3

เรื่องเล่า

3

เรื่องเล่า

 

เสียงของนกกาเหว่าดังแซมเสียงร้องแหลมเล็กของนกกระจิบสีน้ำตาลอ่อนที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ ร้องหวงรังอยู่อย่างนั้นมาหลายชั่วโมงแล้ว ด้วยว่าที่ผ่านมาไม่ค่อยมีใครมารบกวนที่บ้านมากนัก แต่งานศพใหญ่ของยายทวดทำให้มีแขกเหรื่อมากมายแวะมาทั้งช่วยงานและร่วมแสดงความเสียใจ โดยเฉพาะโรงครัวไฟที่มีเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวดังพร้อมไปกับเสียงมีดคมกริบสับลงบนเขียงไม้มะขามขนาดใหญ่เป็นจังหวะ

หญิงสาวยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องนอนเล็กบนเรือนไม้บะเก่า แสงแดดส่องผ่านกระจกฝ้าเหนือหน้าต่างหัวนอนสาดลงบนที่นอนนุ่ม ทำให้เตียงหลังนี้อบอุ่นต่างจากอากาศเย็นภายนอก มันตราขยับพลิกตัวก่อนเปลือกตาสีหวานจะขยับนิดๆ  เอวบางบิดขี้เกียจบนที่นอนอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนลืมขึ้นมองเพดานไม้อยู่อย่างนั้น เพราะอากาศค่อนข้างเย็น ยากเหลือเกินที่เธอจะลุกขึ้นจากที่อบอุ่นเช่นนี้

เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนหญิงชราเจ้าของห้องจะเดินเข้ามาในชุดผ้าฝ้ายทอมือสีดำ ผมที่หงอกขาวหมดแล้วถูกมวยขึ้นสูง เท้าที่เบาเหมือนเท้าแมวย่างอย่างช้าๆ มาที่เตียงไม้เพื่อปลุกหลานสาว ร่างเล็กนั่งลงบนเตียงจังหวะเดียวกับที่หลานสาวขยับตัวมากอดเอวเล็กของผู้เป็นยายเอาไว้ มือเหี่ยวของแกลูบบนมือนุ่มของมันตราไปมา

“ลุกละก๋า” (ตื่นแล้วเหรอ)

“ค่ะยาย...หนาวจัง”

มันตราตอบพร้อมกับลุกขึ้นกอดร่างเล็กนั้นหลวมๆ ตัวของยายมีกลิ่นธูปจางๆ จนมันตราเองต้องเอ่ยทัก “ยายไปไหนมาเหรอคะ”

“ไปไหว้ศาลพ่อปู่สมิงต๋าไฟมาหยะ” (ไปไหว้ศาลพ่อปู่สมิงตาไฟมาน่ะ) ยายตอบเพียงแค่นั้น

“พ่อปู่สมิงตาไฟเหรอคะ” มันตราถามซ้ำ เพราะเธอเองแม้จะมาเที่ยวที่นี่อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน หญิงสาวขยับลงมานั่งกับพื้น เงยมองคุณยายของหล่อนด้วยความอยากรู้

“ศาลเก่าแล้ว กู้เตื้อหม่อนเปิ้นจะหื้อไปไหว้เดือนละเตื้อ แต่บ่าเด่วบะค่อยมีแฮงละ ก่อเลยบะได้ไปเพ้วไปผางซักเตื้อ หญ้าฮกอุ๋ก ยายก่อเลยหื้อคนไปเพ้วตะเจ๊า ก่อเลยลวดไหว้เลย” (ศาลเก่าแก่แล้ว ทุกทียายทวดจะให้ไปไหว้เดือนละครั้ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแรง ก็เลยไม่ได้ไปทำความสะอาด หญ้าก็ขึ้นรกไปหมด ยายก็เลยให้คนไปตัดหญ้า ทำความสะอาด และไหว้ไปด้วยเลย)

ระหว่างที่เล่าให้ฟังแกก็ลูบหัวหลานสาวตรงหน้าไปพลาง

“เพราะเราไม่ได้ไปไหว้ท่าน ท่านก็เลยโมโหเหรอคะ” หญิงสาวถามออกไปอย่างซื่อๆ 

ยายขำออกมาน้อยๆ

     “ท่าจะเป๋นจะอั้นนะก้า” (สงสัยจะเป็นแบบนั้นละมั้ง)

“ปะ ไปล้างหน้าล้างต๋าเหีย เดวไปจ้วยยายฮับแขก” (ปะ ไปล้างหน้าล้างตาซะ เดี๋ยวจะได้ไปช่วยยายต้อนรับแขก)

ยายว่าก่อนจะตบไปที่บ่าเล็กของมันตราเบาๆ เชิงเร่งให้สาวสวยลุกไปจัดการตัวเองเสีย ก่อนที่แกจะเตรียมตัวเพื่ออาบน้ำล้างตัวอีกครั้ง

เช้านี้แขกเหรื่อมากมายเดินทางมาไหว้ศพยายทวด ด้วยเพราะสมัยที่แกยังมีชีวิตอยู่มีผู้คนนับหน้าถือตาเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าหลายๆ คนนับถือแกเพราะแกมีเวทมนตร์คาถา มองเห็นภูตผีและติดต่อสื่อสารกับวิญญาณต่างๆ ได้ ถึงอย่างนั้นแกก็ไม่ใช่คนทรงที่จะให้วิญญาณต่างๆ ใช้แกเป็นสื่อ แต่แกจะมองเห็นเป็นตัวเป็นตน และสื่อสารโดยการบอกกล่าวจากปากของแกแทน

กินเวลามาบ่ายแก่ๆ แล้วที่มันตรายืนต้อนรับแขกเหรื่อ หน้าที่ของเธอคือทำทุกอย่างที่ใครก็ตามร้องขอและไม่ร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นคนเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟอาหาร รวมไปถึงสวัสดีพูดคุยกับแขก และแจกธูปสำหรับไหว้ศพให้แขกด้วยเช่นกัน

มันตราเดินลงจากเรือนมาพร้อมกับถาดสำหรับเสิร์ฟน้ำ วางมันลงซ้อนกับถาดอื่นๆ และทรุดตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ด้านหลังโรงครัว เหล่าแม่ครัวที่ทำอาหารเลี้ยงแขกในตอนนี้ก็ยังไม่ได้พักเช่นกัน

“เหนื่อยมั้ยลูก มันตรา” กลุ่มแม่ครัวเอ่ยถามเธอ บ้างก็ยื่นน้ำหวานเย็นๆ ให้เพื่อคลายเหนื่อย ก็เธอเล่นวิ่งวุ่นทั้งงานเลยนี่นา ต่างไปจากหลานคนอื่นๆ ที่เหมือนแค่มาร่วมงานเฉยๆ

“ขอบคุณค่ะคุณน้า เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นไร” เธอรับน้ำหวานมาจิบช้าๆ ความหวานของมันทำให้สดชื่นขึ้นมาในทันทีทันใด อาจเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว ซ้ำด้วยเมฆสีเทาก่อตัวขึ้นมาจากทางภูเขา ชะรอยว่าคืนนี้ฝนคงกลับมาอีกระลอก

“พักก่อนก็ได้ ให้คนอื่นทำบ้าง เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้ง”

น้าสาวบอกก่อนที่แกจะหันไปปรุงเครื่องแกงฮังเลสำหรับเลี้ยงแขกในมื้อเย็นต่อ กลิ่นหอมของมันโชยอบอวลจนน้ำลายสอ ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ครัวมือหนึ่งของบ้าน แม้แต่ยายทวดเองยังไว้วางใจให้แกทำกับข้าวให้กินทุกๆ วัน 

มันตรามองเครื่องเทศและเครื่องปรุงมากมายที่แกบรรจงใส่ลงในหม้อใหญ่สำหรับเลี้ยงคนทั้งงาน ถึงแม้ว่าเธอเองจะไม่ค่อยรู้จักว่าพวกมันคืออะไรก็ตาม

“พี่มันตรา พี่มันตรา เมื่อคืนพี่ได้ยินเสียงพ่อปู่เหรอ” เสียงเจื้อยแจ้วมาจากเด็กสาวนามจุ๊บแจงคนเดิม ถ้าสังเกตก็จะได้ยินชื่อของเธอออกมาจากปากหลายๆ คนในงาน แต่ก็หาใช่เพราะทุกคนเรียกหาไม่ แต่เพราะจุ๊บแจงเป็นเด็กซน เธอมักจะวิ่งเล่น หรือไม่ก็กวนคนนั้นทีคนนี้ที จนกระทั่งโดนเอ็ดและไล่ให้ไปเล่นที่อื่น สุดท้ายเธอก็มาจบที่ในครัวแห่งนี้

มันตราหันไปหาต้นเสียงที่จู่ๆ ก็ผลุนผลันเข้ามาจนเธอตกอกตกใจ ก่อนหญิงสาวจะพยักหน้าตอบน้อยๆ 

“จุ๊บแจงก็ได้ยินเหรอ” 

เด็กสาวตัวเล็กส่ายหน้าปฏิเสธทันที “เสียงน่ะเหรอคะ ไม่ได้ยินหรอก แต่ไปได้ยินพวกคุณตาคุณยายเขาพูดกัน แถมเมื่อเช้าอุ้ยก็ให้คนหาของเซ่นไหว้เดินขึ้นไปไหว้ศาลเสือกันแต่เช้าเลย” จุ๊บแจงเล่า ก่อนน้าสาวจะหันมาตีที่แขนเด็กน้อยเบาๆ เชิงว่าห้ามพูดอะไรเลอะเทอะ

“เรียกดีๆ ศาลพ่อปู่สมิงตาไฟ เรียกชื่อท่านไม่ถูก ระวังนา...” น้าสาวขู่จุ๊บแจง 

เด็กน้อยรีบปิดปากตัวเองเหมือนกับว่าเธอพูดอะไรไม่ดีไปแน่ๆ มีหวังคืนนี้หล่อนอาจจะเป็นรายต่อไปก็ได้ เด็กสาวมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะพูดแก้ให้ชื่อนั้นถูกต้อง ว่าจบแล้ว กลุ่มแม่ครัวคนอื่นๆ ที่พอพวกหล่อนได้ยินเรื่องที่ทั้งสามคนคุยกัน ก็ต่างเดินเข้ามาร่วมวงเพื่อพูดคุยกันถึงประเด็นต่างๆ โดยมีป้าหล้า หนึ่งในแม่ครัวอาวุโสที่อายุเยอะที่สุดเริ่มเป็นคนเปิดประเด็นก่อน

“แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ...แม่ป้าเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยเด็กๆ น่ะอุ้ยมอญแกเคยโดนผีเอาไปซ่อน” ป้าหล้าพูดเหมือนกระซิบ 

เหล่าแม่ครัวและเด็กๆ คนอื่นๆ มานั่งล้อมวงรอฟังป้าหล้าเล่าต่อ เสียงในครัวเงียบลงจนได้ยินเสียงถ่านไม้แตกดังเปรี๊ยะๆ เพราะถูกไฟสีแดงเพลิงเผาอยู่ในเตาอั้งโล่เก่าที่ใช้งานมากว่า 50 ปี

“วันนั้นน่ะ บอกเลยนะว่าหลังจากอุ้ยมอญหายไปได้สักชั่วโมง ฟ้านี่ดำมืดมาเลย อย่างกับตอนหกโมงเย็นหรือทุ่มหนึ่งอะไรอย่างงั้นเลยนะ”

ป้าหล้าเล่าไปออกท่าไป เสียงก็กดต่ำลงทำให้เรื่องเล่าของแกฟังแล้วชวนให้ขนลุกตาม

“พ่อใหญ่เนี่ยแกก็ไปเกณฑ์คนมาช่วยหา แถมไปถามหมอผีที่หมู่บ้านข้างๆ เขาก็ว่าเป็นผีป่า ผีนี่ดุมาก บอกยังไงๆ ก็จะเอาอุ้ยมอญไปให้ได้ พ่อใหญ่เลยเชิญท่านมาทำพิธี แรกๆ ก็เหมือนฟ้าจะเปิดนะ แต่อยู่ดีๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยง!!! ดังจนรู้สึกได้เลยว่าผืนดินสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด พ่อหมอแกถือมีดหมอเดินดุ่มๆ เข้าไปในป่า แต่เชื่อมั้ยว่าแกไม่เคยเดินกลับออกมาอีกเลย”

เด็กสาวฟังแล้วก็เริ่มกลัว ป้าหล้าขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ มันตรามากขึ้น ส่วนมันตรานั่งฟังอย่างนั้นเงียบๆ บางคนออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องที่เคยได้ยินมาเช่นกัน

“เอาแล้วสิ ทีนี้หายไปทั้งอุ้ยมอญ หายไปทั้งพ่อหมอ พ่อใหญ่แกก็ไม่ไหวแล้ว เพราะเกณฑ์คนไปตามหาก็เดินเรียงแถวหน้ากระดานไล่ไปตามแนวป่าที่พอจะเข้าถึงได้มาหมดแล้ว จนพ่อใหญ่แกทนไม่ได้ เตรียมธูปเตรียมเทียนไปขอเจ้าป่าเจ้าเขา ขอให้ท่านช่วยตามหาลูกสาวให้ที ก็บนเหล้าไหไก่คู่ กับของเลี้ยงต่างๆ” แกเล่าไปก็ลูบแขนที่ขนลุกชูชันไปพลาง

“จนเข้าวันที่สามเนี่ยแหละ พ่อใหญ่แกเสียใจจนจะล้มเลิกความตั้งใจอยู่แล้ว พอบ่ายสามโมงเท่านั้นละ ลุงเพชรบ้านท้ายนาแกก็วิ่งมาหาพ่อใหญ่ บอกว่ามีคนเจออุ้ยมอญนั่งเล่นอยู่ที่ชายป่าโน่น ก็ไอ้ชายป่าตีนเขาที่พ่อใหญ่เอาธูปไปปักขอเจ้าป่าเจ้าเขานั่นละ ฮึ่ย! พูดแล้วขนลุก!” ป้าหล้าลูบแขนขาเพราะขนลุกไม่ยอมหายเสียที ทำเอาหลายๆ คนนั่งลูบแขนที่ขนลุกขนชันไปตามๆ กัน

“แถมอุ้ยมอญแกก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีด้วย ไม่มีแม้แต่รอยยุงกัดสักตัว หายไปตั้งสามวันนะ คิดดู ก็ต้องมีร่องรอยอะไรบ้างสิ ใช่มั้ยล่ะ เนี่ย! หลังกลับมาอุ้ยแกก็เล่าให้พ่อใหญ่กับคนอื่นๆ ฟังว่าแกน่ะเล่นซ่อนแอบอยู่แถวๆ ทุ่งนา แล้วดันไปเจอยายคนหนึ่งเข้า แกว่าทางนั้นมีต้นมะกอกป่าอยู่ กำลังออกลูกสุกหอมเชียว ยายคนนั้นก็ชวนแกไป อุ้ยมอญแกก็เดินตาม”

“จริงเหรอ แถวนั้นมีมะกอกป่าด้วยเหรอ อยากกินมะกอกจัง” เด็กน้อยจุ๊บแจงออกความเห็น 

มันตราหันมายิ้มให้เธอน้อยๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจุ๊บแจงจะโดนน้าสาวตีไปอีกทีเบาๆ

“พูดอะไรยายจุ๊บแจง แถวนั้นไม่ใช่ใครอยากจะไปก็ไปได้นะ ไม่รู้เหรอ” น้าสาวเริ่มขู่อีกครั้ง 

จุ๊บแจงรีบหันหน้ามาฟ้องมันตราในทันที แต่ว่ากันตามตรงมันตราเองก็คงช่วยอะไรเด็กน้อยคนนี้ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือน้าสาวไม่ได้

“ใช่! ยายจุ๊บแจง ต้นนั้นก็ต้นเดียวกันกับที่ลุงพลไปแขวนคอตายไง” ป้าหล้าเสริม

“หาาา!! ไม่เอาแล้ว ไม่อยากกินแล้ว!!” จุ๊บแจงทำหน้าเหวอ ก่อนจะงอแงท่าเดียว 

ป้าหล้าหัวเราะ ปัดมือไปมาเพื่อบอกให้เด็กน้อยเงียบลงก่อน แล้วจึงเริ่มเล่าต่อ

“อ่าๆ ยังไม่จบๆ เนี่ยพอแกเดินตามไปก็ไปไม่ถึงต้นมะกอกสักที แกว่าแกเดินจนเดินไม่ไหวแล้ว มองไปข้างหน้าก็มีแต่ต้นไม้รกทึบไปหมด ส่วนยายแก่คนนั้นก็หายไปแล้ว แกร้องเรียกหาใครก็ไม่มีเสียงอะไรตอบมาสักที อยู่ดีๆ ก็มีมือเหี่ยวๆ เหมือนมือคนแก่มาคว้ามือแก ลากไปตามพื้นเรื่อยๆ จนไปถึงปากถ้ำ เหมือนจะลากแกให้เข้าไปในถ้ำ แกก็ร้องเสียงดังเลย จนได้ยินเสียงคำรามของพ่อปู่สมิงตาไฟดังกึกก้องเลย แกว่าผืนดินสั่นสะเทือนเลย แกรู้สึกได้”

ป้าหล้าเล่าเป็นฉากๆ เหมือนกับว่าตัวแกเองไปยืนอยู่ยังจุดนั้นด้วย

“อุ้ยมอญแกว่าเสือตัวใหญ่ยืนมองแกอยู่ นอนเฝ้าแกอย่างนั้น ไม่ไปไหน จนแกเดินไปหาท่าน ท่านก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายแกไง มิหนำซ้ำยังพาแกเดินไปที่ปลอดภัย แกไม่ได้บอกนะว่าที่ไหน แต่แกว่ารู้สึกปลอดภัย แถมยังมีผลไม้หวานๆ ให้แกกินอีก แกเล่นกับท่านจนเหนื่อยเลย ก่อนแกจะบอกท่านว่าแกอยากกลับบ้านแล้ว พ่อแกคงเป็นห่วงแล้ว พ่อปู่ท่านก็พามาส่ง จนมาเจอทุกคนนี่ละ”

“เป็นฉัน ฉันคงช็อกเป็นลมเป็นแล้งไปแน่ๆ” แม่ครัวคนหนึ่งออกความเห็น ก่อนทุกคนจะถูกขัดด้วยเสียงเล็กแหลมของคุณยาย

“โหะ! สูเขาบะยะก๋านกั๋นก๊ะ นั่งเล่าขวัญไผแหมเหมาะ!” (นี่พวกเธอไม่ทำการทำงานกันรึไง นั่งนินทาใครอีกล่ะ!) พอว่าจบเท่านั้นแล แกก็ยืนเท้าเอวทำตาดุใส่ พวกแม่ครัวบางคนก็รีบกลับไปดูแกงต่างๆ ต่อ แต่ก็ยังรอฟังอยู่บริเวณเดียวกัน

“แหม ก็เรื่องที่ยายบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงเสือนั่นแหละจ้า” น้าสาวตอบไปตามตรง 

ยายถอนหายใจออกมา แกเดินมานั่งที่แคร่ไม้ไผ่ตัวที่มันตรานั่งอยู่ วินาทีนั้นแม่ครัวและชาวบ้านที่แยกออกไปทำหน้าที่ต่างๆ ก็ขยับกลับมารอฟังเช่นเดิม

“ยายบะฮู้หนาว่าเรื่องตี้เปิ้นเล่ามามันแต๊บะแต๊ แต่มันจะมีหลายเตื้อตี้ว่ายายหันเปิ้นอู้กับเสือ บะฮู้ว่าต๋าฝาดกะว่าหยังใด แต่เพ่งผ่อแต๊ๆ ก็หายไปละ ยายก่อเกยได้ยินว่าป้อปู่สมิงเปิ้นเกยจ้วยอิแม่ไว้ เปิ้นท่าจะห่วงก้า เลยมาลา” (ยายไม่รู้นะว่าเรื่องที่เขาเล่ากันมา มันเป็นจริงหรือเปล่า แต่มันมีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่ว่า...ยายไปเห็นเข้าว่าแม่ท่านคุยกับเสือ ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือยังไง แต่พอเพ่งมองดีๆ เสือก็หายไปแล้ว ยายก็เคยได้ยินแหละเรื่องพ่อปู่สมิงเคยช่วยแม่ไว้ ท่านก็คงเป็นห่วงมั้ง เลยมาบอกลา)

ว่าจบยายก็วางมือบนตักมันตรา ก่อนจะตบมือลงเบาๆ เชิงเรียกให้เธอมาดูแลแขกหน้าเรือนได้แล้ว

“ปะ ไปเต๊อะ บะมีอะหยังแล้ว ยายไปบอกกล่าวเปิ้นละ” (ปะ ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ยายไปบอกกล่าวท่านแล้ว)

 เอ่ยเสียงนุ่มนวลกับหลานสาวให้หล่อนสบายใจ 

สาวร่างเล็กลุกขึ้นจากแคร่ไม้ไผ่ตัวเก่า

“ละสูเขาก่อขะใจ๋ แขกจะกิ๋นเข้าบะหมีกับเข้าเน่อ!” (แล้วพวกเธอก็รีบหน่อย แขกจะกินข้าว เดี๋ยวจะไม่มีกับข้าวให้กินนะ)หญิงชราหันไปเร่งกลุ่มแม่ครัว 

พวกหล่อนต่างหลุดขำก๊ากกันออกมา ก็เพราะตอนคุยกับมันตราแกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับกัน พอหันมาพูดกับคนอื่นๆ เสียงของแกดูจะแข็งขึ้นมาระดับหนึ่งเชียว

“ค่ะยาย” มันตรารับคำก่อนจะผละตัวเองออกมาจากจุ๊บแจง เธอโบกมือให้เด็กตัวเล็กน้อยๆ แล้วจึงหันเดินตามยายออกไปหน้าเรือนไม้บะเก่า เพื่อรอต้อนรับแขกที่จะมาในตอนเย็น ต่อไป...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น