
18
บทเรียนราคาถูก
สายฝนชุ่มฉ่ำโปรยปรายลงมาตั้งแต่เวลาอาหารเย็นแล้ว ครอบครัวใหญ่กว่ายี่สิบคนนั่งรับประทานอาหารกันอย่างครื้นเครง เว้นแต่สาวร่างบางที่มัวแต่นั่งเหม่อมองออกไปท่ามกลางสายฝน นัยน์ตาใสเป็นประกาย หวังอยู่ในใจลึกๆ ทุกขณะจิตว่าใครคนนั้นจะเดินเข้ามาหลบฝน ณ ที่ตรงนี้
ลมเย็นและละอองน้ำฝนเม็ดเล็กลอยละล่องมาติดยังแก้มขาว มือเรียวยกขึ้นสัมผัสเย็นเฉียบที่แก้มเธออย่างประหลาดใจ มือนุ่มและอุ่นของเธอลูบไปมาที่แก้มนุ่มนี้อย่างโหยหาสัมผัสหนึ่ง ก่อนจะรีบสลัดความคิดที่รังแต่จะทำให้แก้มขาวออกสีมากขึ้นไปอีก
“มันตรา กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำในบ้านน้านะลูก ที่ต๊อม น้ำน่าจะขุ่น”
น้าสาวบอกก่อนจะเดินมานั่งหลังร่างบาง ด้วยมีอะไรบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ ริมฝีปากหนาของน้าสาวเม้มลงอย่างชั่งใจว่าจะพูดประโยคที่คิดออกไปหรือเปล่า
มันตราเหลือบมองท่าทีของหล่อนก่อนที่จะขยับมือเรียวไปหยิบของบางอย่างในกระเป๋าใบเล็กข้างตัวเธอออกมายื่นให้ ถุงสีแดงใบเล็กที่ภายในนั้นบรรจุจี้ทองคำที่เป็นของแทนใจของหล่อน
“หนู...ยังไม่ได้ขายมันไปหรอกค่ะ”
มืออวบของน้าสาวรีบเอื้อมมารับถุงนั้นไปกุมไว้อย่างหวงแหน หล่อนกระชับมันอยู่นาน ก่อนจะพร่ำขอบคุณมันตราคำแล้วคำเล่า คืนนี้น้าสาวได้ของของแกคืน แต่มีบางคนที่ยัง...
...
ค่ำคืนนี้ยังคงเป็นอีกคืนที่ชุ่มฉ่ำ ฝนไม่ได้ปรานีต่อหัวใจดวงน้อยที่หนาวเหน็บเลยแม้แต่น้อย ชุดนอนวาบหวิวของคุณหยาดทิพย์ที่ซื้อมาให้ถูกสวมลงห่อหุ้มเรือนร่างงามของสาวเจ้าที่นอนซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มนุ่มฟู แสงไฟสีขาวในห้องนอนมืดลงมาได้กว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ว่ามันตรายังคงตาสว่าง อาหารที่กินไปน้อยนิดเมื่อตอนเย็นไม่ได้ทำให้ง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย
“พอแล้วมันตรา...เขาไม่เคยมาอยู่แล้ว”
เสียงค่อยๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากเล็กของเธออย่างปลอบใจตัวเอง เปลือกตาบางปิดลงอย่างต้องการการพักผ่อน คืนนี้สาวเจ้ารอคอยมานานเกินพอแล้ว
ความฝันเริ่มเข้ามาแทรกแซงการนอนหลับที่สงบของมันตรา เสียงหายใจฟืดฟาดค่อยๆ ดังมาจากทางหน้าประตู แต่ไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบานประตูไม้เก่า ด้วยเพราะเสียงฝนที่ตกลงกระทบกับกระเบื้องดินขอดังซ่าๆ ไม่ขาดสาย ไออุ่นที่โหยหาเมื่อชั่วโมงก่อนถูกเติมเต็มบนแก้มขาวที่เย็นเฉียบเพราะอากาศภายนอก เส้นขนแข็งสะกิดลงบนเนื้ออ่อนทำเอาร่างบางยกมือขึ้นป้องแก้มอย่างไม่รู้ตัว เสียงงึมงำเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากนุ่มของหญิงสาวที่นอนหลับอย่างไร้สติ
“เจ้านี่มัน...”
ผู้มาเยือนก้มลงกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูเล็ก ก่อนลิ้นสากและร้อนผ่าวจะไล้เลียเนื้อนุ่มของติ่งหูเนียน ขนแข็งเมื่อครู่กลับกลายเป็นใบหน้าคมเข้มและเส้นผมดำหยักศกยาวลงปรกแก้มสาวเจ้าอยู่น้อยๆ ริมฝีปากเข้มของเขาพรมจูบหวานลงกับต้นคอขาว ชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล ใบหน้าหวานเงยขึ้นให้อีกฝ่ายโลมเลียผิวกายนุ่มอย่างถนัด ก่อนลมหายใจเฮือกใหญ่จะถูกสูดเข้าปอดเล็กพร้อมๆ กับที่เธอตื่นจากฝัน
ดวงตากลมของเธอเบิกกว้างท่ามกลางความมืด แสงเดียวที่ส่องสว่างพอจะมองเห็นใบหน้าเข้มของอีกฝ่ายคือแสงไฟที่ส่องเข้ามาจากภายนอกเท่านั้น แม้แสงไฟจะมัวลงลงเพราะเม็ดฝนก็ตาม
“สะ...สมิง!!”
นัยน์ตาสีแดงเพลิงสะท้อนแสงเรืองออกมาชวนให้หลงใหล เสียงนุ่มที่เอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายแสดงความแปลกใจออกมาในทันที มือเรียวยกขึ้นปิดริมฝีปากนุ่มของเธอเอง ด้วยเพราะเสียงที่เอ่ยนามของสมิงร่างใหญ่นี้อาจดังไปเข้าหูใครก็ได้ แม้ว่าเสียงฝนจะดังจนกลบทุกเสียงไว้
“ตั้งใจจะยั่วข้ารึไง” สมิงก้มลงกระซิบเสียงเข้มพร้อมๆ กับขบเม้มผิวกายเย็นของมันตราอย่างเชื่องช้า เนิบนาบ ให้สาวเจ้ารับสัมผัสเล้าโลมจนเผลอหลุดความต้องการของเธอออกมาเอง กลิ่นน้ำอบไทยที่ประพรมลงบนผิวขาวนุ่มลื่นของมันตราทำเอาคนที่เป็นฝ่ายถูกเล้าโลมกลายเป็นสมิงเสียโดยไม่รู้ตัว
“ประน้ำอบเสียจนตัวหอมฉุย...คิดว่าข้าจะไม่ได้กลิ่นเจ้าหรือยังไง”
เขากระซิบพร่ำบอกควบคู่กับการกระทำ มือใหญ่ค่อยๆ ดึงผ้าห่มนุ่มลงช้าๆ เผยผิวกายหอมละมุนน่าสัมผัสกับชุดนอนน้อยชิ้น ใบหน้าหวานแดงซ่านขึ้นในทันที แม้จะสวมชุดวาบหวิวนี้เอง แต่กลับเขินอายทุกๆ ครั้งที่เขาจ้องมองมายังเรือนร่างนี้
“ปะ...เปล่าสักหน่อย” ริมฝีปากสีหวานปฏิเสธ ก่อนมือเรียวจะรีบเลื่อนไปปิดดวงตาคมเข้มของสมิงให้หยุดลวนลามเธอด้วยสายตาชวนวาบหวามเสียที
“ปิดตาข้าไว้ให้ได้ตลอดสิ”
เจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงเอ่ยออกมาอย่างท้าทาย ก่อนจะก้มลงพรมจูบหวาน จูบแล้วจูบเล่าลงกับเนินอกขาวเนียนของเธอ แม้มือเรียวจะพยายามเลื่อนไปปิดตาอีกฝ่ายให้ได้ตลอด แต่สิ่งที่เขากระทำต่อปลายยอดปทุมถันของเธอช่างอ่อนโยน แผ่วเบา และทะนุถนอมเธอเหนือสิ่งอื่นใด ทำเอาแขนเรียวสั่นสะท้านไปหมด เสียงลมหายใจหอบพร่าลอดผ่านริมฝีปากน้อยที่ขบเม้มอย่างโหยหา สองมือที่เคยปิดบังตาดุนั้นเปลี่ยนมาขยำหมอนนุ่มที่หนุนอยู่ไม่ให้ตัวเองเผลอขยับไปรอรับลิ้นอีกฝ่ายให้มากไปกว่านี้
“ร้ายกาจที่สุดเลย...สมิงขี้โกงนี่นา”
ร่างบางถึงกับหันใบหน้าหวานนั้นไปทางอื่น ด้วยเพราะไม่อยากจะสบแววตาเร่าร้อนนั้นอีกแล้ว ปล่อยให้อีกฝ่ายลวนลามเธอด้วยนัยน์ตาสีเพลิงนั้นต่อไป แต่นั่นหมายถึงการยินยอมให้อีกฝ่ายทิ้งรอยแดงไว้กับผิวกายหอมนี้ได้ตามอำเภอใจ
“เจ้าผิดเองนะมันตรา”
ริมฝีปากเข้มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขยับขึ้นจุมพิตร่างบางอีกครา สองมือใหญ่ประคองใบหน้าสวยให้หันมาสบตากัน เผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มจากรสจูบร้อนผ่าว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลง ส่วนสองมือเรียวผละจากหมอนมากอดกุมหน้าอกอวบอิ่มอย่างหวงเนื้อหวงตัว สองขาเรียวถูกแยกออกด้วยขาข้างหนึ่งของสมิง ตอนนี้ท่อนล่างของเธอชุ่มฉ่ำไม่แพ้สายฝนทีเดียว
กางเกงผ้าซาตินถูกปลดเปลื้องลงไปยังเรียวขาเนียน เผยชั้นในลูกไม้สีกุหลาบตัวจิ๋วที่ฉ่ำชื้นไปด้วยน้ำหวานของมันตรา แม้สาวเจ้าจะพยายามปิดป้องสัดส่วนน่าอายเพียงใดก็ตาม แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มือใหญ่รวบแขนเล็กของสาวเจ้าขึ้นไว้เหนือศีรษะ รองด้วยหมอนนุ่มเพื่อไม่ให้อีกคนเจ็บตัว มืออีกข้างประคองสะโพกกลมกลึงของเธอยกขึ้นรับกับร่างเขา ความเป็นชายของเขาตื่นตัวขึ้นอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปในร่างกายเธอ
“เจ้าจงใจจะยั่วยวนข้าจริงๆ สินะ”
สมิงร่างใหญ่ยังคงกระเซ้าเย้าแหย่ ก่อนเล็บคมจะเกี่ยวชั้นในเล็กจิ๋วจนขาดออกจากกันอย่างไม่ยากเย็น มือใหญ่ของเขาประคองความเป็นชายที่ตื่นตัวทาบลงกับเนินสวย กลีบบัวสีชมพูอวบที่แทบปิดสนิทเปียกปอนจนยากจะอดใจไหว ส่วนปลายกดทาบลงกึ่งกลางระหว่างกลีบดอกชุ่มฉ่ำจนเผยอออก ใบหน้าเรียวเชิดขึ้นในทันที ร่างบางแข็งเกร็งเล็กน้อย ก่อนที่สมิงเองจะค่อยๆ แทรกกายเข้าไปจนเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างช้าๆ
“อะ...อื้อ! สะ...สมิง...”
ดวงตากลมหลับปี๋ สองขาเรียวของเธอขยับแยกออกเปิดทางให้อีกฝ่ายอย่างเผลอตัว แม้สองแขนจะพยายามฝืนออกจากมือใหญ่ของเขา แต่เรี่ยวแรงกลับมีไม่มากพอที่จะฝืน สมิงก้มลงขโมยจูบจากริมฝีปากได้รูปอีกครั้ง อีกมือลูบไล้ร่างกายเล็กที่สั่นเทาให้สาวเจ้าผ่อนคลาย ขณะที่สมิงเองกำลังขยับออกจากตัวเธอ รสสัมผัสเนิบนาบนี้ทิ้งความเสียวซ่านมากมายไว้ตามหลัง ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวันที่จะออกไปจากร่างกายร้อนผ่าวนี้ เขาขยับกลับเข้ามาอีกครั้ง ทำอย่างนั้นอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงครางหวานหูที่ไม่อาจปล่อยออกมาให้ดังได้นัก ด้วยกลัวว่าคนบนเรือนจะรู้กันเสียหมด ถูกเก็บอยู่ภายในปากนุ่มที่ขบเม้มแน่น
“ผิวเจ้านุ่มเหลือเกินมันตรา...เสียงของเจ้าทำให้ข้าแทบคลั่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยมันออกมา”
สมิงถามเสียงทุ้มหยอกร่างบางที่ส่งเสียงครางหงิงอย่างลูกแมวน้อยเนื้อตัวสั่นเทา ใบหน้าสวยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนมือใหญ่จะปลดปล่อยแขนสองข้างของเธอให้เป็นอิสระ ทันทีที่ขยับแขนได้ มันตราก็รีบใช้มือเรียวปิดริมฝีปากไม่ให้แม้แต่เสียงใดเล็ดลอดออกมา แต่กลับกลายเป็นจังหวะเดียวกับที่สมิงเริ่มจะขยับเข้าหาเธอให้แรงขึ้น การเคลื่อนไหวของสมิงรุกรานร่างกายเธอให้หลอมละลายภายในไม่กี่อึดใจเท่านั้น เหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมาแม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็นก็ตาม
“เจ้ามันเด็กดื้อ”
สิ้นเสียงขุ่นอย่างขัดใจ เขาก็ตอบสนองร่างกายเธอด้วยความเคลื่อนไหวที่รุนแรงขึ้น ร่างกายสาวเจ้าตอบสนองรุนแรงไปเช่นกัน ช่องทางภายในที่แคบและชุ่มชื้นตอดรัดความเป็นชายเสียจนสมิงแทบกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ เหงื่อกาฬของทั้งสองผสมปนเปกันเฉอะแฉะไปหมด ปทุมถันขยับกระเพื่อมไปตามแรง
“สมิง...ฉัน...”
ร่างบางครวญครางไม่เป็นภาษา สะโพกสอบของสมิงโรมรันเข้าเสียจนมือเรียวที่ปิดปากอยู่ผละออกมากอดกุมร่างใหญ่ของเขาไว้แทน ริมฝีปากสีชมพูเผยอครางเสียงหวานออกมาอย่างไม่มีอะไรปิดกั้นอีกแล้ว มือใหญ่รีบประคองร่างบางเข้ามากอดไว้ ลมหายใจนั้นร้อนผ่าวและติดขัด เสียงครางทุ้มของสมิงใหญ่ทำเอาร่างบางรับรู้ได้ถึงทุกส่วนของเขา ความเร่าร้อนนี้ช่างทรงพลัง ร่างบางส่งเสียงร้องด้วยแรงปรารถนา ก่อนสมิงจะทำให้เธอไปถึงฝั่งฝันแสนหวานก่อน ร่างเล็กกระตุกรุนแรง สองแขนเรียวของเธอตกลงข้างเตียงนุ่มอย่างอ่อนแรง ร่างบางหอบไหวเป็นจังหวะ คืนนี้อีกฝ่ายช่างเร่าร้อนเสียจริง
“เจ้าเร่าร้อนมาก รู้มั้ย...” สมิงใหญ่เอ่ยสารภาพ
ดวงตาฉ่ำหวานของมันตราหรี่ลงและเสมองไปทางอื่น ไม้แม้แต่จะหันมาสบนัยน์ตาสีเพลิงของเขา นั่นทำให้ร่างใหญ่เริ่มจะได้ใจ ขยับเบื้องล่างของเขาที่อยู่ภายในตัวเธอต่ออีกระลอก
แม้สาวเจ้าจะถึงฝั่งฝันไปก่อนแล้ว แต่พอถูกรุกรานเข้าอีกครั้งกลับตื่นตัวขึ้นอีกอย่างน่าประหลาด เนินอกนุ่มขยับถี่ตามแรงหายใจ สองมือเรียวจิกลงบนผ้าปูที่นอนที่ยับยู่ยี่ ขยับสะโพกเธอเข้ารับสัมผัสรุนแรงของสมิง เสียงคำรามหลุดออกจากซี่ฟันแหลมของเขาอย่างเก็บอาการไม่อยู่ ส่งแรงเฮือกสุดท้ายประทับเข้าเบียดเนื้อนุ่มจนแนบสนิท ส่งความร้อนระอุพุ่งทะลักเข้าจนเต็มภายในกายเธอ
“อื้ออ!!”
หญิงสาวส่งเสียงหวานออกมาด้วยรับรู้ได้ถึงของเหลวร้อนรุ่มมากมายที่ล้นทะลักเข้ามาภายใน ร่างบางไหวระริก เหงื่อกาฬผุดออกมาจนเปียกปอน สาวเจ้าหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนในทันที ส่วนสมิงยังคงประคองเธอเข้ามากอดเบาๆ ก่อนจะถอนร่างกำยำออกมา และพรมจูบลงบนหน้าผากเล็กอย่างทะนุถนอม
เช้านี้อากาศเย็นฉ่ำจากฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งคืน ภายนอกเต็มไปด้วยหมอกขาวของไอน้ำฝนที่ยังคงไม่จางหายไป ผืนดิน ต้นไม้ และใบไม้ยังคงเปียกชื้นอยู่อย่างนั้น ภายในห้องนอนใหญ่ ร่างบางลืมตาตื่นจากฝันด้วยสภาพที่ดูแปลกตา ด้วยเสื้อผ้าทุกอย่างถูกถอดออกจนไม่เหลืออะไร มิหนำซ้ำทั้งเรือนร่างยังเต็มไปด้วยรอยจูบมากมายที่เขาทิ้งไว้ให้หวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ร่างบางกระชับผ้าห่มหนาขึ้นมาคลุมกาย กระทั่งมองเห็นเสือโคร่งร่างใหญ่กำลังยกหัวเงยหน้าขึ้นหาวปากกว้างอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“ทะ...ทำไมต้องทิ้งรอยไว้เยอะขนาดนี้ด้วยล่ะ!!!”
ร่างบางเอ็ดอีกฝ่าย แต่หน้าแดงแจ๋ ในมือยังคงถือชั้นในสีกุหลาบที่ถูกเล็บคมของอีกฝ่ายเกี่ยวจนขาดไปเมื่อคืน นับเป็นตัวที่สองแล้วที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ หญิงสาวจึงรีบหาเสื้อผ้ามาคลุมกาย ก่อนจะรีบออกไปจัดการตัวเองก่อนที่คนอื่นๆ จะตื่นกันหมด มันตราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการลุกไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำโดยไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะกลับเข้าห้องมาด้วยท่าทีเร่งรีบ ถึงตอนนี้สมิงก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว
“แบบนี้จะใส่เสื้อผ้าปกติได้ยังไงกันล่ะ ทำอะไรไม่คิดถึงใจกันเลย โถ่เอ๊ย” สาวร่างบางบ่นเบาๆ ขณะเลือกเสื้อถักไหมพรมคอเต่าสีเบจมาสวมคู่กับกระโปรงยาวสีดำ มือเรียวแปรงผมยาวที่ปล่อยลงมาช่วยปิดบังรอยที่ยังเหลืออยู่บริเวณใต้ใบหู น้ำอบถูกแต้มให้กลิ่นหอมสดชื่นน้อยๆ ก่อนเช้านี้มันตราจะเดินทางไปทำงานคนเดียวอย่างเช่นเมื่อวาน
ภายในร้านขายของเก่าที่เปิดแอร์ไว้เสียจนเย็นเฉียบ วันนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมตลบอบอวล แต่กลิ่นหนึ่งหายไป
‘ดอกพิกุล’
วันนี้มันตราต้องอยู่เฝ้าร้านเพียงลำพัง เนื่องจากคุณหยาดทิพย์และคุณยายมณีเดินทางไปต่างอำเภอตามคำเชิญของลูกค้า แม้จะดูไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจของเธอตอนนี้คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แม้จะพยายามสลัดมันออกไปเท่าไร มันก็ยังย้อนกลับมาทำให้ร่างกายนี้ร้อนผ่าว วูบวาบในท้องน้อย ยิ่งคิดว่าอีกฝ่ายทิ้งความอบอุ่นไว้ภายในร่างกายเธอ ก็รังแต่จะทำให้ร่างบางไหววูบ แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ
“ไม่ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ริมฝีปากเล็กพร่ำอยู่แต่คำนี้ ใบหน้าหวานส่ายไปมา สองมือเรียวยกขึ้นกุมแก้มขาวสองข้างเพื่อเรียกสติ แต่เมื่อสัมผัสใบหน้าร้อนผ่าวก็กลับทำให้คิดถึงเรื่องนั้นมากขึ้นไปอีก
“โถ่เอ๊ยยยย!”
สาวร่างบางที่นั่งอยู่หลังตู้โชว์เครื่องประดับรีบลุกขึ้นไปคว้าไม้กวาดมาทำความสะอาดร้าน และทำเช่นนั้นตลอดทั้งบ่ายเพื่อให้ลืมภาพที่เกิดเมื่อคืนไปเสียบ้าง บางคราก็หยิบไม้ขนไก่นุ่มมาปัดไปมาตามของเก่าต่างๆ บางครั้งก็นำผ้าสะอาดมาเช็ดฝุ่นที่ติดตามของชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกทีละชิ้นๆ ก็พอจะทำให้ลืมเรื่องวาบหวามนั้นไปบ้าง แต่...
“แม่หญิงมันตราน่ะ...ดูใบหน้าผุดผ่องขึ้นเยอะเลย เจ้าว่ามั้ย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางเคาน์เตอร์โชว์เครื่องประดับ ก่อนเสียงจ้อกแจ้กจอแจจะดังตามมา
“สงสัยว่าสมิงจา...” อีกเสียงลากเสียงยาวอย่างรู้กัน
“เรื่องแบบนี้เอามาพูดเล่นได้หรือ ระวังจะโดนสมิงขย้ำเอาล่ะ”
“คงขย้ำแม่หญิงมันตราเสียจนแหลกลาญแล้วเป็นแน่”
“ฮุๆๆๆ”
เสียงจิตวิญญาณแห่งแหวนพูดคุยกันไปมาอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้สนใจว่ามันตราพยายามจะลืมเรื่องนี้มากแค่ไหน แถมสาวเจ้ายังได้ยินทุกประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกต่างหาก
“ถะ...ถ้าจะนินทากันก็เบาๆ หน่อยสิคะ” สาวร่างบางหันมาตัดพ้อพร้อมๆ กับที่ใบหน้าแดงแจ๋ เม้มปากอย่างขัดใจ
กระดิ่งของร้านดังขึ้นช้าๆ ก่อนหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งจะเดินเข้ามา ที่ทำให้มันตราแปลกใจก็คือ ครั้นพอหญิงปริศนาเดินเข้ามาภายในร้าน กลิ่นแปลกๆ ก็เกิดขึ้นมา คิ้วเรียวขยับยู่เข้าหากันอย่างเผลอตัว ก่อนเธอจะค่อยๆ เดินกลับมายังเคาน์เตอร์เครื่องประดับเพื่อต้อนรับลูกค้า
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้รับใช้รึเปล่าคะ” มันตราเอ่ยเสียงหวานถามลูกค้าหน้าใหม่อย่างสุภาพ
อีกฝ่ายสวมชุดอย่างชุดนักปฏิบัติธรรมสีขาว พันผ้าพันคอลายเสือดาวหลวมๆ แต่ผัดแป้งจนหน้าขาวผ่อง เขียนคิ้วเข้มสนิท และแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าหล่อนไม่ได้มาเพื่อซื้อ
“ทำงานวันแรกเหรอจ๊ะ” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยทักก่อนจะวางมือลงบนกระจกของเคาน์เตอร์โชว์เครื่องประดับ
“ค่ะ เพิ่งมาช่วยงานได้สองวันเองค่ะ” มันตราตอบด้วยรอยยิ้มหวาน
“พี่ชื่อพี่เจี๊ยบนะจ๊ะ พี่เพิ่งเห็นหนูครั้งแรกก็เลยเข้ามาทัก พอดีพี่เห็น...” ดวงตาเล็กของหล่อนมองไปยังเบื้องหลังของมันตรา และท่องสวดอะไรสักอย่างจนร่างบางต้องหันมองตาม เบื้องหลังคือผนังปูนที่บุแผ่นไม้อย่างเป็นระเบียบ ประดับด้วยภาพโบราณในกรอบไม้สักปิดทองตามสไตล์ที่คุณหยาดทิพย์ชอบ นาฬิกาไม้กัลปังหาสีดำขัดจนมันเงาที่มีคนมอบให้ตอนเปิดร้านใหม่ๆ แขวนเป็นเครื่องรางเด่นหรา แต่หญิงคนนี้ไม่ได้จ้องมองไปยังของเหล่านั้นเลย
“เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าคะ” มันตราเอ่ยถามอย่างสงสัย คิ้วเรียวย่นน้อยๆ ด้วยเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมองอะไรกันแน่
“หนูน่ะเคยไปทำอะไรให้ใครหรือเปล่า” หญิงในชุดขาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เคยทำอะไร...ให้ใคร...เหรอคะ” มันตราทวนคำถามของอีกฝ่าย ด้วยคำถามที่เอ่ยออกมาค่อนข้างเปิดกว้างเหลือเกิน ดวงตากลมของเธอกะพริบปริบๆ อย่างงุนงง
“โถ แม่หญิงมันตรา” เสียงของจิตวิญญาณแห่งแหวนเอ่ยแซว มือเรียวของมันตราขยับขึ้นเกาแก้มอยู่น้อยๆ
“อย่าง...เคยไปทำร้าย หรือลบหลู่ใคร คร่าชีวิต หรือพรากของรักของใครไป” เธอคนนั้นอธิบายต่อ
มันตราทำหน้าไม่เข้าใจ ทำเอาเหล่าวิญญาณของแหวนต่างพากันส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างเอ็นดู
“โถ่ อย่าหัวเราะกันสิคะ” สาวร่างบางหันไปโยเยใส่กลุ่มจิตวิญญาณแห่งแหวนทันที ลืมไปว่าตอนนี้เธอยืนอยู่เบื้องหน้าผู้หญิงแปลกๆ คนหนึ่ง มือเรียวยกขึ้นปิดปากเล็กของเธอเมื่อหลุดพูดออกไปเสียแล้ว
“ไม่หรอก พี่ไม่หัวเราะใส่หนูหรอกจ้ะ พี่จะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง” หญิงชุดขาวบอก นั่นทำให้มันตรามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินเสียงของจิตวิญญาณแห่งแหวน
“ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจว่าคุณลูกค้านะคะ” มันตรากล่าวขอโทษ
“เพียงแต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ” สาวเจ้าตอบไปตามตรง
“งั้นเอาอย่างนี้ หนูน่ะต้องหาของมาเสริมดวง เพราะฉันมองเห็นเงาสีดำเกาะอยู่ข้างหลังหนู น่าจะเป็นวิญญาณผีเด็กที่ตายโหง แบบยังไม่ถึงเวลาตายก็ต้องมาเสียไปก่อน ตอนนี้เขาก็เลยมาเกาะขอส่วนบุญจากหนูยังไงล่ะ” เธอคนนั้นอธิบายเสียยืดยาว
มันตรานึกขึ้นได้ว่าวิญญาณเธอที่พอจะรู้จักก็น่าจะเป็น ‘เจ้าแดง’ วิญญาณเด็กที่สิงสถิตอยู่ที่บ่อน้ำเก่าแก่แห่งนั้น ร่างบางพยักหน้ารับขณะคิดตาม
“สิ่งที่หนูต้องไปหามาก็คือกำไลข้อมือปี่เซียะ หินเทอร์คอยส์ แล้วก็ในร้านเนี่ยต้องมีน้ำพุวางเสริมดวงไว้ ไม่อย่างนั้นวันไหนที่ตัวหนูดวงตกขึ้นมา วิญญาณดวงนั้นจะทำร้ายหนูได้ พี่เจี๊ยบเตือนเอาไว้ก่อน” เธอร่ายยาวอีกครั้ง
“กำไลข้อมือปี่เซียะ? หินเทอร์คอยส์เหรอคะ?...คือของสองอย่างนี้หนูก็น่าจะพอหาได้ แต่หาน้ำพุมาตั้งไว้ที่นี่อาจจะต้องถามคุณหยาดทิพย์ก่อนน่ะค่ะ” มันตราตอบไปตามซื่อ
“เอาจริงเหรอจ๊ะแม่หญิง” เสียงเล็กดึงความสนใจของมันตราให้ฉุกคิดเสียก่อน
“แบบนั้นก็ลำบากสิ งั้นเอานี่ก็แล้วกัน” มือเล็กของหญิงชุดขาวล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อของหล่อน แล้วหยิบถุงพลาสติกใสที่ยับยู่ออกมา ภายในบรรจุยันต์สีขาวกับวัตถุที่ลักษณะคล้ายผลึกเล็กๆ
“อันนี้น่ะเป็นของที่ฉันเก็บไว้บูชาอยู่ เป็นหินธาตุที่ช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป ภูต ผี วิญญาณน่ะอยู่หมัด” หล่อนเปิดถุงแล้วหยิบหินทรงกลมคล้ายลูกปัดออกมายื่นให้มันตรา
มือเรียวกำลังจะยื่นไปรับ แต่เสียงดุดันของสมิงดังก้องขึ้นในหัวเสียก่อน
‘ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าคืออะไร อย่าจับ’
มันตราชักมือกลับทันที
“รับไปสิจ๊ะ” พี่เจี๊ยบย้ำ
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ หนูคงรับไว้ไม่ได้จริงๆ คุณลูกค้าเก็บเอาไว้ดีกว่าค่ะ ไว้หนูจะลองหาของที่คุณแนะนำมาลองใส่ดู” สาวเจ้าตอบไปด้วยรอยยิ้ม
“เอาเถอะ ไม่แพงหรอก ขอค่าบูชา 99 บาทก็พอจ้ะ” อีกฝ่ายยังคงเซ้าซี้
“แม่หญิง...” เสียงกระซิบพยายามปราม
“99 บาทเหรอคะ” มันตราพยักหน้า แน่นอน เธอคิดว่าเงินจำนวน 99 บาทนั้นเธอจ่ายได้ มือเรียวจึงหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ใบเล็กของเธอออกมา ธนบัตรฉบับละ 100 บาทถูกยื่นไปให้อีกฝ่ายอย่างไม่ได้ฉุกคิดอะไรเลย
“นี่จ้ะ พกติดตัวเอาไว้นะ ส่วนเงินทอนนี่พี่ขอเอาไว้ไปทำบุญให้แทนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณมากค่ะ” มันตรายิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างดีใจที่อีกคนเป็นคนใจบุญ ดูแล้วหล่อนน่าจะชอบทำบุญถึงขนาดจะเอาเงินทอนของเธอไปทำบุญ
และเมื่อพี่เจี๊ยบได้ตามที่ต้องการแล้วก็เดินออกจากร้านไป โดยวางลูกปัดแก้วใสในถุงพลาสติกซิปล็อกใบเล็กไว้ให้
“เฮ้อ...แม่หญิงมันตราน้อออ” จิตวิญญาณแห่งแหวนถึงกับถอนหายใจ
ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูไม้สักบานใหญ่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายร่างใหญ่ที่เดินเข้ามาในร้านนั้นคือสมิง เสื้อผ้าของเขายังคงเป็นชุดผ้าฝ้ายสีขาวแบบเดิมๆ ชั่ววูบหนึ่งมันตราเผลอคิดไปว่าเขาสวมเสื้อผ้าสีอื่นบ้างไม่ได้หรือไง
“จะกลับรึยัง”
เสียงทุ้มเอ่ยทักทันที นัยน์ตาสีแดงเพลิงสบดวงตาสีหวาน ชั่ววูบนั้นบรรยากาศในร้านดูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลิ่นหอมของดอกไม้ที่มันตราเคยได้กลิ่นหายไปอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนชายร่างใหญ่จะค่อยๆ ก้าวมายังเคาน์เตอร์โชว์เครื่องประดับ มือใหญ่คว้าของในถุงใสขึ้นมามองพลางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“พอดีมีลูกค้าเขาเห็นว่าดวงไม่ค่อยดี ก็เลยขายหินเครื่องรางให้น่ะค่ะ” มันตราตอบพร้อมยิ้มกว้าง
“ข้าพยายามห้ามแล้ว” จิตวิญญาณแห่งแหวนเอ่ยบอกด้วยเสียงค่อย
“เอ๋?” มันตราเงยขึ้นมองสมิงร่างใหญ่ ดวงตาเป็นประกายกะพริบปริบๆ
ชายร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาน้อยๆ พลางส่ายหน้า หยิกแก้มขาวของอีกคนเบาๆ อย่างมันเขี้ยว ด้วยเพราะเคยกำชับแล้วว่าอย่ารับของจากใครมั่วซั่วหากยังไม่รู้ว่านั่นคืออะไร แม้ครั้งนี้สิ่งที่เธอได้มาจะเป็นเพียงลูกปัดใสที่ไม่ได้มีคุณค่าทางไสยเวทแต่อย่างใด แต่ก็เสียเงิน 100 บาทไปกับของที่เรียกว่าไร้ประโยชน์
“อ๊ะ อ๋าาา!” สาวร่างบางร้องออกมาเบาๆ เมื่อรู้ว่าได้รับบทเรียนราคาไม่แพงนี้ไป
ความคิดเห็น |
---|