดินทางมาแล้วก็ตาม พอชะเง้อไปยังด้านหน้าก็เห็นรถทั้งสองเลนข้างๆ รถเธอค่อยๆ ขยับไปช้าๆ คงอีกนานโขกว่าจะถึงที่หมาย สาวเจ้าถอนหายใจอย่างยอมรับชะตากรรม

ทันใดนั้นเองเสียงไซเรนของรถพยาบาลก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เสียงดังบาดลึกจนเจ็บหน้าอกทำเอาร่างบางหันหลังไปมองทันที รถพยาบาลและรถฉุกเฉินหลายคันขับแซงรถของเธอไปด้วยความเร็วจนรถของเธอสั่นไหว มันตราหักพวงมาลัยหนังพารถเข้าข้างทางทันที เพื่อแหวกทางให้รถฉุกเฉินขับผ่านไปได้สะดวกมากขึ้น ตอนนี้เองที่หัวใจบีบแน่นเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นกุมไว้ที่หน้าอก ลูบปลอบตัวเองให้ยังคงมีสติ

“ขอให้ไม่มีอะไรด้วยเถอะ”

สาวร่างบางภาวนา ก่อนที่รถจะค่อยๆ ขยับไปข้างหน้าเรื่อยๆ กระทั่งผ่านไปเจอกับจุดที่คาดว่าน่าจะเกิดอุบัติเหตุ ผู้คนมากมายรุมมุงดูอยู่เป็นวงกว้าง มีตำรวจเพียงสองสามนายพยายามกันคนเหล่านั้นออกไป พลางอำนวยความสะดวกให้รถมากมายที่มุ่งหน้าเข้าตัวอำเภอให้ไหลไปได้อย่างไม่ติดขัดมากนัก

นัยน์ตาสีน้ำตาลเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นกองเลือดมหึมาและร่างหลายร่างที่นอนจมกองเลือดรอให้รถพยาบาลคันอื่นๆ มารับ มันตราถึงกับรีบหันหน้าหนี ทำไมจะต้องมาเห็นภาพแบบนี้แต่เช้าด้วยนะ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่สบายใจเอาเสียเลย

“ขอให้ไม่เป็นอะไรกันมากเถอะ ขอให้ไม่เป็นอะไรด้วยเถอะ” คิ้วเรียวยับย่นพร้อมกับที่ปากเล็กพร่ำแต่ประโยคขอร้องนี้

 

ในที่สุดมันตราก็ขับรถมาถึงหน้าร้านขายของเก่า ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้งอย่างแรง ก่อนจะค่อยๆ เดินลงจากรถหรูพร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างสีดำเพื่อเข้าไปในร้าน

“สวัสดีค่า”

เสียงทักทายของเจ้าหล่อนดูเหนื่อยอ่อน ด้วยภาพเมื่อครู่ยังติดตามาจนตอนนี้ แล้วสาวร่างบางก็ถึงกับตกใจ ด้วยเพราะชายคนหนึ่งที่ยืนต่อรองราคากับคุณหยาดทิพย์อยู่หน้าเคาน์เตอร์โชว์เครื่องประดับก็คือ ‘คุณธี’ ลูกค้าที่ซื้อแหวนทองทรงดอกพิกุลนั้นไปเมื่อวันก่อน ทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่าย กลิ่นหอมอบอวลก็โชยออกมาทันที กลิ่นดอกพิกุลที่กลับมาให้หายคิดถึงอีกครั้ง

“อ๊ะ ขอโทษค่ะคุณลูกค้า” มันตรารีบกล่าวขอโทษก่อนจะค้อมศีรษะเพื่อเดินผ่านเขาและคุณหยาดทิพย์ไป

“แน่ใจเหรอคะเรื่องที่จะขายคืน คุณบอกกับฉันเองว่าคุณมองหาแหวนวงนี้มานานแล้ว” คุณหยาดเอ่ยก่อนที่จะปัดมือให้มันตราเดินเข้าไปหลังร้านเสียก่อน 

เจ้าของเรือนผมยาวเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย

“โดนไล่เข้ามาเหมือนกันเหรอฮะ” เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้น

“ใช่ค่ะ” สาวเจ้าหันไปตอบ

“...”

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สาวเจ้าหาคู่สนทนาของเธอไม่เจอ ดวงตาสีน้ำตาลสองข้างเหลือบมองซ้ายทีขวาที มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะได้ยินเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำนี้โดยที่มองไม่เห็นอีกฝ่าย

“คิกๆ คิกๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้น

“เสียง...จิตวิญญาณของแหวนวงไหนอีกล่ะคะ” มันตราเอ่ยถามอย่างเคยชิน 

ทว่าเสียงที่เธอได้ยินหาใช่จิตวิญญาณของสิ่งของไม่

“ผมนรา”/“ผมนริน” สองเสียงเอ่ยขึ้นสอดประสานกัน 

มันตรารับรู้ได้ในทันทีว่าเธอคงจะพูดกับสิ่งของหรือจิตวิญญาณของอะไรสักอย่างเป็นแน่แล้ว

“โซฟาเหรอคะ”

“ม่ายช่าย” สิ่งนั้นลากเสียงยาว

“โต๊ะ?”

“ม่าย...”

“เก้าอี้ แจกัน ไม้กวาด หลอดไฟ...”

ดวงตากลมลากผ่านทุกอย่างที่เห็นพร้อมๆ กับพูดมันออกมาอย่างกับว่าจะต้องรู้ให้ได้ว่าสองตนนี้คือจิตวิญญาณของอะไรกันแน่

“ไม่ใช่ฮะ ยอมรึยัง” เสียงเด็กน้อยเสนอ

“ยอมก็ได้” สาวร่างบางยอมอย่างจำใจ ด้วยเพราะมองไปทางไหนก็ไม่น่าจะใช่สิ่งนั้นไปเสียหมด

“เป็นลูกของแม่หยาดฮะ” เสียงเด็กน้อยตอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง 

มันตรากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาน้อยๆ อย่างยอมใจกับความขี้เล่นของพวกเด็กๆ สาวเจ้าได้แต่มองไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงพวกเขาเล่นกันอย่างสนุกสนาน แล้วลงนั่งยังโซฟาหวายตัวใหญ่ เอนหลังพิงอย่างหมดแรงหลังจากประสบเหตุการณ์เมื่อครู่

“มันตรา มานี่หน่อยจ้ะ”

ครั้นพอหลับตาลงยังไม่ทันจะถึงสามวินาที คุณหยาดทิพย์ก็เรียกให้เดินไปยังหน้าร้าน สาวเจ้าขานรับก่อนจะรีบเดินออกไปหาอีกฝ่าย

“คะ? น้าหยาด” ร่างบางเดินมาหยุดยังหลังเคาน์เตอร์ใหญ่ ก่อนจะสบตากับชายที่ยืนอยู่ตรงข้าม เขายิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรทีเดียว

“เธอคนนี้ละค่ะ หลานสาวฉัน ชื่อมันตรา ถ้าครั้งหน้าคุณมาแล้วไม่เจอก็ฝากเรื่องไว้ก็ได้ เธอคงมาช่วยฉันดูร้านนี้สักระยะ” น้าสาวแนะนำเธอให้แขกรู้จัก 

เขาทักทายเพียงไม่กี่ประโยคและขอตัวกลับไป สิ่งเดียวที่เขาทิ้งเอาไว้เป็นแหวนทองทรงดอกพิกุลวงงามที่ส่งกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ ออกมาอยู่ไม่ขาดสาย 

สิ้นเสียงประตูไม้สักบานใหญ่ที่ปิดลงไปแล้ว คุณหยาดทิพย์ก็พูดออกมาอย่างเหนื่อยใจทีเดียว “เฮ้อ...น่าสงสารจริงจริ๊ง...”

เสียงลากยาวนี้แสดงให้เห็นถึงความสมเพชในตัวบุรุษคนเมื่อครู่อย่างชัดเจนทีเดียว

“มีอะไรเหรอคะน้าหยาด” สาวร่างบางเอ่ยถามอย่างสงสัย มือขยับไปคว้าแหวนงามวงนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ ไม่ว่ามองมุมไหนก็ตาม แหวนวงนี้ก็ยังคงงามหยดย้อย

“ก็เอาแหวนมาขายคืนน่ะสิ จะอะไรล่ะมันตรา ผู้ชายสมัยนี้เป็นรองผู้หญิงเสียจนไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไรเอง เมียใช้ให้เอามาคืนก็ต้องย่ำต๊อกเอามาคืน ทั้งๆ ที่ใจเองก็อยากจะได้ไว้”

คุณหยาดทิพย์บ่นออกมายืดยาว นั่นเพราะคุณธีบอกเหตุผลทั้งหมดกับคุณหยาดแล้ว แรกเริ่มเดิมทีเขาตั้งใจจะซื้อแหวนวงนี้ให้คู่หมั้นของเขาที่กำลังจะแต่งงานกัน ครั้นพอเข้าพิธีเสร็จ แหวนวงงามนี้กลับส่งกลิ่นหอมของดอกพิกุลออกมาเสียจนเจ้าสาวกลัวจนแทบเสียสติ ไหนจะได้ยินเสียงดนตรีไทยในตอนกลางดึกอีก แบบนี้ใครกันจะรับไหว แม้คุณธีเองจะไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งนี้มากนัก แต่เจ้าสาวของเขารับไม่ได้ จึงยื่นคำขาดให้เอาแหวนวงนี้มาคืน ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ยอมร่วมหอลงโรงด้วยเป็นแน่ จากเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดทำเอาคุณหยาดไม่รู้ว่าจะสงสารฝ่ายไหนดี

“น่าสงสารจังเลยค่ะ” ริมฝีปากเล็กเอ่ยออกมาน้อยๆ

“คนไหนล่ะ คุณธี หรือเมียเขา” คุณหยาดถามขณะเปิดตู้ลิ้นชักด้านหลังออก

“แหวนวงนี้น่ะค่ะ” ริมฝีปากนุ่มยิ้มน้อยๆ แต่นัยน์ตากลับดูหมองลงไป 

คุณหยาดมองมันตราอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจออกมา “มิน่า...” คุณหยาดทิพย์เอ่ยออกมาก่อนจะหยุดมองสาวร่างบางอีกครั้ง

“...สมิงถึงไปไหนไม่รอด” ปากสีแดงสวยเอ่ยก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกระเซ้าเย้าแหย่ เสียงคิกคักจากตู้เครื่องประดับก็ดังออกมาด้วยเช่นกัน

“อะ...เอ๋!! เดี๋ยวก่อนสิคะ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!” มันตราถึงกับหน้าออกสี ยังคงกุมแหวนงามไว้ในมืออุ่น ส่วนคุณหยาดทิพย์เดินหนีออกมาจากเคาน์เตอร์นั้นแล้ว

“โถ่ น้าหยาดละก็!!” มันตราร้องออกมาอย่างแสนงอน

“ขอบใจนะมันตรา...”

แม่นายพิกุลเอ่ยเสียงหวานแผ่วเบา แต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้แสดงอาการโกรธเกรี้ยวที่ถูกนำมาคืน

มันตราวางแหวนวงงามไว้ในตำแหน่งที่จิตวิญญาณแห่งแหวนวงนี้ชื่นชอบ จุดที่ไม่หนาวเกินไป และมองเห็นแสงตะวันยามเช้าจากภายนอกได้ 

ตลอดเช้านั้นทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างไม่มีอะไรติดขัด และด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้มันตราแทบจะลืมเรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าไปเสียสนิท

 

เวลาล่วงเลยมายังบ่ายแก่ๆ แต่ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มอยู่อย่างนั้น ฟ้าร้องครืนๆ ชะรอยว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกมาอีกแน่ๆ สายลมแรงพัดมาปะทะกับกระจกบานใหญ่หน้าร้านจนสั่นไหว ประตูไม้สักแม้จะหนักอึ้งก็ยังถูกลมตีจนขยับนิดๆ จังหวะนั้นเองที่รถหรูสีดำขับเข้ามาจอดยังลานจอดรถสำหรับลูกค้า หญิงคนหนึ่งในชุดทะมัดทะแมง สวมแว่นตากันแดดสีดำอันใหญ่ ค่อยๆ ถอดแว่นออกจนเผยให้เห็นดวงตาโฉบเฉี่ยวที่แต้มด้วยอายแชโดว์แบบสโมกกีอายสุดเซ็กซี่

หล่อนรีบวิ่งอย่างเร็วเข้ามาหลบลมแรงในร้านขายของเก่า ภายในร้านเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบจนทำเอาเจ้าหล่อนต้องถูมือของตัวเองเพื่อคลายความหนาว

“อ๊ะ...สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช่รึเปล่าคะ” มันตราเอ่ยเสียงหวานกับแขกอย่างสุภาพ 

นัยน์ตาสีสวยเหลือบมองมาสบตาหวานของเธออย่างช้าๆ “น้องงง!!!”

“??” มันตรากะพริบตาปริบๆ ก่อนใบหน้าคุ้นตาของอีกฝ่ายจะทำให้มันตราจำเจ้าหล่อนได้

“เบล!!!” ริมฝีปากเล็กขยับยิ้มพร้อมๆ กับที่เธอรีบสาวเท้าออกจากด้านหลังเคาน์เตอร์โชว์เครื่องประดับ สองมือเรียวจับประสานกันอย่างเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนาน ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้งสองคนดำเนินมาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาลแล้ว ก่อนจะเข้าเรียนในโรงเรียนประถม แถมยังสอบติดโรงเรียนมัธยมเดียวกันอีกต่างหาก น่าเสียดายที่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วทั้งสองจะต้องแยกจากกันเพื่อไปเรียนยังมหาวิทยาลัยที่แต่ละคนใฝ่ฝัน ‘เบล’ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เบลล่า ลูกสาวประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่ตอนนี้รั้งตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดนับว่าเป็นสาวสวยที่มีความสามารถ แถมยังพ่อรวยอีกต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่าแตกต่างกับมันตราโดยสิ้นเชิงทีเดียว

“น้องงงงง เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย!!”

เบลล่ากระโดดโลดเต้นอย่างดีใจที่ได้เจอเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันหลายปีแล้ว ส่วน ‘น้อง’ คือฉายาที่เบลล่าใช้เรียกมันตรา ด้วยเพราะเป็นคนหัวอ่อน ขี้แย ทำให้ดูเหมือนจะเป็นน้องเล็กที่สุดในกลุ่ม หากแต่เบลล่าก็รักและเอ็นดูมันตราอย่างเพื่อนสนิทโดยแท้จริง

“สบายดี เบลล่ะ สบายดีมั้ย” มันตราเอ่ยถามด้วยหัวใจที่พองโต รอยยิ้มกว้างปรากฏออกมาอย่างดอกไม้เบ่งบานอยู่รอบๆ

“ฉันเหรอ ไม่สบายดีก็บ้าแล้ววว!! ฉันกำลังจะแต่งงาน!!!” เสียงร่าเริงของสาวเจ้าดังไปทั่วร้าน 

มันตรายกนิ้วชี้ขึ้นจุปากเป็นเชิงว่าให้หล่อนเบาเสียงลงหน่อย 

ทันทีที่เบลล่าได้เห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา มือขาวเนียนของเธอยกขึ้นป้องปากอย่างเผลอตัว

“แต่งงานเหรอ” มันตราถามย้ำอย่างแปลกใจ ด้วยอีกฝ่ายอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่กำลังจะแต่งงานออกเรือนเสียแล้ว

“ใช่ เสาร์นี้! โชคดีมากเลยที่มาเจอเธอที่นี่ มันตรา! เธอไม่รู้หรอกว่าฉันดีใจมากแค่ไหน”

เบลล่ายังคงกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจที่ได้เจอเพื่อนสาว และบอกข่าวดีกับเธอด้วยตัวเอง นั่นเพราะเบลล่าพยายามติดต่อมันตราตลอดเวลา แต่ติดต่อไม่ได้เลย ด้วยเพราะเบอร์โทรศัพท์ที่เคยเขียนไว้ในสมุดเฟรนด์ชิปเล่มใหญ่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของบ้านเก่าที่พ่อของมันตราเพิ่งจะขายไปเพื่อซื้อบ้านหลังปัจจุบันแทน ส่วนโทรศัพท์มือถือก็ติดต่อไม่ได้ซ้ำไปอีก

“เธอต้องไป!! เข้าใจมั้ย น้อง!! เธอ! ต้อง! ไป!” เบลล่าย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ารอนี่ก่อนเดี๋ยวเธอจะกลับมา ในไม่กี่วินาทีนั้นสาวเจ้าก็รีบเดินออกไปด้านนอก เปิดประตูรถคันหรูออก พลันลมก็พัดแรงขึ้น

“มันตรา...เพื่อนเหรอลูก” คุณหยาดเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงเอ่ยถามออกมา ด้วยเพราะมันตราและเพื่อนของเธอบุคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิงทีเดียว

“ค่ะน้า...ขอโทษที่เสียงดังไปหน่อยนะคะ” มันตราขอโทษขอโพยแทนเพื่อนสาว 

คุณหยาดโบกมือปฏิเสธเชิงว่าไม่เป็นไร ดูแลเพื่อนไปเถอะ ครั้นพอเสียงเปิดประตูดังมาอีกครั้ง คุณหยาดก็เดินกลับเข้าไปยังห้องทำงานของหล่อนเพื่อทำงานต่อ ปล่อยให้มันตราและเพื่อนสาวพูดคุยกันไปตามสบาย


ทางเรือนไม้บะเก่า ตอนนี้พวกน้าสาวและจุ๊บแจงต่างช่วยกันปิดประตูและหน้าต่างบ้านให้มิดชิดก่อนที่เม็ดฝนหยดแรกจะหยดลงมา ด้วยเพราะลมฝนกำลังพัดแรง พอเสร็จจากทางนี้ จุ๊บแจงก็วิ่งลงเรือนไปดูบ้านป้ามาลา สถานที่ที่จุ๊บแจงนอนอยู่ทุกคืนอีกรอบ

กิ่งไผ่ไหวโอนเอนตามแรงลมที่พัดมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ทำเอาใบไผ่ที่ร่วงหล่นลงมาพัดขึ้นมาบนเรือนไม้บะเก่านี้จนเกลื่อนกลาดไปหมด ยายแปงนั่งพักอยู่บริเวณเติ๋นด้านในซึ่งพอจะหลบลมหลบฝนได้บ้าง แกหยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่านให้สบายใจ ก่อนจะเอนกายพิงหมอนอิงสามเหลี่ยมอย่างต้องการความสงบ

“ว้ายตายแล้ว!!!”

น้าสาวร้องเสียงหลงหลังจากเห็นชายร่างใหญ่เดินขึ้นเรือนมาในสภาพที่ท่อนบนเปลือยเปล่า มัดกล้ามสวยเป็นลอน เขาค่อยๆ ก้าวมาจากทางชานหลังเรือน น้าสาวยกมืออวบขึ้นปิดปากอย่างตกใจกับรูปร่างงามนี้ นัยน์ตาสีเพลิงเพียงเหลือบมองแก ก่อนมุ่งตรงมายังยายแปง

“ใจหายใจคว่ำหมดพ่อคู้นนน” น้าสาวพูดปลอบตัวเอง ก่อนจะเดินมานั่งผสมโรงด้วย 

ยายแปงเห็นว่าน้าสาวตกใจจนเสียงหลงก็เพียงแค่หันไปมองดูเท่านั้น พอมั่นใจแล้วว่าร่างนั้นคือพ่อปู่สมิงตาไฟก็ลุกขึ้นผายมือให้ท่านได้นั่งลงพักเสียก่อน 

เสียงถอนหายใจของน้าสาวแสดงอาการโล่งใจอยู่มากทีเดียว

“เจ้าเป็นยังไงบ้าง” พ่อปู่เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยเสียงเรียบ นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองไปยังร่างอวบอั๋นของน้าสาว 

น้าสาวยกมือขึ้นไหว้ราวกับว่านั่งคุยอยู่กับพระสงฆ์ “ดีขึ้นแล้วค่ะท่าน ขอบพระคุณท่านมากเลยเจ้าค่ะ” รอยยิ้มน้อยๆ ของน้าสาวแต้มอยู่บนใบหน้ากลม

“ไม่ต้องไหว้ก็ได้ กูไม่ใช่พระใช่เจ้า” ชายร่างใหญ่เอ่ยบอก

ยายแปงขันท่าทีของน้าสาว แกวางหนังสือธรรมะในมือแกลง ก่อนจะยื่นมือไปหาร่างใหญ่ที่นั่งลงข้างๆ กัน 

มือใหญ่ยื่นของสิ่งหนึ่งในห่อผ้าให้ยายแปง ลมกระโชกแรงทำเอาเสียงหวีดหวิวของไม้แป้นบริเวณฝาบ้านดังอย่างโหยหวนทีเดียว

“วันนี้ท่านจะไปรับมันตราหรือเปล่าเจ้าคะ” น้าสาวลดมือลงตามที่อีกฝ่ายบอก แต่คำพูดคำจาก็ยังคงเป็นศัพท์แสงที่ออกจะฝืนจากการพูดปกติอยู่มากทีเดียว

“เมื่อเช้ามีข่าวว่ามีอุบัติเหตุใหญ่แถวๆ ก่อนถึงหน้าอำเภอ ฉันเป็นห่วงหลานเจ้าค่ะ” หญิงร่างอวบเอ่ยบอกด้วยเสียงค่อย

“กูรู้” ชายร่างใหญ่ลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะเตรียมตัวไปรับมันตราที่ร้านของคุณหยาดทิพย์ 

ฟ้าร้องครืนๆ ก่อนฝนเม็ดใหญ่จะค่อยๆ หยดแหมะลงมาจนไม้ที่ชานเริ่มเปียก ยายแปงรีบเก็บห่อผ้านั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อของแกทันที

“บอกหื้อมันตราจะไปขับรถโวยโตยเน่อท่าน” (บอกให้มันตราอย่าขับรถเร็วด้วยนะท่าน) ยายแปงเอ่ยย้ำอย่างเป็นห่วง 

ชายร่างใหญ่ค่อยๆ เดินมายังชานหน้าบ้าน แล้วกระโจนจากชั้นสองลงไปยังด้านล่าง ลายพาดกลอนปรากฏขึ้นบนผิวกายใหญ่นั้น ก่อนร่างกายกำยำของเขาจะกลายเป็นเสือสมิงร่างใหญ่ย่ำลงกับลานดิน ถีบขาวิ่งออกไปด้วยความเร็วเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

“โห...ธัมโม สังโฆ...” น้าสาวถึงกับอุทานออกมาที่ได้เห็นร่างที่แท้จริงของพ่อปู่


สายฝนพร่างพรมลงมาหลังจากเมฆดำเกาะกุมเหนือท้องฟ้ามาตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว ลมเย็นพัดเอาเม็ดฝนสาดกระเซ็นเข้ามายังใต้กันสาดของร้านขายของเก่าจนหน้าร้านเปียกไปหมด หน้าร้านไม่มีรถจอดอยู่แล้ว ด้วยพอเบลล่าได้เครื่องประดับที่เข้ากับชุดแต่งงานของหล่อนก็ทิ้งการ์ดแต่งงานไว้ให้ พร้อมกับกำชับหนักหนาว่าไม่ว่ายังไงหล่อนก็ต้องเห็นเพื่อนคนนี้ในงานให้ได้

ในมือเรียวยังถือการ์ดแต่งงานของเพื่อนสาวคนสนิทเอาไว้ ริมฝีปากเล็กยิ้มดีใจที่จะได้ไปร่วมงานสำคัญนี้

“เบลจะแต่งงานแล้วสิน้า” มันตราพึมพำกับตัวเอง

              “อยากแต่งบ้างเหรอจ๊ะ” จิตวิญญาณของแหวนวงหนึ่งเอ่ยแซว 

ใบหน้าหวานออกสีและร้อนผ่าวไปหมด “ยะ...อย่าแซวสิคะ!!” มันตราตอบออกไปอย่างเขินอาย ก่อนจะเดินออกมายังประตูไม้สักบานใหญ่ จ้องมองออกไปเพื่อดูสภาพภายนอก แล้วสาวเจ้าก็เห็นสมิง ชายคนที่เธอเฝ้าคิดถึงมาแต่เช้าเดินเข้ามาด้วยสภาพเปียกปอน กางเกงขาก๊วยเหมือนถูกสวมอย่างเร่งรีบ เส้นผมหยักศกนั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนจนหยดแหมะลงกับพื้นหน้าร้าน

“สมิง!!”

ร่างบางรีบเปิดประตูบานใหญ่ออก ก่อนจะวิ่งปหาพลางคว้ามือใหญ่ของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้ ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองสบนัยน์ตาสีเพลิงนั้นอย่างห่วงหาอาทร 

มือใหญ่อีกข้างของสมิงเชยใบหน้าหวานขึ้น ก่อนจะกดริมฝีปากร้อนผ่าวลงขโมยจูบหวานจากริมฝีปากยั่วยวนของเธอ

“อะ...” สาวเจ้าไม่ทันจะได้ขัดขืน ใบหน้าแดงฉ่าเคลิบเคลิ้มไปกับจุมพิตทรงเสน่ห์ของเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้นทีเดียว ท่ามกลางสายลมที่เย็นฉ่ำ ริมฝีปากนี้อบอุ่นเหลือเกิน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น