10

ผิดผี

10

ผิดผี

 

มื้อเย็นของวันนี้เป็นแกงตูนใส่กระดูกหมูฝีมือน้าสาว และแกงไตปลาฝีมือป้าหมวย สองเมนูรสชาติจัดจ้าน เผ็ดอร่อย หอมเครื่องแกงที่ทั้งคู่ช่วยกันโขลกในครกหิน จนกลิ่นของเครื่องแกงหอมอบอวลไปสามบ้านแปดบ้าน ส่วนเมนูของเด็กๆ ที่กินเผ็ดไม่ได้ หรือไม่นิยมกินอาหารพื้นบ้าน ป้าหมวยก็จัดหาหมูกระทะและอาหารทะเลมาปิ้งย่างเลี้ยงคนบนเรือนเสียจนอิ่มหนำสำราญ มันตราเองที่กินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แต่จำเป็นจะต้องนั่งร่วมวงของผู้ใหญ่ ด้วยเพราะเธออยากจะนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ยายแปง ยายสุดที่รักของเธอ ยังดีที่น้าสาวคิดเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว แกจึงทำไข่ยัดไส้กับต้มจืดเต้าหู้หมูสับเผื่อให้มันตราด้วยอีกสองเมนู

“ไข่ยัดไส้หมดแล้วเหรอคะ ทำไมทำน้อยจัง” พิมฐาที่นั่งร่วมวงหมูกระทะหันมาถามน้าสาวที่กำลังคอยดูแลเรื่องอาหารการกินให้คนบนเรือน ส่วนของแกเองจะกลับไปกินที่บ้านพร้อมกับลูกชาย

“จริงๆ น้าทำเผื่อให้มันตราน่ะ เห็นคนอื่นๆ น่าจะอยากทานหมูกระทะมากกว่า ก็เลยทำเผื่อไว้แค่สองพับ” น้าสาวตอบไปตามตรง

“แบ่งตรงนี้ไปมั้ย” มันตราเสนอ

“ของเหลือเหรอ ไม่เอาหรอก” พิมฐาตอบก่อนจะหันหน้ากลับไปกินหมูกระทะต่อ

ยายเห็นกิริยาหลานสาวคนนี้ของแกแล้วถึงกับส่ายหน้า แกวางมือเล็กลงบนตักมันตราเชิงบอกว่าอย่าไปสนใจคนแบบนั้นเลย 

หลานสาวมองสบดวงตาเล็กของยายก่อนจะพยักหน้าเหมือนรู้กัน

วงเหล้าข้างๆ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มันตราก็ร่วมฟังเรื่องเล่าสมัยเก่าที่ผู้ใหญ่ในวงเล่าเรื่องที่เคยพบเจอมาในอดีต ทั้งเรื่องสุข เรื่องเศร้า และเรื่องตลกขบขัน สร้างสีสันและบรรยากาศให้ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน แต่บางทีความสุขก็จากเราไปไวเหลือเกิน ด้วยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างจงใจจะคุยกับมันตราโดยเฉพาะ มิหนำซ้ำยังเหมือนตั้งใจจะพูดเสียงดังให้คนในวงทุกคนได้ยิน

“มันตรา ว่าแต่หนุ่มที่จับมือถือแขนกันตรงหลังเรือนนี่ใครเหรอจ๊ะ”

“...” 

ทุกคนที่นั่งล้อมวงต่างหยุดฟังแกทันที ทุกสายตาจับจ้องมายังมันตราที่ตอนนี้กำลังตกใจกับคำถามที่เฉพาะเจาะจงนี้

“เอ่อ...คือ...” หญิงสาวอ้ำอึ้ง

“อุ๊ย...ตายจริง ทุกคนไม่ได้รู้เรื่องนี้กันแล้วเหรอคะ...” คนพูดแสร้งว่าเพิ่งรู้เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ดูจะตั้งใจพูดให้มันตราเสียหน้ามากกว่า 

ยายแปงหันไปมองหน้าหลานสาว แน่นอนว่าสาวเจ้าแสดงสีหน้ากังวลออกมาจนยายรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งที่น้าหมวยพูดเป็นความจริง

“แต๊ก๋าอิหล้า...” (จริงเหรอลูก) ยายเอ่ยถาม ในน้ำเสียงดูจะมีความกังวลอยู่น้อยๆ
          “ค่ะ ยาย...” คนหน้าหวานพยักหน้ารับ ก็ด้วยเรื่องที่ป้าหมวยพูดมาเป็นเรื่องจริง

“มันเป๋นไผ คนบ้านไหน ยี่หยังยายบะเกยฮู้” (มันเป็นใคร คนบ้านไหน ทำไมยายไม่เคยรู้)

“โถ่ยายคะ เรื่องแบบนี้ใครจะบอกกัน แอบพบปะผู้ชายลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

พิมฐาพูดแทรกขึ้นมาจากวงหมูกระทะใกล้ๆ ก่อนสาวเจ้าจะทำเป็นหันไปกินหมูกระทะต่ออย่างสบายใจ ดูเหมือนว่าจะเป็นพิมฐาเองที่บอกเรื่องนี้กับป้าหมวย 

มันตราได้แต่นิ่งเงียบ เธอไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับทุกคน ด้วยเพราะชายหนุ่มร่างใหญ่นั้นไม่ใช่คนเสียด้วยสิ

ยายแปงหันไปมองพิมฐาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ด้วยเพราะคำพูดชี้นำนั้นยิ่งทำให้หลานของแกดูแย่ลงไปในสายตาคนอื่น

 

“มันผิดผี กระแอมฮู้ก่อ” (มันผิดผี หนูรู้มั้ย) ว่าจบหญิงชราถึงกับถอนหายใจ
          “ผิดผีเหรอคะ” สาวเจ้าทวนคำหนึ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ผิดผี เป็นคำสมัยเก่า เพราะคนเมืองเขาเชื่อกันว่าทุกตระกูลมีผีปู่ย่าคอยปกป้องดูแลลูกหลาน แต่ถ้าเกิดมีหนุ่มสาวที่จับมือถือแขนกัน หรือทำอะไรที่เกินเลยโดยไม่ได้รับการยินยอมจากทางผู้ใหญ่เสียก่อน ก็จะเหมือนผิดต่อผีบรรพบุรุษน่ะ” น้าสาวช่วยอธิบาย 

มันตรายิ่งเสียใจมากขึ้นไปอีก ด้วยเธอรู้สึกว่ากำลังทำให้ยายเสียหน้าต่อหน้าญาติพี่น้องคนอื่นๆ

“บะเป๋นหยัง อิหล้าก่อหื้อเปิ้นมาอู้มาจ๋ากั๋นก่อนว่าจะเอาจะใด อย่างน้อยๆ ก่อมาเสียผีก่อน” (ไม่เป็นไร หนูก็ลองให้เขามาพูดมาจากันก่อนว่าจะเอายังไง อย่างน้อยๆ จะได้เสียผีกันก่อน)

ยายแปงพูดขึ้นด้วยเพราะรู้ว่ามันตราคงกำลังสำนึกผิดอยู่เช่นกัน การใช้ชีวิตแบบเด็กสมัยใหม่ที่ไม่เคยพบเจอกับเรื่องของความเชื่อเหล่านี้ก็หาใช่ความผิดของเธอ แต่เพื่อทำให้ยายสบายใจ มันตราก็คงจะต้องยอมทำตาม

“ค่ะยาย” ริมฝีปากนุ่มขบเม้มน้อยๆ เธอเองแทบจะไม่อยากสู้หน้าใครเลย

“ว่าแต่เป็นลูกเต้าเหล่าใครเหรอจ๊ะ ใช่นายหนุ่ยลูกช่างซ่อมรถรึเปล่า” ป้าหมวยยังไม่หยุดต่อความยาวสาวความยืด ทำเอาน้าสาวมองลูกพี่ลูกน้องของแกอย่างไม่เข้าใจเจตนา

“พี่หมวยนี่ดูจะอยากรู้จังเลยนะ แต่ฉันว่าไม่ใช่ไอ้หนุ่ยหรอก อย่างหลานเราก็คงจะเลือกคนดีๆ เข้ามาในชีวิตแหละ คงไม่ไปจับเอาคนไม่เอาถ่านมาทำผัวให้ชีวิตตกต่ำลงไปหรอก” น้าสาวพยายามพูดช่วยมันตราอีกแรง 

ตอนนี้เหมือนคนบนเรือนก็ดูจะแตกออกเป็นสองฝ่าย

“เหมือนผัวหล่อนน่ะเหรอ อีสาว” ป้าหมวยตอกกลับ

“ใช่แล้ว ฉันเองยังรู้สึกเสียใจเลยที่เอามันมาเป็นผัว แต่อย่างน้อยมันก็ออกไปทำการทำงานนะ ไม่ใช่จะนอนเกาะเมียกินไปวันๆ”

ประโยคนี้น้าสาวพูดเหน็บแนมสามีของป้าหมวยที่ไม่เอาการเอางานอะไรเลย วันๆ แกก็จะนอนตีพุงดูมวยบนเปลสานของแก จะลุกออกจากเปลก็ต่อเมื่อถึงเวลากินหรือเข้าห้องน้ำเท่านั้น ขนาดว่ายายทวดเสีย แกก็ยังอาสาเฝ้าบ้านที่ชุมพร โดยที่ไม่ยอมแม้แต่จะมาไหว้ศพแม่ยาย ทำเอาป้าหมวยหน้าเสียไปเช่นกัน

“ปอแล้ว ปอๆๆ กูอิ่มละ” (พอแล้ว พอๆๆ ฉันอิ่มแล้ว) ยายแปงพ่นลมหายใจด้วยเพราะไม่อยากเห็นลูกหลานของแกมาพูดเหน็บแนมกันอยู่แบบนี้ 

น้าสาวก็พยายามพูดช่วย แถมยังพูดจนเรื่องทั้งหมดกลายมาเป็นเรื่องของตัวเองกับป้าหมวยไปในที่สุด ด้วยตั้งใจเบี่ยงประเด็นเต็มที่

สาวร่างบางรีบลุกขึ้นไปตักน้ำมาให้ยายดื่มตามปกติ แม้คนที่ร่วมวงกินข้าวกันจะมองเธอแปลกไปก็ตาม

“หล้าอิ่มละก๋า” ยายถามออกมาก่อนจะก้มลงดื่มน้ำจากขันเงินใบประจำของแก (หนูอิ่มแล้วเหรอลูก)

“อิ่มแล้วค่ะ” มันตราบอก แม้จะกินไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องที่ป้าหมวยเปิดประเด็นมาทำเอาความอยากอาหารหายไปหมดแล้ว

“อั้นไปเตรียมตั๋วอาบน้ำปะ เดวยายสระหัวหื้อ” (งั้นไปเตรียมตัวอาบน้ำปะ เดี๋ยวยายสระผมให้) ยายว่าก่อนจะตบหน้าขาเธอเบาๆ 

สาวเจ้าพยักหน้ารับและช่วยพยุงยายลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง สองยายหลานเดินเข้าเรือนไป ทิ้งให้ป้าหมวยนั่งจุปากอย่างขัดใจ น้าสาวก็รีบหาเรื่องตลกๆ ออกมาคุยเพื่อให้วงสนทนากลับไปครื้นเครงเช่นเดิม แน่นอนว่าแกทำได้เสมอ เสียงหัวเราะกลับมาอีกครั้ง เรื่องที่ป้าหมวยเปิดประเด็นเมื่อครู่ก็เหมือนจะถูกลืมเลือนไปในทันที

 

ท้องฟ้าเริ่มเปิด และใสขึ้นหลังจากฝนกระหน่ำลงมาเมื่อตอนเย็น ทำเอาพื้นลานปูนที่เทยกพื้นไว้เป็นลานอาบน้ำเปียกแฉะเหมือนกับมีคนมาอาบน้ำก่อนหน้า และเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็จะพบว่ามีกลุ่มดาวหญิงพรหมจารีปรากฏขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออก ดาวดวงหนึ่งที่ส่องประกายทอแสงกะพริบน้อยๆ ใจกลางกลุ่มดาวนั้นรู้จักกันในชื่อดาวรวงข้าว ด้วยเพราะลานอาบน้ำไม่มีหลังคาคลุม ความรู้สึกในการอาบน้ำในที่แห่งนี้จึงเสมือนได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง

ภายในกำแพงอิฐที่ถูกก่อขึ้นมากั้นลานอาบน้ำของหญิงสาวให้ออกจากสายตาชาย แถมยังช่วยกันลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะผิวได้อีกทางหนึ่งด้วย ตะกร้าสานถูกวางไว้บริเวณข้างบ่อ เก้าอี้เตี้ยที่ประจำอยู่แล้วถูกขยับมาให้มันตรานั่ง ร่างบางนั่งลงก่อนจะเงยหน้าให้ผู้เป็นยายที่ยืนอยู่เบื้องหลัง กระโจมอกถูกเหน็บเอาไว้แน่นหนาไม่หลุดออกมาโดยง่าย มือหยาบอย่างคนทำงานมาตั้งแต่เด็กค่อยๆ ลูบผมดำมันเงาของเธอช้าๆ

              “ผมงามแต๊” (ผมสวยจังนะ)

ยายแปงเอ่ยชม มือเล็กของแกค่อยๆ ตักน้ำเย็นมาชโลมผมสลวยนั้นช้าๆ ระวังไม่ให้น้ำเย็นไหลเข้าหน้าเข้าตาหลานสาวของแก ใบหน้าหวานเงยมองท้องฟ้าสีเข้มที่ประดับประดาด้วยดวงดาวมากมาย

“ยายจ๋า...” ริมฝีปากเล็กขยับพูดน้อยๆ เสียงค่อยอย่างคนรู้สึกผิด

“หืม?” ยายแปงขานตอบสั้นๆ

“ยายโกรธหนูรึเปล่าคะ”

สาวเจ้าเอ่ยน้อยๆ ด้วยเพราะห่วงความรู้สึกยายของเธอมากกว่าสิ่งอื่นใด

“ยายจะไปโขดหยังตั๋วฮั่น ผิดผีก่อเสียผีเหียมอกอ่าก่า” (ยายจะไปโกรธหนูทำไม ผิดผีก็เสียผีแค่นั้นเอง)

ยายว่าก่อนจะค่อยๆ ชโลมแชมพูกลิ่นหอมบนผมเส้นเล็กของเธออย่างเบามือ นิ้วมือสากค่อยๆ เกาไปตามโคนผมพอให้สาวเจ้ารู้สึกผ่อนคลาย จนหลับตาพริ้มทีเดียว

“แต่หนู...” มันตราอ้ำอึ้งอย่างไม่แน่ใจว่าเธอควรจะบอกสิ่งนี้ดีหรือไม่

“ตั๋วใหญ่แล้ว อายุปอซาวป๋ายละ จะมีเรื่องจะอี้พ่องก่อบะหันจะแปลก คนสมัยตะก่อนอายุสิบป๋ายเปิ้นก็เอาผัวกั๋นหมดละ บะต้องไปกึ๊ดนัก กำอีหมวยมันก่ออู้ไปเล้ย... แต่หยังใดยายก่ออยากหื้อเขามาอู้มาจ๋ากั๋นก่อน จะเสียผีก่าว่าหยังใย...” (หนูน่ะโตแล้ว อายุก็ปาไปยี่สิบกว่าแล้ว จะมีเรื่องแบบนี้มันก็ไม่แปลกหรอก คนสมัยก่อนอายุสิบกว่าก็มีผัวกันหมดแล้ว ไม่ต้องไปคิดมากกับคำพูดของอีหมวยมันหรอก...แต่ถึงยังไงยายก็อยากจะให้ผู้ชายคนนั้นมาพูดคุยกันก่อน จะเสียผีหรืออะไรก็ให้มาคุย...)

ยายบอกระหว่างที่ค่อยๆ สระผมยาวของมันตราไปช้าๆ แกไม่ได้รีบร้อนหรือมีน้ำโหเพราะคำพูดที่พูดออกมาเลยแม้แต่น้อย อาจจะด้วยเพราะแกเติบโตมากับยายทวดที่เลี้ยงลูกด้วยเหตุและผล แต่ก็ไม่ลืมเรื่องของความเชื่อและพิธีกรรมแบบเก่า ด้วยกุศโลบายเล็กๆ ที่คนสมัยเก่าคิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาผลประโยชน์ของหญิงสาวสมัยก่อนได้มากทีเดียว

“แต่ยายถามแต๊ๆ เต๊อะ เปิ้นเป็นไผ” (แต่ยายถามจริงๆ เถอะ เขาเป็นใคร) ยายแปงถามพร้อมกับก้มมองใบหน้าสวยได้รูปของหลานสาว

“...จริงๆ แล้ว...หนูคิดว่ายายน่าจะรู้จักเขา...หม่อนเอง...ก็รู้จักเหมือนกัน” มันตราเลือกที่จะตอบไปตามตรง เพียงแต่ไม่ได้ระบุไปตรงตัว ด้วยกลัวว่ายายจะรับไม่ได้หากรู้ว่าเขานั้นคือสมิง

“ไผหา...” (ใครหว่า) ยายพยายามคิดตาม แต่ก็ยังคิดไม่ออกเสียที

“...หนู...จะไปบอกเขาให้นะคะ” สาวร่างบางบอกก่อนจะรีบหลับตาปี๋ มือเล็กกำลังตักน้ำขึ้น ค่อยๆ ล้างโฟมฟองแชมพูที่ติดอยู่ออกอย่างระมัดระวัง 

ยายพยักหน้ารับ สีหน้าของแกไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังคงหวังว่ามันตราจะพาคนที่ดีมาแนะนำแก


ค้ำคืนนี้ผ่านพ้นไปโดยที่ไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นมาอีก สาวเจ้าเข้านอนในห้องนอนของยายเช่นเคย เสียงจิ้งโกร่งดังคลอเสียงลมเอื่อยๆ ที่พัดโชยเอาความหนาวลงมาจากดอยสูง พอให้รู้สึกเย็นกายสบายตัวโดยไม่ต้องเปิดเครื่องทำความเย็นใดๆ กลุ่มดาวหญิงพรหมจารีตกไปทางทิศตะวันตกตามปกติของมัน ก่อนแสงสีทองของพระอาทิตย์ในยามเช้าจะค่อยๆ โผล่พ้นแนวทิวเขาขึ้นฉาบท้องฟ้าสีเข้มให้สว่างขึ้น นกกาเหว่าส่งเสียงร้องรับอรุณรุ่งที่เย็นฉ่ำอย่างสดชื่นทีเดียว

เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นจากโรงครัว ก็ด้วยเพราะน้าสาวที่ตื่นแต่เช้าเข้าหุงหาอาหารอยู่ในโรงครัวไฟที่แยกตัวออกมานอกตัวบ้านไม้บะเก่าหลังใหญ่ เพราะการก่อไฟกับไม้ฟืนบางครั้งมักทำให้เกิดควันไฟ เขม่ามักจะตีขึ้นจนบางทีทำเอากระเบื้องดินขอที่มุงอยู่ด้านบนเกิดคราบดำไม่น่ามอง ทำให้ยายทวดแกย้ายครัวไฟลงมาสร้างไว้ด้านล่าง จนกลายเป็นครัวไฟใหญ่อย่างเช่นทุกวันนี้แล

“ตื่นเช้าจังเลยนะยายสาว”

ป้าหมวยทักทายน้าสาวที่กำลังทำงานขยันขันแข็งอยู่ในโรงครัวไฟมาแต่เช้ามืดแล้ว ส่วนตัวแกเพิ่งจะตื่นเมื่อครู่นี้เอง แต่ก็อยากจะเข้ามาช่วยทำกับข้าวสำหรับเช้านี้ให้ยายด้วยเช่นกัน ข้าวต้มถูกตุ๋นอยู่ในหม้อใหญ่ที่พอจะให้ทุกคนได้กินกันอย่างไม่หนักท้องมากนัก

“ก็ต้องทำกับข้าวให้ยายนี่นา ตื่นสายก็คงจะไม่ทันกินกันพอดี” น้าสาวตอบ ก่อนจะเริ่มลงมือทำกับข้าวที่ใช้กินคู่กับข้าวต้ม 

เมื่อวานทั้งคู่พูดจาเหน็บแนมกันตลอด แต่เช้านี้ต่างช่วยกันทำกับข้าวกับปลาจนเสร็จ สำรับต่างๆ ถูกจัดยกขึ้นไปบนเรือนให้ยายที่นั่งรออยู่แล้ว ส่วนมันตรายังคงแปรงผมอยู่ในเรือน ไม่เสร็จเสียที

“มันตรา กินข้าวลูก” น้าสาวตะโกนเรียก 

มีเสียงตอบกลับมาจากในเรือนนอนของยาย หญิงสาวผมยาวมวยผมขึ้นอย่างง่ายๆ ปิ่นเงินทรงเก่าที่ยายเตรียมไว้ให้ถูกกลัดมวยขึ้นหลวมๆ สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวพร้อมกระดุมกระดิ่งกลางตัว ทุกครั้งที่ร่างบางขยับตัวก็จะมีเสียงกรุ๊งกริ๊งดังอยู่ตลอด จนบางทีสาวเจ้าเองก็แอบเขินอยู่เหมือนกัน แน่นอนว่าแต่งท่อนบนมาขนาดนี้แล้ว ผ้าซิ่นที่นุ่งมาจะน้อยหน้าได้อย่างไร ด้วยตัวผ้าถูกทอขึ้นเป็นลวดลายทางเรียบๆ ตีนซิ่นต่อตีนแดงเหมือนซิ่นตีแดงทั่วๆ ไป เพียงแต่เหนือขึ้นมาเพียงเล็กน้อยนั้นทอด้วยดิ้นเงินเส้นเล็กเป็นทางตลอดตัว น่าแปลกที่ยายเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าผ้าซิ่นผืนนี้มาจากไหน แต่ที่มั่นใจก็คือยายทวดยกให้แก และแกเองก็ยกให้มันตราต่ออีกทอดหนึ่ง

“โห แต่งตัวซะสวยเชียว” น้าสาวเอ่ยชม

แต่สายตาของป้าหมวยเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่มันตราได้แต่งตัวด้วยชุดผ้าเมืองมีราคา สวมแหวนทอง ปักปิ่นเงิน นุ่งซิ่นที่มีราคา ในขณะที่ลูกสาวแกยังไม่เคยแม้แต่จะได้สวมอะไรแบบนี้ แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรงก็คือ ด้วยพื้นฐานครอบครัวของยายทวดถือว่าร่ำรวยมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แต่เพราะลูกทุกคนของแกเป็นลูกสาว บ้างก็ออกเรือนไปอยู่จังหวัดอื่นบ้าง แต่ยายแปงนั้นสามีแกแต่งเข้าบ้านตามธรรมเนียมเก่าแก่ของครอบครัวล้านนา ยายจึงเป็นคนที่คอยรับผิดชอบดูแลยายทวดเพียงลำพัง ในขณะที่พี่แต่ละคนของยายที่แต่งงานแล้วบ้างก็ย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด บ้างก็เข้าไปเผชิญชีวิตในตัวเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ แม้จะดูเหมือนร่ำรวยเงินทอง ใช้ชีวิตติดหรูแบบคนกรุง แต่พอเทียบกันแล้ว ยายกับยายทวดที่ใช้ชีวิตติดดินมาตั้งแต่เกิด คอยเก็บหอมรอมริบจากการทำนาทำไร่มาเรื่อยๆ กลับดูจะมีเงินทองใช้สอยคล่องมือมากกว่า

“แต่งสวยแบบนี้จะไปเจอเขาเหรอจ๊ะ” ป้าหมวยแซว

“...” มุมปากเล็กของมันตราขยับยิ้มแหยๆ

“อิแม่เปิ้นก่อแต่งอี้อยู่บ้านกู้เตื้อ ก่อบะหันจะมีไผมีปัญหาเหลาะ” (แม่ท่านก็แต่งตัวแบบนี้อยู่บ้าน ก็ไม่เห็นจะมีใครมีปัญหานี่นา) ยายแปงว่า ก่อนจะกวักมือเรียกให้มันตราเดินมากินข้าวกับแก ร่างบางค้อมศีรษะผ่านป้าหมวยไป เสียงกรุ๊งกริ๊งดังเป็นจังหวะ

“ว่าแต่พวกเด็กๆ ยังไม่ตื่นกันอีกเหรอ จะได้กินข้าวกินปลากัน วันนี้พวกพี่หมวยจะพาไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะ” น้าสาวเอ่ยถามเพื่อเบี่ยงประเด็น มือของแกปัดกวาดชานบ้านฝั่งซ้ายไปด้วยเป็นระวิง 

ป้าหมวยรู้สึกเหมือนถูกยายแปงตอกหน้าก็ถึงกับหน้าเสีย แต่ก็ตีหน้าซื่อกลับมาที่เรื่องของน้าสาวต่อไป ก่อนจะเดินแยกไปยืนใกล้ๆ พวกแกสองคนพูดคุยกันไปมาในระหว่างที่ยายกับมันตรากินข้าวกันอยู่อย่างนั้นจนเสร็จ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีวี่แววของกลุ่มลูกหลานป้าหมวยเลยแม้แต่น้อย ด้วยเพราะพวกเด็กๆ มักจะตื่นสาย ยิ่งวันที่เป็นวันหยุดด้วยแล้ว กว่าพวกเขาจะได้ออกไปเที่ยวกันก็คงปาไปเก้าโมงสิบโมงโน่น


แสงแดดยามสายเริ่มแรงขึ้นแล้ว มันตรายังคงนั่งเล่นกับเจ้าเมี่ยงอยู่ใต้ถุนบ้าน ตั่งไม้สักที่วางไว้ใต้ถุนพร้อมกับหมอนอิงใบใหญ่ ปกติแล้วจะเป็นที่งีบยามบ่ายของยายแปง แต่ตอนนี้ถูกจับจองด้วยเจ้าเมี่ยงที่นอนเอกเขนกอยู่ ไม่ยอมไปไหนเสียที

“ฉันจะบอกสมิงยังไงดีเจ้าเมี่ยง...” สาวเจ้าเอ่ยถามเจ้าแมวสีน้ำตาลตัวเดิม แน่นอนว่าสิ่งที่มันตอบก็คือเสียงครืดๆ ในลำคอพร้อมๆ กับแสดงอาการตีมึนไม่รู้ร้อนรู้หนาวเท่านั้น

“เฮ้อ...” สาวเจ้าถึงกับถอนหายใจออกมา ก็แน่ละ ถ้ามันตอบได้ มันก็คงเป็นแมวผีแน่ๆ

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองทอดยาวออกไป แต่ไม่มีใครเดินอยู่แถวนั้นเลย จะมีก็แต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวในครัวไฟของน้าสาวและป้าหมวย ที่ถึงแม้จะชอบพูดจาเหน็บแนมกัน แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ตลอด ต่างกับเธอเหลือเกินที่แค่ถูกต่อว่าเพียงนิดก็ไม่กล้าจะสู้หน้าใครเลย หญิงสาวสูดหายใจลึกก่อนจะขยับตัวลงจากตั่งไม้ตัวใหญ่ เธอค่อยๆ เดินออกจากประตูใหญ่ ตั้งใจว่าจะเดินไปหาสมิงที่ศาลนั้นแล เพียงแต่ไม่อยากเดินตัดไปทางออกต้นชาทองหลังโรงครัวไฟ เพราะกลัวจะถูกป้าหมวยพูดเหน็บแนมเอาอีก

สองขาเล็กค่อยๆ ก้าวพร้อมกับเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งที่ติดเป็นกระดุมกลางตัว เจ้าเมี่ยงกระโจนและวิ่งตามเธอมาเหมือนจะมาเป็นองครักษ์ แต่พอเดินออกจากเขตบ้านได้เพียงไม่นาน มันก็แยกออกไปเดินประกาศอาณาเขตของมันเสียแล้ว

สายลมโชยมาเบาบางเลียบทางเดินที่ฝั่งซ้ายเป็นนาผืนใหญ่ ฝั่งขวาเป็นรั้วไม้ไผ่ที่สานขึ้นเพื่อบอกอาณาเขตบ้านแต่ละหลัง  ต้นมะขามหลายต้นขึ้นอยู่ข้างทางเป็นแนวร่มพอให้ไม่ร้อนมาก แต่ต้นมะขามมีใบเยอะ บนพื้นสองข้างทางจึงเต็มไปด้วยใบมะขามแห้งที่หล่นลงมากองจนมองไม่เห็นว่าพื้นข้างใต้เป็นถนนดิน

เสียงเพลงสมัยใหม่ดังขึ้นมาแต่ไกล ด้วยเบื้องหน้าที่เธอกำลังจะเดินไปนั้นเป็นที่ตั้งอู่ซ่อมรถใหญ่ของลุงแดง พ่อของนายหนุ่ยนั่นเอง แต่หญิงสาวหารู้ไม่ว่าบ้านหลังข้างหน้านี้เป็นอู่ซ่อมรถ หล่อนค่อยๆ เดินเลี่ยงทางเดินดินนั้นก่อนจะก้าวขึ้นเหยียบถนนเส้นใหม่ที่ถูกปูด้วยยางมะตอย ด้วยเพราะทางสายนี้กำลังเริ่มต่อเติมใหม่ ทำให้บางจุดก็ยังคงเป็นถนนดินสลับกับถนนยางมะตอยอย่างที่เห็น

“อ้าว น้องมันตรา!”

เจ้าหนุ่ยตะโกนเสียงแตกหนุ่มทักทายมา ก่อนเขาจะวิ่งออกจากอู่มาหา โดยที่มือสองข้างเปื้อนไปคราบน้ำมันและเขม่า กลิ่นของสุราขาวโชยมาจนแสบจมูก 

มันตราขยับถอยห่างทันที

“จะไปไหนล่ะจ๊ะ มาทำอะไรแถวนี้เอ่ย” หนุ่มหน้าทะเล้นทำน้ำเสียงชีกอ

“ฉัน...” ดวงตากลมมองซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังมองหาว่าจะมีใครบ้างที่เธอพอจะขอความช่วยเหลือได้ ด้วยกลิ่นที่ไม่ชอบมาพากลนี้ทำเอาสาวเจ้ารีบจ้ำอ้าวเพื่อจะเดินให้พ้นๆ เขาไปเสียที

“ฉันอะไรเล่า มาหยุดคุยกันก่อนสิครับ”

“ฉันต้องรีบไปทำธุระให้ยาย ขอตัวก่อนนะ” หญิงสาวขอตัว

มือหยาบของเขาคว้าแขนเล็กของเธอทันที แต่มันตรารีบสลัดออก ทำเอาเจ้าหนุ่ยที่ใบหน้าแดงแจ๋เพราะฤทธิ์สุราอยู่แล้วเหมือนจะเริ่มมีน้ำโห

“ปล่อยนะ!”

“เล่นตัวจังวะ!” เขาตะคอก

จังหวะนั้นเองมันตรารีบออกตัววิ่ง เสียงกระดิ่งเจ้ากรรมที่ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไปตลอดทำให้เจ้าหนุ่ยตามมาหาได้ไม่ยาก เท้าเรียวของเธอรีบก้าวไปพร้อมกับมือกระชับชายซิ่นขึ้นน้อยๆ พอให้วิ่งได้สะดวก แต่เจ้าหนุ่ยตามเธอมาทันอย่างไม่ยากเย็น เขากระโดดคว้าร่างสาวหมับ ล็อกกอดร่างบางที่ขัดขืนอย่างสุดกำลัง

“ปล่อยนะ!!” หญิงสาวกรีดร้อง แต่ที่ห่างไกลชุมชนเช่นนี้คงจะไม่มีใครได้ยิน

“ขอพี่หอมหน่อยเถอะนะ”

ชายหยาบโลนกดหน้าหอมแก้มสาวเจ้าฟอดใหญ่ แม้มันตราจะพยายามเบี่ยงหน้าหนีและร้องขอความเมตตาสักเพียงใดก็ไม่แม้แต่จะมีใครได้ยิน

“สมิงงงง!!!”

เธอตะโกนเรียกชายคนที่เธอหวังว่าเขาจะมาช่วยให้ดังที่สุดด้วยน้ำเสียงหวดกลัวเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะร้องออกมาได้ ก่อนมือใหญ่ข้างหนึ่งจะกระชากคอหนุ่ย จนกระทั่งเขาต้องผละมือจากเจ้าหล่อน ร่างใหญ่ตระหง่านขึ้นค้ำหัวชายร่างเล็กกว่าด้วยสีหน้าถมึงทึง นัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นดุดันอย่างที่มันตราไม่เคยพบเจอมาก่อน ร่างเล็กล้มลงกับพื้นดินแห้ง หล่อนจ้องมองสมิงหนุ่มที่ตอนนี้ยืนคาดโทษเจ้าหนุ่ยที่ถูกโยนไปกองอยู่กับดินลูกรังข้างทาง

“มึงคิดว่ามึงเป็นใครถึงมาทำเรื่องหยาบช้ากับผู้หญิงของกู”

สาวเจ้าสะดุดกับคำพูดนี้ ก่อนที่ร่างมหึมานั้นจะก้าวเข้าไปคว้าคอเจ้าหนุ่ยขึ้น แล้วชกไปที่เบ้าหน้ามันเต็มแรง เพียงเท่านั้นร่างบอบช้ำนั้นก็ถึงกับกระเด็นไปกว่าสองเมตร ไม่หยุดเพียงแค่นั้น เจ้าของเนตรสีเพลิงก้าวตามไปคว้าคอหนุ่ยยกลอยขึ้นเหนือพื้น เด็กหนุ่มคว้าแขนสมิงไว้ ใบหน้าเหยเกอาบไปด้วยเลือด ดิ้นทุรนทุรายร้องขอชีวิตเยี่ยงลูกหมาตัวหนึ่ง ด้วยเพราะกำลังจะขาดใจตายจากการถูกบีบคอ

“สมิง!! อย่านะ!!” มันตรารีบเข้าไปห้าม หล่อนคว้าแขนใหญ่ไว้ในทันที 

สมิงไม่แม้แต่จะชายตามองเธอ ความโกรธทำให้เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้เลย

“สมิง!!!” สาวร่างบางรีบเอื้อมมือไปยังมือใหญ่ที่บีบคอเล็กนั้นอย่างจะฆ่าเสียให้ตาย

“หยุดนะ!!! บอกให้หยุด!!!”

มันตราพยายามช่วยเด็กหนุ่มทุกวิถีทาง แม้กระทั่งกอดร่างเล็กนั้นและพยายามยกตัวเพื่อให้อีกฝ่ายรอด สมิงหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงโยนร่างหนุ่ยออกไปกองกับพื้น เด็กหนุ่มรีบสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

มันตราถึงกับทรุดลง ด้วยกลัวว่าสมิงจะฆ่าเขาคนนั้นจนตายไปจากโลกนี้เสียแล้ว ร่างเล็กหอบพร่าก่อนที่สมิงจะจ้องมองมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนช้อนมองเขาระหว่างที่ร่างใหญ่รั้งเธอขึ้นด้วยแรงที่มากกว่า

“โอ๊ย!! เจ็บนะ” สาวเจ้าร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด แขนเล็กของเธอที่เปื้อนด้วยคราบเขม่าตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยรอยแดง

“เจ้ามาทำบ้าอะไรที่นี่!!” เสียงทุ้มใหญ่ตะคอกดัง ทำเอาสาวเจ้าถึงกับผงะ ด้วยนัยน์ตาสีแดงฉานนั้นเหมือนยังคงเต็มไปด้วยความโกรธที่เธอปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นหนีไปได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนไหววูบในทันที เธอแทบไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายตอนโกรธจะน่ากลัวได้ขนาดนี้

“ฉะ...ฉัน...” ริมฝีปากเล็กแข็งทื่อ หล่อนไม่กล้าพูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ

“เจ้ามันโง่...เจ้าก็รู้ว่าไอ้นรกนั่นมันอยู่ที่นี่” ชายร่างใหญ่ตวาดเสียงดัง ดวงตาดุดันคาดคั้น แต่หญิงสาวก็ยังไม่ได้พูดอะไร

“ถ้าข้ามาไม่ทันแล้วมันเกิดทำอะไรกับเจ้าขึ้นมาจะทำยังไง!!”

“ฉันไม่รู้สักหน่อย...ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ...” ร่างบางบอก มือเย็นกุมอยู่ที่หน้าอกอย่างหวาดกลัว

“ไม่รู้เหรอ ไม่รู้แล้วเจ้าจะปกป้องมันทำไม!!”

เสียงคำรามดังสะท้านไปทั่วบริเวณ นกตัวเล็กที่เกาะตามกิ่งไม้ใกล้ๆ ถึงกับบินแตกรังออกมา ตอนนั้นเองที่ทุกอย่างเงียบเชียบ ดวงตากลมเล็กคลอไปด้วยน้ำตาใส ริมฝีปากบางสั่นเทาไปหมด มันตราถอยออกมาจากเขาในทันที แต่ร่างใหญ่ก้าวเข้าหาพร้อมๆ กับพูดคำที่เสียดแทงใจ

“หรือเจ้าเองที่อยากจะเป็นเมียมัน...”

ประโยคนี้ทำเอาหญิงสาวถึงกับยืนอึ้งไป ฟันเล็กขบลงบนริมฝีปากนุ่มของเธออย่างโมโห พลางก้าวเข้าไปตบหน้าเสือหนุ่มร่างใหญ่เต็มแรง ใบหน้าเข้มหันไปตามแรงตบ ดวงตาเล็กที่เคยหวาดกลัวตอนนี้วาวโรจน์อย่างโกรธจัด แม้ร่างบางจะยืนสั่นเทาอยู่ก็ตาม แต่ใบหน้าสวยเชิดขึ้นมองอย่างคาดคั้นคืนบ้าง

“ฉัน...ไม่ใช่คนแบบที่คุณบอก แล้วถ้านั่นคือสิ่งที่คุณคิดจริงๆ ละก็ ไม่ต้องมาเสียผีอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ต้องการให้คนแบบคุณมารับผิดชอบ...” ดวงตากลมแดงก่ำด้วยเพราะโกรธอีกฝ่ายจนเลือดขึ้นหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มหยดแล้วหยดเล่า ไม่ต้องการแม้มือใดมาช่วยปาด เธอปล่อยให้มันไหลอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหันหลังเดินจากเขาออกมาเอง

“เดี๋ยว!” มือใหญ่ของสมิงกำหมัดแน่น ก่อนเขาจะรีบรุดเข้าไปกระชากแขนเธอซ้ำสอง

“ปล่อยนะ!!! อย่ามาแตะต้อง!!” สาวเจ้าตะคอกกลับสุดแรง ลมหายใจร้อนผ่าว หัวใจดวงเล็กเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาระเบิดอยู่ข้างนอก มือเล็กกำอยู่อย่างสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้เผลอปล่อยโฮร้องไห้เสียใจต่อหน้าชายที่หยาบคายเพื่อให้เขาเห็นใจเธออีกแล้ว

“ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก” เธอว่าก่อนจะหันหลังเดินต่อ แต่ทันใดนั้นถุงสีแดงถุงหนึ่งถูกโยนลงกับพื้น มันไถลไปกับผืนดินจนกระแทกเข้ากับส้นเท้าเธอน้อยๆ หญิงสาวหันไปมอง ก่อนจะเหลือบขึ้นมองร่างใหญ่

“ถ้าเจ้ายืนยันแบบนั้นก็มอบของนี้ให้ยายเจ้า อย่างน้อยมันก็เป็นของที่ข้าจะให้เพื่อแลกกับที่ผ่านมา”

เสียงทุ้มบอกแล้วหันหลังเดินจากไปเช่นกัน แผ่นหลังกว้างค่อยๆ เล็กลงไปตามระยะทาง ก่อนร่างนั้นจะกลายเป็นเสือใหญ่ และออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

มือเรียวของเธอค่อยๆ เอื้อมลงไปหยิบถุงกำมะหยี่สีแดงนั้นขึ้นมา แม้ถุงใบนี้จะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่หนักอึ้ง สาวเจ้าต้องใช้ถึงสองมือในการอุ้มมันเอาไว้ไม่ให้แขนล้า น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังคงไหลออกมาไม่หยุด ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยเหตุใดกันแน่ ร่างบางสะอื้นน้อยๆ เธอปาดน้ำตาด้วยมือของเธอเอง แต่ก็ยังคงหวังว่าเขาคนนั้นจะอยากช่วยเธอเช็ดน้ำตาเช่นกัน...

มันตราทำใจก้าวออกไปได้เพียงสองก้าวเล็กๆ เท่านั้น ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นดินที่แห้งผาก ร้องไห้อยู่ฟูมฟายอย่างกับคนบ้าที่คาดหวังว่าใครคนนั้นจะเดินกลับมาหาเธอ แต่ไม่เลย ไม่มีใครเดินกลับมา เธอนั่งร้องไห้อยู่ตามลำพัง เสียงร้องครวญของเธอดังไปทั่วบริเวณนั้น แต่คงไม่มีใครได้ยิน

 

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงที่เธอปล่อยตัวเองอยู่กับความรู้สึกสีเทา แม้จะพยายามให้ตัวเองหยุดร้องสักเพียงใดก็ตาม ความเจ็บปวดก็ยังคงบีบเคล้นหัวใจเธอจนแทบจะแหลกอยู่ภายในอก เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะก้าวเดินเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงเพื่อกลับมายังบ้านไม้บะเก่าหลังเดิม

ครั้นพอเดินผ่านบ่อน้ำเก่าแก่ที่ยังคงเหลือใบตองแห้งๆ ที่ห่อขนมใส่ไส้เมื่อวานวางอยู่ ยิ่งทำให้หวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือนร้าง พานให้น้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาอีก มือเล็กยกขึ้นปิดริมฝีปากบางของตัวเอง รอยจูบที่แสนหวานตอนนี้ขมสนิท สัมผัสที่เคยได้รับหายไปได้ภายในคืนเดียวเชียวหรือ หรือสำหรับเขาแล้วถุงกำมะหยี่สีแดงนี่ก็เพียงพอจะให้ลืมทุกอย่างได้แล้วจริงๆ 

“กลับมาแล้วค่ะ...”

กว่าชั่วโมงทีเดียวกว่าที่มันตราจะทำใจให้ตัวเองเดินกลับเข้ามายังเรือนไม้ได้ หญิงสาวเดินขึ้นมาชั้นบนผ่านทางบันไดเล็กหลังบ้าน เธอไม่ลืมที่จะแวะล้างหน้าล้างตาเสียก่อน เพื่อไม่ให้ใครที่บ้านรู้ว่าเธอไปเจออะไรมาบ้าง ร่องรอยแดงจากการร้องไห้จางลงไปมากแล้ว ก่อนที่เธอจะแปลกใจว่ามีเพียงยายคนเดียวที่นั่งรอเธออยู่ตรงเก้าอี้ไม้บนชาน

“ยายจ๋า” มันตรามองไปยังยายสุดที่รักของเธอ ก่อนจะเดินเข้าไปหา สาวเจ้าเลือกนั่งลงกับชานไม้ ซบหน้าลงกับขาเล็กของยาย มันอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ

“ปิ๊กมาละก๋า เปิ้นว่าใดพ่อง” (กลับมาแล้วเหรอลูก เขาว่าอย่างไรบ้าง) ยายเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นลูบหัวหลานสาวสุดที่รักของเธอ ร่างกายของมันตราดูเหนื่อยล้า แม้กระทั่งยายเองยังรับรู้ได้

“ขอโทษค่ะยาย เขาให้ถุงนี้มา แต่หนูยืนยันกับเขาเองว่าเขาไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้”

มันตรายื่นถุงผ้าสีแดงนั้นให้ยายแปง แกค่อนข้างแปลกใจมากที่ถุงเล็กๆ หนักได้ขนาดนี้เชียวหรือ แกหยิบขันโตกเล็กข้างตัวที่เคยใช้วางแก้วน้ำมารอง ก่อนจะค่อยๆ คลี่เปิดถุงสีแดงอย่างช้าๆ ดวงตาเล็กของแกเบิกกว้าง ก็ด้วยสิ่งของที่จุอยู่ในถุงนี้เป็นก้อนแร่ทองคำก้อนใหญ่หลายก้อน ปะปนกันไปกับก้อนหยก ทับทิม และหินสีดำมากมายที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน

“ไปเอามาจากไหนอีหล้า” (ไปเอามาจากไหนลูก) ยายรีบถามขึ้นทันที 

“เขาให้มาค่ะ...” มันตราตอบเพียงสั้นๆ เธอแทบไม่อยากจะพูดถึงอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

“เขานี่มันเป๋นไผ ตั๋วก็หยังบะบอกลอว่าหื้อเปิ้นมา จะได้มาอู้มาจ๋ากัน บะได้ลูกบะดี” (เขาเนี่ย มันเป็นใคร ทำไมหนูถึงไม่ยอมบอกล่ะว่าให้เขามา จะได้พูดจากัน แบบนี้ไม่ดีนะลูก) ยายแปงรีบบอก ก่อนแกจะเห็นว่าดวงตากลมของหลานสาวเธอเริ่มจะสั่นไหวอีกครั้ง

“หล้าบอกหื้อเปิ้นบะต้องมา ก่าว่าเปิ้นบะอยากมา” (หลานบอกให้เขาไม่ต้องมา หรือเขาไม่อยากมากันแน่) ยายเริ่มตั้งแง่ 

มันตรารีบห้าม เธอไม่อยากให้ยายคิดว่าสมิงเป็นคนแบบนั้น แม้เขาจะพูดจาหยาบคายกับเธอ แต่ในใจลึกๆ แล้วเธอยังคงเข้าใจว่าอีกฝ่ายก็เป็นห่วงเธออยู่เหมือนกัน

“หนูไม่ให้เขามาจริงๆ ค่ะยาย”

“ยะหยังอย่างอั้นหน่า” (ทำไมทำแบบนั้นล่ะลูก) ยายถอนหายใจพลางขมวดคิ้ว 

“เพราะข้าหยาบคายกับหลานเจ้ายังไงล่ะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางเดินเล็กกลางเรือนไม้ คนพูดปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับความประหลาดใจของยายหลานทั้งสอง เนื่องจากอุ้งตีนใหญ่ของเสือสมิงเดินย่ำขึ้นมาบนเรือนไม้อย่างน่ายำเกรง นัยน์ตาสีเพลิงนั้นทำให้มันตรารับรู้ได้ในทันทีว่าเสือตัวนี้คือสมิง แต่เขามาที่นี่ทำไมกัน

ยายแปงถึงกับผงะลุกขึ้นจากเก้าอี้ หญิงชราวัย 70 ปีหันขวับด้วยความเร็วเกินกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจะทำได้ ไปคว้าเอาปืนแก๊ปยาวที่แขวนอยู่บนผนังเรือนไม้มากระชับมั่นในมือ ปืนเก่าของตาที่เสียไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ยายแขวนไว้เป็นอนุสรณ์ให้พอเมื่อเห็นมันแล้วจะได้รู้สึกว่าเขายังคงอยู่กับแก มือเกี่ยวประคองปืนยาว ง้างนกสับทำจากเหล็กที่ตอนนี้เริ่มเป็นสนิม นิ้วชี้สอดเข้ากับโกร่งไก รั้งอยู่ที่ไกปืนรอดูท่าทีของเสือร่างใหญ่นั้นด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว ร่างเล็กของแกขยับไปบังหลานสาวไว้ อย่างกับว่าหากมันคิดจะฆ่าก็ต้องข้ามศพแกไปก่อน

“ไป!!!” แกตวาดไล่เสียงดัง แม้ใจจะกลัวอยู่มาก แต่สัญชาตญาณความเป็นแม่บอกแกว่ามันจะต้องตายหากเข้ามายุ่งกับหลานแก

เหงื่อเม็ดโตผุดออกจากหน้าผากเล็กด้วยความหวาดผวา ยามนี้ปลายกระบอกปืนแม้จะสั่นด้วยความกลัว แต่ยายแปงก็ยังประคองมันเอาไว้ด้วยเจตนาจะปกป้องหลานสาวให้พ้นภัย

“ไม่นะคะ!!” สาวเจ้ารีบผละออกจากด้านหลังยาย ก่อนจะวิ่งเข้าไปขวางทางปืนที่จ่อไปยังสมิงใหญ่อย่างไม่ห่วงชีวิตตัวเอง ร่างบางกางแขนออกป้องเขาเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เจรจา

“อย่ายิงนะคะ!” มันตราร้องบอก เธอคงไม่ยอมให้ยายทำร้ายสมิงเช่นกัน

“มันตรา!!” ยายตะโกนเรียกเมื่อเห็นหลานของแกเข้ามาขวางปลายกระบอกปืน

“รีบหนีไปสิ คุณจะมาที่นี่ทำไม!” มันตรารีบตะโกนบอกเจ้าของร่างใหญ่ลายพาดกลอนทันที ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะถูกยิงเข้าจริงๆ 

“ปืนของเจ้ามันเก่าเกินกว่าจะยิงได้แล้ว คำแปง” เสือสมิงร่างใหญ่เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ 

มันตราหันไปมองเขาที่กำลังประจันหน้ากับกระบอกปืนยาวอย่างไม่หวาดกลัว

หญิงชราลดปืนแก๊ปยาวลงในทันที ด้วยตระหนักได้ว่าเสือใหญ่ที่มีนัยน์ตาสีแดงเพลิง แถมยังพูดได้อีกคงจะไม่ใช่เสือธรรมดาเป็นแน่ ร่างเล็กของแกทรุดลงที่เก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง แกหายใจหอบอย่างคนกำลังจะเป็นลม

“ยาย!!!”

หลานสาวรีบรุดไปยังเก้าอี้ไม้ในทันที เพื่อประคองยายอันเป็นที่รักของเธอไว้เสียก่อน แล้วจึงรีบหายาดม ยาลม ยาหม่องมาให้

มือเรียวบีบนวดแขนขาให้แกผ่อนคลายอย่างช้าๆ “ยายจ๋า! อย่าเป็นอะไรนะคะ”

มันตราตื่นกลัว สองมือเรียวของเธอสั่นเทาไปหมด ก่อนมือใหญ่ข้างหนึ่งจะยื่นมาช่วยประคองยายแปงเพื่อช่วยแกอีกแรง

หญิงชราเงยหน้ามอง แกมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า และรวมไปถึงเสือสมิงร่างใหญ่ซึ่งกลายเป็นผู้ชายผมยาวร่างเปลือยเปล่าที่เดินเข้ามาหา เพียงแต่ในตอนนี้ยายแปงไม่อาจควบคุมตัวเองได้แล้ว แกแทบจะหมดสติ 

สมิงกดนิ้วใหญ่ลงใต้จมูกเล็ก นวดคลึงร่องเล็กเหนือริมฝีปากบนของหญิงชราอยู่อย่างนั้น ก่อนจะขยับมือใหญ่มากดนวดบริเวณมือเล็กของแกต่อ เขาทำอยู่สองถึงสามนาที หญิงสาวก็ได้แต่นั่งร้องห่มร้องไห้ จนกระทั่งยายแปงกลับมาได้สติ

เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ของยายทำให้มันตราร้องออกมาเสียงดัง

“ยาย!!!” ร่างบางสะอื้นหนัก ริมฝีปากสีชมพูสั่นระริกด้วยความกลัว 

มือเล็กของยายจะค่อยๆ เอื้อมขึ้นลูบหัวของหลานสาวอย่างเบามือ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่ายายกำลังฉีกยิ้มให้ ยายหันไปมองทางร่างสมิงใหญ่ที่เปลือยเปล่า ความเป็นชายของเขาแม้จะยังไม่ตื่นตัว แต่ก็ทำเอายายถึงกับกุมหน้าอก

“ต๋ายๆ กูจะต๋ายแหมละ!! ใหญ่อั้นปะล้ำปะเหลือ” (ตายๆ กูจะตายอีกแล้ว!! ใหญ่อะไรจะขนาดนั้น) ยายแปงถึงกับหลุดคำพูดแปลกๆ ออกมา 

มันตรารีบคว้าผ้าคลุมไหล่ที่วางอยู่ใกล้มือยื่นให้สมิงอย่างร้อนรน ผ้าคลุมไหล่ผืนบางพันรอบเอวเขาได้เพียงรอบหนึ่งเท่านั้น สมิงถึงกับถอนหายใจอย่างเอือมระอา 

ยายตบหน้าอกและสูดหายใจเข้าลึกๆ ริมฝีปากของแกพร่ำปลอบใจตัวเองให้ยังคงมีสติ

“รออยู่นี่ก่อน เดวยายมา อี่หล้าก่ออยู่เนี่ย” (รออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวยายมา หนูก็อยู่นี่แหละ) ยายแปงยันตัวเองขึ้นด้วยแรงของแกที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนนอนเพื่อหยิบของบางอย่าง

“สูเขาจะเอากูมาหัวใจวายต๋ายต๋อนเฒ่าหลุนี่” (พวกเธอจะเอาฉันมาหัวใจวายตายตอนแก่เหรอเนี่ย) ยายบ่นออกมาน้อยๆ ระหว่างเดินเข้าไปในเรือน ทิ้งให้มันตราและสมิงนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ทุกอย่างบริเวณนั้นเงียบกริบไปหมด แม้แต่จิ้งโกร่งสักตัวก็ไม่ร้องออกมาให้ได้ยิน เงียบเสียจนได้ยินเสียงยายที่บ่นออกมาจากเรือนนอน

“คุณมาที่นี่ทำไม” มันตราเอ่ยถาม เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างใหญ่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ตาคมของสมิงจับจ้องอยู่ที่เธอเพียงผู้เดียว

“บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องมาให้เห็นหน้า” มันตราย้ำประโยคที่เธอเคยพูดไป

“ถ้าเจ้าไม่อยากเห็นหน้าข้า เจ้าก็แค่ไม่ต้องมอง” สมิงบอก

“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อตัวข้าเอง ถ้าเจ้าจะไม่หายโกรธ ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้”

ตอนนั้นเองที่ยายแปงเดินกลับออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดหนึ่ง แกยื่นให้มันตราเพื่อเอาให้ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนแก้ผ้าโล่งโจ้งอยู่บนชานเรือน 

สาวเจ้ารับเสื้อผ้ามาและจำต้องยอมเงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มนั้นพร้อมๆ กับยื่นชุดให้เขา

“ก่อไปจ้วยเปิ้นแต่งตั๋วก่าลูก” (ก็ไปช่วยเขาใส่สิลูก) ยายแปงว่า แกเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากจะหันไปมองเรือนร่างกำยำให้ใจเสียอีกแล้ว 

หญิงสาวมองอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับเสื้อผ้าในมือหล่อนไปเสียที ก่อนเธอจะค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปหาสมิงร่างใหญ่ หยิบเสื้อมากางออก แต่ด้วยเพราะเสื้อที่ยายหามาให้เล็กเกินกว่าที่สมิงหนุ่มจะสวมได้ เธอจึงทำได้เพียงแค่วางมันลง และให้อีกฝ่ายนุ่งเพียงกางเกงขาก๊วยสีเทาที่ยายคว้ามาให้ใส่คู่กันแทน

“ยังไม่หายโกรธข้าอีกรึไง” สมิงบอก แต่สาวเจ้าไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา

“เสร็จแล้วนะคะ”

มันตราเลือกจะไม่ตอบคำถาม เธอเพียงบอกกับยายให้ทราบว่าแต่งตัวให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้วเท่านั้น แล้วเดินกลับมาหายาย หญิงสาวย่อตัวลงนั่งกับพื้น ขณะที่ยายลงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ปืนแก๊ปยังวางอยู่ใกล้มือ แม้มันจะยิงไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังเอาไว้ฟาดหรือแทงได้อยู่ดี

“ท่านนั่งตี้เก้าอี้นั่นนะ เป็นเสือเจ้า ไผว่านั่งปื้น” (ท่านนั่งที่เก้าอี้นั่นแหละ เป็นเสือเจ้า ใครเขาให้นั่งพื้นกัน) ยายบอกก่อนที่จะชี้ไปยังเก้าอี้ไม้อีกตัว 

สมิงร่างใหญ่ขยับไปนั่งเพื่อเจรจา

“สรุปแล้วท่านเป็นสมิงแต๊ก๋า อันนี้เจ้าถามบะดาย ก่อฮู้ก่อหันกับต๋าอยู่ละ” (สรุปท่านเป็นเสือสมิงจริงๆ เหรอ อันนี้ถามเฉยๆ นะ เพราะก็รู้ก็เห็นมากับตาอยู่แล้ว)

“แต่มันเป๋นจะใดมาจะใดถึงได้มากั๋มมือถือแขนหลานเจ้า คนเปิ้นหันเปิ้นก่อไปเล่าเสียๆ หายๆ” (เป็นยังไงมายังถึงได้มาจับมือถือแขนหลานฉัน คนเขาเห็นเขาก็เอาไปนินทาเสียๆ หายๆ) ยายว่าก่อนจะมองใบหน้าดุดันของคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น

“จับมือถือแขน?” สมิงเลิกคิ้วก่อนจะมองมายังมันตรา

“ข้านึกว่า...” ชายร่างใหญ่หันกลับไปมองยายแปงก่อนจะเริ่มพูด แต่ท้าทีร้อนรนของมันตราที่รีบลุกขึ้นมาตีแขนเขา ทำให้เข้าใจสถานการณ์ในทันที

“มีคนบอกว่าเห็นเราจับมือถือแขนกัน ยายก็เลยไม่สบายใจ” สาวเจ้ารีบว่า ก่อนคิ้วเรียวจะขมวด นั่งก้มหน้าแดงอยู่อย่างนั้น

“แม่นละ ก่อต๋อนแรกว่าจะหื้อมาเสียผี ท่านก่อบะมาไง ถามหลานเจ้า เปิ้นก่อว่าเปิ้นบะหื้อท่านมา” (ใช่แล้ว ก็ตอนแรกจะให้มาเสียผี ท่านก็ไม่มาไง ถามหลานฉันแกก็ว่าแกไม่ให้ท่านมา)

“แต๊ก่อ” (จริงรึเปล่า)

“ยาย...” มันตราหันไปงอแงกับยายเชิงว่าทำไมจะต้องไปถามเขาอีก ก็เธอบอกแล้วว่าเธอเป็นคนไม่ให้เขามา

“ก่อนหน้านี้ข้าทำให้นางเสียใจมาก ไม่แปลกหรอกถ้านางจะไม่ยอมให้ข้ามา” สมิงตอบ

หญิงชราหันไปมองหน้าหลานสาว

“ของนั้นก็เก็บเอาไว้เถอะ คิดเสียว่าเป็นค่าทำขวัญที่ทำให้หลานเจ้าเสียใจ” นัยน์ตาสีแดงเพลิงจ้องมองหญิงสาวอยู่ตลอดเวลา 

ยายแปงจึงจำใจรับของสิ่งนั้นเอาไว้ มือหยาบดึงปิดถุงกำมะหยี่สีแดง และเลือกจะลุกเอาเข้าไปเก็บด้านในเรือนนอน เหมือนจงใจจะปล่อยให้สองหนุ่มสาวปรับความเข้าใจกันเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเริ่มพูดขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศลมพัดเย็นสบาย กระทั่งมันตราพูดขึ้นก่อน

“ฉันน่ะ...ในตอนนั้นกลัวมากเลยละ แต่พอสมิงมาช่วยไว้ ฉันดีใจจนไม่รู้จะบอกยังไง” สาวร่างบางก้มหน้าพูดเสียงเบา ยิ้มมาน้อยๆ เมื่อพูดถึงความรู้สึกในตอนนั้น

“แต่พอคุณทำร้ายเขา ฉันก็ทนดูไม่ได้ ฉันรู้นะว่าสมิงไม่อยากให้อภัยเขา แต่ฉันไม่อยากให้คุณฆ่าใคร...” มันตราหันไปมองอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องมองมาตาไม่กะพริบ

“แต่พอถูกว่ากลับมาแบบนั้น ตรงนี้...มันเจ็บมาเลยละ” หญิงสาวระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา มือเรียววางลงบนหน้าอกด้านซ้าย เชิงว่าทรมานที่หัวใจของเธอจริงๆ ก่อนมือข้างนั้นจะเลื่อนลงไปลูบบนแหวนวงงามที่นิ้วนางข้างซ้าย

“ถึงจะบอกว่าอย่ามาให้เห็นหน้าอีก แต่พอสมิงเดินหันหลังไป ฉันก็หวังอยู่เหมือนกันว่าสมิงจะเดินกลับมา...” น้ำตาหยดเล็กๆ ไหลเอ่อลงมาอาบแก้มขาวอีกครั้ง 

ชายผมยาวรีบลุกจากเก้าอี้เดินมาหาเธอในทันที มือของสมิงเชยคางเล็กนั้นขึ้น ก่อนน้ำตาจะถูกเกลี่ยด้วยนิ้วโป้งใหญ่ของเขา

“ข้าคิดว่าเจ้าไม่อยากเห็นหน้าข้าอีก...” สมิงบอกในขณะที่ร่างบางสะอื้นไห้

“ขอโทษ...” มันตราบอกเสียงเบา

“ข้าเองก็ขอโทษเจ้า” ริมฝีปากเข้มบรรจงจูบลงไปบนหน้าผากเล็กของเธอ

              “อะแฮ่ม!! ท่าจะบะปอละก๋าทองหนะ ต่อหน้าต่อต๋าเลยเน่อท่าน” (อะแฮ่ม! สงสัยจะไม่พอแล้วมั้งทองน่ะ ต่อหน้าต่อตาเลยนะท่าน) ยายแปงกระแอมขึ้นเสียงดังอย่างจงใจ 

              ร่างบางถึงกับสะดุ้ง รีบลุกขยับหนี 

              ยายแปงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง 

              มือเรียวของเธอยกขึ้นปาดน้ำตาต่อเพื่อไม่ให้ยายเห็น

“อย่างน้อยก่อจ้วยเกร่งใจ๋คนหัวหงอกตรงนี้ตวยเน่อเจ้า...” (อย่างน้อย ก็ช่วยเกรงใจคนหัวหงอกตรงนี้ด้วยจ้า...) ยายว่า

มันตรายกมือขึ้นปิดริมฝีปากขำน้อยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองชายร่างใหญ่ที่ขยับลงนั่งที่เก้าอี้ไม้ของยายตัวที่ตั้งอยู่ข้างๆ เธอนั้นแล แอบโล่งใจที่ยายก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังสมิงตนนี้เสียเท่าไรนัก ก่อนจะค่อยๆ ยื่นนิ้วก้อยเล็กของเธอให้เขา 

นัยน์ตาสีเพลิงคู่นั้นฉายแววเข้าใจความหมายได้ในทันที มือใหญ่ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกันหลวมๆ ทั้งสองต่างคืนดีกันเหมือนกับเด็กน้อย


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น