12

รถใหม่

12

รถใหม่

 

อาหารในชุดขันโตกใหญ่ถูกยกนำมาวางประจำไว้ในแต่ละวงกับข้าว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแบ่งกันไปตามความสัมพันธ์ของแต่ละครอบครัว รวมไปถึงช่วงอายุที่จะเห็นว่าถูกแบ่งอย่างชัดเจนที่สุด เรียกได้ว่าผู้ใหญ่ก็จะนั่งรวมกับผู้ใหญ่ด้วยกัน ส่วนเด็กๆ ก็จะแยกนั่งไปตามครอบครัวของแต่ละคน บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ก็ด้วยพินัยกรรมของยายทวดเพิ่งจะถูกเปิดไป เรียกได้ว่าบางคนเป็นเศรษฐีภายในวันเดียวเลย เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยก็ดังจอแจ

ยายแปงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้บนชานเรือนร่วมวงรับประทานอาหารกับสมิงร่างใหญ่ ซึ่งที่นั่งของเขาถูกจัดเตรียมให้อยู่ในระดับเดียวกับยาย ทำเอาบางคนถึงกับสงสัย แต่สำหรับมันตราและคุณหยาดทิพย์แล้ว พวกเธอเข้าใจเหตุผลนี้ดี

“ใครกันเหรอคะเนี่ย”

ป้าหมวยเอ่ยถามอย่างสอดรู้สอดเห็น ใช่แล้ว แกเป็นอีกคนหนึ่งที่นั่งร่วมวงกับยายแปงด้วย ยายแปงก็ไม่ได้ขัดอะไรที่ป้าหมวยมานั่งร่วมวงด้วย จะมีก็แต่นิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นกับการพูดจาเหน็บแนมนี่แลที่ยายแปงดูจะรับไม่ได้

“บะใจ้ว่าเกยป๊ะกั๋นแล้วก๋า ก่อคนที่ตั๋วว่าตั๋วหันก๋ำไม้ก๋ำมือหลานตั๋วหน่าก่า” (ไม่ใช่ว่าเคยเจอกันแล้วหรอกหรือ ก็คนที่หล่อนเห็นว่าจับไม้จับมือหลานหล่อนนั่นแหละ) ยายแปงว่าพลางค่อยๆ ปั้นข้าวกินไปด้วย 

สมิงหนุ่มเหลือบขึ้นมองป้าหมวยอย่างพิจารณาทีเดียว แม้จะจำหน้าค่าตาไม่ค่อยได้ แต่กลิ่นของอีกฝ่ายที่โชยอยู่ก็ทำให้รู้ได้เลยว่าคือแม่ของพิมฐา คนที่เห็นเขาจับมือมันตราอย่างแท้จริงนั่นแล ก่อนจะเหลือบมองใบหน้าสวยของคนที่ตอนนี้กำลังนั่งเหม่อมองสำรับกับข้าวในขันโตกอยู่ แต่ไม่ยอมเริ่มกินสักที

“น้องมันตรา?” ทนายเหมวิทย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เรียกเธอจนได้สติ 

สาวร่างบางรีบหันไปมองคุณเหมทันที รอยยิ้มเป็นมิตรของคุณเหมทำเอามันตราถึงกับหลุดยิ้มเขิน

“คะ?” ดวงตากลมกะพริบมองเขาปริบๆ

“เป็นอะไรเหรอ เหม่อเชียว”

“อะ...เปล่าค่ะ หนูแค่...ไม่รู้จะทานอะไรก่อนดีน่ะค่ะ มันเยอะเกินไป” มันตราตอบแก้เขิน

“แกงฟักก็น่าทานดีนะครับ น้ำแกงน่าจะหวานเชียว” คุณเหมเอ่ย นัยน์ตาอ่อนโยนของเขาสบดวงตากลมของมันตราไม่กะพริบ 

ยายแปงกับคุณหยาดเลิกคิ้วมองอย่างไม่คาดคิดกับคำเหล่านั้น ส่วนสมิงหนุ่มคิ้วกระตุกอยู่น้อยๆ ก็ด้วยมองเห็นเจตนาลึกๆ ของหนุ่มอีกคนออก

“ขอโทษค่ะ...หนู...ทานเผ็ดไม่ค่อยเก่งน่ะค่ะ”

หญิงสาวตอบไปตามตรง มือเรียวขยับขึ้นเกาแก้มน้อยๆ ก่อนนัยน์ตาสีน้ำตาลจะเหลือบขึ้นไปเจอกับร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ นัยน์ตาสีดำเจือสีแดงเพลิงน้อยๆ จ้องเขม็งลงมาเหมือนกับว่าเขาไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“จริงเหรอ งั้นเอานี่มั้ย” คุณเหมพยายามหาอะไรที่มันตราพอจะกินได้มาให้

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ พี่ทนายทานเถอะค่ะ พี่ทนายเป็นแขก” หญิงสาวถึงกับยกมือปัดปฏิเสธ ด้วยเกรงใจคุณเหมเองด้วย แถมคนตรงหน้ายังจ้องเขม็งแบบนั้น ใครจะไปกล้าทำอะไร

“ว่าแต่ พี่ชื่ออะไรเหรอคะ” พิมฐาเอ่ยเสียงเล็กถามขึ้น แม้วันก่อนเธอจะเห็นสมิงจับมือถือแขนกับมันตรา แต่ไม่ได้เห็นใบหน้าคมหล่อเหลานี้ ด้วยพุ่มไม้ใบไม้บดบังทัศนวิสัยในตอนนั้น แต่ตอนนี้เธอเห็นเขาอย่างชัดเจน จะด้วยเหตุใดก็ตาม หัวใจดวงน้อยของเธอเต้นระรัว

“สมิง” ชายร่างใหญ่ตอบเสียงเรียบ แม้นัยน์ตาดุดันไม่เหลือบมองคนถามเลยก็ตาม

“หนูชื่อพิมฐาค่ะ เป็นน้องของพี่มันตรา” สาวเจ้าแนะนำตัว 

พอได้ยินแบบนั้นสมิงก็ถึงกับหันไปมองในทันที แม้พิมฐาจะเป็นสาวใต้ที่เกิดและโตมากับทะเล แต่ผิวพรรณก็ใช่ว่าจะดำคล้ำกรำแดด ออกจะขาวใสเสียด้วยซ้ำ เนื้อตัวของเธอสำหรับสมิงแล้วเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉม ดวงตากลมกรีดอายไลเนอร์บางๆ ช่วยให้ดวงตาสวยคมขึ้นอีกหลายเท่าตัว ริมฝีปากอิ่มของเธอเจือด้วยลิปสติกสีชมพู

“พี่สมิงเป็นแฟนพี่มันตราเหรอคะ” สาวเจ้าเอ่ยถามออกมากลางวงขันโตก 

คนสามคนในวงขันโตกสำลักขึ้นพร้อมกัน น้าสาวต้องหาน้ำหาท่ายกเข้ามาให้ทั้งสามที่กระแอมกระไอไม่หยุด ด้วยเพราะคำถามจี้จุดแบบนี้ ใครเขาจะถามกัน แต่ที่พิมฐาเลือกที่จะถามออกมาเพราะหล่อนอยากมั่นใจว่าทั้งสองคนน่าจะยังไม่ไปไกลถึงขั้นนั้น

“มะ...ไม่ใช่นะ!” มันตราที่ได้ยินดังนั้นรีบปฏิเสธ ด้วยเพราะพวกเขาเองเพิ่งจะพบกันได้ยังไม่ถึงสิบวัน แม้จะมีอะไรเกินเลยไปแล้วก็ตาม ร่างบางปิดปากไอน้อยๆ ก่อนจะรับน้ำจากน้าสาวมาดื่มช้าๆ เพื่อล้างคอ

“แฟน?” ชายร่างใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างคนรุ่นเก่าที่ไม่แม้แต่จะรู้จักศัพท์แสงของคนรุ่นหลังเลยแม้แต่น้อย 

ยายแปงลูบอกเบาๆ ให้หล่อนกลืนข้าวที่แทบจะลงไปติดในหลอดลมตายลงคอไปเสียก่อน ส่วนคุณเหมเองก็หันไปดูคุณหยาดที่สำลักออกมาเช่นกัน

“แหม เปิดประเด็นจนคนสำลักไปเกือบครึ่งวงเลย” น้าสาวเอ่ยแซวออกมาในระหว่างที่แกส่ายหน้าให้พิมฐา ก็สมเป็นลูกสาวป้าหมวยจริงๆ

ยังไม่ทันที่จะมีใครได้อธิบายให้สมิงฟัง รถคันหนึ่งก็เข้ามาจอดที่ลานกว้างของบ้าน ล้อแมกซ์สีดำรับกับสีแดงของตัวรถ เส้นสีขาวสองเส้นพาดขนานกันบริเวณกระโปรงหน้า ส่วนหลังคาเป็นสีขาวทั้งแผ่น มีแร็คขนาบสองฝั่งซ้ายขวา ตรายี่ห้อรถเป็นวงกลม มีเส้นแนวขวางลากออกคล้ายปีก มองตัวอักษรไม่กี่ตัวบนโลโก้แค่เพียงแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่ารถคันนี้ราคาไม่น้อยทีเดียว

ชายคนหนึ่งในชุดสูทสีดำเดินลงมา แว่นตากันแดดทรงเก่าถูกถอดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อบริเวณหน้าอก เขาเงยหน้ามองขึ้นไปยังเรือนไม้เก่า มือข้างหนึ่งถือตะกร้าผลไม้ที่ตั้งใจซื้อมาฝากยายแปงซึ่งเป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เคารพ

“สวัสดีครับ”

เสียงนี้ทำให้มันตราจำได้ เธอขอตัวลุกออกจากวงขันโตกมามองดูตามญาติๆ 

“สวัสดีค่ะคุณอาสงวน” มันตรายิ้มกว้างให้เพื่อนของพ่อที่เป็นเจ้าของโชว์รูมรถ เธอเดินลงบันไดหน้าเรือนไปหาพร้อมกับยกมือไหว้อย่างมีมารยาท

“เชิญข้างบนก่อนค่ะคุณอา” สาวเจ้าเรียนเชิญ ด้วยคุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าคุณสงวนรู้จักยายมาตั้งแต่สมัยที่คุณพ่อกับคุณแม่ของเธอยังไม่ได้แต่งงานกันเสียอีก มันตราต้อนรับขับสู้แขกคนนี้เป็นอย่างดี ก่อนจะยกเก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ให้คุณสงวนแทน และเลือกจะออกมาจากวงสนทนา สาวเจ้ารู้สึกสบายใจกว่าเมื่อเดินออกมาและเป็นผู้ให้บริการญาติพี่น้องคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสิร์ฟน้ำ ตักอาหาร หรือแม้กระทั่งเล่นกับเด็กๆ ระหว่างที่พ่อแม่ของพวกเขากำลังรับประทานอาหารกันต่อ

ทางคุณสงวนเองก็แจงถึงเหตุผลที่เขามายังที่นี่ไปกับยายแปงตามตรง ด้วยเพราะอาสาขับรถคันนี้มาส่งให้มันตรา เลยถือโอกาสมาแวะเยี่ยมเยียนยายแปงพร้อมๆ กับขอโทษขอโพยที่ไม่ได้ไปร่วมพิธีเผาศพยายมอญแม่ของแก บรรยากาศดำเนินไปอย่างรื่นเริงเช่นเคย มีเพียงคนเดียวที่พอจะไม่ค่อยสนุกไปกับวงสนทนาของเหล่ามนุษย์เท่าไร จึงขอตัวลุกออกจากวงสนทนาไปหาที่ที่เงียบสงบพัก

“พี่สมิง ไปไหนคะ” พิมฐาลุกขึ้นเดินตามไป พอทราบว่ามันตรากับสมิงไม่ได้เป็นอะไรกัน เธอก็พร้อมที่จะใส่เกียร์เหยียบคันเร่งในการตามติดชายคนนี้อย่างไม่ลดละความพยายาม

สมิงร่างใหญ่จะไม่ได้ใส่ใจพิมฐาเท่าไรนัก สองเท้าเปลือยเปล่าเดินย่ำลงเรือนไม้ลงมายังลานหน้าบ้านเพื่อมองหาใครคนหนึ่ง

แคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่หน้าพุ่มโกศลที่ปลูกไว้เป็นแนว มันตรานั่งเล่นในชุดเดิมๆ เมื่อเช้านี้ เด็กน้อยสองสามคนติดเธอแจ ด้วยเพราะมันตราใจดี เด็กเหล่านั้นจึงได้ใจ ขออะไรพี่สาวคนนี้ก็ให้ ชวนเล่นอะไรพี่สาวก็เล่น แม้กระทั่งจะให้นั่งอ่านหนังสือนิทานเล่มเล็กสีสันสดใสในมือเธอตอนนี้ เธอก็ยินดีอ่านให้ฟัง ดวงตาเป็นประกายมองไล่ไปตามตัวหนังสือตัวใหญ่ของนิทานเด็ก ริมฝีปากเล็กนุ่มขยับน้อยๆ เล่าเรื่องราว

“พี่สมิง~”

มือเล็กของพิมฐาคว้าแขนใหญ่ของสมิงที่กำลังจ้องมองสาวตรงหน้ากับกลุ่มเด็กตัวเล็ก ก่อนนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอจะช้อนขึ้นมองตอบ ใบหน้าหวานของมันตราออกสีน้อยๆ ก่อนจะหลุบต่ำลงอ่านนิทานต่อ

“ข้าว่าเจ้ากลับไปหาแม่เจ้าดีกว่า เหมือนแกกำลังเรียกหาเจ้าอยู่” สมิงหันไปบอกพิมฐาที่ไม่แม้แต่จะปล่อยแขนของเขา 

ก่อนจะสิ้นเสียงของสมิงร่างใหญ่ เสียงตะโกนเรียกของป้าหมวยก็ดังขึ้นถัดกันมาติดๆ ทำเอาคิ้วโก่งสวยของพิมฐาถึงกับยู่อย่างขัดใจ เธอต้องปล่อยเขาคนนี้ไปเพื่อขึ้นเรือนตามที่แม่ของเธอเรียกหา

“เอาอีก!! เอาเรื่องอื่นอีก!!” เด็กตัวน้อยร้องออกมาเสียงดัง ด้วยเพราะนิทานเล่มที่เพิ่งอ่านจบไปสนุกเหลือเกิน

“เก็บเอาไว้อ่านคืนนี้มั้ยคะ เดี๋ยวคืนนี้ไม่มีอะไรอ่านให้ฟังนะ” มันตราเจรจา 

แม้เด็กน้อยจะไม่ค่อยยินยอมเท่าไร แต่เพราะเห็นชายร่างใหญ่มายืนมองอยู่ พวกเขาก็ถึงกับร้องเสียงดังออกมาเหมือนกำลังเจอปีศาจร้าย เท้าเล็กๆ วิ่งเตาะแตะหนีไปยังกลุ่มพ่อแม่ที่นั่งกินข้าวอยู่ใต้ถุนเรือน

ลมเย็นพัดโชยมาปะทะใบหน้าเข้มของสมิง ก่อนสองเท้าใหญ่จะก้าวเข้าไปนั่งลงข้างๆ เธอพร้อมๆ กับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“ไม่ค่อยชินเหรอ” มันตราเอ่ยถาม

“อ่า...” เขาตอบออกมาอย่างเบื่อหน่ายเต็มกำลัง

“กลับก่อนก็ได้นะ” เจ้าของดวงตากลมบอกอย่างเป็นห่วง

“ไล่ข้าเหรอ” สมิงเย้า

“มะ...ไม่ใช่นะ! ก็เห็นว่า...สมิงดูจะไม่ค่อยชอบที่ที่คนเยอะๆ” มันตรารีบแก้ตัว

“แล้วจะไปอยู่กับข้าสองต่อสองมั้ยล่ะ”

เสียงทุ้มหยอกเย้าเธอ ทำเอาใบหน้าหวานออกสีขึ้นไปอีก

“แหม...” มันตราถึงกับร้องออกมาอย่างขัดใจ ก็ด้วยแต่ละคำที่พูดออกมาดูตั้งใจจะกระเซ้าเธอเหลือเกิน มือเรียวตีไปที่แขนอีกคนอย่างมันเขี้ยว 

สมิงอมยิ้มเพราะท่าทีของเธอ

“แต่...จะว่าไป ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ” ร่างบางเอ่ย

สมิงเลิกคิ้ว ด้วยท่าทีที่ดูจริงจังขึ้นของมันตรา เขาก็พอจะเดาออกได้บ้าง แต่ปล่อยให้สาวเจ้าพูดมันออกมาจากปากตัวเองดีกว่า

“สมิงน่ะ...กับคุณหยาด...เป็นอะไรกันเหรอ”

เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นถาม เธอตั้งใจรอฟังคำตอบนั้นจนสมิงรู้สึกเหมือนถูกคาดคั้นให้ตอบ คิ้วหนาของเขาเลิกขึ้นน้อยๆ แน่นอนว่าจังหวะนี้หากตอบออกไปโดยไม่คิดก็มีหวังจะต้องมีคนร้องไห้เสียน้ำตาอีกแน่ๆ

“ยังคิดเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ ข้านึกว่าเจ้าจะลืมไปตั้งแต่วันที่ไปหาข้าแล้วเสียอีก” สมิงร่างใหญ่เอ่ยขึ้น แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบของเขา

“เจ้าจำคำมณีได้ใช่มั้ยล่ะ” เสียงทุ้มตอบขณะเหยียดแขนไปด้านหลังเพื่อเอนนั่งในท่าที่สบายขึ้น

“คำมณี...หมายถึง ยายมณีที่เป็นเพื่อนของยายน่ะเหรอ”

“ใช่ คำมณีเป็นคนที่สองรองจากมอญที่รู้ตัวตนของข้า บางครั้งนางก็จะไปที่ศาลเพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างข้ากับคนอื่นๆ”

มันตรามองตอบอีกฝ่าย ทำหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ไม่เลย “เหมือน...ร่างทรงเหรอคะ”

“ภาษาเจ้าคงเรียกแบบนั้นละมั้ง” สมิงว่า

นัยน์ตาคมลอบมองเรือนผมยาวสลวยอย่างโหยหาอยู่ในที มือใหญ่ยกเส้นผมเงามันขึ้นมาหอม ด้วยเพราะแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายมากก็ไม่ได้

“แล้วแม่หยาดทิพย์นั่นก็ดันเอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองไปจากข้า กว่าคำมณีจะตามเอากลับมาให้ได้ นางก็ปางตาย...แต่จะเรียกว่าโชคชะตาหรืออะไรดี มอญ ยายทวดเจ้ากลับเป็นคนมาขอขมาแทน ข้าก็เลยต้องยอม” ชายร่างใหญ่เล่าออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมถึงดูเป็นคนใจร้ายจัง” มันตราพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันมามองใบหน้าคมของอีกฝ่าย

“ข้าเคยบอกแล้วว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่เจ้าของ ก็ไม่มีวันเป็นเจ้าของ” สมิงย้ำคำที่เคยพูดเอาไว้อีกครั้ง

“ทีนี้พอใจหรือยัง” สมิงหันถามร่างบางข้างๆ ที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จามาได้สักพักหนึ่งแล้ว เขาเลิกคิ้วก่อนจะขยับตัวก้มลงไปมองใบหน้าหวานนั้น จังหวะนั้นสาวเจ้าก็เงยขึ้นมามองหน้าเขาพอดิบพอดี ใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ก่อนสมิงใหญ่จะยกยิ้มพร้อมๆ กับยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีก แต่...

“หนูมันตรา!” เสียงของคุณหยาดทิพย์นั่นเอง 

ร่างบางรีบผละออกและขยับหนีเขาทันที ใบหน้าเรียวแดงฉ่า หัวใจดวงเล็กของเธอเต้นระรัว ขณะที่ฝ่ายชายถึงกับถอนหายใจอย่างเสียอารมณ์

“น้าจะกลับแล้วจ้ะ พอดีต้องรีบกลับไปที่ร้าน ร้านไม่มีคนดูแล”

คุณหยาดทิพย์สวมสูทสีแดง นัยน์ตาสีสวยเคลือบด้วยคอนแทกต์เลนส์แฟชั่น ทำเอานัยน์ตาสีเดิมที่เคยเป็นสีดำกลายเป็นสีฟ้าสวยได้อย่างเหลือเชื่อ

“อะ...ค่ะน้าหยาด” มันตราว่า

“อ่อ ว่างๆ จะแวะไปก็ได้นะ ร้านน้าอยู่ในตัวอำเภอนี่เอง”

มือเรียวที่เพิ่งทำปลายเล็บแหลมมาจากร้านทำเล็บขยับกางขาแว่นตากันแดดราคาแพงขึ้นสวม ก่อนที่หล่อนจะเดินไป

“หรือจะมาเย็นนี้ก็ได้ มีรถแล้วนี่” หล่อนว่าพลางชี้ไปที่รถคันสีแดงของมันตรา คันที่พ่อเป็นคนเลือกซื้อให้เมื่อครั้งก่อน

สิ้นเสียงของคุณหยาด มันตราก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที ก็ด้วยคุณหยาดเป็นเจ้าของร้านขายของโบราณ เป็นนักสะสมตัวยงทีเดียว แถมยังเปิดร้านที่รับซื้อและขายพวกเครื่องประดับโบราณ ผ้าโบราณ รวมไปถึงของหายากหลายๆ แบบอีกด้วย

“ได้เหรอคะ” ริมฝีปากเล็กยิ้มถาม

“ได้สิ ได้อยู่แล้ว แหม...” คุณหยาดย้ำคำ

“เจ้าจะไปทำไมเล่า ไม่ใช่ที่ที่คนปกติเขาจะไปกันหรอกน่า”

สมิงร่างใหญ่พูดขัด ด้วยว่าร้านของคุณหยาดตามที่เข้าใจกันอยู่แล้วคือร้านของเก่า แน่นอนว่าของบางอย่างมันไม่ได้มาอยู่ที่นั่นด้วยความเต็มใจนักหรอก

“ทำไมล่ะ” มันตราหันถาม

“นั่นสิ ทำไมล่ะ แต่ถ้าหนูมันตราไม่กล้าไป ก็ลองชวนใครไปเป็นเพื่อนสิจ๊ะ”

คุณหยาดเปิดประเด็น ก่อนจะมองสบไปยังนัยน์ตาคมเข้มของร่างใหญ่เบื้องหน้าหล่อน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นเผยออกมาอย่างชัดเจน 

เจ้าของเรือนผมยาวที่กำลังชั่งใจตอบขึ้น

“งั้นเดี๋ยวเย็นนี้อาจจะขอแวะเข้าไปหานะคะ ร้านปิดกี่โมงเหรอคะน้าหยาด”

สมิงกัดฟันกรอด แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ คงต้องปล่อยให้สาวเจ้าได้ไปตามใจเสียก่อน


พอแดดร่มลมตก เรือนไม้บะเก่าหลังนี้ก็กลับสู่ความสงบสุขเช่นเคย ผิดจากเมื่อสองสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ที่มีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าว เนื่องจากกลุ่มญาติๆ ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเริ่มทยอยกลับกันแล้ว จะเหลือก็แต่กลุ่มป้าหมวยที่อาจจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสองสามวัน แต่ตอนนี้พวกเขาขับรถออกไปเที่ยวในตัวอำเภอกันหมด บนเรือนก็เห็นจะมีแต่ยายแปง มันตรา สมิง และเด็กรับใช้ของยายเท่านั้น น้าสาวก็ติดสอยห้อยตามไปเที่ยวกับป้าหมวยเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่พออยู่ด้วยกันทีไรก็มิวายจะต้องเหน็บแนมกันอยู่ตลอด

เสียงลมที่พัดใบไม้ไหวทำเอาคนแก่วัย 71 ปีถึงกับม่อยหลับไปเป็นช่วงๆ ก่อนที่แกจะตระหนักได้ว่าแกควรจะหลบเข้าไปนอนในเรือนให้หายเพลียก่อนเสียจะดีกว่า

“ยายจะเข้าไปหลับตังในเน่ออิหล้า ตั๋วจะไปแอ่วในอำเภอก่อ ยายจะได้หื้อลุงดำเปิ้นไปส่ง” (ยายจะเข้าไปนอนข้างในก่อนนะลูก หนูจะออกไปเที่ยวในตัวอำเภอมั้ย ยายจะได้ให้ลุงดำแกไปส่ง) ยายเอ่ยถามพร้อมๆ กับหันมามองหลานสาวของแก ซึ่งมีสมิงนั่งอยู่ข้างกายไม่ห่าง 

“ไม่เป็นไรค่ะยาย เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง” หลานสาวตอบก่อนจะลุกเดินตามหญิงชราไปเพื่อส่งเธอเข้าไปงีบเสียก่อน

“ไปคนเดียวจะได้ว่า...ยายเป๋นห่วงหนา” (ไปคนเดียวจะได้เหรอ ยายเป็นห่วงนะลูก) ยายบอกระหว่างขยับลงไปนั่งบนเตียงนุ่ม 

มันตราช่วยยกขาอีกฝ่ายขึ้นอย่างเบามือให้นอนราบลงไปกับเตียง มือเรียวค่อยๆ ขยับผ้าแพรผืนนุ่มห่มให้ถึงเพียงแค่หน้าท้อง

“ได้สิคะยาย หนูขับรถเก่งมาก” มันตราเอ่ยให้อีกฝ่ายสบายใจ

“อั้นก่อระวังตวยเน่อ ออ บะลองถามท่าน เผื่อท่านจะไปตวย” ยายเสนอ (งั้นก็ระวังด้วยนะ ออ ไม่ลองถามท่านดูล่ะ เผื่อท่านจะไปด้วย)

มันตราอ้ำอึ้งอยู่น้อยๆ แต่ก็ตกปากรับคำ ด้วยเธอเองก็ไม่รู้ว่าสมิงอยากจะไปด้วยหรือเปล่า แต่หากดูจากท่าทางตอนที่เจอหน้าคุณหยาดแล้ว สมิงดูจะไม่อยากให้เธอไปที่นั่นมากกว่า

เท้าเรียวค่อยๆ ก้าวออกมาจากเรือนนอนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินมายังหน้าเรือนบริเวณชานไม้ แต่กลับไม่พบใครอยู่ในบริเวณนี้เลย แม้ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนจะมองหาไปทั่วแล้วก็ตาม

“กลับไปแล้วเหรอ...”

ริมฝีปากเล็กขยับพึมพำ ก่อนจะรีบสลัดความรู้สึกแปลกๆ ออกไปจากหัวเสียก่อน ร่างบางสูดหายใจเข้า บอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้ๆ มันตรา สมิงไม่ใช่คนแบบเราๆ จะให้เขามาคอยตามติดเธอแบบนี้ตลอดเวลาก็คงเป็นไปไม่ได้ ว่าแล้วจึงเดินออกมาหยิบกระเป๋าใส่ของใบเล็กของเธอ รั้งสายที่ยาวขึ้นสะพายไว้ที่ไหล่ขวา ก่อนกุญแจรถใหม่ของเธอจะถูกหยิบมาเตรียมไว้ในมือ มันช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง

หญิงสาวผมยาวสวมรองเท้าคัตชูส้นเตี้ยสีดำ ฮัมเพลงเบาๆ ระหว่างก้าวลงเรือน แล้วเดินมายังฝั่งคนขับของรถ รอยดินสอพองจากการที่คุณสงวนนำไปเจิมให้ยังเป็นลวดลายสวยอยู่หน้ารถ มือเรียวขยับเปิดประตูรถช้าๆ กลิ่นใหม่ของเบาะหนังยังโชยออกมาอย่างเป็นเอกลักษณ์ หน้าปัดดีไซน์วงกลมน่ารักเรียบหรูทีเดียว เมื่อเริ่มสตาร์ตรถแล้วเสียงเครื่องยนต์ทำงานอย่างเงียบเชียบ หน้าปัดวงกลมด้านซ้ายมือซึ่งปกติแล้วจะแสดงภาพจากกล้องมองด้านหลังจู่ๆ กลับปรากฏภาพชายร่างใหญ่ที่มันตราคิดว่ากลับไปแล้ว

“อะ...เอ๋?” มันตราถึงกับแปลกใจ ก่อนจะปิดประตูและเดินไปหาเขา

“เจ้าคิดจะไปที่นั่นลำพังจริงๆ อย่างงั้นเหรอ” ชายร่างใหญ่ยืนทำหน้าไม่พอใจ

“กะ...ก็ตอนแรกจะออกมาชวนสมิง แต่ว่า...ออกมาก็ไม่เจอแล้วนี่นา” หญิงสาวตอบไปตามตรง แต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเลย

“ฉันนึกว่าสมิงกลับไปแล้วเสียอีก” เธอช้อนตาขึ้นมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ไป...ด้วยกันมั้ยคะ...” ริมฝีปากเล็กเอ่ยชวน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏให้อีกฝ่ายเห็น

“แน่ใจแล้วเหรอว่าอยากไปที่นั่นน่ะ” ชายร่างใหญ่ถามย้ำ 

มันตราพยักหน้าตอบน้อยๆ 

เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงเดินไปยังฝั่งที่นั่งข้างคนขับ มือใหญ่เปิดประตูรถก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งลงช้าๆ แต่ว่า...

ร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง ก็ด้วยแม้รถคันนี้อาจจะดูใหญ่เกินไปสำหรับมันตรา แต่มันเป็นเพียงแค่รถเล็กคันหนึ่งสำหรับสมิงเท่านั้น 

มันตราเดินกลับมายังฝั่งคนขับ พอเธอขึ้นรถได้ก็เตรียมปิดประตู และกำลังจะคาดเข็มขัด แต่เมื่อเหลือบไปเห็นท่าทางของสมิงแล้ว สาวเจ้าจึงต้องรีบเข้าไปช่วยทันที

ด้วยเพราะที่วางเท้าค่อนข้างแคบ ร่างบางจึงต้องชันเข่าขึ้นกับเบาะนั่งของเธอ ก่อนจะโน้มตัวลงไปช่วยปรับเบาะให้อีกฝ่ายอย่างไม่ทันจะได้คิดว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังพาดอยู่บนแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย จมูกซุกซนของเสือใหญ่สูดกลิ่นบริเวณซอกคอขาวของเธอ ก่อนที่สาวเจ้าจะตกใจ ทำเอาล้มแผละลงบนตัวสมิงซ้ำไปอีก

“สะ...สมิง!!” หญิงสาวเอ็ดอีกฝ่ายยกใหญ่ แม้เสือใหญ่จะตีหน้าซื่อทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปก็ตาม

มือเรียวของเธอยันตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง และพยายามปรับเก้าอี้อีกฝ่ายให้เลื่อนออกมาจนสุด เพื่อให้เขานั่งสบาย และหัวเข่าไม่ชนกับคอนโซลหน้ารถมากนัก กลิ่นหอมจากร่างกายเธอที่มัวแต่ทำอะไรต่อมิอะไรต่อหน้าเขา แถมยังระยะใกล้ชิดกันขนาดนี้ เป็นใครก็คงจะอดใจไม่ไหวเป็นแน่ มือใหญ่จึงกระชับร่างเธอไว้ พลางช้อนอีกฝ่ายให้ลงมานั่งบนตักเขาเสียเรียบร้อย

“ว้าย!!” ร่างบางถึงกับร้องออกมาเพราะความตกใจ

“สะ...สมิงละก็!!” ริมฝีปากเล็กเอ็ดอีกฝ่ายซ้ำสอง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองอย่างงอแง 

แต่นั่นดูเหมือนจะยิ่งทำให้สมิงร่างใหญ่อยากจะกอดเธอเอาไว้อย่างนี้เรื่อยไป สองมือเขากระชับแน่น มือใหญ่เชยคางเล็กที่ยังแอบขืนเขาขึ้นจูบอย่างเชื่องช้า

“อื้อ...” มันตราส่งเสียงประท้วงน้อยๆ ในลำคอ ก่อนริมฝีปากนุ่มของเธอจะถูกล่อลวงด้วยลิ้นร้อนของเขาที่กำลังรุกล้ำเข้ามาอย่างหาทางขัดขืนไม่ได้ รสจูบหอมหวานถูกกอบโกยไปโดยลิ้นสากของเจ้าเสือร่างใหญ่ เมื่อเขาพอใจแล้วจึงถอนริมฝีปากออก ทิ้งไว้เพียงริมฝีปากอิ่มที่ขยับหายใจหอบ

“สมิงบ้า! บ้าๆๆๆๆๆ” สาวร่างบางซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างที่อบอุ่นก่อนจะตีลงไปเบาๆ อย่างคาดโทษ 

สมิงอมยิ้มขำ มือใหญ่กระชับกอดร่างบางเข้าหาตัวอีกครั้ง และก้มลงหอมกระหม่อมของเธออย่างเอ็นดู

หลังจากเสียเวลากันอยู่นาน รถสีแดงได้ฤกษ์ที่ขับออกไปจากบริเวณบ้านเสียที เท้าเรียวค่อยๆ เหยียบคันเร่งแต่น้อยเพื่อให้ตัวเองชินกับรถคันใหม่เสียก่อน ในระหว่างที่สมิงร่างใหญ่นั่งหน้างอคอหักอยู่ที่ที่นั่งฝั่งข้างคนขับ ด้วยเพราะที่นั่งทั้งแคบ และรถก็เล็กเกินกว่าตัวของเขา

เสียงเพลงเบาๆ เปิดคลอบรรยากาศไปเรื่อยๆ มันตราดูจะตั้งใจขับรถเป็นอย่างมาก เสียงของเนวิเกเตอร์ที่คอยนำทางอัตโนมัตินำพวกเขาทั้งสองไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านที่ว่าการอำเภอ ก่อนจะเข้าสู่เขตอำเภอใหญ่โดยแท้จริง ไฟเลี้ยวถูกตบเบาๆ เพื่อเลี้ยวเข้าไปจอดชิดถนนฝั่งซ้ายมือ ร่างบางปลดเข็มขัดให้ตัวเองและอีกฝ่าย ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆ ก้าวลงไปยังร้านที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนน

อาคารพาณิชย์สองคูหาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าทั้งสอง มันตรามองไปยังหน้าร้านหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่ชื่อร้าน แต่พอมองเข้าไปแล้วกลับรู้สึกแตกต่างจากอาคารหลังอื่นๆ โดนสิ้นเชิง

“อ่า...” ร่างบางขยับหลังมือขึ้นป้องจมูกเล็กของเธอทันที ด้วยเพราะมีบางอย่างทำให้รู้สึกแปลกๆ จนเธอแทบจะก้าวเข้าไปไม่ไหว 

มือใหญ่ของสมิงประคองเธอไว้น้อยๆ ร่างบางรีบหันหน้าเข้าซบแผ่นอกกว้างทันที ร่างของเธอสั่นอยู่มากพร้อมๆ กับที่ลมหายใจหอบแรง

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่ามันไม่ใช่ที่ที่คนแบบเจ้าจะมา”

เสียงทุ้มเอ่ยบอก ก่อนตาสีแดงเพลิงจะปรากฏออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังร้านขายของเก่านั้นอย่างไม่ให้อภัยแน่หาก ‘มัน’ ยังไม่ยอมหยุดเสียที ร่างเล็กในอ้อมกอดของเขาค่อยๆ หายใจเบาลงทีละนิด

“ไหวรึเปล่า” ชายร่างใหญ่เอ่ยถาม

ร่างบางพยักหน้าน้อยๆ เชิงว่าเธอยังไหว และยังอยากจะเข้าไปดูว่าไอความรู้สึกเมื่อครู่กับกลิ่นประหลาดนี้คืออะไรกันแน่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น