
19
น้ำตาที่เหือดแห้ง
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาแต่เช้ามืด แต่เสียงที่ปลุกมันตราให้ตื่นจากหลับใหลกลับเป็นเสียงเคาะประตูของยายแปง
...
หญิงสาวจ้ำอ้าวลงบนพื้นไม้สักของเรือนไม้บะเก่าท่ามกลางอากาศยามเช้าที่เย็นยะเยือก หมอกหนาจนมองเบื้องหน้าที่ห่างออกไปเพียง 3-4 เมตรได้ไม่ชัดนัก ไอน้ำที่เกาะผิวกายขาวเนียนทำให้รู้สึกแปลบๆ มือเรียวรั้งผ้าคลุมไหล่ขึ้นปรกบ่าเล็กอย่างร้อนรน เธอไม่มีเวลามากพอที่จะสนใจสภาพของตัวเองแล้ว
“น้าสาว!!”
มันตราตะโกนเสียงหอบพร่าขณะจ้ำอ้าวมายังบ้านหลังเล็กของผู้เป็นน้า บ้านไม้สมัยกลาง2 ที่ดั้งเดิมทำจากไม้ทั้งหลัง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นก่อปูนปิดชั้นใต้ถุนกั้นไว้เป็นห้องครัวเล็กแทน ชั้นบนยังคงสภาพบ้านไม้แบบเดิมๆ เอาไว้ กระไดถูกย้ายเข้าไปไว้ยังตัวบ้านให้มิดชิดขึ้น น้าสาวนอนอยู่บนแคร่ไม้ตัวใหญ่ขนาด 6 ฟุตด้านนอก มุ้งสีขาวถูกรวบเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว ร่างบางที่วิ่งมาอย่างเป็นห่วงถอดรองเท้าแตะคู่เล็กออกทันที ก่อนจะปีนขึ้นไปบนแคร่ไม้โดยไม่ได้สนใจท่าทางของเธอเลย
“น้าสาวเป็นอะไร! บอกหนูสิ น้าสาว...” หญิงสาวพร่ำถามก่อนดวงตาเล็กของน้าสาวจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง มือเรียวของมันตรากุมมืออวบอ้วนของน้าสาวไว้ไม่ยอมให้ห่าง ไออุ่นของตัวเธอส่งไปยังมือที่เย็นเฉียบทันที
“มันตราเหรอลูก...น้าไม่เป็นไร แค่ปวดท้องนิดหน่อย” น้าสาวพยายามฝืนร่างกายตัวเองยิ้มให้สาวเจ้า แม้ตอนนี้จะรู้สึกเหมือนมีอะไรชอนไชและทิ่มแทงอยู่ภายในท้องตลอดเวลาก็ตาม
“ปวดท้อง? ปวดตรงไหนคะ กินยารึยัง ไปหาหมอมั้ย หนูจะขับไปส่ง”
มือเรียวของมันตราวางทาบลงเบาๆ บนหน้าท้องที่ยื่นออกมาอย่างผิดสังเกต ครั้นพอมือเรียวนี้ทาบลงบนท้องที่ร้อนฉ่าของน้าสาว สีหน้าแกกลับดูเหมือนอาการทุเลาลงอย่างประหลาด มือเล็กอีกข้างของน้าสาววางลงบนมือของมันตราเชิงว่าอยากให้มันตราวางมือของเธอเอาไว้ก่อน
“พอมีหนูอยู่ข้างๆ มันก็ทุเลาลงนะ” ริมฝีปากซีดเผือดของน้าสาวยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลายทีเดียว
ในดวงตาฉ่ำวาวของมันตรานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะพรั่งพรูออกมาได้ทุกเมื่อ “เอาไว้ตรงนี้เหรอคะ ถ้าไว้ตรงนี้จะไม่เจ็บใช่มั้ย...จะหายใช่มั้ย” เสียงหญิงสาวสั่นเครือไปหมด
สักพักลุงดำ หลานชายอีกคนของยายแปงก็รีบวิ่งมาบอกว่ารถที่จะไปส่งที่โรงพยาบาลพร้อมแล้ว ให้ช่วยกันพยุงน้าสาวไปได้เลย ตอนนั้นเองแม้มันตราจะไม่อยากปล่อยมือจากท้องน้าสาว แต่ก็ต้องยอม มิเช่นนั้นน้าสาวก็จะไม่ได้ไปโรงพยาบาลเสียที
“มันตราอยู่บ้านนี่แหละ ป้าจะไปกับแกเอง”
ป้าหมวยที่ปกติแล้วเวลาอยู่กับน้าสาวทีไรก็มักจะพูดจากระแนะกระแหนกันอยู่ตลอด แต่ครั้นพอถึงเวลาที่อีกฝ่ายเจ็บป่วย แกกลับเป็นห่วงเป็นใยน้าสาวเอามากๆ ด้วยเพราะความสัมพันธ์ของพี่น้องนั้นตัดกันไม่ขาด แกเองก็เป็นห่วงน้าสาวมากเหลือเกิน ถึงขนาดว่าช่วยแบกน้าสาวไปขึ้นรถเพื่อไปหาหมอ
มันตราทำได้เพียงยืนทื่ออยู่ตรงนั้นพร้อมกับหายใจหอบถี่ จุ๊บแจงต้องจูงลูกพี่ลูกน้องที่อายุห่างกันถึง 10 ปีคนนี้ให้เดินกลับมายังเรือนไม้บะเก่า สาวเจ้านั่งร้องห่มร้องไห้อยู่กับตักยายแปง ด้วยว่าไม่อาจทำอะไรเพื่อช่วยน้าสาวให้หายเจ็บป่วยได้เลย น้ำตามากมายล้นทะลักออกมาจนเปียกปอนเต็มผ้าซิ่นของยาย มือเล็กของยายก็ลูบหัวปลอบเธอจนกระทั่งมันตราม่อยหลับไป
ไก่ชนที่ลุงดำเลี้ยงไว้ขันรับแสงตะวันเช่นเคย เมฆหมอกเมื่อเช้าถูกไอความร้อนที่ทรงพลังเผาผลาญจนหายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงไอแดดอุ่นๆ ที่ทอลงกระทบแก้มขาวในห้องนอนใหญ่ มันตราหารู้ไม่ว่าเธอกลับมานอนที่เตียงไม้นี้ได้อย่างไร แต่ครั้นพอตื่นขึ้นมากลับพบว่าดวงตาสองข้างบวมเป่ง ก็สาวเจ้าเล่นร้องห่มร้องไห้กว่าชั่วโมงทีเดียว
มือเรียวคว้าโทรศัพท์มาดูเวลา ก่อนจะพบว่าตอนนี้ปาไปแปดโมงเช้าแล้ว เสียงเพลงชาติดังมาจากโรงเรียนชนบทใกล้ๆ ตอกย้ำเวลาที่ล่วงเลยมาหลายชั่วโมงหลังจากที่น้าสาวถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล
“น้าสาวจะเป็นยังไงบ้างนะ” ริมฝีปากเล็กขยับพูดกับตัวเอง ก่อนจะรีบลุกออกจากเตียงพร้อมกับผ้าเช็ดตัวและผ้าถุงผืนเดิม ไปจัดการตัวเองให้เสร็จเสียก่อน
ยายแปงที่นั่งอยู่ที่ชานบ้านรอฟังข่าวการติดต่อกลับมาของป้าหมวย แม้ท่าทีจะดูสงบเยือกเย็น แต่มือที่จับพัดไม้ไผ่นั้นโยกอยู่ไวๆ แสดงความร้อนใจออกมาทางแววตาที่จ้องมองไปยังทางเข้าบ้านใหญ่อยู่อย่างนั้นเนิ่นนานทีเดียว
ทันใดนั้นรถกระบะคันหนึ่งก็ถูกขับเข้ามายังลานกว้างหน้าเรือนไม้บะเก่า ก่อนเครื่องยนต์เสียงดังจะดับลงไป คนสองสามคนเดินออกมาจากรถ หญิงชราในชุดสีน้ำตาลตะโกนเรียกเจ้าของบ้านไม่ดังนัก
ยายแปงลุกเดินออกไปถามเจตจำนงผู้มาเยือน “ไผหา” (ใครกัน)
“ยายแปง! ฉันยายเล็กเอง ที่บอกว่าจะมาขอขมาพ่อปู่วันก่อน”
ยายเล็กเป็นเพื่อนต่างหมู่บ้านของยายแปงที่มักจะพบปะกันอยู่บ่อยๆ ที่วัด ยายเล็กเป็นหญิงชราที่ร่างเล็กสมชื่อ เส้นผมที่ขาวเกือบทั้งหัวถูกเกล้ามวยรวบตึงขึ้นไม่ให้ลงมาปรกหน้าปรกตา ชุดที่สวมมาเป็นเสื้อสีน้ำตาลกับผ้าซิ่นสีเข้ม หญิงสาวอีกคนเป็นลูกสะใภ้ของแกคอยพยุงอยู่ไม่ห่าง
“เอ๋อออ ขึ้นมาก่อนบ๋อ ไอ้ดำมันไปส่งอี่สาวไปหาหมอปุ้น ท่าจะบะได้ปิ๊กง่ายๆ เดวเฮาเตวไปส่งคนเดว” (เออจริงสิ ขึ้นมาก่อนมั้ย ไอ้ดำมันไปส่งอีสาวไปหาหมอ สงสัยจะไม่กลับง่ายๆ เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเดินไปส่งแทนเอง)
ยายแปงตอบออกไปก่อน ด้วยเพราะว่าเรื่องของน้าสาวทำเอาลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้นัดกับยายเล็กเรื่องที่แกจะเข้ามาขอขมาพ่อปู่สมิงตาไฟนั้นแล ใช่แล้ว ยายเล็กคนนี้นี่เองที่เป็นแม่ของหมอผีกาฬ คนที่เป็นบ้าเสียสติไปเพราะของเข้าตัว จนตอนนี้ทางครอบครัวพลอยลำบากไปด้วยเพราะต้องเร่งไปขอขมาที่ต่างๆ ด้วยหวังว่าจะทำให้อาการของผู้นำครอบครัวคนนี้กลับมาเป็นปกติ แม้ยายแปงเองจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าลูกชายของเพื่อนคนนี้แลที่ประทุษร้ายหลานสาวของแก
“อ่าว นังสาวมันเป็นอะไร” ยายเล็กเอ่ยถามขณะเดินขึ้นมายังเรือนไม้บะเก่า
“มันว่าเจ็บต๊องอี้หนา โห เอ็นดูมันเทาะ ฮ้องโอดโอดโอยๆ ตะมอกตี๋สี่” (มันบอกว่าปวดท้อง ฉันละสงสารมัน นอนร้องครวญครางอยู่ตั้งแต่ตีสี่แล้ว) ยายแปงว่าขณะเดินนำเพื่อนมายังเก้าอี้ไม้รับแขกตัวเดิม
ยายเล็กเลือกนั่งใกล้ๆ เพื่อนของแก ส่วนทับทิม ลูกสะใภ้ที่เดินมาด้วยนั้นมานั่งที่เก้าอี้ข้างแม่สามี ดูเธอจะรุ่นราวคราวเดียวกับมันตราเองแท้ๆ แต่เธอแต่งงานกับหมอกาฬ ชายที่แก่กว่าถึงกว่าเท่าตัว
สองหญิงชรานั่งถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันไปมาพอให้หายคิดถึง ก่อนที่มันตราจะจัดการตัวเองเสร็จจนเรียบร้อย สาวเจ้าเดินออกมาจากห้องนอนใหญ่ มองหาผู้เป็นยายกระทั่งพบว่าทั้งสองนั่งอยู่บริเวณชานเรือน
“เสร็จละก๋าอี่หล้า นี่ยายเล็ก เปื้อนยายที่ว่าจะมาขอขมาพ่อปู่วันนั้น” (เสร็จแล้วเหรอลูก...นี่ยายเล็ก เพื่อนยายที่บอกว่าจะมาขอขมาพ่อปู่น่ะ)
“สวัสดีค่ะยาย” มือเรียวยกขึ้นไหว้ยายเล็กที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะเดินมาหายายของตัวเอง มันตราเลือกนั่งลงบนชานข้างๆ ยายแปงอย่างสงบปากสงบคำ
“ฉันว่าเราไปไหว้กันเถอะ ฉันไม่อยากทิ้งไอ้กาฬไว้ที่บ้านนานๆ กลัวมันจะเป็นอะไรไปอีก” ยายเล็กเสนอ
“เอาอั้นก่อป๊ะ มันตราไปกับยายลูก...ปาเปิ้นไปไหว้ขอขมาโตยยาย” (เอาอย่างนั้นก็ป้ะ ไปกัน... มันตราไปกับยายนะลูก พาพวกยายเล็กไปขอขมาพ่อปู่กับยาย) ยายแปงเอ่ยบอกหลานสาวด้วยเสียงเล็กที่ออกจะแหบลงอยู่น้อยๆ ของแก
มันตราทำได้เพียงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นช้าๆ และพยุงร่างเล็กของยายค่อยๆ เดินลงเรือนไป
“จุ๊บแจง!! จุ๊บแจงเอ้ยยย!!” ยายตะโกนเรียกจุ๊บแจงที่นั่งเล่นอยู่กับเพ็ญจันทร์บริเวณใต้ถุนให้ออกมาหา
“จ๋า!!!!”
เด็กสาวร่างเล็กสองคนวิ่งออกมาอย่างกระตือรือร้น
“ยายจะไปส่งเปิ้นไปขอขมาพ่อปู่ สูเขาอยู่เฝ้าบ้านเน่อ กำเดวก่อปิ๊กมาแล้ว” (ยายจะไปส่งเขาไปขอขมาพ่อปู่นะ พวกเธออยู่เฝ้าบ้านกันดีๆ ล่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว)
ยายแปงสั่งอย่างย้ำคำ ด้วยกลัวว่าจุ๊บแจงจะเอาแต่เล่นจนทิ้งบ้านทิ้งเรือนไป ยังดีที่พอมีเพ็ญจันทร์ที่ยังพอฝากผีฝากไข้ได้บ้าง
“ผ่อมันโตยเน่อเพ้น จะไปหื้อมันละบ้าน แล้วก่อจะไปเข้าไปเล่นในห้อง” (ดูมันด้วยนะเพ็ญ อย่าทิ้งบ้านไปเล่นไกล แล้วก็ห้ามเข้าไปเล่นในห้องด้วย)
ยายแปงย้ำคำอีกระลอก ก่อนจะเดินนำกลุ่มที่มารอขอขมาไปยังทางเดินเล็กหลังเรือนไม้บะเก่า หักกิ่งชาทองที่ขึ้นสูงกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเล็กน้อยออกให้เปิดทาง ด้วยเพราะกิ่งก้านสาขาแตกยอดออกมามากมายจากสายฝน หญ้าเริ่มรกขึ้นมาบางแล้ว แต่ก็ยังพอมองออกว่ามีทางเดินดินเล็กกั้นอยู่พอให้เดินผ่านไปได้
“เดินระวังนะคะยาย”
ริมฝีปากเล็กเอ่ยบอกผู้เป็นยาย ขณะที่หล่อนหันมองกลุ่มคนที่เดินตามมานั้นไปด้วย หญิงชายที่เป็นญาติของยายเล็กประมาณ 7-8 คน เดินถือของสำหรับขอขมาตามๆ กันมาเป็นขบวนยาว ทั้งกระทงกาบกล้วยถูกสั่งทำมาอย่างดี พานและขันโตกเล็กที่บรรจุหมากพลู สายสิญจน์ ของเซ่นไหว้ เหล้า ดอกไม้ และพวงมาลัยจำนวนมาก โดยถือกันมาอย่างระมัดระวัง
พวกเขาค่อยๆ เดินกันไปกระทั่งผ่านบ่อน้ำใหญ่ แม้ในยามปกติแล้วการไปยังศาลพ่อปู่สมิงตาไฟที่ไวที่สุดก็คือขับรถอ้อมไปตามทางหน้าบ้าน แต่ในตอนนี้เส้นทางนั้นถูกปิด เนื่องจากมีการซ่อมบำรุงถนนที่เป็นทางเดินลูกรัง ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องใช้ทางตัดผ่านบ่อน้ำนี้แทน
ดวงตากลมเหลือบมองบ้านร้างที่เคยเป็นรังรักของหล่อนกับสมิงน้อยๆ ภายในนั้นว่างเปล่า ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครขึ้นไปอยู่เลย
ลมเย็นพัดสุย ๆ ทำให้ไม่มีใครเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางในระยะเกือบสองกิโลเมตรเลย อาเพราะมีต้นไม้ขึ้นให้ร่มเงาบังแดดอยู่ตลอดทั้งเส้นทางก็เป็นได้ พวกเขาพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของหมอกาฬ ที่หากไม่นับเรื่องของการเป็นเล่นคาถามนตร์ดำแล้ว เขาก็ดูจะเป็นสามีที่ดีคนหนึ่ง
“ใกล้ละ เตวไปแหมน่อยก่อถึงละ” (ใกล้แล้ว เดินไปอีกนิดก็จะถึงแล้ว)
ยายแปงบอกขณะชี้นิ้วไปยังเนินเขาข้างหน้า ถัดออกไปจากที่นาของแก ที่สุดขอบชายป่ายังมองเห็นทางเดินเล็กและต้นมะกอกป่าตั้งตระหง่านสูงเหนือต้นไม้อื่นๆ ซึ่งบอกตำแหน่งของศาลพ่อปู่สมิงตาไฟว่าอยู่ที่ใด เพียงแค่เดินไปตามคันนาใหญ่นี้ไม่ถึงยี่สิบ นาที พวกเขาก็มาถึงศาลไม้ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อร้อยปีที่แล้ว แม้สภาพจะดูเก่าลงตามกาลเวลา แต่มีการซ่อมแซมและเปลี่ยนวัสดุใหม่ตลอด สถานที่แห่งนี้จึงดูสะอาดสะอ้าน
กระทงเก่าและของที่จากผู้ที่มาขอขมาคนก่อนยังคงอยู่ที่เดิม พวกเขาจำเป็นจะต้องเอาของเหล่านี้ออกไปเสียก่อนที่จะเริ่มตั้งโต๊ะเพื่อขอขมา
ในขณะที่ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการจัดแจงสถานที่นั้น มันตรายืนมองอยู่ห่างๆ ไม่ให้เกะกะการทำงานของพวกเขา ด้วยเพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมเหล่านี้เลย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองสอดส่ายไปรอบๆ ด้วยหวังว่าเธอจะได้พบกับใครคนนั้น
“ท่านอยู่ต๋ำหมู่นี่ก๋า” (ท่านอยู่แถวๆ นี้เหรอ) ยายแปงเอ่ยถามผู้เป็นหลานก่อนจะมองตามไปรอบๆ บ้าง
หญิงสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ ด้วยเพราะเธอก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเหมือนกัน “หนูไม่เห็นนะคะ อาจจะอยู่แถวๆ นี้ละมั้ง” หญิงสาวเอ่ยบอกก่อนจะเดินออกมาดูรอบๆ
ยายแปงได้คำตอบแบบนั้นก็เดินกลับไปช่วยยายเล็กจัดแจงของต่างๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมากำชับสาวเจ้าว่าอย่าเดินออกไปไหนไกล งูเงี้ยวเขี้ยวขอจะกัดเอา เพราะแถวนี้เป็นแนวป่าเสียด้วย
ลมพัดมาทำเอาใบไม้ไหวไปตามแรงลม อากาศบริเวณนี้ค่อนข้างสดชื่นด้วยเพราะเป็นป่าโปร่ง ลมเย็นโชยพัดเอาความชื้นของดินออกไปได้มากทีเดียว สองขาเรียวย่ำลงบนใบไม้ที่ร่วงลงมากองทับถมกัน เกิดเสียงกรอบแกรบเบาๆ ก่อนดวงตาหวานจะมองสำรวจไปตามแนวต้นไม้หนาเบื้องหน้าที่ขึ้นสลับซับซ้อนกัน หากเดินไม่ระวังก็มีหวังจะหลงทางเอาง่ายๆ มันตราจึงเลือกที่จะเดินกลับมายังจุดที่มองเห็นคนอื่นๆ ได้
“แม่หนู...” เสียงหนึ่งลอยมาตามสายลม
หญิงสาวหันไปมอง เห็นหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ระยะทางนี้แทบจะพอกับระยะห่างระหว่างเธอกับกลุ่มที่มาขอขมา นัยน์ตากลมมองไปยังใบหน้าซีดที่คลุมด้วยผ้าดำคล้ายผ้าดิบ คิ้วเรียวขยับยู่เข้าหากันน้อยๆ ขณะเพ่งมองว่าอีกฝ่ายคือใครกันแน่ ก่อนที่มันตราจะหันกลับไปมองทางยายของหล่อนที่รวมกลุ่มอยู่กับครอบครัวยายเล็ก ดูเหมือนจะเริ่มไหว้ขอขมากันแล้ว
“อยากกินมะกอกหวานมั้ย”
เสียงเย็นยะเยือกนั้นลอยเข้ามาในโสต มันตราหันกลับไปมองยังต้นเสียงอีกครั้งก่อนที่จะพบว่า ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นไปอีก ตอนนั้นเองที่มันตราเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือยาวคล้ำจนแทบเป็นสีม่วงนั้นค่อยๆ ยกขึ้นมายังเธอช้าๆ เล็บซีดจนแทบกลายเป็นสีดำยาวเกินกว่าหนึ่งข้อมือค่อยๆ กางออก
“โฮกกก...!!!”
“กรรร!!!... โฮกกก!!!”
“กรรรรรรร!!!!”
แต่ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นนั้นเอง เสียงคำรามหนึ่งดังกึกก้องขึ้น เสียงแผดร้องถูกเปล่งออกมาอย่าดุดัน ฟังดูดุร้ายและรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ ทำเอาบางสิ่งพลันหายไปกับแมกไม้รกทึบเบื้องหน้ามันตรา ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นหญ้า หัวใจดวงเล็กเต้นไม่เป็นจังหวะ กลุ่มของยายเล็กเองก็ถึงกับแตกตื่น บางคนแทบจะวิ่งออกไปยังคันนาด้านนอก
ยายแปงคว้าไม้ใกล้มือขึ้นมาป้องกันตัว สองขาเล็กย่ำหนักๆ มาหามันตราที่ล้มลงห่างออกไปอย่างไม่ได้กลัวเกรงอะไร
“อี่หล้า!! เป็นใดพ่องลูก” (มันตรา!! เป็นไงบ้างลูก) ยายแปงเอ่ยเสียงหนักแน่นอย่างคนดุเอ่ยถามหลานสาวทันที รีบยื่นมือเล็กให้หลานรัก
มันตรายกมือเรียวขึ้นปาดน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะความตกใจ สูดน้ำมูกน้อยๆ ก่อนจะยันลุกขึ้นมาจับมือเล็กของยายแปง
“เป็นยังไงบ้างยายแปง!!” ลูกหลานฝ่ายชายของยายเล็กตะโกนถาม
“บะเป็นหยังๆ” (ไม่เป็นไรๆ) ยายแปงหันไปบอกก่อนจะเดินกลับมาสมทบกับทุกคน แต่บางคนวิ่งหนีไปเสียสุดทางคันนาด้านนอกแล้ว ยายแปงเห็นแล้วถอนหายใจอย่างระอาผู้ชายสมัยนี้
“เขาอาจจะรับรู้การมาของเราก็ได้นะคะ” ทับทิมเอ่ย นั่นทำให้หลายๆ คนใจชื้นขึ้น ด้วยเพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้เห็นว่ามีเสือร้ายที่ไหนปรากฏกายออกมาเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นผู้ชายบางคนในกลุ่มก็ยังยืนยันว่าพวกเขาจะรออยู่นอกชายป่า ขอแค่ยืนอยู่ในจุดที่มองเห็นทุกอย่างในที่โล่งได้ นั่นคงทำให้พวกเขาสบายใจ
“มันตราก็มาไหว้กับยายเขาด้วยมาลูก” ยายเล็กเอ่ย
มันตราเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็คงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว จึงทำได้เพียงรับธูปจากมือของยายเล็กมา คุกเข่าลงตรงหน้าศาลไม้เก่าแก่ ก่อนจะเอ่ยวาจาอโหสิกรรมให้อีกฝ่าย ขออย่าให้ใครต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องแบบนี้อีกเลย
กว่าสามชั่วโมงแล้วที่มันตราและยายแปงเดินทางไปขอขมาพ่อปู่สมิงตาไฟกับกลุ่มยายเล็ก ทางด้านป้าหมวยและลุงดำก็กำลังพาน้าสาวกลับมายังบ้านไม้บะเก่า แต่พวกเขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะไปยังที่แห่งหนึ่งเสียก่อน รถกระบะสีเทาขับมุ่งตรงไปยังบ้านไม้หลังเก่าหลังหนึ่งในอีกหมู่บ้าน ชายชราร่างเล็กยืนรอพวกเขาอยู่แล้วหน้าเรือนไม้สมัยกลาง แม้จะมีทางเดินขึ้นเรือนเหมือนแบบเรือนไม้บะเก่า แต่ตัวบ้านไม้ด้านบนถูกปิดด้วยแผ่นไม้มิดชิด ไม่มีชานไม่มีเติ๋นอย่างบ้านไม้บะเก่าของยายแปง
“หนานปัน!! ช่วยหน่อยเถอะ นังสาวมันจะไม่ไหวแล้ว” ป้าหมวยเปิดประตูลงจากรถได้ก็เรียกขานชื่ออีกฝ่ายที่เหมือนจะรอทำพิธีอยู่แล้วให้รีบเร่งจัดการเสีย
น้าสาวถูกแบกโดยลุงดำและผู้ชายอีกคนให้ลงไปนอนยังแคร่ไม้ตัวเก่า บนนั้นปูด้วยผ้า และมีของประกอบพิธีมากมายวางอยู่ ทั้งถาดที่บรรจุสายสิญจน์ หมากพลู ข้าวตอก ข้าวสาร ขัน และถังน้ำมนต์ใบใหญ่ที่ลอยด้วยดอกไม้และขมิ้นส้มป่อยตามแบบล้านนาเดิม
“นังสาว แกไม่เป็นอะไรแล้ว ลุงหนานแกจะช่วยนะ” ป้าหมวยกระซิบบอกคนที่นอนหน้าซีดหายใจพะงาบๆ สองมือกุมอยู่ที่ท้อง ก่อนจะร้องครวญครางโอดโอยขึ้นเบาๆ
พิธีกรรมเริ่มขึ้นด้วยวิธีโบราณ ‘หนาน’ คือคำเรียกของผู้ที่เคยบวชมาก่อน หรือก็คือ ‘ทิด’ ในภาษาไทยกลาง ซึ่งหมายถึงผู้มีความรู้นั้นแล
‘หนานปัน’ คือหนึ่งในหมอเมื่อหรือหมอผีล้านนาที่ยังคงมีชีวิตอยู่ แม้อายุอานามจะปาไปกว่า 80 ปีแล้วก็ตาม แกเป็นที่นับหน้าถือตาของคนละแวกนี้เป็นอย่างมาก ด้วยเพราะเป็นผู้ที่มีคาถาอาคมแก่กล้าคนหนึ่งที่ใช้ไสยเวทสายขาว ดังนั้นแกจึงมักได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้ทำการถอดถอนคุณไสยมนตร์ดำต่างๆ มาเป็นเวลาค่อนชีวิตของแก
“มันเป็นอะไร หนานปัน!” ป้าหมวยรีบเอ่ยถาม
“โคะ อาก๋านหนักขนาดเน่อ” (โห อาการหนักมากนะคนนี้)
ลุงปันเอ่ยเสียงแหบออกมาอย่างไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำเท่าไรนัก เนื่องจากฟันของแกหักไปแทบจะหมดปากอยู่แล้ว แต่ก็ยังพอที่จะฟังออกว่าแกพูดว่าอะไร สองมือเหี่ยวแห้งของหนานปันยกขึ้นพนมก่อนจะเริ่มสวดคาถาของแกไปตามขั้นตอนอย่างช้าๆ ด้วยถึงว่าอาการของอีกฝ่ายจะรุนแรงสักแค่ไหน แต่หากรีบร้อนไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น หนำซ้ำอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดตามมาอีกด้วย
“ไปโดนของมาแน่ๆ ไผซักคนเนี้ยะ!” (มันโดนของมาแน่ๆ ใครสักคนนี้แล)
ตอนนั้นเองที่มือข้างหนึ่งของชายชราหยิบของบางอย่างมาไว้ในมือ หากมองเผินๆ แล้วมันดูคล้ายรากไม้เล็กๆ แล้วค่อยๆ เคาะไปตามร่างกายของน้าสาวทีละจุดๆ ด้วยสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้โดนคุณไสยเพียงแค่ที่ท้องเท่านั้น
“โอ๊ยยย!!! เจ็บบบ ไม่ไหวแล้ววว!!!”
ทันทีที่รากไม้สัมผัสลงกับหน้าท้องของน้าสาว แกก็พลันกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นอย่างทุกข์ทรมาน ใบหน้าเหยเกของน้าสาวราวคนจะขาดใจตาย ป้าหมวยและลุงดำต้องช่วยกันจับแขนจับขาของแกเอาไว้ไม่ให้ดิ้นพราดจนตกจากแคร่
หนานปันส่ายหน้าในทันที ด้วยเพราะรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของไสยเวทมนตร์ดำนี้
“จุ๊ๆๆ เอาน้ำมนตร์นี้หื้อมันกิ๋นก่อน” (เอาน้ำมนตร์นี้ให้มันกินเสียก่อน) มือเหี่ยวยกขันน้ำมนตร์ยื่นให้ป้าหมวยช่วยป้อนให้คนที่นอนครางเสียงต่ำอย่างอ่อนแรง ด้วยเพราะความเจ็บปวดเมื่อครู่ทำเอาเหงื่อกาฬไหลออกมาจนท่วมตัว ลมหายใจติดขัดนี้เริ่มรวยรินลงทุกที
“กินนี่ก่อน เดี๋ยวจะดีขึ้น”
ป้าหมวยถึงกับน้ำตาซึม ด้วยเพราะสงสารผู้เป็นน้องอย่างสุดหัวใจ ปาดหลังมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ป้อนน้ำมนตร์ในขันลงคอน้าสาวทีละนิดๆ
ลำคออวบนั้นขยับกลืนน้ำมนตร์ในขันอย่างยากเย็น ก่อนจะเริ่มร้องครวญครางโอดโอยอย่างทุกข์ทรมานขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้รุนแรงจนน้าสาวลุกขึ้นอาเจียนออกมาเป็นก้อนเลือดสีแดงฉาน เสียงโอ้กอ้ากอย่างทรมานเหมือนอยากจะเค้นสิ่งดำมืดนั้นออกมาจากตัว แต่มันกลับไม่ยอมออกมาจากร่างนี้เสียที เหมือนหมายใจจะทรมานร่างนี้ให้ตายตกไป
“โอ๊ยยย! ทรมานเหลือเกินนน ไม่ไหวแล้ววววว”
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เสื้อผ้าที่น้าสาวสวมมาเมื่อตอนเช้าเลอะไปด้วยเลือดสีแดง น้าสาวกรีดร้องออกมาระงมท่ามกลางเสียงร้องห่มร้องไห้ของป้าหมวย น้ำตาใสอาบแก้มจนทิ้งคราบไว้นองหน้า สองแขนล็อกร่างของน้าสาวที่ดิ้นพราดๆ กระเสือกกระสนหนีความเจ็บปวด
หนานปันเป่ามนตร์คาถาใส่ไข่ใบเล็ก ก่อนจะลากลงกับผิวหนังของน้าสาว ปากสีเข้มของหนานปันเป่าคาถาอยู่ตลอด แขนขาอวบท้วมของน้าสาวบิดเกร็งอย่างเจ็บปวดทรมาน มือเหี่ยวของหนานปันกุมไข่ฟองเล็กไว้ตรงหน้าท้องน้าสาว ก่อนจะเคาะลงในกระโถนสังกะสีที่ห่อหุ้มไว้ด้วยถุงพลาสติก
ทันทีที่ไข่ใบนั้นแตกออกก็ปรากฏเป็นน้ำเหลืองเน่า กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ของเหลวน่าสะอิดสะเอียนทำเอาป้าหมวยถึงกับผละออกจากร่างน้าสาว วิ่งออกไปอาเจียนอยู่โคนพุ่มไม้ใกล้ๆ
พลันแขนของน้าสาวก็ร่วงตุบลงข้างตัว
“นังสาว!! นังสาว!” ลุงดำเขย่าร่างไร้สติของน้าสาวอย่างเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่
หนานปันถึงกับส่ายหน้า ด้วยคาถาอาคมของอีกฝ่ายเหมือนจะแก่กล้ากว่าแกมาก ไม่ยอมออกจากร่างอ่อนแอนี้เสียที
“บะไหว เฮาว่าลองหื้อคนอื่นลองผ่อบ๋อ ไอ้คนนี้เหมือนมันจะเอาหื้อต๋าย” (ไม่ไหว ฉันว่าลองให้คนอื่นลองดูมั้ย ไอ้คนนี้เหมือนมันจะเอาให้ถึงตาย)
หนานปันถึงกับยอมแพ้ แล้วลุกขึ้นไปเตรียมรางจืด ยาสมุนไพรที่ใช้ถอนพิษ โดยให้ต้มกินลดอาการเจ็บปวดให้พอทุเลาลงได้บ้าง แต่แกพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่อาจถอนคุณไสยนี้ได้ และแนะนำให้ลองไปถามพระอาจารย์ที่วัดดูก่อน แต่วันนี้พระอาจารย์น่าจะไม่อยู่วัด เนื่องจากต้องเดินทางไปต่างอำเภอ อาจจะต้องรออีกสักวันสองวัน แกจึงเตรียมยาสมุนไพรให้เพียงพอสำหรับการบรรเทาอาการนี้ไปก่อน
“ขอบคุณมากนะหนานปัน ฉันจะลองดู” ป้าหมวยบอกกับหนานปันทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม มือสั่นเทา แต่ยังคงมีความหวัง แม้จะดูน้อยนิดก็ตาม
จังหวะที่รถกระบะสี่ประตูสีเทาออกไปจากลานกว้างหน้าเรือนไม้บะเก่า เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะอีกคันเข้ามาแทนที่ ที่กระบะหลังมีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ในเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน คราบเลือดบางส่วนแห้งไปบ้างแล้วจากการเดินทางมาระยะหนึ่ง
“น้าสาว!!!”
มันตราวิ่งพรวดลงเรือนไม้บะเก่าหลังจากเห็นสภาพอันน่าสงสารของน้าสาว มือเรียวยกขึ้นปิดปาก แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ร่างเล็กทรุดลงนั่งร้องไห้อย่างเจ็บปวด เพราสงสารน้าสาวผู้นี้เหลือคณนา
“หนานปันบอกมีคนทำของใส่ ตั้งใจจะเอาให้ตาย หนานปันว่าให้ลองไปถามพระอาจารย์ที่วัดดูครับยาย”
ลุงดำเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับแจ้งข่าว ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดกระบะหลังลงเพื่อนำร่างอันไร้เรี่ยวแรงของน้าสาวกลับไปนอนพักที่บ้าน
“โดนของเหรอคะ เหมือนถูกคุณไสยเหรอคะ” มันตราโพล่งถามขึ้น นัยน์ตากลมมองร่างอ่อนแรงที่ถูกหามออกไปอย่างห่วงใย ก่อนสองแขนจะยันตัวขึ้น ร่างบางถีบตัวเองออกจากจุดนั้นในทันที
“มันตรา!!!” ยายตะโกนไล่หลังร่างบางไป แต่ด้วยวัยของแกจึงไม่อาจวิ่งตามไปได้
...
ท่ามกลางสายลมที่พัดแรงขึ้น ร่างบางรีบก้าวออกไปยังทางเดินเล็กหลังบ้าน ผ่านพุ่มชาทองที่เกี่ยวแขนเรียวจนเป็นรอยแดง แต่เธอไม่มีเวลาจะสนใจ ตอนนี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว สองขามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือวิ่งกลับไปให้ถึงศาลพ่อปู่สมิงตาไฟเพื่อตามคนคนเดียวที่จะช่วยเหลือน้าสาวได้แน่ๆ ท้องฟ้าเริ่มมืดขึ้นมาจากเมฆก้อนดำทะมึน เมฆฝนตั้งเค้ามาอย่างเร็ว ไม่กี่อึดใจเท่านั้นก้อนเมฆดำสนิทก็บดบังดวงอาทิตย์ที่เคยแรงกล้าให้มืดดับไปภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
“ขอร้องละ ขอให้เจอด้วยเถอะ”
ริมฝีปากเล็กเอ่ยออกมาอย่างอ้อนวอนต่อดวงชะตา สาวเจ้าวิ่งฝ่าความมืดมนเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่หมาย ผ่านบ่อน้ำเก่าแก่และเรือนร้างนั้นไปโดยไม่ได้หันไปแลมอง หัวใจเต้นโครมครามพร้อมกับเสียงหอบเหนื่อย ก่อนจะถูกมือหนึ่งคว้าแขนไว้ราวถูกกระชาก
“กรี๊ดดด!!”
ร่างบางกรีดร้องเสียงดังอย่างตกใจ มือเรียวของเธอตีไปยังมือใหญ่อย่างอ้อนวอนขอให้ปล่อย เธอไม่มีเวลาอีกแล้ว
“ปล่อยนะ!!! ฉันต้องไปหาสมิง!! ได้โปรด!!”
สาวเจ้าเงยขึ้นสบนัยน์ตาสีเพลิงที่จ้องมองลงมา หูที่อื้ออึงไปหมดเริ่มได้ยินเสียงหนึ่งเบาๆ ก่อนเธอจะตั้งสติ และได้ยินอย่างชัดเจน
“มันตรา!!!”
สองมือใหญ่เขย่าร่างบางให้ได้สติ ก่อนเธอจะหยุดนิ่ง ดวงตาไหวระริกจ้องมองตอบใบหน้าคมนั้นอย่างพิจารณา
“สะ...มิ...ง...”
เสียงหายใจหอบของเธอดังอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก่อนร่างบางจะรีบโผเข้ากอดร่างใหญ่อย่างโล่งอกที่ได้เจอ สองแขนโอบกอดเขาไว้แน่นไปพร้อมกับเสียงร้องครวญของเธอที่ดังไปทั่วบริเวณ เธอสะอื้นไห้จนสั่นไปทั้งร่าง สมิงจึงรีบโอบกอดเธอตอบเพื่อปลอบโยน
“ช่วยน้าสาวด้วย! ขอร้องละ ช่วยน้าสาวด้วย!!!”
ริมฝีปากเล็กร้องตะโกนออกมาอย่างเก็บความกังวลไว้ไม่อยู่ หล่อนไม่อยากให้น้าสาวต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว คนเดียวที่จะช่วยได้ตอนนี้มีเพียงคนตรงหน้าเท่านั้น
สมิงถึงกับถอนหายใจออกมาก่อนจะประคองท้ายทอยอีกฝ่ายมากุมไว้ เขาเป่าปากปลอบโยนมันตราให้สงบ แล้วช้อนร่างบางขึ้นอุ้มพาเดินกลับไปยังบ้านไม้บะเก่าทันที
“เร็วหน่อยไม่ได้เหรอ” เจ้าของในตาสีน้ำตาลชุ่มฉ่ำรบเร้า
ชายร่างใหญ่ยังคงเดินอย่างมั่นคง
“ช่วย...ช่วยเร็วหน่อยได้มั้ยคะ...ไม่อย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นน้าสาวอาจจะตายก็ได้...”
น้ำตาใสหยดแล้วหยดเล่าไหลลงอาบแก้มช้ำอีกครั้ง คราบน้ำตาเก่ายังไม่ทันจะถูกเช็ดออกจากแก้มขาวนี้เลยแท้ๆ สองแขนเธอขยับขึ้นรั้งลำคอใหญ่ของอีกคนเข้ามาใกล้
สมิงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกมากมายที่พรั่งพรูออกมาผ่านร่างที่สั่นเทาของมันตรา หัวใจดวงเล็กของเธอเต้นสะท้านอยู่จนเขารับสัมผัสนี้ได้เพียงแค่มันทาบลงกับอกกว้างของเขา
ร่างของน้าสาวนอนแน่นิ่งอยู่บนแคร่ไม้ที่เดิมของแก ข้างๆ แคร่นั้นมีหม้อต้มยาเดือดพล่านตั้งอยู่บนเตาอั้งโล่ กลิ่นฉุนของสมุนไพรมากมายในหม้อโชยออกมาจนทั่วบริเวณ เสื้อผ้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดตอนนี้ถูกถอดและเผาทิ้งด้วยเตาเก่าไปแล้ว ร่างน้าสาวถูกห่มด้วยผ้าผืนบางพอให้มิดชิดเท่านั้น
ตอนนี้ป้าหมวยกับพิมฐาแยกไปอาบน้ำและจัดการธุระส่วนตัวเสียก่อน มีเพียงลุงดำและยายแปงที่นั่งเฝ้าร่างที่ไร้สติของน้าสาวอยู่ สองมือของแกถูกมัดด้วยด้ายสายสิญจน์สีขาวหลายเส้น ยายแปงมัดให้เองกับมือ ด้วยหวังว่าจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปจากน้าสาวได้อีกทาง ตอนนั้นเองที่ชายร่างใหญ่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแขนแกร่งสาวร่างบางในอ้อมแขน ยายแปงหันมองทั้งสอง ก่อนนัยน์ตาเล็กของแกจะเบิกตากว้าง
“พ่อปู่!...”
ลุงดำที่นั่งพัดวีเตาอั้งโล่อยู่ถึงกับหันมามอง “ยาย!...”
เมื่อชายร่างใหญ่ปล่อยสาวเจ้าลง เธอก็จะรี่เข้าไปหาผู้เป็นน้าอย่างเป็นห่วง แต่กลับถูกมือใหญ่ของสมิงป้องเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าอยู่ห่างๆ...มันตรา”
สีแดงเพลิงเรืองออกมาจากนัยน์ตาคมทันที มือใหญ่ที่ป้องอยู่ดึงเธอออกมาให้ห่าง ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปแทน
ยายแปงที่นั่งอยู่บนแคร่เดินลงมาจากแคร่ไม้อย่างช้าๆ ก้าวเท้าเปล่าเข้ามาหามันตรา
ชายร่างใหญ่สูดหายใจเข้าลึกจนเต็มปอด ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร แผ่นอกกว้างขยับน้อยๆ ดวงตาสีเพลิงมองร่างอันน่าเวทนาเบื้องหน้า มือใหญ่และเล็บอันคมกริบวางลงบนกระหม่อมของน้าสาว เลื่อนไปกุมหัวที่เย็นเฉียบไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงเป่าคาถาเพียงคาบเดียวเท่านั้น
เส้นผมหยักศกของน้าสาวไหวระริก ร่างแกจะกระตุกอย่างแรง สูดหายใจเข้าทางปากอย่างคนที่กำลังจะจมน้ำ ก่อนที่แกจะขยับตัวพลิกออกจากแคร่ไม้ แล้วอาเจียนกองมหึมาก็พุ่งทะลักออกมาทางปากแก สิ่งที่ทะลักออกมาพร้อมกับสิ่งปฏิกูลมากมายส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
ตะปูยาวกับเศษหนังชิ้นเล็กหลายๆ ชิ้นทำเอามันตราเองถึงกับร้องกรี๊ดออกมาอย่างตกใจกับภาพที่เห็น ยายแปงจึงรีบคว้าเธอมากอดพลางปิดตาเธอไว้ไม่ให้มองภาพตรงหน้า
สมิงเดินมายังเตาอั้งโล่ใหญ่ที่กำลังร้อนระอุ ลมพัดแรงเสียจนถ่านไฟในเตาแตกกระจายดังเปรี๊ยะๆ
ลุงดำลุกหนีชายร่างใหญ่ที่ดูไม่น่าไว้ใจคนนี้ แม้จะเคยเห็นหน้าค่าตาจากวันที่ประกาศพินัยกรรมแล้ว แต่ก็รู้สึกเกรงขามอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“บะเป๋นหยัง เปิ้นบะยะหยังเฮาหรอก” (ไม่เป็นไร ท่านไม่ทำอะไรเราหรอก) ยายแปงบอกลุงดำด้วยเสียงเรียบ
จังหวะนั้นเองที่มือใหญ่ปาดลงที่ก้นหม้อสีดำเข้ม เขม่าก้นหม้อสีดำสนิทติดมากับมือนิดหน่อย ก่อนสมิงจะบริกรรมคาถาช้าๆ นัยน์ตาสีแดงเพลิงมองร่างที่อ่อนล้าจากการอาเจียนบนแคร่ไม้เก่า จากนั้นจึงปาดมือที่เปื้อนเขม่านี้ลงบนหน้าผากกว้างของแกเป็นเส้นยาวสีดำ
“ปล่อยให้นอนเอาแรงไปก่อน ส่วนเจ้า...” สมิงบอกด้วยเสียงเรียบ พร้อมสั่งการลุงดำที่ยืนอยู่หน้าเตาอั้งโล่
“ยานั้นกินทีละครึ่งถ้วย ให้ป้อนทุกชั่วโมง อย่าให้ขาด เข้าใจรึเปล่า”
ลุงดำกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอพลางพยักหน้ารับคำของสมิง
ส่วนกองอาเจียนของน้าสาวนั้น ตอนนี้มีหนอนมากมายค่อยๆ ชอนไชออกมาจากกองเหม็นฉึ่งนั้น นัยน์ตาเรียวเหลือบมองเพียงหางตา
“เอาถ่านร้อนไปเททับมันด้วย”
ร่างใหญ่เอ่ยบอกก่อนจะเดินกลับมาหามันตราที่ตอนนี้ยังคงกอดยายแปงสะอื้นอยู่ มือใหญ่ของเขาวางลงบนกระหม่อมเล็กของมันตราอย่างแผ่วเบา ปาดเขม่าที่ยังคงเหลือคราบอยู่บนนิ้วใหญ่ไปยังหน้าผากเล็กของมันตราด้วยอีกคน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสมิง ก่อนจะโผเข้ากอดเขาทันที
ยายแปงหันมองหลานรักของแกก่อนจะส่ายหน้าพลางยิ้มออกมาน้อยๆ ครั้งนี้ต้องขอบคุณมันตราจริงๆ ที่กล้าวิ่งออกไปตามหาสมิง หลานแกทั้งสองคนจึงปลอดภัย
“ไว้ข้าจะจ่ายให้ทีหลัง” เสียงทุ้มของสมิงเอ่ยกับยายแปง
แกเผยยิ้มออกมาเพราะคำพูดขี้เล่นนี้ ถึงแม้จะเพิ่งผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาก็ตาม ก่อนหญิงชราร่างเล็กจะเดินไปเอาถ่านร้อนจากเตาอั้งโล่มากลบกองสิ่งปฏิกูลจนมิดชิด
หน้าท้องของน้าสาวที่นอนหลับอยู่ยุบลงมามากแล้ว แผ่นอกขยับหายใจอย่างแผ่วเบา แต่ไร้ซึ่งความเจ็บปวด
เมฆฝนครึ้มดำเริ่มกลั่นตัวออกมาเป็นหยดน้ำใสเย็นเฉียบ กบเขียดในทุ่งนากว้างร้องกันระงม บ้านไม้สักหลังใหญ่ของเจ้าของผืนนาหลายไร่นั่งกระอักเลือดอยู่ภายในห้องลับที่ถูกกั้นขึ้นเพื่อใช้ทำสมาธิ ตอนนี้ตีหนึ่งกว่าแล้ว ผู้คนในบ้านต่างพากันเข้านอนเว้นเสียแต่ห้องหนึ่งที่ยังคงเปิดไฟสว่าง ทันใดนั้นประตูบานใหญ่เปิดผางออกเสียงดัง ทำเอาคนบนเรือนนี้ถึงกับสะดุ้งตัวลอย หารู้ไม่ว่าเจ้าของบ้านไม้สักเรือนงามนี้เองกำลังเผชิญหน้ากับเสือสมิงตัวเขื่อง เนื้อตัวสั่นกึก ยกสองมือขึ้นไหว้ขอความเมตตา
“ท่าน...” คนเอ่ยหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยนาม
“มันเป็นใคร” สมิงร่างใหญ่เอ่ยถามออกมา
อีกฝ่ายร้องครวญครางออกมาอย่างทุกข์ทรมาน
“กูช่วยมึงได้ แต่มึงต้องบอก” สมิงเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มึงต้องเลือก ระหว่างชีวิตมึง กับมัน”
เสือสมิงร่างใหญ่หันหลังกลับ เป็นนัยว่าเวลาของอีกฝ่ายมีไม่มากเท่าไรนัก เสียงลมแรงตีเข้าหน้าต่างไม้สักจนดีดกระแทกเข้าฝาบ้านอยู่หลายครั้งหลายครา กลบเสียงไอและสำลักออกมาเป็นเลือดกองใหญ่ที่ตะเกียกตะกายยกมือไหว้ขอความเมตตาอีกครั้ง
“ไอ้มิตร ไอ้มิตร ผัวอีสาวมันนั่นแหละ”
พูดยังไม่ทันจบ ร่างนั้นก็กระอักเลือดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงหายใจอย่างพยายามสูดลมหายใจเข้า แต่ทำไม่ได้ ส่งเสียงฟืดฟาดอยู่อย่างทรมาน ดวงตาสีแดงเพลิงเหลือบมามองร่างนั้นอย่างแปลกใจทีเดียว ช่างน่าอดสูนักที่คนเป็นผัวทำของเข้าเมียตัวเองได้ลงคอ เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ชายร่างใหญ่ทำตามสัญญา ไม่นานความเจ็บปวดของอีกฝ่ายก็ทุเลาลง แต่ก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว
“กูทิ้งมันไว้ให้มึงได้คิด ไอ้อำนาจ มึงเรียนผูกได้ มึงก็เรียนแก้ได้ แต่ถ้ามึงแก้แล้วมึงจะทำยังไงกับของอันนี้ต่อก็เรื่องของมึง แต่รับรู้ไว้เสียก่อนว่าหากมึงเล่นผิดคน มึงจะโดนเยี่ยงวันนี้อีก”
ร่างใหญ่ผละออกมาจากห้องนั้น แล้วกระโจนออกไปทางหน้าต่าง เจ้าของบ้านก็รีบถอนอาคมโดยไว
ผ่านพ้นไปอีกคืน เช้าตรู่นี้อากาศไม่ได้สดใสอย่างที่คิด เนื่องจากเมฆดำทะมึนยังคงครอบคลุมท้องฟ้ากว้างไว้ เสียงหนึ่งดังขึ้นในโรงครัวไฟอย่างที่เคยมีประจำ เตาร้อนระอุถูกจุดด้วยถ่านไม้ลำไย มืออวบคว้าหม้อขึ้นตั้งไฟ และเทน้ำอย่างขะมักเขม้น
“นังสาว!!! หล่อนตื่นมาทำบ้าอะไร!!” ป้าหมวยเอ็ดคนที่เมื่อวานนอนพะงาบๆ อยู่แท้ๆ เช้านี้กลับตื่นขึ้นมาทำกับข้าวอย่างคนปกติ ป้าหมวยเดินมาสำรวจร่างกาย อุณหภูมิ และชีพจรที่กลับมาเป็นปกติของน้าสาว เหมือนกับว่าเมื่อวานไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ก่อนแกจะถอนหายใจพลางกอดลูกพี่ลูกน้องของแกจนแน่น
“น้าสาว!!” เสียงเล็กของมันตราตะโกนมาจากบนเรือนไม้บะเก่า ก่อนเสียงตึงๆ จะดังมาจากบนเรือนด้วยเพราะสาวเจ้ารีบจ้ำอ้าวลงมาอย่างเผลอตัว รอยยิ้มดีใจปรากฏบนใบหน้าหวานพลางกระโดดกอดผู้เป็นน้าและป้าของเธอไว้ในคราเดียวกัน
“ดีใจจังเลยที่ไม่เป็นอะไรแล้ว!!”
สามสาวสามวัยกอดกันกลมอยู่ในโรงครัวที่อบอุ่น ก่อนเสียงหนึ่งจะตะโกนมาจากทางหน้าเรือน
“นังสาว!!! ยายแปง!!! มีใครอยู่มั้ย!!!”
ทั้งสามคนหันไปมองก่อนจะเดินตามกันไปยังหน้าเรือนไม้บะเก่า ยายแปงที่ตื่นมาได้สักพักแล้วเดินลงมาจากบันไดหน้าบ้าน มีผ้าคลุมไหล่พอช่วยกันความหนาวเหน็บไม่ให้บาดผิวกายของแก
ชายสามสี่คนเดินมารออยู่บริเวณตีนบันไดไม้ของเรือนเพื่อแจ้งข่าวบางอย่าง
“ยายแปง นังสาว ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะ... ไอ้มิตรมันตายแล้ว เมื่อเช้าอีผินอีจันทร์มันร้องห่มร้องไห้ โทร. แจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าผัวมันตายคาห้องนอนเมื่อคืน พอไปดูศพ ดันเป็นไอ้มิตรผัวมึงน่ะ นังสาว!”
นายมิ่ง ลูกชายผู้ใหญ่บ้านรีบแจ้งข่าว ก่อนยายแปงจะเชิญให้ขึ้นมาคุยกันบนเรือนไม้เสียก่อน แน่นอนว่าการตายครั้งนี้แม้จะเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ แต่ก็หาข้อสรุปอื่นไม่ได้ นอกจากว่าเสียชีวิตจากการโดนคุณไสย
น้าสาวรับฟังข่าวนี้อย่างนิ่งสงบ เพราะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าสามีของแกเองนั้นแลที่เป็นคนทำคุณไสยใส่แกหมายจะให้ตายตกไป เพื่อจะได้ทิ้งสมบัติและมรดกไว้ให้เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกับนางจันทร์ น้องสาวของนางผินที่เปิดร้านขายยาดองอยู่หน้าตลาด
ใบหน้ากลมของน้าสาวมีเพียงความเรียบเฉยเท่านั้น น้ำตาของแกคงเหือดแห้งไปพร้อมๆ กับความรักของเขา
ตามธรรมเนียมแล้วคนที่ตายด้วยวิธีผิดธรรมชาติแบบนี้ ชาวบ้านจะไม่เก็บศพเอาไว้ข้ามวัน งานศพจึงถูกจัดขึ้นภายในบ่ายวันนั้น และเผาไปในวันเดียวกันเลย ร่างอวบของน้าสาวยืนอยู่หน้าเตาเผาเชิงตะกอนสูง จ้องมองเปลวไฟที่ลุกโหมอย่างว่างเปล่า ในมือกุมจี้รูปหัวใจทรงโบราณไว้ในมือ ริมฝีปากบางของแกพร่ำบอก
“ครั้งหนึ่งพี่เคยบอกว่ารักฉันมาก ฉันยังจำได้ จี้นี้ฉันจะเก็บไว้ เพราะครั้งหนึ่งพี่เองก็เคยรักฉันจริงๆ”
ความคิดเห็น |
---|