1

ตอนที่ 1


บทที่ 1

            “อยู่ไหนนะ”

            ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ระหว่างไล่นิ้วชี้ลู่ไปตามชั้นหนังสือ หาตำราด้านเศรษฐศาสตร์ที่เคยใช้อ่านสมัยเรียนเนื่องจากเล่มเดิมที่ซื้อไว้ถูกส่งซ่อมเพราะสันชำรุด พออยากจะใช้ในช่วงที่ยังไม่ได้คืน เขาก็ต้องมาเดินหาในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยซึ่งตัวเองมารับงานเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ แต่ยังหาไม่พบเลย

                ตุ้บ!

                คนกำลังหาหนังสือท่ามกลางความเงียบของห้องสมุดสะดุ้งขึ้นมา เพราะจู่ๆ หนังสือที่นิ้วของเขายังไล่ไปไม่ถึงมันร่วงลงมากระแทกเข้าเต็มแผงอกแล้วลู่ลงมาสู่มือที่ยกขึ้นมาคลำพอดี และเพียงไม่นาน หนุ่มอีกคนก็กระวีกระวาดวิ่งมาจากฝั่งตรงข้ามเข้ามายิ้มแห้งๆ ให้ ซึ่งเป็นรอยยิ้มของคนที่คุ้นเคยกัน เพราะพรเทพเป็นอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย และเป็นคนชวนให้เขามาเป็นช่วยสอนในวิชาเศรษฐศาสตร์

                “อ้าว! คุณแสง” คนที่มายิ้มให้เรียกเขาเบาๆ เพราะอยู่ในห้องสมุด “ขยันจริง มหาวิทยาลัยปิดอยู่ก็ยังมา”

                “อาจารย์ก็มานี่ครับ” เขาเย้าคืนยิ้มๆ “นัดลูกศิษย์ไว้หรือ”

                “ครับ ให้มาเจอกันที่นี่ละ นี่ก็มาหาหนังสือให้ หยิบเล่มจากฝั่งโน้นจนหนังสือฝั่งนี้ร่วงเสียได้ โดนคุณแสงหรือเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ถือสา แล้วยกหนังสือขึ้นมาหมายจะเก็บเข้าที่เดิมแต่ก็มองมันอย่างแปลกใจ เพราะหนังสือเล่มนี้มาอยู่ผิดที่ผิดทางไปหน่อย แทนที่จะอยู่ในหมวดวรรณคดีไทย กลับมาอยู่บนชั้นของหนังสือด้านเศรษฐศาสตร์เสียได้

“อนิรุทธ์คําฉันท์” อาจารย์พรเทพอ่านชื่อหนังสือในมือของเขา “มาอยู่ตรงชั้นนี้ได้อย่างไร”

“คงมีคนขี้เกียจเอาไปเอามายัดไว้กระมังครับ” เขาเองก็ตอบเดาๆ “ประเดี๋ยวผมจะเอาไปให้บรรณารักษ์เก็บเข้าที่เดิมแล้วกัน”

“หยิบกลับบ้านไปอ่านด้วยก็ดีนะครับ” อาจารย์หนุ่มที่สนิทกันระดับหนึ่งเย้ายิ้มๆ “เรื่องนี้เขาว่าด้วยพรหมลิขิต เทวดาอุ้มสม ลองเข้ามาอยู่ในมือคุณแสงอย่างนี้ อาจมีนิมิตหมายดีๆ มาบอกก็ได้นะครับ เอ?… หรือจะมีเทวดามาอุ้มสมคุณแสงหรือเปล่า”

“หากจะมาอุ้ม ก็รีบมาเถิดครับ ชักช้าจะไม่ทันการณ์”

ชายหนุ่มตอบทีเล่นทีจริง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกแต่ยังยิ้มให้เพื่อนร่วมงาน ทว่าพอถูกละสายตาเขาก็แอบสูดหายใจลึกเข้าไปอย่างที่ไม่ปล่อยให้ใครสังเกตเห็น แก้อาการโหวงเหวงแปลกๆ ในใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

“ผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับ”

เขาบอกลาเสียดื้อๆ หนังสือก็ไม่มีอารมณ์จะหาอีกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็คงยังไม่สายเกินจะใช้งาน แต่ตอนนี้ใจมันห่อเหี่ยวจนไม่ใคร่จะอยากทำอะไรเสียแล้ว

“อาจารย์แสงภาณุคะ!”

เดินไม่ทันจะพ้นเขตห้องสมุด เสียงหญิงสาวก็ร้องเรียกเขาอย่างร้อนใจทั้งที่ปกติแล้วเจ้าหล่อนออกจะรักความสงบเรียบร้อย แล้วเธอยังรีบเดินเข้ามาหาจนส้นของรองเท้าสูงกระแทกพื้นดังตึกๆ ก้องไปทั่ว ยิ่งทำให้คนถูกเรียนงุนงงปนตกใจ

“หนังสือในห้องสมุดหรือเปล่าคะอาจารย์”

บรรณารักษ์สาวตาไวที่เข้ามาทักเขาทำหน้าเจื่อนๆ จนชายหนุ่มต้องก้มองหนังสือในมือ และพบว่าตัวเองทำผิดกฎเข้าเสียแล้ว

“อ้อ! ขอโทษครับ”

เขายิ้มแก้ตัวไป แล้วส่งอนิรุทธ์คําฉันท์ในมือคืนให้บรรณารักษ์ ทว่าเมื่อยื่นไปกลับเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างสักอย่างสะกิดใจ ให้ดึงหนังสือคืนมาหาอกอีกครั้ง

“ผมขอยืมเล่มนี้แล้วกันนะครับ”

“ได้สิคะ” หญิงสาวบอกอย่างเต็มใจ “แต่แหม… อาจารย์ก็ทำดิฉันตกใจหมด”

“ขอโทษครับ ไม่ได้มีเจตนาจะขโมยเลย ผมคิดอะไรเพลินๆ อยู่จึงลืมไป”

“พุทโธ่! ใครจะไปคิดอย่างนั้นได้ แค่คิดว่าอาจารย์คงรีบ แต่อาจารย์ก็เข้าใจดิฉันด้วยนะคะ ถ้ามีหนังสือสักเล่มหายไปดิฉันคงแย่” บรรณารักษ์สาวหัวเราะกิ๊ก “แต่หากจะยืมเล่มนี้ ดิฉันจะจัดการลงชื่อให้นะคะ”

“ขอบคุณมากครับ”

เขาบอกแล้วก็หยิบหมวกขึ้นมาสวมเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง โดยมีอนิรุทธ์คําฉันท์ใส่กระเป๋ากลับบ้าน แต่จะได้อ่านหรือไม่แสงภาณุยังไม่สามารถบอกตัวเองได้ รู้แต่ว่าวันนี้เทวดาคงดลใจให้มีหนังสือเล่มนี้อยู่มือ ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะขัดพรหมลิขิตเลย

พรหมลิขิตมีจริงไหม…

ยิ่งคิดไปเท่าไรหัวใจก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงทุกที อยู่มาจวนจะครบยี่สิบหกปีแล้วยังไม่เคยพบหน้าคราตามันสักหน ชายหนุ่มถอนหายใจแรงและคิดเรื่องนี้มาตลอดทางขับรถออกจากท่าพระจันทร์ กลายเป็นเรื่องที่ทำให้กลุ้มเสียแล้ว จนบางทีเขาก็อยากให้เรื่องที่รบกวนหัวใจอยู่นี้หยุดลงเหมือนสายฝนกลางเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งซาลงเมื่อครู่ แต่ก็ไม่เลย เขายังคิดหนัก รู้ว่าตัวเองหน้ามุ่ยเสียจนไม่อยากไปพบแม่ ไม่ยากตอบคำถามหากเมื่อใดท่านเอ่ยปากถามหาลูกสะใภ้

แต่จะมีคนรอเขาอยู่จริงๆ ไหม เทวดาท่านจะอุ้มสมมาให้พบกันหรือเปล่า…

ชายหนุ่มถามพร้อมกับเหลือบไปมองอนิรุทธ์คําฉันท์ที่วางอยู่บนเบาะรถข้างๆ อย่างทอดถอนใจ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็อยากรู้ว่าหากเทวดาอุ้มสมมีจริง จะอุ้มผู้หญิงที่เขาจะรักมาให้ได้หรือไม่ คนที่รักเพียงแต่แรกพบสบตา รักเมื่อยู่ใกล้ชิดเชยชม และรักแม้จะต้องอยู่ห่างไกลกัน รักด้วยหัวใจที่รู้สึกว่ารัก ไม่ใช่รักเพราะถูกสั่งให้รัก

                แสงภาณุถอนหายใจแรง จากที่ว่าจะขับรถกลับเข้าบ้านก็ไม่ทำแล้ว ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยของโรลส์-รอยซ์สีดำคันคู่ใจ เปลี่ยนเส้นทางทั้งที่ใกล้ค่ำ ไปหาสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแทน พารถมาจอดอยู่ริมถนนพระอาทิตย์ แล้วเดินไปทางแม่น้ำ มุ่งไปยังป้อมพระสุเมรุ

แม้จะเก่าแต่เขาก็ชอบป้อมปราการโบราณแห่งนี้ มันตั้งตระหง่านให้เห็นมาตั้งแต่เขาเกิด และเชิงบันไดของป้อมพระสุเมรุก็กลายเป็นที่นั่งเล่นของเขาได้เสมอตั้งแต่เป็นหนุ่มน้อยหัดออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน กลับจากเล่าเรียนต่างประเทศแล้วแสงภาณุก็ไม่เคยลืมป้อมนี้เลย

ที่เขาชอบก็เพราะป้อมนี้อยู่ริมน้ำ เป็นปราการสูงใหญ่ แข็งแรงและทานทนแม้จะผ่านกาลเวลามานาน มันจึงดูเป็นเหมือนที่พักใจให้เขาอ่อนแอได้ ชายหนุ่มนั่งลงมันเสียตรงเชิงบันได อยากทำใจสักพักก่อนกลับบ้าน แม้ใกล้จะค่ำแล้วก็ตาม

            ‘ยามเมื่อลมพัดหวน ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง

ไม้เอยไม้สุดสูง อย่าสู้ปอง ไผเอยบ่ได้ต้อง แต่ยินนามดวงเอย

เสียงไวโอลิน แต่เล่นเพลงไทยเดิม…

ใครมาเล่นเพลงลาวคำหอมในยามใกล้ค่ำอยู่ที่ป้อมนี้…

แสงภาณุนึกแปลกใจ เพราะเพียงนั่งพักที่เชิงบันไดของป้อมพระสุเมรุได้ไม่นาน เสียงเครื่องสายฝรั่งก็ดังคลอมากับสายลมเย็นพัดผ่านใบหน้า ชุ่มฉ่ำ เย็นชื่นเข้ามาถึงหัวใจ

เขาอดใจไม่ได้อย่างน่าประหลาด ขาของชายหนุ่มก้าวไปหาเสียงเพลงนั้นด้วยหัวใจมากกว่าสมอง ตามเสียงไวโอลินอ่อนหวานเสนาะหู สลักตรึงในดวงจิตนั้นไป อ้อมเดินไปอีกฝั่งของป้อมปราการใหญ่ และพบผู้เล่นเพลงลาวคำหอมนี้แล้ว ทว่าไม่กล้าจะก้าวเข้าไปหาเธอเลย

หญิงสาวผู้กลายเป็นคนที่ฝั่งตรึงในความทรงจำ…

เพียงแรกพบหน้าเจ้าของเสียงไวโอลินหัวใจของเขาก็ถูกสะกดนิ่งให้มีเพียงเธออยู่ในห้วงคะนึง แต่เมื่อสบมองดวงตาคู่หวานกลับสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้า มีเรื่องอะไรให้ทุกข์ ใยเธอจึงมานั่งตัวเปียกปอนสีไวโอลินเพลงเศร้าจับใจอยู่ริมน้ำเช่นนี้

หญิงสาวคงเปียกน้ำฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ แต่เหตุใดจึงเปียก ไม่หาที่หลบฝนหรือ แล้วออกจากบ้านมาได้อย่างไรโดยไม่สวมหมวก เขายังตอบตัวเองไม่ได้สักอย่าง ทำเพียงมองเธอนั่งเล่นไวโอลินอยู่ริมแม่น้ำท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงราวกับต้องมนต์ขลัง ไม่อาจละสายตาจากเธอไปได้เลย

เธอนั่งหลังตรงทรงสง่า ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งประกายสะท้อนแดดยามเย็น รูปโฉมงามพรางพราวไม่ต่างจากท้องน้ำต้องแสงตะวันรอน

หญิงสาวยังเนื้อตัวเกลี้ยงเกลาแม้จะเปียกฝน สวมชุดกระโปรงยาว เสื้อคอบัวแขนตุ๊กตาสีม่วงดอกตะแบก ผมดำขลับยาวถึงกลางหลัง ร่างอ้อนแอ้นดูบอบบางราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แต่ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความเศร้า ดวงตาคู่สวยกลมโตนั้นทอประกายโศก ทั้งน่าหลงใหลและชวนให้สงสารไปพร้อมกัน

ข้างกายของเธอมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เหมือนจะเดินทางไกลและไปนาน แต่หากจะไปไหนจริง เหตุใดจึงมานั่งเล่นเพลงลาวคำหอมอยู่ที่ป้อมพระสุเมรุในยามเย็นเช่นนี้ได้ หรือที่ไปไม่ได้เพราะเธอไม่สวมหมวกจึงไม่อาจขึ้นรถรางหรือรถไฟได้

หรืออีกเหตุผลก็คงเพราะภาวะสงครามโลกครั้งที่สองยังคลุมเครือ การทิ้งระเบิดทำให้การเดินทางชะงักไปมาก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่สาวน้อยผู้นี้จึงมานั่งลำพังในภาวะสงคราม รู้เพียงนัยน์ตากลมสีดำสนิทคู่นั้นฉายแววเศร้าโศกสันต์ ไม่ต่างจากเพลงที่เธอกำลังเล่นเลย

คนแอบมองยังไม่ได้คำตอบใดๆ และไม่ออกจากที่กำบัง ยังไม่อยากปรากฏตัวให้เธอเห็น เพราะไม่ต่างจากการขัดจังหวะเล่นไวโอลินของสาวน้อยแปลกหน้าที่ทำให้หัวใจของเขาพองขึ้นมาเต็มอกอย่างไม่ทราบสาเหตุผู้นี้ เขายังแอบมอง แอบฟัง และแอบยิ้มให้โดยที่สาวเจ้าไม่รู้ตัว

ใบหน้าหวานของหญิงสาววัยดรุณีที่นั่งเล่นดนตรีอยู่ริมน้ำผู้นี้ ทำให้แสงภาณุรู้สึกว่าเธอเหมือน ‘นิมฟ์’… นางไม้ซึ่งสิงสถิตอยู่ตามริมแม่น้ำ ต้นไม้ ภูเขา ในเทพนิยายกรีกโบราณ หรืออาจจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น หญิงสาวปริศนาที่สะกดหัวใจและสายตาของเขาตั้งแต่แรกพบผู้นี้ งามราวเทพธิดา

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงปืนไม่ผิดแน่ ดังสนั่นลั่นไปทั่วบริเวณจนทำให้ชายหนุ่มหันมองไปรอบทิศ หวั่นวิตกถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา ไม่อาจวางใจได้เลยว่ายามสงครามเช่นนี้ นอกจากระเบิดที่ร่วงลงมาจากบนฟ้า ยังจะมีกระสุนพุ่งมาจากทางไหน แต่มองเท่าไรก็ไม่เห็น ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ายิงอะไรหรือยิงใคร

นางไม้ที่ริมน้ำ!

หัวใจของแสงภาณุกระตุกวูบเมื่อคิดห่วงอีกคนที่เขาเผลอละสายตามองหาที่มาของกระสุนปืน มัวแต่วิตกว่าจะมีคนถูกยิงจนลืมไปว่าอาจมีอีกคนกลายเป็นเป้านิ่งอยู่ แต่เขาจะปล่อยให้เธอเป็นอย่างนั้นไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องดึงให้มาหลบภัยด้วยกัน

“กรี๊ด!”

เพียงแค่หันกลับไปมองคนที่เล่นไวโอลิน ไม่ทันที่แสงภาณุจะก้าวขาไปช่วย ดวงตาของชายหนุ่มก็เบิกขยายกว้างด้วยความตระหนกเพราะเขาช้าเกินไป ยังไม่ทันได้พาตัวนางไม้ผู้นั้นมาหลบภัยได้เธอก็กรีดร้องราวคนเสียสติไปแล้ว แต่ไม่ใจแปลกเลยที่เธอจะร้อง ในเมื่อมีผู้ชายร่างสูงเลือดอาบตัวเดินโซซัดโซเซเข้ามาล้มพาดอยู่บนร่างของเธอ ไม่รู้ว่าตายหรือยังเสียด้วยซ้ำ

“คุณ! เป็นอย่างไรบ้าง”

แสงภาณุรีบเข้ามาดูอาการทั้งคนเจ็บและคนตกใจพร้อมกัน คนเข้ามาช่วยเร่งพลิกร่างคนเจ็บขึ้นดู พบว่าเป็นชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเขา เจ็บหนักจนไม่อาจช่วยอะไรได้อีก สิ้นใจไปแล้ว แต่เขาไม่แน่ใจว่าผู้ล่วงลับนั้นจากไปเพราะคมกระสุนหรือยาพิษจากมือตัวเองกันแน่

ทว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมาคิดหาคำตอบในตอนนี้เพราะมีคนต้องการความช่วยเหลืออยู่ นางไม้ของเขาแม้จะไม่บาดเจ็บแต่เธอดูน่าเป็นห่วง หญิงสาวนั่งตัวแข็งเกร็งราวคนไม่ได้หายใจ ดวงตาเบิกกว้างแต่ไร้แววเพราะมีคนตายจมกองเลือดล้มลงมาพาดทับตัวเธอ

“จับตัวมาให้ได้!”

เสียงผู้ชายตะโกนก้องไล่หลังมา แสงภาณุยังไม่เห็นว่าเป็นใครแต่รู้ว่าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขารีบคว้าเอาร่างคนที่เอาแต่นั่งตัวแข็งเข้าหาตัว สัมผัสแรกที่แตะต้องทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าแม่นางไม้ของเขาร่างกายร้อนดังไฟ เธออาจจะเป็นไข้เพราะตากฝน แต่ชายหนุ่มก็รีบลากให้เข้าไปหาที่หลบซ่อนด้วยกันพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ไม่เหลืออะไรให้คนที่ตามมาได้เห็นว่านอกจากศพของคนที่ตายแล้ว ที่นี่ยังมีใครอยู่อีก

แสงภาณุพาเธอเข้าไปหลบอีกด้านของป้อมพระสุเมรุอย่างเฉียดฉิว ภาวนาให้มันบังสายตาคนที่กำลังตามมาได้ แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ในภาวะเช่นนี้เขาก็ไม่อยากไว้ใจใครเลย

“บ้านมะลิวัลย์… บ้านมะลิวัลย์…”

เสียงหวานนั้นแหบปร่า ทว่าเธอทำให้แสงภาณุมองจนตาเหลือกเพราะคำที่หญิงสาวพึมพำออกมา นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่อบังเอิญ เธอไม่ควรรู้จัก ‘บ้านมะลิวัลย์’ หลังจากพบคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ไล่ล่ามา และเขาจะไม่ปล่อยให้เธอได้พร่ำพูดคำนี้ออกมาอีก จะให้พวกคนถือปืนที่ไล่ตามมานั้นได้ยินไม่ได้

“เงียบ!”

แสงภาณุดุเสียงแข็งให้เธอกลัวผ่านเสียงกระซิบข้างที่หูของคนที่เขาดึงไว้แนบกาย คิดว่าในเวลานี้การทำให้เธอกลัวคงได้ผลชะงักที่สุด

“อย่าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้นได้ตายเหมือนผู้ชายคนนั้นแน่”

หญิงสาวขบริมฝีปากลงแน่นในทันทีทว่าน้ำตาพรั่งพรูขึ้นมาจนไหลอาบสองแก้ม แม้จะรู้ว่าทำให้เธอกลัวแต่แสงภาณุก็ข่มใจไม่ปลอบ เพราะหากมาพูดคุยกันตอนนี้คงไม่ต่างจากส่งเสียงเรียกเจ้าหน้าที่ที่กำลังตรวจสอบศพผู้ชายคนนั้นอยู่ให้มาสนใจสองคนที่หลบอยู่อีกด้านของป้อม และหากถูกจับได้ขึ้นมาคงได้ตายกันจริงๆ

แสงภาณุมองกลับไปที่ศพของชายผู้นั้น อยากรู้ว่าเจ้าหน้าที่จะจัดการอย่างไรต่อเพราะคงรู้ว่าตายแน่แล้ว เขาเองก็รู้สึกไม่ดีเลยที่ช่วยเหลือไม่ได้ แต่หากออกไปช่วย ผู้หญิงที่เขาช่วยอยู่อาจจะเป็นอันตราย ชายหนุ่มจึงเลือกคนเป็นมากกว่าคนตาย

                “ฮื่อ…”

                หญิงสาวร้องไห้ฮือเมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ลากศพขึ้นมา ร่างนั้นแม้จะอาบเลือดเพราะถูกยิงแต่เขียวคล้ำอย่างรวดเร็ว ดูไปก็น่าสยดสยอง ไม่แปลกเลยหากคนที่เขาโอบไหล่อยู่จะตกใจ แต่จะปล่อยให้เธอส่งเสียงไม่ได้เป็นอันขาด

“เงียบ!”

                แสงภาณุขู่ในลำคอให้เธอหยุด แต่มันได้ผลเกินคาด หรือไม่เขาก็หนักมือมากเกินไป เพราะเพียงสิ้นคำเขา แม่นางไม้ที่โอบไว้ข้างกายก็ถึงกับแข้งเข่าอ่อน เปลือกตาปิดลง ตกใจจนหมดสติไปแล้ว

                ชายหนุ่มประคองคนป่วยอย่างร้อนใจ เฝ้ามองเจ้าหน้าที่พาศพนั้นจากไปในขณะตัวเองต้องอาศัยป้อมพระสุเมรุซ่อนตัวอยู่เงียบๆ และโล่งใจขึ้นมาหน่อยก็ตรงที่คนพวกนั้นไปหมดแล้ว คงไม่ต้องกลัวคมกระสุนจากใครอีก การหลบซ่อนของเขาถือว่าสำเร็จ แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรกับคนที่นอนหมดสติอยู่ในอ้อมแขน

                เธอตัวร้อนราวกับไฟสุมและแสงภาณุมั่นใจว่าเป็นไข้ มองคนป่วยแล้วก็หนักใจเพราะไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่ชายผู้นั้นจะตาย เจ้าหน้าที่เห็นหน้าเธอหรือไม่ หากเห็นจริงก็อาจกลายเป็นภัยต่อตัวเธอเอง แต่ถึงไม่เห็น เขาก็ไม่อาจปล่อยให้เธอไปพร่ำพูดถึงเรื่องเหตุการณ์คนถูกยิงเมื่อครู่ให้ตำรวจหรือใครที่ไหนฟัง

                ในเมื่อปล่อยเธอไปไม่ได้แสงภาณุก็ประคองแม่นางไม้ไว้ข้างอก มองใบหน้าสวยหวานนี้อย่างครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นมา ประคองร่างน้อยไว้ในอ้อมแขน แล้วพาเธอเดินออกจากป้อมพระสุเมรุไป

                ไม่ต้องให้เทวดาที่ไหนมาอุ้มสม แต่เป็นเขานี่แหละที่อุ้มเธอเองกับมือ…

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น