13

อำ

13

อำ

เสียงครางครืนของท้องฟ้าดังขึ้นมาจากที่ห่างไกลออกไป เมฆหนาดำทะมึนก่อตัวอยู่อย่างลับๆ กัดกินพื้นที่ท้องฟ้าสีเหลืองอมส้มจากปลายสุดของขอบฟ้า สายลมประจำเดือนสิงหาคมโชยเอากลิ่นดินกลิ่นหญ้ามาจนสมิงร่างใหญ่รับรู้ได้ นัยน์ตาสีแดงเพลิงเหลือบมองความไม่ชอบมาพากล แต่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นวาจา เพียงแต่ฝ่ามือใหญ่กระชับหัวไหล่เล็กของสาวร่างบางที่กำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

“อะไรก็ไม่รู้ น่ากลัวชะมัด!!”

ประตูไม้สักบานใหญ่เปิดออกพร้อมๆ กับเสียงหนึ่งดังขึ้นพอให้ได้ยิน หญิงสาวคนหนึ่งนุ่งผ้าซิ่นพิมพ์ลายวิ่งออกมาคว้ามอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่บริเวณหน้าร้านขับออกไปอย่างไม่เหลียวหลัง ทำเอามันตราเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าที่แม้ตอนนี้ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือออกจากตัวหล่อน

“หายไปแล้ว...” ริมฝีปากเล็กขยับบอกเมื่อความรู้สึกแปลกๆ และกลิ่นไอเหม็นสาบหายไปจากบริเวณนี้ แต่หัวใจที่เต้นระรัวเมื่อครู่ก็ยังคงโครมครามอยู่ภายในอก 

ประตูไม้สักบานนั้นค่อยๆ ปิดลงอย่างเงียบเชียบ กระจกสีลายโบราณประดับตกแต่งไปตามช่องสี่เหลี่ยมที่ถูกตีตารางสลับสับหว่างกันไปมาตามสไตล์การออกแบบสมัยเก่า สองมือเล็กที่กุมอยู่กลางหน้าอกค่อยๆ ขยับขึ้นลงตามการสูดหายใจเข้าอย่างเตรียมพร้อม มันตราก้าวเดินเข้าไปยังร้านนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

มือเรียวเอื้อมเข้าไปจับมือจับประตูเก่าแก่ที่หล่อขึ้นมาเป็นรูปเสือแยกเขี้ยวทำจากทองเหลือง ห่วงประตูถูกแกะเป็นลายโบราณพร้อมด้วยตัวอักษรล้านนาที่เป็นคาถาสำหรับกันภัยต่างๆ แต่สาวเจ้าเองก็ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน จึงเพียงแค่ผลักมันเข้าไปในร้าน แต่ว่ามันติด...

ชายร่างใหญ่ส่งเสียงถอนหายใจออกมาในทันที 

“ดึง” สมิงเอ่ยบอก

สาวร่างบางจะชะงัก ใบหน้าสวยก้มน้อยๆ ด้วยความเขินอาย เธอแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ก็ด้วยประตูบานนั้นเปิดได้เพียงทางเดียว คือเปิดออกด้านนอก ไม่แปลกที่เมื่อดันเข้าแล้วมันจะติด 

ชายร่างใหญ่ส่ายหน้าขันความโก๊ะของเธอ ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูให้แทน พร้อมกับพ่นลมหายใจเชิงขบขันออกมาเบาๆ

“ยะ...อย่าหัวเราะสิ!” สาวเจ้าหันไปเอ็ดอีกคนเบาๆ

เมื่อประตูเปิดออก กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณก็โชยมาเตะจมูกเธอในทันที ขาเรียวก้าวเข้าไปด้านในซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปจากตอนที่ยืนอยู่หน้าร้านมากทีเดียว เว้นแต่ว่าสมิงดูจะไม่ค่อยชอบบรรยากาศในร้านนี้เลย

ภายในร้านบุผนังทั้งสองข้างด้วยแป้นไม้สัก เก็บขอบเก็บมุมเสียจนสวย เรียกได้ว่าหากมองจากภายนอกแล้วดูแตกต่างกันแบบสิ้นเชิงทีเดียว ภายในสะอาดสะอ้านเนื่องจากมีการทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ ทั้งสองฝั่งถูกแบ่งด้วยทางเดินเล็กๆ ที่พอจะให้เดินดูของในร้านได้อย่างสะดวก ของส่วนใหญ่ที่พอจะมองเห็นได้และรู้ว่าคืออะไรก็มีโต๊ะ ตู้ ข้าวของเครื่องใช้โบราณที่ถูกแบ่งจัดเรียงไปตามวัสดุของของแต่ละชิ้น

มันตราดึงแขนเสื้อลงน้อยๆ ด้วยเพราะภายในร้านเปิดแอร์เสียจนเย็นเฉียบ ตู้โชว์หลายตู้เป็นกระจกใส ภายในมีของมีค่าที่เรียกว่าไม่ได้หากันได้ง่ายๆ วางอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของมันตรามองของแต่ละชิ้นเป็นประกาย แน่นอนว่าเธอไม่เคยเห็นของอะไรแบบนี้มาก่อน

ทางเดินเล็กด้านซ้ายนำพวกเขาทั้งสองไปยังอีกฝั่งของร้าน บริเวณฝั่งนี้เหมือนจะเป็นศูนย์รวมของมีค่ามากมาย เครื่องประดับทั้งที่ทำจากทอง เงิน แร่ ทองเหลือง หรือแม้กระทั่งเครื่องประดับหน้าตาประหลาดหลายชิ้นถูกเรียงไว้บนถาดกำมะหยี่สีแดง แบ่งเรียงไปตามวัสดุเพื่อให้ง่ายต่อการหยิบเลือกเช่นกัน

“สะ...สวัสดีค่ะ”

เสียงหวานเอ่ยทักออกไปในร้านก่อนจะสะดุดเข้ากับภาพตรงหน้า ก็ด้วยว่าถัดไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นของต่างๆ เหมือนถูกพังลงมาโดยเจตนา ข้าวของกระจัดกระจายมากมายจนมันตราปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้

“นี่!”

เจ้าหล่อนขยับย่อตัวลงเก็บของต่างๆ ขึ้นตั้ง โดยไม่ได้ฟังคำทัดทานของสมิงร่างใหญ่เลยแม้แต่น้อย เสียงพ่นลมหายใจพรืดใหญ่ของเขาดังจนเธอได้ยิน กำไลข้อมือเล็กหลายวงที่ถูกคล้องกับแท่นวางค่อยๆ ถูกเก็บขึ้นช้าๆ ก่อนที่เจ้าของร้านสาวสวยจะเดินเข้ามาพร้อมกับไม้กวาดและที่ตักขยะ

“อ้าว! หนูมันตรา มาเมื่อไหร่จ๊ะ” คุณหยาดเอ่ยทักก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงช่วยสาวเจ้าเก็บของที่ตกกระจัดกระจายอยู่

“มาถึงสักครู่เองค่ะน้าหยาด...” ริมฝีปากเล็กยิ้มตอบ

“ว่าแต่ทำไมของถึงล้มระเนระนาดแบบนี้ล่ะคะ” มันตราว่าก่อนจะค่อยๆ ยกชั้นวางกำไลไม้ขึ้นวางบนตู้โชว์กระจก และมาช่วยเก็บอย่างอื่นต่อ รวมไปถึงกล่องไม้ใบเล็กที่ภายในนั้นว่างเปล่า

“เฮ้อ ก็ยายพนักงานใหม่น่ะสิเกิดหลอนอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ทำลายข้าวของระเนระนาด แล้วก็ขอลาออก”

คุณหยาดบ่นออกมาพร้อมๆ กับลุกขึ้นเดินไปยังเคาน์เตอร์โชว์เครื่องประดับ เก็บของที่มันตราหยิบขึ้นมาจัดวางให้เข้าที่เช่นเดิม ส่วนมันตราเองที่ก็ยังคงง่วนอยู่กับการเก็บของต่างๆ จนใกล้จะหมดแล้ว แต่ทันใดนั้นเองของบางอย่างที่กลิ้งเข้าไปอยู่ใต้ชั้นวางเตี้ยทำจากไม้เก่ากลับกลิ้งออกมาใกล้ๆ มือของเธอเสียอย่างนั้น ก้อนสีดำหน้าตาพิลึกส่งกลิ่นประหลาดโชยออกมา มันคือกลิ่นเดียวกับที่เธอได้กลิ่นตอนอยู่ด้านนอกร้าน ด้วยกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนนี้ทำเอาเจ้าหล่อนถึงกับดึงคอเสื้อขึ้นปิดจมูก แต่มือเรียวก็ยื่นเข้าไปหมายใจว่าจะหยิบขึ้นมาให้คุณหยาดดู

“มันตรา!!” เสียงทุ้มคำรามชื่อของเธอออกมาอย่างดัง เชิงว่าต้องห้ามเอาไว้เสียก่อน 

สาวร่างบางถึงกับชักมือกลับแล้วหงายหลังลงแหมะอยู่กับพื้นไม้ที่ถูกขัดจนขึ้นเงา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสบตาดุดันของสมิงแกร่งอย่างตกอกตกใจ มือใหญ่ของเขารีบคว้าตัวเธอไว้ทันที

“อะ...อะไรเหรอ”

แขนใหญ่ประคองร่างเธอไว้ไม่ยอมให้ห่างกาย คุณหยาดเองก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างฝืนๆ เพราะหล่อนเคยเห็นของที่หน้าตาคล้ายๆ กับสิ่งนี้อยู่บ้าง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหล่อนต้องถือไม้กวาดและที่ตักขยะมา ก็เพราะจะเอามาเก็บเจ้าสิ่งนี้ออกไป

“ถ้าเจ้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร อย่าจับ”

เสียงเรียบนั้นแฝงด้วยความตึงเครียดอยู่น้อยๆ ก่อนเขาจะกันเธอออกไปจากตรงนั้นเสียก่อน ร่างใหญ่เป็นฝ่ายก้าวไปหาสิ่งนั้น หากสังเกตดีๆ ก็จะมองเห็นว่าเจ้าสิ่งนี้เหมือนกำลังกระดิกเป็นจังหวะ มือหยาบพร้อมกรงเล็บแหลมเอื้อมลงไปเพื่อหมายจะหยิบมันขึ้นมา

“สมิง!...” มันตราเอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

สมิงร่างใหญ่คว้าหมับไปที่วัตถุปริศนา ก้อนเนื้อที่เหมือนกับถูกทำขึ้นห่อหุ้มด้วยอะไรบางอย่าง แต่ชิ้นส่วนที่โผล่พ้นคราบสีดำนั้นกลับเป็นเส้นผมมากมาย พันเกี่ยวกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ริมฝีปากเข้มขยับบริกรรมคาถาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสียงสายฟ้าฟาดจากภายนอกจะดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทำเอามันตรายกมือสองข้างขึ้นปิดหู หลับตาปี๋

ทันทีที่เสียงนั้นเงียบลง สาวร่างบางจึงค่อยๆ ลืมตามองไปยังชายร่างใหญ่ ทันพอเห็นว่าอีกฝ่ายทอดถอนหายใจพร้อมๆ กับส่ายหน้าอย่างอนาถจิต ก้อนกลมในมือก่อนหน้านี้ละลายออกเป็นน้ำเหนียวๆ สีดำ บนฝ่ามือปรากฏเป็นเส้นผม ฟัน และกระดูกชิ้นเล็กๆ มากมาย รวมไปถึงชิ้นเนื้อประหลาด

“เอาถาดมา” ชายร่างใหญ่เอ่ยบอกคุณหยาดทิพย์ 

เจ้าของร้านรีบก้าวเข้าไปยังหลังร้านเพื่อหยิบของที่ต้องการมาให้เขาทันที

“สมิง...” มันตราเรียกอีกฝ่ายเบาๆ ถึงจะเห็นอย่างนั้นแล้ว แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ในใจตลอด

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอะไร” เขาตอบให้เธอสบายใจ ถึงอย่างนั้นกลับไม่ยอมให้สาวเจ้าเข้ามาดูชิ้นส่วนมนุษย์บนฝ่ามือเขาเลยแม้แต่น้อย บอกแต่เพียงว่าให้ยืนรอตรงนั้นไปก่อน

“แม่เจ้าอยู่ไหน ข้ามีเรื่องจะคุยกับนางเสียหน่อย” สมิงเอ่ยออกมาระหว่างปล่อยให้เศษซากเหล่านั้นค่อยๆ ไหลตกลงไปยังถาดไม้ที่คุณหยาดนำมารองให้

“อยู่ข้างบนน่ะ...แต่ว่า...” ริมฝีปากแดงของคุณหยาดทิพย์ขยับบอกน้อยๆ

“ช่วย...ไปล้างมือข้างนอกได้มั้ย” คุณหยาดทิพย์บอกพร้อมๆ กับฉีกยิ้มกว้าง มือเรียวพร้อมเล็บยาวผายออกไปทางด้านหน้าร้าน เชิงว่าหน้าร้านมีที่สำหรับล้างมืออยู่ ด้วยหล่อนรู้แล้วว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร และไม่ค่อยสบายใจหากสมิงจะล้างมือที่เปื้อนคราบน้ำเหลืองน้ำหนองเน่านี้ในร้านของหล่อน 

สมิงร่างใหญ่ถึงกับถอนหายใจ แต่เขาไม่ได้ฟังคำของคุณหยาดมากนัก เขาเลือกจะเดินเข้าไปล้างมือที่หลังร้าน โดยไม่ลืมคว้าถาดไม้เล็กใบนั้นติดมือไปด้วย ทิ้งให้มันตราและคุณหยาดยืนอยู่ตรงนั้นกันสองคน

“มันตรา...เจ้าอยู่นี่ อย่าไปไหน แล้วก็...อย่าจับอะไรซี้ซั้ว”

เจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงหันมากำชับหญิงสาว น้ำเสียงจริงจังนั้นทำเอามันตราตอบได้เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

 

ในห้องเล็กๆ ชั้นสองที่ถูกกั้นเอาไว้ด้วยม่านลูกปัดสีแดงแบบเรียบง่ายเปิดไฟสีนวลตา ผนังสองข้างบุด้วยไม้มะฮอกกานีสีสวย กลิ่นหอมๆ ของไม้แม้จะโชยออกมาบ้าง แต่ก็ถูกกลบด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณที่ตลบอบอวลมาตั้งแต่ที่พวกเขาสองคนเดินเข้ามาในร้านแล้ว โต๊ะกลมปูด้วยผ้าลูกไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง หญิงชราในชุดขาวนั่งอยู่บนวีลแชร์ หันมายิ้มให้คนที่รู้จักกันมาได้กว่า 60 ปีแล้วด้วยสีหน้าเป็นมิตร

“ฉันละชอบเวลาหนูมันตรามาจริงๆ” ยายมณีเอ่ยเสียงเล็ก

“แต่ข้าไม่ชอบ”

สมิงตอบกลับเสียงเข้มอย่างไม่ต้องคิดอะไรเลย เขาขยับตัวลงนั่งตรงข้ามกับหญิงชราในชุดขาว ก่อนจะวางถาดเจ้าปัญหานั่นลง “ทำไมถึงมาอยู่ในร้านเจ้าได้”

มือเล็กของยายมณียื่นมาหยิบถาดไปดู แกถอนหายใจอย่างเวทนา แล้วจึงวางถาดไม้ลงช้าๆ

“พรุ่งนี้จะเอาไปให้พระประกอบพิธีให้” แกว่าพลางจดบันทึกลงบนกระดาษเล็กๆ ข้างมือ

“จริงๆ ได้กลิ่นตุๆ มาแต่เช้าแล้วละ เห็นยายหนูที่มาทำงานบอกว่ามีคนเอาของมาฝากขาย แค่ทิ้งเบอร์ไว้แล้วก็ไป ไม่คิดว่าจะมีของแบบนี้ติดมาด้วย” ยายมณีแกบอกด้วยเสียงเล็กเบา มือกระชับผ้าคลุมไหล่เข้าหาตัวน้อยๆ

“โชคดีที่ท่านอยู่ นางเลยได้ไปผุดไปเกิดเสียที” แกว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาใบเล็ก รินชาหอมเสิร์ฟให้สมิงใหญ่เสียก่อน แล้วจึงรินให้ตัวเองน้อยๆ ไอร้อนลอยขึ้นเป็นควันสีขาวจางๆ ทำให้ชุ่มคอขึ้นมากทีเดียวหลังจากยกขึ้นจิบ

“แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้อยู่ ทำคุณไสยใส่แถมยังใช้มนตร์ดำสะกดวิญญาณไว้ใช้งาน คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ก็คงมีแต่พวกสายดำนั่นละนะ” ยายมณีว่า 

หากพูดถึงเรื่องไสยเวทแล้ว มักจะถูกแบ่งออกเป็น สอง ฝั่งมาตั้งแต่โบราณกาล นั่นคือไสยเวทสายขาวที่มักใช้ไปในทางที่ดี เอาไว้ส่งเสริมดวงชะตาราศี ให้แคล้วคลาดปลอดภัย คนรัก คนเมตตา ส่วนอีกสายก็รู้จักกันดีในนามของไสยเวทสายดำ ซึ่งก็คือใช้มันเพื่อทำร้ายผู้คน การแก้แค้น เอาคืนให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด ไปจนถึงพรากชีวิตผู้อื่น ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีคนที่พยายามจะศึกษาวิชาเหล่านี้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าบางอย่างเป็นวิชาที่ชั่วร้ายมากก็ตาม

“ไม่ได้เพิ่งทำหรอก น่าจะทรมานแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว” สมิงใหญ่บอก ก่อนจะหันไปมองทางประตู กลิ่นหอมของดอกไม้ก็ยังโชยมาไม่หยุด 

เสียงหัวเราะของยายมณีดังขึ้นน้อยๆ

...

ทางด้านของมันตราที่ถูกห้ามไม่ให้ไปไหนก็ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าตู้โชว์เครื่องประดับพักหนึ่งแล้ว จมูกเล็กของเธอสูดหายใจเอากลิ่นหอมดอกไม้เข้าไปอยู่ตลอด ริมฝีปากเล็กกระดกยิ้มบาง

“ร้านน้าหยาดหอมจังเลยค่ะ ใช้น้ำหอมปรับอากาศเหรอคะ” มันตราเปิดประเด็น

คุณหยาดฉีกยิ้มไว้อย่างนั้นก่อน ด้วยเพราะร้านของหล่อนไม่มีทางใช้ของอะไรแบบนั้นแน่ๆ ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วร้านนี้ก็ควรจะมีเพียงกลิ่นไม้ของไม้เก่าเท่านั้น ไม่น่าจะมีพวกกลิ่นเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย จะได้กลิ่นก็วันนี้แล

“อ่า...จ้ะ”

คุณหยาดจำใจตอบ ด้วยแท้จริงแล้วกลิ่นเหล่านี้คือกลิ่นของวิญญาณต่างๆ ที่สิงอยู่ในของแต่ละชนิดภายในร้าน ซึ่งปกติแล้วหากพูดถึงเรื่องเล่ามากมายที่ประสบพบเจอ หรือน่าจะมีการเล่าขานกันมาแบบปากต่อปากเมื่อมีการปรากฏของภูตผีหรือวิญญาณ ก็มักจะมีกลิ่นของแปลกๆ โชยมาตามลมโดยที่ไม่อาจระบุที่มาได้ ร้ายหน่อยก็จะเป็นกลิ่นซากศพ กลิ่นเหม็นเน่า หรือแม้แต่กลิ่นธูป กลิ่นเทียน แต่ถ้าเป็นวิญญาณที่สงบก็มักจะดลบันดาลให้กลิ่นที่โชยมานั้นมีกลิ่นหอมอย่างดอกไม้ได้เช่นกัน

“ดีจังเลยค่ะ หนูชอบ หอมดี” มันตราตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง

แน่นอนว่าคุณหยาดทิพย์คิดว่าการปล่อยให้มันตราเชื่อเช่นนั้นน่าจะดีที่สุดแล้ว ก่อนสมองอันชาญฉลาดของหล่อนจะคิดอะไรดีๆ  ได้อีกอย่าง

“แต่น่าเสียดายนะ ร้านน่ะ...คงจะไม่มีคนดูแลไปสักพัก น้าต้องหาพนักงานใหม่มาดูแลร้านเพิ่มน่ะสิ...เฮ้ออ~~”

หล่อนว่าพลางถอนหายใจ แววตาดูแสร้งว่าหนักอกหนักใจอย่างชัดเจนทีเดียว แน่นอนว่าหล่อนคาดการมาอย่างดีแล้ว ด้วยเพราะมันตราเองเป็นคนขี้สงสาร แถมคุณหยาดแค่มองก็รู้แล้วว่ามันตราอาจจะอยู่ที่นี่ไปอีกพักใหญ่ ไม่แน่ว่าพูดแบบนี้ออกไป สาวเจ้าก็คงเสนอตัวช่วยเป็นแน่

“เอ๋...เหรอคะ...งั้นให้หนูช่วยก่อนมั้ยคะ”

ปลาตัวโตติดเบ็ดเข้าเต็มๆ คุณหยาดก็ยกเบ็ดพร้อมกับสาวเอ็นตกปลาเข้าหาตัว และเตรียมสวิงรอช้อนอยู่แล้ว แต่ทำทีลังเล ไม่ยอมตกปากรับคำเสียที

“จะดีเหรอจ๊ะ ยายแปงจะไม่ด่าน้าเอานะ ไหนจะคนนั้นอีก”

คุณหยาดทิพย์แสดงละครได้อย่างสมจริงสมจัง แถมมือไม้ที่ชี้ขึ้นไปหาคนบนชั้นสองนั่นอีก เรียกว่ารางวัลตุ๊กตาทองจะไปไหนเสีย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็...ช่วยๆ กันไปก่อน จนกว่าคุณน้าจะหาพนักงานใหม่ได้”

ริมฝีปากเล็กยิ้มรับ ก็จังหวะเดียวกับคุณหยาดแกคว้าสวิงเข้าช้อนหล่อนขึ้นมาเหมือนปลาตัวหนึ่งนั่นแล

“เหรอจ๊ะ แหม หนูมันตราเนี่ยใจดีจัง งั้นเอาเป็นว่าเริ่มงานวันมะรืนเลยเนาะ พอดีพรุ่งนี้ร้านปิดจ้ะ”

สาวร่างงามไม่เปิดโอกาสให้มันตราปฏิเสธอะไรอีก สองมือเกาะกุมมือมันตราอย่างเป็นพระคุณเหลือที่ตัดสินใจจะมาช่วย ด้วยเพราะอะไรบางอย่างทำให้คุณหยาดทิพย์มองเห็นแล้วว่าหากมันตราทำงานอยู่ที่นี่ คงช่วยแบ่งเบาภาระบางอย่างไปได้มากทีเดียว


ฝนด้านนอกสาดลงมากระทบกับหลังคาไฟเบอร์กลาสดังกระหึ่ม ตัวหลังคายกยื่นออกไปด้านหน้าเพื่อกันไม่ให้น้ำฝนกระเด็นโดนกระจกบานใหญ่มหึมาของร้านที่สูงขึ้นไปจนถึงชั้นสอง ด้วยเกรงว่าจะทิ้งคราบเป็นจุดๆ ดูไม่น่ามอง เสียงกระหึ่มทำเอาเมื่ออยู่ภายนอกแล้วไม่น่าจะได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงฝน เจ้าของดวงตากลมยืนมองสายฝนที่จู่ๆ ก็สาดลงมาโครมๆ แถมลมพายุยังพัดจนต้นไม้ไหวเกือบทั้งต้น ดูเหมือนว่าคืนนี้จะมีพายุใหญ่เสียแล้ว

“ระ...รถจะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย”

มันตรามองออกไปนอกกระจกบานใหญ่ รถของเธอจอดอยู่ท่ามกลางสายฝน รถคันหน้าที่จอดข้างหน้าเป็นรถเอสยูวีสีดำของคุณหยาด มือเรียวทาบลงกับกระจกเย็นที่สั่นไหวเพราะแรงลม ดวงตากลมคอยกวาดมองสอดส่องดูว่าภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง

“ออกมาจากกระจก!”

เสียงตะโกนของชายร่างใหญ่มาจากทางบันได ก่อนเขาจะรีบวิ่งลงมาด้วยความเร็วที่เกินกว่ามนุษย์จะทำได้ และคว้าแขนเล็กของมันตรากระชากเข้าหาตัวทันที ก่อนเสียงที่ตามมาจะเป็นเสียง ‘ปังงง!!!’ จากการที่วัตถุบางอย่างฟาดเข้ามายังกระจกหน้าร้านเต็มแรง กระจกสั่นสะท้านไปทั้งบาน รอยร้าวแตกใหญ่แผ่ออกเหมือนใยแมงมุมขนาดมหึมา

“กรี๊ดดด!!!” ร่างบางกรีดร้องออกมาเสียงดังในอ้อมกอดแกร่งทันที

โชคยังดีที่กระจกบานใหญ่นั้นเป็นกระจกนิรภัย เมื่อแตกออกไปแล้ว เศษกระจกจะยังถูกยึดกันด้วยฟิล์มใส แต่ข้าวของที่วางไว้ข้างหน้าต่างกระเด็นออกมากระจัดกระจายอีกครั้งด้วยแรงสะท้อนของมัน ตัวคุณหยาดก็ย่อลงหลบอยู่ใต้เคาน์เตอร์โชว์ตัวใหญ่ทันที

ทุกอย่างในร้านเงียบไปสนิท ได้ยินแต่เสียงโครมครามจากภายนอกเท่านั้น

“เป็นอะไรรึเปล่า” สมิงหนุ่มรีบถามเธอ

ร่างเล็กซุกในอ้อมกอดเขาอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบว่าหล่อนไม่เป็นไร ถึงอย่างนั้นชายร่างใหญ่ก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอออกเสียที


ด้วยเพราะพายุใหญ่นี้คุณหยาดทิพย์ถึงกับต้องปิดร้านก่อนเวลา บานเหล็กหน้าร้านถูกดึงลงมาด้วยระบบอัตโนมัติ แม้จะติดของบางอย่างหน้าร้านที่ถูกลมพัดเข้ามาใส่กระจกเต็มแรงก็ตาม

“ยายไม่เป็นไรจริงๆ นะ” เสียงหวานฟังดูเป็นกังวล ด้วยเพราะยังขับรถกลับบ้านไม่ได้ และสถานการณ์อีกฝั่งก็ดูจะแย่ไม่แพ้กัน

“ไฟดับแล้วจะอยู่กันยังไงล่ะคะ” มันตรานั่งคุยโทรศัพท์กับยายแปงอยู่ในห้องรับแขกของคุณหยาดทิพย์ ไม่ยอมวางสายเสียที ถึงแม้ยายแปงจะบอกว่าไม่เป็นไรเพราะมีจุ๊บแจงและน้าสาวมานอนเป็นเพื่อน แต่กลุ่มของป้าหมวยที่เคยนอนอยู่บนเติ๋นก็ต้องแยกย้ายกันไปนอนที่บ้านแต่ละหลังของญาติพี่น้อง เพราะบริเวณเติ๋นถูกน้ำฝนสาดเปียกหมด 

“งั้นเดี๋ยวรอฝนหยุดแล้วหนูจะรีบกลับไปนะคะ”

“แต่ว่า...”

“...”

“ขะ...เข้าใจแล้วค่ะ”

“ยายดูแลตัวเองด้วยนะคะ หนูรักยายนะ บ๊ายบายค่ะ”

มือเรียวขยับโทรศัพท์มือถือออกจากแก้มขาว รอให้ปลายสายวางสายไปเอง ดวงตากลมยังคงฉายแววเป็นห่วงปลายสายอยู่ตลอด 

คุณหยาดทิพย์เดินเข้ามาหาพร้อมกับโกโก้ร้อนแก้วหนึ่ง แถมด้วยมาร์ชแมลโลว์ลอยหน้ามาให้ “เอาเป็นว่าคืนนี้ค้างที่นี่ก่อนก็แล้วกันนะ”

แก้วมักลายหินอ่อนถูกวางลงตรงหน้ามันตรา ก่อนร่างบางจะค่อยๆ ยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ เจ้าของเล็บมือยาวปัดมือไปมาเชิงว่าไม่ต้องไหว้ตลอดก็ได้ มันตราขยับมือเรียวไปคว้าแก้วมักใบนั้นขึ้นมากุมไว้น้อยๆ ความอุ่นของมันทำให้หายหนาวไปได้มากทีเดียว

“ไม่ต้องไหว้ทุกรอบก็ได้มันตรา น้ายังไม่อยากแก่” หล่อนว่า ก่อนจะเดินไปยกเหยือกกาแฟจากเครื่องทำกาแฟสมัยใหม่มาค่อยๆ เทลงในแก้วสีขาว ซึ่งเป็นแก้วประจำของหล่อน

“ขะ...ขอโทษค่ะ” หญิงสาวขยับนิ้วขึ้นเกาแก้มแก้เขิน

“แล้ว...พ่อสมิงของเธอล่ะ”

กาแฟหอมฉุยโชยกลิ่นไปทั่วพร้อมๆ กับไอสีขาวลอยกรุ่นออกจากแก้วสวยใบนั้น เจ้าของร่างสวยสะโอดสะองค่อยๆ ก้าวเดินมาหามันตรา เลือกนั่งลงกับโซฟาหวายตัวเดี่ยวที่ตั้งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ คุณหยาดทิพย์ยกขาเรียวขึ้นนั่งไขว่ห้างพลางมองไปยังร่างเล็กที่กำลังยกโกโก้ร้อนขึ้นจิบน้อยๆ

“อ๊ะ!!”

มันตรารีบถอนริมฝีปากเล็กของเธอออกจากขอบแก้วทันที ด้วยว่าโกโก้ในแก้วนั้นร้อนจนเกินไป ทำเอาลิ้นนุ่มของเธอแสบพองเลยทีเดียว เจ้าของร่างบางเผลอแลบลิ้นออกมาน้อยๆ ก่อนจะรู้ตัวว่าทุกอิริยาบถของเธออยู่ในสายตาของคุณหยาดหมดแล้ว ดวงตากลมเบิกขึ้นก่อนจะหลุบต่ำลงพร้อมกับใบหน้าออกสี เธอเผลอทำอะไรน่าอายออกไปต่อหน้าคนอื่นอีกแล้ว

“มิน่าล่ะ...เขาถึงได้ห่างหนูไม่ได้สักที” คุณหยาดพูดออกมาลอยๆ ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ 

มันตราเองก็หันมองอีกฝ่ายตาปริบๆ ทีเดียว

“สรุปไปไหนแล้ว ตาสมิงน่ะ” คุณหยาดถามซ้ำ

“อะ...เอ๋?... หนูนึกว่า...ขึ้นไปคุยกับคุณยายมณีเสียอีกค่ะ” มันตราบอกไปตามตรง ด้วยเพราะเธอมัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่กับยายแปง จนไม่ได้สนใจอะไรรอบตัวเลย เห็นเพียงแค่สมิงเดินออกไปจากห้องรับแขก ไม่ได้บอกอะไรไว้เสียด้วยซ้ำ

“ไม่นะ น้าเพิ่งลงมาจากห้องคุณแม่ ไม่ได้อยู่นี่”

“เอ๋?...”

ร่างบางเผลอขบริมฝีปากเล็กน้อยพลางคิดว่าอีกฝ่ายออกไปไหน ทำไมถึงไม่บอกกันนะ ทั้งๆ ที่ข้างนอกตอนนี้ฝนก็ยังคงตกลงมาไม่หยุด แถมลมพายุพัดกระโชกอีก

“ช่างเถอะ คงไม่เป็นไรหรอก ก็ไม่ใช่คนนี่นา...” คุณหยาดบอก แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังไม่หายกังวลอยู่ดี

ฟ้าครวญครางอีกครั้ง ทำเอาสาวร่างบางกระชับแก้วในมือเอาไว้มั่น ก่อนไฟดวงกลมจากโคมระย้าโบราณจะกะพริบถี่ๆ ทำเอามันตราเงยหน้าขึ้นมอง โชคยังดีที่เพียงแค่กะพริบเพราะไฟกระชากเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้ดับไปจนมองไม่เห็นอะไรเสียทีเดียว

“เอ้าๆ อย่าดับนะ” คุณหยาดร้องขึ้น

“อ่อ หิวมั้ยมันตรา...ปกติบ้านนี้ไม่ทานข้าวเย็นกัน แต่ก็พอจะมีพวกไข่กับแฮมอยู่ น้าทำไข่ดาวให้ทานมั้ย” คุณหยาดหันมาบอก ก่อนที่ขาเรียวของหล่อนจะขยับลงพร้อมๆ กับยันตัวเองขึ้นเดินเอาแก้วกาแฟไปล้างที่อ่างล้างจาน คิ้วเรียวของหล่อนกระตุกน้อยๆ ด้วยเพราะเห็นคราบน้ำสีดำๆ ยังคงเหลืออยู่ในอ่าง หล่อนถึงกับถอนหายใจพรืดใหญ่พร้อมๆ กับรีบวักน้ำล้างคราบนั้นลงท่อน้ำไปอย่างไม่รอช้า

“เอ่อ...ไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ เกรงใจน้าหยาดเปล่าๆ”

มันตราบอก แต่เหมือนคุณหยาดก็ยังดึงดันที่จะทำอยู่ดี ทำเอาสาวร่างบางปล่อยให้หล่อนทำไข่ดาวตามใจ 

เวลาผ่านไปไม่นานนัก มันตราก็เดินตามเข้าไปในครัวใหญ่ แน่นอนว่ามันสะอาดสะอ้านเอามากๆ มีเพียงจุดเดียวที่ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลและควันสีดำพุ่งโขมงออกมาจนต้องรีบวิ่งไปเปิดพัดลมดูดอากาศ

เสียงไอค็อกแค็กของคุณหยาดทิพย์ทำเอามันตราต้องเดินเข้าไปช่วย ก็ด้วยเพราะไข่ดาวติดกระทะ ไหม้เกรียมเสียจนไม่หลงเหลือสภาพของความเป็นไข่ดาวเลยแม้แต่น้อย

“เอ่อ...หนู...ทำให้มั้ยคะ” สาวร่างบางอาสาทำเองจนกระทั่งได้ไข่ดาวหน้าตาธรรมดาๆ มาในจานเล็ก แต่หน้าที่ของเธอยังไม่เสร็จ เพราะจะต้องเดินไปทายาให้คุณหยาด ด้วยเพราะน้ำมันที่ฝ่ายนั้นใช้ทอดไข่ดาวกระเด็นโดนแขนจนแดงเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด 

หากมันตราไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้ บางทีก็อาจจะไม่ได้เห็นคุณหยาดทิพย์ในมุมน่ารักแบบนี้ก็เป็นได้ ก็ด้วยหากมองจากภายนอกแล้วหล่อนก็ดูเหมือนหญิงแกร่งที่เก่งไปหมดทุกอย่าง เพียงแต่ว่าสิ่งที่คุณหยาดไม่ถนัดเลยนั่นก็คือการเข้าครัวนั่นแล แม้จะพยายามกี่ครั้งก็ตาม

 

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แต่ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำเสียงไซเรนของรถพยาบาลที่ขับผ่านถนนแปดเลนด้านหน้าอาคารพาณิชย์แห่งนี้ไปกว่าหลายสิบคันก็ทำเอาใจสั่นหวิวไปหมด มันตรานั่งอยู่ในห้องนอนแขกที่ตกแต่งสไตล์ล้านนาโบราณ เตียงไม้สักขนาดคิงไซซ์สีเข้ม ผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดตึงเปรี๊ยะ ห้องน้ำไม่มีผนังกั้น มีเพียงฉากไม้กั้นห้องเท่านั้นที่กั้นเตียงกับอ่างอาบน้ำทองเหลืองขนาดใหญ่ออกจากกัน ภายในห้องเปิดแอร์ไม่เย็นมากนัก เนื่องจากภายนอกนั้นลมแรงเกินกว่าจะเปิดหน้าต่าง

หญิงสาวนั่งอยู่ปลายเตียง เรือนผมสวยที่เช็ดจนหมาดดีแล้วถูกรวบไว้ในผ้าเช็ดหน้าสีขาว

“หายไปไหนของเขานะ...”

สาวร่างบางพึมพำกับตัวเอง ก็ด้วยอีกฝ่ายหายไปอย่างไม่บอกกล่าว แถมยังหายไปกว่า สาม ชั่วโมงแล้วด้วย ทำเอาหัวใจดวงเล็กสั่นไหวไปหมด แม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นถึงพ่อปู่สมิงตาไฟ แต่ก็ทำใจให้เลิกคิดไม่ได้เสียที มือเรียวขยับถูแหวนทองที่สวมอยู่ในนิ้วนางข้างซ้ายอย่างร้อนใจ

“มันตรา...”

เสียงของคุณหยาดดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู มันตราขยับลงจากเตียงช้าๆ คืนนี้เธอสวมเสื้อนอนผ้าซาตินสายเดี่ยว เข้าคู่กับกางเกงขาสั้นสีขาว ชุดใหม่ที่คุณหยาดซื้อมา แต่ไม่เคยจะได้ใส่เลยสักครั้ง เนื่องด้วยชุดเล็กไปหน่อย ครั้นจะยัดอกสบึมของหล่อนลงไปก็เกรงว่าจะนอนหลับไม่สบาย จึงได้แต่เก็บเอาไว้ กระทั่งมันตรามานอนที่นี่แล

“คะ? น้าหยาด...” สาวร่างบางเปิดประตูออกมาหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่พร้อมกับไดร์เป่าผม

“เผื่อหนูต้องใช้” เจ้าของบ้านส่งไดร์เป่าผมให้หล่อนก่อนจะบอกลา แม้จริงๆ แล้วตั้งใจจะมาดูว่าสมิงอยู่ในห้องหรือไม่ แต่เพียงแค่มันตราเปิดประตูออกมา คุณหยาดก็ได้คำตอบแล้ว

“ขอบคุณค่ะน้าหยาด” สาวร่างจะยกมือขึ้นไหว้ ก่อนมือเรียวของคุณหยาดทิพย์จะยกขึ้นป้องมือของสาวเจ้าเชิงบอกว่าอย่ายกมือไหว้บ่อยๆ

“เป่าผมแล้วก็นอนเถอะจ้ะ ดึกแล้ว น้าจะลงไปทำงานข้างล่าง มีอะไรก็เรียกล่ะ มีโทรศัพท์อยู่ กด 0 ก็พอ”

คุณหยาดทิพย์บอกก่อนจะขอตัวลงไปทำงานต่อ แน่นอนว่าคนอย่างคุณหยาดทิพย์จะให้เข้านอนแต่หัวค่ำก็คงจะเสียเวลาอันเป็นของมีค่าที่สุดของหล่อน อีกอย่าง หล่อนตั้งใจจะลงไปเก็บกวาดด้านล่างไว้ก่อนด้วย 

มันตราพยักหน้ารับก่อนจะบอกฝันดีกับแกตามปกติ สงสัยคืนนี้ต้องรีบลบเรื่องของสมิงออกจากหัวไปก่อน ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้หลับได้นอนเป็นแน่

...

ไฟในห้องถูกปิดลงหลังจากนั้นไม่นาน สาวเจ้าใช้เวลาอยู่นานกว่าจะคุ้นชินกับเตียงและหมอนนุ่ม ด้วยบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนกับบ้านไม้บะเก่าของยายเลยแม้แต่น้อย ทำเอากว่าจะหลับตาลงได้ก็กินเวลาไปกว่าดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว

“คิก...คิก...”

ภายในความมืดของห้องนอนแขกที่เงียบเชียบแห่งนี้ ร่างบางนอนอยู่บนเตียงใหญ่เพียงลำพัง แสงเดียวที่พาดผ่านมายังเตียงนอนที่ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวคือแสงไฟจากช่องหน้าต่างที่สะท้อนมาจากไฟหน้ารถที่ขับผ่านไปมา กับแสงไฟดวงเล็กบอกอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศภายในห้อง หญิงสาวขยับนอนหงาย เนินอกอิ่มซึ่งต้องแสงสีฟ้าที่สะท้อนเข้ามาจากทางหน้าต่างเล็กขยับตามแรงหายใจ

“คิก...คิก...”

เสียงแปลกๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แต่เบาเกินกว่าใครจะได้ยิน ก่อนจะปรากฏเป็นรอยมือยาวที่ทาบลงกับผ้าปูที่นอนสีสว่าง เหมือนกับว่ามือนั้นกำลังคลานขึ้นไปบนตัวของเธอ รอยนิ้วยาวนั้นแลดูอัปลักษณ์เหลือเกิน ด้วยบางนิ้วบิดงอจนผิดรูป เสียงครืดคราดในลำคอมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแหบพร่า เงาจางค่อยๆ เข้มขึ้นทุกที

“อือ...”

เสียงของมันโหยหวนอยู่ในโสต ร่างบางขยับน้อยๆ ก่อนเปลือกตาหนักอึ้งจะค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีแดงของมันเรืองขึ้นน้อยๆ ก่อนร่างบางจะได้สติ แขนสองข้างเหมือนถูกตรึงลงกับที่นอน ร่างบางขยับไหวขึ้นลงถี่ๆ

“อือ...อาาา...แซด~...แซดดดด~...”

เงาเลือนรางนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นหัวกะโหลกที่อาบชุ่มไปด้วยเลือด เศษเนื้อห้อยรุ่งริ่งลงมาอย่างน่าสยดสยอง หัวใจดวงเล็กของสาวเจ้าบีบเค้นหนัก มันตรากรีดร้องขึ้นสุดเสียง ทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากของเธอ น้ำตามากมายเอ่อล้นทะลักออกมา แม้พยายามดิ้นรนถอยหนีขนาดไหน แต่ร่างเน่าเฟะนั้นก็ยังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ

“สมิง!!!” เสียงในหัวเธอตะโกนก้อง

“สมิง!!!” สาวร่างบางตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ

“มันตรา!!”

“มันตรา!!!!!”

เสียงที่คุ้นเคยตะโกนดังอยู่ข้างๆ หู ก่อนร่างบางจะดีดตัวขึ้นพร้อมกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ราวกับคนจมน้ำที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ มันตราหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหมดพร้อมๆ กับที่เหงื่อกาฬไหลนองออกมาจนเปียกโชกไปหมด น้ำตามหาศาลพรั่งพรูลงอาบแก้มแดงสองข้างอย่างสกัดกั้นไม่อยู่ นัยน์ตาสีแดงที่ปรากฏต่อสายตาอีกครั้งกลับกลายเป็นชายผมดำร่างใหญ่คนเดิม

“สะ...สะ...สะมิ...ง...”

ริมฝีปากซีดสั่นเทา มือเรียวของเธอเย็นเฉียบ ก่อนโผเข้ากอดร่างใหญ่นั้นอย่างตื่นกลัว เสียงสะอื้นดังขึ้นโหมอยู่ในห้องนอน  มันตราไม่แม้แต่จะลดเสียงให้เบาลงแต่อย่างใด สองมือกอดแผ่นหลังกว้างไว้แน่น ฝ่ามือใหญ่ของสมิงกระชับกอดร่างบางแน่นอย่างปกป้องเธอให้ถึงที่สุด พลางลูบปลอบประโลมร่างบางให้สงบลง แต่ยากเย็นเหลือเกิน

“ฉัน...ฉันกลัว...”

ริมฝีปากเล็กของเธอสั่นกึกจนพูดออกมาแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ สมิงต้องจุปากให้เธอได้สติช้าๆ สวดคาถาบทหนึ่งขึ้นพลางก้มลงเป่ากระหม่อมเธอเบาๆ ไม่นานร่างบางจึงค่อยๆ สงบลง แต่มือเรียวของเธอก็ยังคงไม่ละออกจากตัวเขา ทำเอาสมิงต้องค่อยๆ ช้อนตัวเธอขึ้นมานั่งบนตักกว้าง

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังคงไหลรินลงอาบแก้มแดง กระทั่งหยดลงบนเนินอกสวย มือใหญ่พยายามเกลี่ยน้ำตาของมันตราออกช้าๆ พร้อมกับค่อยๆ พร่ำบอกกับเธอว่า

“ไม่เป็นไร...ไม่มีอะไรแล้ว...”

หญิงสาวค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแผ่นหลังที่แดงเพราะรอยมือของเธอ แต่ก็ยังคงรั้งตัวเองไว้บนตักเขา หัวเล็กซบลงกับแผ่นอกร้อนผ่าว มือที่เย็นเฉียบถูกคว้ามาจูบเบาๆ

“หายไปไหนมา...” เธอถามด้วยเสียงแหบพร่า

“ข้า...”

“หายไปไหนมา...” หญิงสาวกระแอมก่อนจะถามย้ำอีกครั้งพร้อมกับเสียงสะอื้น ร่างบางสั่นเทาไปหมด 

สมิงใหญ่ไม่ได้เอ่ยตอบออกไป เพียงเชยคางเล็กขึ้นน้อยๆ ให้เขาเห็นหน้าแดงๆ และดวงตาของเธอที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตามหาศาล ก่อนจะก้มลงจุมพิตอย่างห่วงหาเช่นกัน

ในหน้าหวานเชิดขึ้นตามริมฝีปากร้อนของอีกฝ่าย ก่อนมือเรียวจะประคองใบหน้าเข้มของสมิง ดึงลงมาจูบตอบอย่างล้ำลึกและดูดดื่ม จากครั้งที่ผ่านมาที่เธอเป็นฝ่ายถูกกอบโกยความหวานนุ่ม ครั้งนี้เธอจะกอบโกยความอบอุ่นของอีกฝ่ายมาจนอิ่ม ก่อนจะผละริมฝีปากนุ่มของเธอออก

“หาย...ไปไหนมา” สาวร่างบางหายใจหอบแรงจนเนินขาวนุ่มขยับยกขึ้นถี่ๆ 

สมิงก้มลงจูบริมฝีปากเย้ายวนอีกครั้ง บดขยี้ริมฝีปากฉ่ำนั้นอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างเล็กถึงกับหลุดร้องครางออกมาเสียงหวาน มือเรียวของเธอไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อกรกับความเร่าร้อนที่โถมกระหน่ำเข้ามามากมายเหลือคณานับ ก่อนจะถูกพลิกตัวให้นอนคว่ำอยู่กับเตียง

“สะ...สมิง...!!” สาวร่างบางเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ 

มือใหญ่จะดึงกางเกงนอนผ้าซาตินเรียบลื่นออกในทันที เผยเนื้อขาวอิ่มกลมกลึง มือใหญ่บีบเฟ้นเล้าโลมจนออกสี อีกมือหยอกล้ออยู่กับริมฝีปากนุ่มน้อยๆ นิ้วโป้งกวาดเข้าในโพรงปากเล็กที่ชุ่มฉ่ำ กดหยอกเย้าลิ้นนุ่มของเธออย่างอุกอาจ

“อื๊อ...!!” ร่างบางส่งเสียงครางประท้วง 

ริมฝีปากร้อนประทับจูบร้อนไปทั่วแผ่นหลังขาวเนียนของเธอ รอยจูบมากมายปรากฏขึ้นเป็นจุดสีชมพูอ่อนทั่วทั้งแผ่นหลังงาม ทำเอาร่างบางสั่นสะท้านไปทั้งตัว ใบหน้าหวานเชิดขึ้นอย่างวาบหวาม

“พะ...พอแล้ว...สมิง...”

คนตัวเล็กอ้อนวอนเสียงหวาน หยุดกลั้นใจเป็นพักๆ ก่อนสะโพกงอนงามจะถูกช้อนขึ้น คิ้วเล็กของเธอขมวดมุ่นอย่างขัดใจน้อยๆ ใบหน้าแดงระเรื่อส่ายปฏิเสธ ด้วยเพราะเธอรู้สึกได้ถึงความเร่าร้อนอย่างประหลาด 

สมิงยกมือใหญ่ขึ้นเสยผม ใบหน้าจิ้มลิ้มนี้ช่างยั่วยวนเขาเสียเหลือเกิน “เจ้านี่มัน...”

มือใหญ่รีบช้อนร่างงามขึ้นมานอนหงายอีกครั้ง ครั้งนี้เขาลุกขึ้นคร่อมร่างบางของเธอไว้ ปทุมถันดอกใหญ่ชูช่อขึ้นสวยงามเหนือผิวเนื้อเย็น กระเพื่อมไหวๆ ตามแรงลมหายใจร้อนผ่าว หลอกล่อสมิงร่างใหญ่ให้ก้มลงดอมดมปลายดอกสีชมพู จนเจ้าตัวร้องครางเสียงหวานเป็นจังหวะ

“อะ...อื้อ...”

“ดะ...เดี๋ยวก่อน...ที่นี่จะดีเหรอ...”

สาวเจ้าร้องเชิงปรามอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน แต่น้ำผึ้งหวานฉ่ำของเธอกลับส่งกลิ่นหอมยั่วยวนอีกฝ่ายจนไม่อาจหยุดตัวเองได้อีกแล้ว มือใหญ่เพียงมือเดียวยกขาเรียวขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนสมิงจะหยอกเย้าเธอโดยการทาบต้นขาแกร่งของเขาลงกับเนื้อเนียนนุ่มไร้อาภรณ์ใดๆ กั้นขวาง

“อึก!...ยะ...อย่าแกล้งสิ!”

ร่างบางร้องประท้วงด้วยน้ำเสียงเกี่ยงงอน นั่นเพราะน้ำผึ้งชุ่มฉ่ำทะลักขึ้นเปรอะหน้าขาของอีกฝ่ายเสียจนเหนอะหนะไปหมด สมิงเองก็รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่แข็งตัวอยู่ภายในรังผึ้งหวานฉ่ำนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏก่อนเขาจะดันหน้าขาลงไปรับสัมผัสฉ่ำแฉะนั้นอยู่เนิบนาบ ทำเอาร่างบางถึงกับเหยียดตัวขึ้นอย่างเผลอไผลไปกับอาการหยอกล้อนั้น

“ยะ...หยุดนะ สะ...สมิงคนบ้า!”

เขาขยับขาข้างนั้นออกอย่างเนิบนาบที่สุด ความเป็นชายที่ร้อนรุ่มของเขาตื่นอยู่นานมากแล้ว แต่ต้องการกระเซ้าเย้าแหย่มันตราที่เอาแต่ร้องครางหงิงเป็นลูกแมวให้สมใจอยาก

“ถ้าข้าหยุด ข้าคงเป็นสมิงที่โง่ที่สุดในภพนี้แล้วละ”

ใบหน้าคมก้มลงกระเซ้าเธอที่ใบหูเล็ก ก่อนจะขบเม้มเนื้อเนียนของเธอช้าๆ จนร่างบางเผลอยกขาเรียวของเธอขึ้นน้อยๆ ทำเอาความเป็นชายของเขากดทาบลงบนรวงผึ้งฉ่ำด้านล่าง ทุกครั้งเพียงกดแรงลงไป น้ำผึ้งหอมหวานก็จะทะลักออกมาอยู่ร่ำไป และเขาก็อดไม่ได้ที่จะค่อยๆ แทรกความเป็นชายผ่านเข้าไปในตัวเธอทีละน้อย สองแขนเล็กของเธอก็ขยับขึ้นกอดร่างใหญ่อย่างเผลอตัว

“หงือ! อึก...ทะ...ที่นี่มัน”

ริมฝีปากเล็กขยับพูดได้ไม่เท่าไรก็จำใจจะต้องเม้มริมฝีปากของเธอลงจนแนบสนิท เธอหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนหลุดเสียงหวานออกมาพร้อมกับลมหายใจที่หอบถี่อยู่หลายครั้งหลายครา

“เจ็บรึเปล่า” กระซิบเสียงทุ้มต่ำ

หน้าตาหญิงสาวออกสีและร้อนฉ่าไปหมด เธอเม้มริมฝีปากน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ ก็ด้วยน้ำผึ้งหอมหวานของเธอชโลมความเป็นชายของเขาเอาไว้เสียหมดแล้ว ทำเอาทุกครั้งที่ขยับตัว สมิงก็จะแทรกลงไปภายในร่างของเธอได้ลึกเท่าที่ร่างบางจะรับไหว

“มะ...ไม่เจ็บค่ะ...”

เสียงเร่าร้อนของเธอตอบออกมาหลังจากนั้น ทำเอาร่างใหญ่ของสมิงแทบสั่นสะท้าน มือใหญ่ประคองสะโพกนุ่มของเธอไว้ ก่อนจะกดน้ำหนักขึ้นลงจนร่างเล็กบิดตัวเกลียว ใบหน้าเข้มก้มลงซุกไซ้สูดดมกลิ่นหอมจากซอกคอขาวอย่างหนักหน่วงไม่แพ้เบื้องล่างเลยทีเดียว

“สะ...สมิง...ไม่...ไม่ไหวแล้ว...”

“จะ...จะไม่ไหวแล้วนะ”

มือใหญ่ประคองใบหน้าสวยเข้าจูบ ด้วยเพราะเสียงเร้าของเจ้าหล่อนนั่นเองที่เป็นตัวกระตุ้นร่างแกร่งเป็นอย่างดี เขาไม่อยากจะได้ชื่อว่าเป็นหินผาที่พังครืนลงมาได้ง่ายๆ เพราะเสียงของมนุษย์อายุเพียง 24 ปีคนนี้ ก่อนสมิงจะค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นจนภายในของสาวเจ้าตอดรัดเขาแน่

“อึก!! อื้อออ...”

ร่างเล็กกระตุกโบยบินถึงสวรรค์ไปก่อนที่เขาจะได้ปลดปล่อยอะไรออกมา มันตราแทบจะหมดแรงลงในทันที มือเรียวของเธอยกขึ้นกุมใบหน้าเข้มอย่างยั่วยวนอีกครั้ง สมิงถึงกับส่ายหน้าในความขี้เล่นนี้ เขาเริ่มโรมรันเนินเนื้อสีชมพูที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำผึ้งของเธออีกครั้ง ทั้งเนิบนาบและโหยหาในร่างงามนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ร่างเล็กร้อนผ่าวบีบรัดเขาเสียจนอึดอัดไปหมด เพียงแค่ไม่กี่อึดใจหินผาก็พังทลายลงในทันที ปลดปล่อยความร้อนฉ่าของเขาสู่ร่างเล็กที่เปียกปอนไปด้วยเหงื่อกาฬมากมาย ก้มลงจูบแก้มซ้ายที ขวาที หอมหน้าผากที จนสาวเจ้าหลุดยิ้มหวานออกมา

“สมิง...”

“มันตรา...”

ทั้งคู่เอื้อนเอ่ยชื่อของกันและกัน ก่อนริมฝีปากนุ่มจะถูกโจรร่างใหญ่กอบโกยความหวานไปอีก...ครั้งแล้วครั้งเล่า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น