10

บทที่ 10



 

บทที่ 10

            หญิงสาวแทบจะไม่ได้พูดอะไรอีกเลย แค่จะสบตาแสงภาณุก็ไม่กล้า และไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปจึงเขินนัก ตลอดทางที่ชายหนุ่มมาส่งเธอและคุณป้ากลับบ้านก็เอาแต่ซ่อนใบหน้าแดงๆ ไว้ใต้หมวกที่เขาสวมให้เองกับมือ

                บ้านของคุณป้าอยู่ไม่ไกล ตั้งอยู่ริมคลองและมีถนนตัดผ่าน แต่ก่อนผู้คนละแวกนี้เรียกว่าบ้านท่านเจ้าคุณวรรณวาณิช ทว่าตอนนี้ท่านสิ้นบุญไปแล้วจึงเหลือกันอยู่แต่ภรรยาและลูกสาว เกล้ามาลาเคยมาที่นี้อยู่บ่อยๆ ครั้งเป็นเด็กเพราะแม่มาพาเยี่ยมช่อทิพย์และไหมทอง

สองศรีพี่น้องที่อายุห่างจากเธอสี่และสองปีพอดี รู้จักมักคุ้นอยู่มาก แต่พอเธออายุย่างเข้าสิบสองปีก็ถูกส่งไปปีนัง หกปีที่เรียนอยู่คอนแวนต์ไม่ได้กลับบ้านก็เหมือนตัดขาดกันไป ซ้ำพอเรียนจบกลับมาเธอก็อยู่แต่ในวังไม่เคยมีญาติฝ่ายแม่ไปเยี่ยม ทำให้ไม่ได้พบช่อทิพย์กับไหมทองมานานมากแล้ว

กระทั่งงานวันพระราชทานเพลิงศพท่านพ่อ สองพี่น้องก็ยังไม่ค่อยจะคุยกันเธอ ไม่รู้ว่าเพราะห่างเหินกันไปหรือเพราะอายกับเรื่องที่น้าสร้อยจันทร์ทำงามหน้าไว้กันแน่

                “สวัสดีจ้ะคุณแม่ คุณแสง”

                สาววัยยี่สิบเอ็ดสวยสะพรั่งในชุดกระโปงผ้าไหมอินตาลีสีเขียวสดออกมาต้อนรับ เมื่อเธอเดินตามผู้ใหญ่เข้ามาในตึกทรงวิกตอเรียหลังไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่งดงามอ่อนช้อย ตึกทาสีขาวจนทั่วทำให้ดูสว่างกว่าบ้านของแสงภาณุเป็นไหนๆ ทั้งบ้านหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นมวลบุปผาจากเครื่องแขวนริมหน้าต่างและบุหงารำไป อีกทั้งมาลัยดอกมะลิที่วางประดับประดาตามเครื่องเรือน

แต่กลิ่นหอมละมุนนี้ก็ยังไม่ทำให้เกล้ามาลาอุ่นใจนัก เพราะไม่รู้ว่าจะเข้าหน้าญาติฝ่ายแม่ได้ดีเท่าไร จะต้อนรับเธอเหมือนคุณป้าหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจเลย

                “อ้าวคุณหญิงเกล้า! มาได้อย่าไรจ๊ะ” ลูกสาวคนเล็กของคุณป้าร้องทักตาโตเมื่อเห็นหน้าเธอ “ไหนได้ยินว่าท่านกลับไปอยู่ปีนังแล้ว”

                “เกิดป่วยระหว่างเดินทางแล้วพ่อแสงช่วยไว้ ก็เลยกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนั้นประไร”

พอแม่บอกอย่างนั้นลูกสาวก็ร้องอ้อแล้วยิ้มให้เธออย่างสดใส รอยยิ้มนั่นยิ่งเสริมให้ไหมทองสวยเพริศพริ้งขึ้นมาอีกหลายเท่า

“แต่ต่อไปนี้น้องจะมาอยู่กับเรานะแม่ไหมทอง จัดห้องหับให้น้องด้วย”

                “ได้ซีจ๊ะ ฉันก็คิดถึงคุณหญิงจะแย่ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ยังจำครั้งสุดท้ายที่มาเล่นขายข้าวขายแกงที่เรือนไทยของเจ้าคุณพ่อท่านได้อยู่เลย”

ลูกสาวคนเล็กรับปากแม่อย่างกระฉับกระเฉล่งแล้วยิ้มหวานให้เธอ

“ว่าแต่ท่านเล่า คุณหญิงสบายดีหรือไม่”

                “สบายดีค่ะ”

ได้ยินอย่างนั้นคนเป็นน้องก็ใจชื้นขึ้นเป็นกอง อุ่นใจว่าญาติผู้พี่คงไม่รังเกียจเธอ แล้วทักทายอย่างเป็นทางการด้วยเสียเลย

“กราบค่ะพี่ไหมทอง”

                “ต๊ายคุณหญิง! ต้องพูดว่าสวัสดีซีจ๊ะ”

                พอเกล้ามาลายกมือไหว้ทักทาย ไหมทองก็ร้องเสียงหลงแล้วเบิกตาโตขึ้นมาราวกับว่าเธอทำอะไรผิดเสียเต็มประดา แต่พอไม่นานคนเป็นพี่ก็ยิ้มเอ็นดู แล้วเข้ามาลูบแขนเธอ

                “นี่ท่านคงไม่ได้ออกจากวังบ้างเลยล่ะซีจึงยังไม่ชิน เขาประกาศใช้กันมาตั้งหลายเดือนแล้วนะจ๊ะ” ไหมทองมองเธออย่างเอ็นดูราวกับมองเด็กน้อยไม่รู้ความแต่ยังยิ้มให้ “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวฉันจะสอนให้ท่านเอง”

                “เรียกพี่กับน้องเหมือนเดิมเถิดแม่คุณ ถือว่าแม่ขอล่ะ แล้วนี่ก็อยู่ในบ้านเราหากเพียงไม่พูดตามที่ทางรัฐฯ ประกาศให้ใช้ คงไม่มีใครมาลงโทษหรอก”

คุณหญิงวรรณวาณิชส่ายหน้าพลางขอร้องลูกสาวอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันมาหาเธอด้วยอีกคน

“ทำใจหน่อยนะคุณหญิง พี่สาวคุณหญิงล่ะก็ทำอะไรเป็นไปตามรัฐนิยมไปเสียหมด คุณหญิงก็ปรับตัวตามเอา แต่ป้าขอลาละ ไม้แก่มันดัดยากไปเสียแล้ว”

                “ค่ะ”

เกล้ามาลารับคำง่ายๆ แล้วหันไปหาไหมทอง หากทำอะไรเอาใจได้อย่างไม่เกินกำลังหรือลำบากใจตัวเอง เธอก็จะทำเพราะกลัวคนรอบๆ จะไม่รัก ไม่เอ็นดู จะอยู่ด้วยกันลำบากเสียเปล่าๆ

“สวัสดีจ้ะ ท่าน”

                “อุ้ยตาย! ท่าทางท่านจะสอนง่ายนะจ๊ะ”

                “โอย…”

คนเป็นแม่ร้องขัด แต่ไม่รู้ร้องเพราะอะไร ก่อนจะหันมาหาคนที่เอาแต่ยืนฟังเงียบๆ มานาน

“มาเถิดพ่อแสง ดื่มน้ำสักแก้วดับกระหายก่อนแล้วกัน อุตส่าห์ขับรถมาส่งอา”

“ขอบคุณครับ”

                แสงภาณุดูไม่คุ้นกับบ้านนี้เท่าไรทั้งๆ ที่บอกว่าพ่อเป็นเพื่อนรักกับท่านเจ้าคุณวรรณวาณิชอีกทั้งหมั้นหมายกับช่อทิพย์จนเกือบจะได้แต่งงานกันอยู่แล้ว เขาดูเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าควรนั่งตรงไหนในชุดโซฟารับแขกเหมือนคนมาใหม่อย่างเธอไม่มีผิด

แต่ยังดีที่ว่าไหมทองคอยจัดแจงที่นั่งให้ทั้งสองคนจึงได้หย่อนตัวลง ญาติผู้พี่ดูคล่องแคล่วราวกับได้ต้อนรับแขกเป็นประจำ ส่วนคุณป้าไม่ได้สนใจใครเลยนอกจากจะงัดฟูกรองนั่งโซฟาขึ้นมา แล้วหยิบพลูนาบกับหมากและปูนมาเจียนอย่างตั้งอกตั้งใจ เจียนไปก็อมยิ้มไป

                “คุณแม่!” ไหมทองถึงกับร้องเสียงหลงแล้วทำหน้าอย่างกับเห็นผี “นี่เอาหมากพลูมาซ่อนไว้ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรจ๊ะ”

                “จะร้องเสียดังโวยวายไปทำไมกัน!” คนเป็นแม่เถียงอย่างไม่ลดละ “หากไม่หาให้แม่กินก็อย่ามาขัด และแม่กินหมากมาจนหัวจะงอกอยู่แล้ว จะให้เลิกกินได้อย่างไร”

                “แต่มันผิดกฎหมาย ประเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าท่านจะถูกจับเอานะจ๊ะ”

                “ถ้ามีใครมาเห็นก็เพราะแกนั่นแหละปากโป้งไปบอก” คุณหญิงศรีเพ็ญค้อนลูกสาวแล้วหันมาหาเธอกับแขกอีกคน “จริงไหมเล่าคุณหญิง พ่อแสง คงไม่ทำอย่างนั้นกับคนแก่อยากกินหมากหรอกใช่ไหม”

                “ตามสบายเถิดครับ”

                แสงภาณุบอกอย่างสุภาพและยิ้มบางๆ ให้ แล้วคนอยากกินหมากก็ยิ้มอย่างสุขสมอารมณ์หมายทั้งที่ลูกสาวคนเล็กส่ายหน้าระอาใส่ คุณป้าก็เจียนหมากอย่างละเมียดละไม ก่อนจะส่งมาให้เธอดู

                “นี่สมัยป้าเป็นข้าหลวงในวังเสด็จย่าของคุณหญิง ไม่มีใครเจียนหมากงามสู้ป้าได้สักคนหรอกนะ” คนเคยเป็นข้าหลวงเอาผลงามแสนประณีตมาอวดเธอ “แต่เสียดายว่าต่อไปคงหาคนเจียนหมากเก่งๆ ได้ยาก ก็เขาห้ามเคี้ยวกันแล้วนี่”

                “ก็ไม่นิยมกินเสียเท่าไรมาตั้งแต่แผ่นดินก่อนแล้วนี่จ๊ะคุณแม่”

                “แล้วได้สั่งห้ามขาดอย่างสมัยเสียเมื่อไรกัน” คุณหญิงวรรณวาณิชยังบ่นต่ออย่างน้อยอกน้อยใจ “ฉันก็เคยไปบ้วนน้ำหมากตามข้างถนนหนทางให้บ้านเมืองสกปรกเลอะเทอะกับเขาเสียที่ไหน น่าน้อยใจเสียจริง”

                “คงต้องแอบเคี้ยวกันล่ะครับ” แสงภาณุช่วยหาทางออกให้แล้วยิ้มปลอบ “อยู่บ้านคงไม่เป็นไร ขัดสีฟันดีๆ หน่อยก็คงไม่มีใครรู้ว่าเคี้ยวหมาก”

                “แล้วทำกิจวัตประจำวันตามประกาศด้วยก็ดีนะจ๊ะ”

พอเห็นว่ามีคนเข้าข้างไหมทองก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“คุณแม่ต้องบริโภคอาหารให้ตรงเวลา ไม่เกินวันละสี่มื้อ และนอนประมาณหกถึงแปดชั่วโมง ต้องมุ่งมั่นทำงาน เวลากลางคืนก็ทำการงานอันจำเป็นที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ หรือสนทนาปราศรัยกับบุคคลในครอบครัว มิตรสหาย ศึกษาหาความรู้โดยการฟังข่าวทางวิทยุกระจายเสียง อ่านหนังสือ หรือในการมหรสพ หรือศิลปกรรม แล้วแต่โอกาส ส่วนวันหยุดก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ เล่นกีฬา พักผ่อน ทำบุญ ฟังเทศน์”

                “ท่องได้หมดเลยหรือไหมทอง!” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจกึ่งจะทึ่งพอๆ กับเธอแต่เขาเหมือนกลั้นเสียงหัวเราะอยู่ด้วย “ถามจริงๆ เธอทำตามได้ทุกอย่างเลยหรือ”

                “ก็เห็นทำทุกข้อ ยกเว้นทำงาน”

                “พุทโธ่คุณแม่ละก็!” ถูกมารดาเหน็บเข้าหน่อยไหมทองก็เสียงอ่อน “กว่าฉันจะจบม.8 มาได้ก็แทบแย่ ขอพักผ่อนสมองสักประเดี๋ยวก่อนเถิด”

“เอาเถิดจ้ะแม่คุณ” คุณป้าย่นหน้าใส่ “แล้วจะไปสอบเป็นข้าราชการกับเขาเลยไหมล่ะ วันดีคืนดีก็เห็นเอาประกาศมานั่งอ่านนั่งท่องจำเสียยกใหญ่เชียว”

                “แหมคุณแม่ ฉันก็ต้องจำให้ขึ้นใจได้ทั้งสิบสองฉบับซีจ๊ะ บางฉบับประกาศมาตั้งสามสี่ปีแล้ว ขืนฉันท่องทุกวันแล้วยังจำไม่ได้ก็ออกจะโง่เกินไปล่ะ”

                “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวไปร่วมกันทำงานสร้างชาติก่อนแล้วละครับ” แสงภาณุบอกไปก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา “ขออนุญาตออกไปห้างก่อนนะครับ”

                “ใช่ซีจ๊ะ ชาวไทยทุกคนต้องร่วมกันสร้างชาติโดยทุกคนซึ่งมีกำลังกายดีต้องทำงานประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่ง ผู้ไม่ประกอบอาชีพเป็นหลักฐานนับว่าเป็นผู้ไม่ช่วยชาติและไม่ควรได้รับความนับถือของชาวไทยทั่วไป”

ไหมทองคงท่องจำจากประกาศมาพูดอีกตามเคย แต่คงไม่รู้ว่าถูกชายหนุ่มแซวเข้าให้แล้ว

“แต่ไม่อยู่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกันก่อนล่ะจ๊ะท่าน”

                “พี่ว่าจะเข้าไปดูที่ห้างเสียหน่อย นี่ก็สายมากแล้ว” แสงภาณุปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแล้วหันหน้ามาหาเธอ “ส่วนคุณหญิงหากพร้อมจะทำงานเมื่อใดก็ไปพบผมที่ห้างหรือที่บ้านได้เลยนะครับ”

                “ฉัน…”

                “แล้วเรื่องงานแต่งงานของพ่อแสงกับแม่ช่อทิพย์เล่า จะว่าอย่างไร”

ไม่ทันที่เกล้ามาลาจะได้พูดอะไรคุณป้าก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน ท่านคงเป็นกังวล หลานจึงปล่อยให้พูดไปเพราะดูท่าว่าธุระของเธอจะไม่สำคัญเท่า

“ผมว่าผมคุยกับน้องช่อทิพย์รู้เรื่อแล้วนะครับ” พูดเรื่องนี้ขึ้นมา น้ำเสียงและสีหน้าของแสงภาณุก็เปลี่ยนไป ไม่ยิ้มแย้มเหมือนเคยทว่าดูหนักใจเสียมากกว่า “หรือหากคุณอายังไม่มั่นใจในเรื่องใดก็ขอให้รอถามน้องช่อทิพย์ก่อนเถิดครับ”

“จะให้ถามได้อย่างไร แม่ช่อทิพย์หายไปไหนอาก็ยังไม่รู้เลย”

“หญิงจะไปตามตัวพี่ช่อทิพย์กลับมาเองค่ะคุณป้า” คนรู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดขอรับผิดทันที “หญิงไปจะเล่าทุกอย่างให้พี่ช่อทิพย์ฟังด้วยตัวเอง และหญิงเชื่อว่าพี่ช่อทิพย์จะเข้าใจเรื่องระหว่างหญิงกับคุณแสง”

“คุณหญิงจะออกไปตามหาได้อย่างไร สงครามก็ยังยืดเยื้ออยู่ อันตรายออก”

แสงภาณุขัดขึ้นมาเสียงหนัก ดูก็รู้ว่าเขาไม่พอใจที่เธอรับปากป้าไปอย่างนั้น อาจเป็นเพราะชายหนุ่มหลุดจากการคลุมถุงชนมาได้แล้วก็ไม่อยากให้มีบ่วงใดๆ มาคล้องคออีก คงไม่อยากเจอช่อทิพย์เสียเท่าไรด้วยแล้วกระมัง

“แต่อย่างน้อยฉันก็ต้องตามพี่ช่อทิพย์กลับมาอยู่บ้านให้ได้ค่ะ” เกล้ามาลาตอบอย่างหมายหมาดแต่ก็เห็นใจผู้มีพระคุณของเธอ “ส่วนเรื่องแต่งงาน ฉันจะไม่ก้าวก่าย ให้คุณกับพี่ช่อทิพย์ตัดสินใจกันเอง”

“เอาเถิดๆ” คุณป้าคงเห็นเธอหน้าเจื่อนเพราะกลัวแสงภาณุดุจึงช่วยขัดไว้ “ขอเพียงตามตัวแม่ช่อทิพย์กลับมาให้ได้ก่อน ป้าห่วงลูกใจจะขาดอยู่แล้ว ไม่รู้เลยว่าป่านนี้ไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนหรือเปล่า”

“ถ้าอย่างนั้นก็สุดแล้วแต่ทางครอบครัวของคุณอาจะตกลงกันเถิดครับ มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกแล้วกัน”

แสงภาณุไม่ว่าอย่างไรอีก ยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วก็เดินออกจากบ้านไปโดยไม่รอให้ใครเดินตามไปส่งคล้ายกับว่าหนีอะไรอยู่ หรือหากจะหนีจริงก็คงเป็นบ่วงวิวาห์ที่หลุดไปได้แล้วครั้งหนึ่ง ทิ้งให้เกล้ามาลาได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจว่าระหว่างเขากับช่อทิพย์ไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ใดที่จะมาแต่งงานกันได้เลยหรือ ฝ่ายชายจึงทำเหมือนอยากสลัดเรื่องนี้ทิ้งอยู่ตลอดเวลา แต่กับช่อทิพย์เล่ารู้สึกต่ออดีตคู่หมั้นอย่างไรจึงหนีหายไปจากบ้านหลังจากถอนหมั้นเสร็จ

แล้วถ้าหากเธอตามตัวพี่สาวกลับมาฟังคำอธิบายได้จริง สองคนนี้ต้องแต่งงานกันตามคำสั่งเสียของท่านเจ้าคุณวรรณวาณิชและเจ้าสัวเล้งด้วยการแต่งงานกันตามที่ผู้ใหญ่หมั้นหมายไว้หรือไม่ แล้วเหตุเล่าถามนี้จึงหนักอกของเกล้ามาลาเหลือเกิน

ใครจะเป็นคนตอบเธอให้กระจ่างใจได้บ้าง หรือต้องรอช่อทิพย์มาเฉลยเพียงผู้เดียว…

 

หญิงสาวยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มตามหาญาติผู้พี่ได้จากที่ไหน เพราะจริงๆ แล้วหากไม่นับว่าเป็นญาติ เธอก็รู้จักช่อทิพย์ในยามนี้น้อยเหลือเกิน

ช่อทิพย์ที่เธอรู้จักตอนเด็กๆ นั้นค่อนข้างเงียบขรึมและเก็บตัว พูดน้อยและรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก จะว่าไปแล้วเธอสนิทกับไหมทองมากกว่าเพราะคนน้องอัธยาศัยดี ชอบยิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นกันเองกว่าคนพี่หลายขุม เธอยังจำได้ดีเมื่อครั้งยังเด็กที่แม่พามาเยี่ยมคุณป้า ในขณะที่ช่อทิพย์นั่งขรึมอยู่กับตำราเพียรศึกษาเล่าเรียน ไหมทองก็จะเป็นคนมาเล่นกับเธออยู่ที่เรือนไทยหลังน้อยริมคลอง ดูเป็นเด็กสมวัยมากกว่าเป็นไหนๆ

                และนั่นเป็นช่วงวัยเด็กแสนสดใสของเธอ ที่บัดนี้ไม่อาจเอื้อมแตะได้อีกแล้ว…

เกล้ามาลาสลัดเรื่องนั้นทิ้งไปทันทีเพราะไม่อยากนึกถึงแม่ให้ปวดหัวใจอีก เอาแต่สนใจเรือนไทยของเจ้าคุณลุง ที่ตรงนั้นมีมณฑาทิพย์ซึ่งเป็นของรับขวัญหลานสาวจากคุณตาสองต้นปลูกอยู่ งามเสมอกันทั้งคู่แต่ไม่ค่อยออกดอกเท่าต้นที่วังสัตตบรรณ อาจเพราะไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลเนื่องจากคิดว่ามันยืนต้นอยู่ใกล้คลองน้ำ กระนั้นมันก็ให้ร่มเงามากพอที่จะทอดทับให้เรือนไทยซึ่งมีชานยื่นลงไปในคลองทำให้เย็นสบาย จนตอนเด็กๆ เธอกับไหมทองนั่งเล่นขายข้าวขายแกงอยู่ตรงนอกชานได้ทั้งวัน

เมื่อก่อนบ้านเจ้าคุณวรรณวาณิชออกจะครึกครื้นเพราะมีวงมโหรีเป็นของตัวเอง คนก็อยู่กันมากมายเป็นสิบๆ เกล้ามาลาชอบยามที่แม่พามาเยี่ยมป้าเพราะที่นี่คนเยอะ บางทีก็มีนางละครมาซ้อมให้ดู มีดนตรีฟัง แต่พอสิ้นท่านเจ้าคุณก็ยุบวงไป แม่บอกว่าคุณป้าไม่ชอบร้องรำทำเพลงเสียเท่าไร ที่ยอมให้ตั้งวงก็เพราะยอมตามใจสามีก็เท่านั้น

คิดอะไรเพลินๆ จนรับประทานมื้อเที่ยงอิ่ม เกล้ามาลาก็ตามไหมทองขึ้นไปจัดห้องนอน ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเพราะข้าวของเธอไม่มาก คนเป็นพี่จึงไล่ให้ลงมารอรับของว่างในสวนกุหลาบข้างตึก ทว่าเธออดใจนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไหวเพราะเห็นเรือนไทยอยู่ไม่ไกล อดเข้ามาเยี่ยมเยือนมันไม่ได้เลย

เรือนไทยนี้เป็นเรือนไม้กระดานเครื่องสับประกอบขึ้นจากไม้สักทองทั้งหลังและไม่ผุพังไป เพียงแต่ว่ามีหยากไย่และฝุ่นหนา ก็คงเพราะไม่มีใครเข้ามาใช้งานเหมือนเมื่อตอนท่านเจ้าคุณวรรณวาณิชใช้มันเป็นที่นั่งเล่นและเป็นห้องทำงานไปในตัว เกล้ามาลาจำได้ว่าท่านมีหนังสืออยู่มากมายหลายประเภทไว้ให้ลูกสาวคนโตอ่านเป็นประจำ จึงไม่แปลกใจเลยหากช่อทิพย์จะใฝ่เรียนจนจบระดับอุดมศึกษามาได้

“คุณหญิง มาทำอะไรที่นี่ ฝุ่นเยอะออก”

คุณป้าเดินมาตามเธอด้วยตัวเอง พอมาเห็นนั่งเล่นหย่อนขาจุ่มน้ำอยู่ที่ชานเรือนไทย ท่านก็ร้องทักแล้วควักมือเรียก

“หญิงว่าตรงนี้ก็ลมเย็นดีนะคะ” หลานสาวตอบยิ้มๆ “คิดถึงเมื่อครั้งมาเล่นตรงนี้กับพี่ไหมทอง”

“ตายล่ะ! เป็นสาวกันหมดแล้วใครจะมาเล่นด้วย” ผู้ใหญ่หัวเราะน้อยๆ อย่างเอ็นดู “ตั้งแต่คุณหญิงไปเรียนปีนังแม่ช่อทิพย์กับแม่ไหมทองก็ถูกส่งไปเรียนประจำเหมือนกัน ไม่ได้มาเล่นตรงนี้หรอก แล้วพอมาสิ้นท่านเจ้าคุณไปก็ปิดร้างเชียว”

“ปิดทิ้งเชียวหรือคะ” เกล้ามาลาบอกอย่างเสียดาย “แล้วหากหญิงจะขอปัดกวดเช็ดถูกไว้นั่งเล่น จะได้หรือไม่คะคุณป้า”

“ตามใจคุณหญิงเถิด ป้าขอเพียงให้ระวังอย่าพลัดตกน้ำตกท่าไปเสียแล้วกัน”

คุณป้ายังใจดีกับเธอเสมอแต่ก็เห็นว่าถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เรือนไทยนี้คุณหญิงก็ถือเป็นสิทธ์ขาดไปเถิดเพราะแม่สองพี่น้องคงไม่มีใครเอาแล้ว ปล่อยทิ้งไว้ก็รังแต่จะผุพังไปเสียเปล่าๆ อีกหน่อยแม่ช่อทิพย์ก็คงออกเรือน ส่วนแม่ไหมทองอีกไม่นานคงไปต้องตาต้องใจใครบ้างล่ะ ต่อไปจะเหลือแต่ป้าอยู่บ้านคนเดียวล่ะไม่ว่า”

ได้ยินคุณป้าพูดถึงช่อทิพย์ขึ้นมาหญิงสาวก็แทบจะไม่ได้ฟังเรื่องของไหมทอง เกล้ามาลาใจหายวูบอยู่ทุกครั้งเมื่อพูดถึงเรื่องแต่งงานของญาติผู้พี่ เพราะหมายถึงว่าเป็นงานแต่งของแสงภาณุด้วย แต่ถึงจะบอกว่าถอนหมั้นกันไปแล้วเขาก็อาจจะไปแต่งกับเคนอื่นก็ได้

นึกอย่างนั้นในอกของเกล้ามาลาก็โหวงเหวงบอกไม่ถูกเมื่อคิดว่าเขาจะมีผู้หญิงคนอื่นมาอยู่เคียงคู่ หากถึงคราวนั้นจริงๆ แสงภาณุก็คงไม่สะดวกจะเป็น ‘โลกทั้งใบ’ ของเธออย่างที่สัญญาไว้อีกแล้ว

“นี่หากตามกันกลับมาได้เมื่อไรป้าคงต้องรีบให้แต่ง”

คุณป้าบ่นต่ออย่างไม่ได้สนใจจะมองว่าเธอรู้สึกอย่างไร รู้แต่ว่าคงไม่ยอมรับเรื่องถอนหมั้นที่ลูกสาวไปตกลงกันเองกับฝ่ายชายนั้นง่ายๆ

“จะให้ป้าหน้าด้านไปทวงสัญญากับบ้านนั้นกี่หนป้าก็ไม่ท้อหรอกนะคุณหญิง ก็ป้าไม่อยากให้แม่ช่อทิพย์ขึ้นชื่อว่าเป็นม่ายขันหมากนี่”

                “แล้วหากพี่ช่อทิพย์เป็นฝ่ายไม่อยากแต่งล่ะคะ”

                พอเธอถามอย่างนั้นคุณป้าก็เงียบไป ใบหน้าเศร้าหม่องลงอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เห็นแล้วก็สงสารจนนึกอยากตบปากตัวเองนัก เพราะรู้ดีว่าแม้จะเป็นใครก็ตามที่ไม่อยากแต่ง ช่อทิพย์ก็คงไม่แคล้วถูกครหา คนเป็นแม่ก็คงไม่อยากให้ลูกสาวตกเป็นขี้ปากใคร

                “หญิงขอโทษค่ะ” เกล้ามาลาเสียงอ่อนลงอย่างเห็นอกเห็นใจและพยายามปลอบ “แต่คุณป้าอย่าเพิ่งเศร้าไปเลยนะคะ หญิงสัญญาว่าจะตามหาพี่ช่อทิพย์มาฟังความจริงให้ได้ค่ะ”

                “ตอนนี้ป้าก็แค่อยากให้แม่ช่อทิพย์กลับมาอยู่ที่บ้านเพียงเท่านั้นล่ะ ส่วนเรื่องแต่งงานก็ดักคอพ่อแสงไปอย่างนั้นเอง ก็กลัวจะไม่แต่งนี่นา”

คุณป้าคงกลัวลูกสาวจะเป็นม่ายขันหมากจริงๆ จึงพูดซ้ำอยู่แต่เรื่องเดิม ทว่าคราวนี้ท่านปล่อยความท้อใจออกมาทางสีหน้าให้เธอเห็นอย่างไม่ปิดบัง

“แต่ก็นะคุณหญิง ทางเราไปถอนหมั้นเขาก่อน ก็ถูกของคุณนายเหมยฮัวนั่นแหละ ไปเห็นลูกเขาเป็นอะไร นึกอยากหมั้นก็หมั้น อยากถอนทิ้งก็ถอน ทางนั้นก็คงไม่อยากเสียศักดิ์ศรีคิดว่าตัวเองเป็นของตายหรอก เขาก็เลี้ยงดูคุณแสงมาอย่างดีเหมือนกัน ลูกชายเขาใช่จะกระจอกหงอกหง่อยเสียที่ไหน”

                “หญิงว่ารอให้พี่ช่อทิพย์กลับมาคุยกันเองอย่างที่คุณแสงบอกคงจะเป็นทางเดียวที่เราทำได้แล้วละค่ะ”

                เกล้ามาลาปลอบใจได้เพียงเท่านั้นแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ช่อทิพย์ถอนหมั้นไปแท้ๆ เธอก็คงต้องแก้ไขสถานการณ์ทางตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนทางแสงภาณุจะตอบว่าอย่างไรหญิงสาวคงไม่อาจไปบังคับได้ เรื่องของหัวใจคนอื่นจะไปกำหนดให้ได้ดังใจตัวเองได้อย่างไร

                และคงบังคับให้แสงภานุรู้สึกกับเธอ ‘แบบไหน’ ไม่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน…

 

                วันนี้วันเดียวเกล้ามาลาแทบจำไม่ได้ว่าต้องพบเจออะไรมาบ้าง นับแต่ออกจากบ้านของแสงภาณุมาอยู่บ้านป้าเธอทำหลายอย่าง และงานสุดท้ายก็คงเป็นการทำความสะอาดเรือนไทยที่เพิ่งขอมา

                เกล้ามาลาทำความสะอาดโดยมีบ่าวของคุณป้าอีกคนคอยช่วยปัดกวดเช็ดถูก ช่วยกันทำอยู่ไม่นานก็เสร็จเพราะเรือนไม่ได้ใหญ่โต มีแค่ห้องโล่งๆ ตู้ไม้กรุกระจกสำหรับใส่หนังสือ โต๊ะทำงานเก่าของเจ้าคุณลุง และเกล้ามาลาก็เอาฟูกหนาผืนใหญ่ที่เมื่อก่อนเคยมีไว้ปูให้เด็กๆ นอนกลางวันกลับมาปูที่เดิม อยากทำให้ที่นี่เป็นเหมือนตอนเธอและพี่ๆ ยังเป็นเด็ก เพราะมันคือความทรงจำที่สดใสและมีความสุขที่สุดของเธอ

                “คุณหญิงทำความสะอาดเสร็จหรือยังจ๊ะ” ไหมทองส่งเสียงมาก่อนตัวแล้วไม่นานก็เดินเข้ามาเรียกเธอให้ออกไปหาที่ชานเรือน “มานี่เร็วเข้า ฉันยกขนมกับน้ำเย็นๆ มาให้”

                “ขอบพระคุณค่ะ”

                “ไม่ๆ คุณหญิงต้องพูดว่า ‘ขอบใจจ้ะ’ อย่างนี้เข้าใจไหมจ๊ะ”

                “คะ?”

                “ไม่เป็นไร มารับขนมก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน”

                แม้จะไม่เข้าใจแต่เกล้ามาลาก็ยอมเข้าไปหาและเดาว่าพี่สาวคงจะพูด ‘ภาษาไทยสมัยใหม่’ อย่างเคร่งครัด แต่อย่างไรเสียเธอก็ยิ้มออกเพราะไหมทองใจดีเช่นนี้เสมอ เคยนำขนมมาแบ่งเธออย่างไรก็อย่างนั้น และคราวนี้ที่เข้ามาถึงเรือนไทยก็คงเพราะคิดถึงตอนเป็นเด็กๆ อยู่เหมือนกันจึงให้บ่าวยกชุดของว่างเข้ามาในนี้ด้วยกัน

“ขนมอะไรคะ น่ากินเสียจริง”

                “ดาราทองจ้ะ”

ไหมทองเว้นน้ำเสียงเหมือนจะให้เวลาเธอได้จ้องมองขนมสีทองอร่ามทรงกลมแป้นๆ บากให้เป็นร่องคล้ายมะยมวางบนฐานแผ่นแป้ง ส่วนยอดประดับด้วยแผ่นทองคำเปลว

“ขนมสูตรนี้ คุณหญิงนครราชเสนี[1]เคยส่งเข้าประกวดในงานฉลองปีใหม่ ลองชิมดูซี อร่อยนะ”

                “พี่ไหมทองทำเองหรือคะ”

                “โอ๊ย! ซื้อเขามา จ้างให้ฉันก็ไม่มานั่งทำประดิฐประดอยได้เพียงนี้หรอกจ้ะ ฉันไม่ใช่ชาววังเก่าอย่างคุณแม่เสียหน่อย” ไหมทองหัวเราะหัวร่วน “ฉันไม่ถนัดงานครัวหรอกจ้ะ ให้ไปออกงานคอยต้อนรับดูแลแขกยังจะทำได้เสียมากกว่า เรื่องเป็นกุลสตรีศรีก้นครัวคงต้องขอลา”

                “ออกงานสังคมบ่อยหรือคะ”

                “ส่วนมากก็ไปกับเพื่อน เจ้าหล่อนเป็นลูกสาวนักการเมือง จัดงานเลี้ยงบ่อยก็จะชวนฉันไปด้วย ท่านอยากไปด้วยกันไหมล่ะจ๊ะ ฉันจะพาไปเปิดหูเปิดตา แต่ไปแล้วก็ทักเขาว่าสวัสดีนะ อย่างวันนี้ไม่เอา”

                “จ้ะ” เกล้ามาลารับคำอย่างเอาใจ “ไว้ฉันจะให้ท่านสอน อย่างนี้ดีไหมจ๊ะ”

                “น่ารัก ประเดี๋ยวรับประทานขนมแล้ว ฉันจะสอนให้เคารพเพลงชาติ เริ่มง่ายๆ ท่านต้องทำได้แน่จ๊ะ”

                ไหมทองยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีแล้วตีแขนเธอเบาๆ เหมือนจะเย้าเล่นทำให้เกล้ามาลาหัวเราะออกมาด้วย จากนั้นคนเป็นพี่ก็หันไปหาบ่าวที่เดินถือของตามมา รับเอากล่องหวายถักใบหย่อมมาเปิดออกต่อหน้าเธอ เห็นว่าเป็นกล่องเก็บหมวกอยู่สองสามใบแล้วส่งมาให้

                “ฉันเห็นหมวกที่ท่านสวมมาวันนี้ดูเรียบไปหน่อย ทรงก็ทื่อๆ เหมือนของผู้ชายนะ” ไหมทองว่าพลางส่งหมวกสีบานเย็นมาให้ “นี่ๆ เอาของฉันไปสวมก่อน ประดับโบแต่งลูกไม้ด้วย เราจะได้งามสมกับเป็นดอกไม้ของชาติอย่างไรเล่าจ๊ะ แต่ใช้ของฉันไปก่อนแล้วกัน ไว้ฉันไปข้างนอกเมื่อไรจะซื้อใบใหม่มาฝากนะจ๊ะ”

                “ขอบใจจ้ะ” เกล้ามาลาเออออไปด้วยแต่ก็ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่สาว “ไว้เราไปซื้อของด้วยกันนะจ๊ะ ฉันจะได้ซื้อผ้าผืนงามๆ มาตัดเสื้อไว้สวม ให้ท่านด้วยสักสองสามพับเอาไว้ใส่ด้วยกันให้เป็นแฝด อย่างนี้ดีหรือไม่จ๊ะ”

                “ถ้าพี่ช่อทิพย์ด้วยคงได้เป็นแฝดสาม คงจะดูเป็นสามใบเถาให้หนุ่มๆ ได้เอี้ยวคอมองกันทั้งเมือง”

                ไหมทองหัวเราะชอบใจแต่ทำให้เธอหน้าชาไป ใจหายเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้พี่สาวหนีออกจากบ้าน แต่หากจะเริ่มตามหาแล้วจะเริ่มต้นที่ตรงไหนเกล้ามาลาก็ยังไม่รู้เลย

                “แล้วพี่ไหมทองไม่รู้เลยหรือคะว่าพี่ช่อทิพย์เธอจะหนีไปอยู่ที่ไหน” เกล้ามาลาเริ่มถามหาจากคนที่น่าจะสนิทกับช่อทิพย์ที่สุด “บ้านเพื่อนสนิทหรือคนรู้จักที่พอจะพึ่งพาได้ พอจะรู้จักไหมคะ”

                “ไปตามมาหมดแล้วจ้ะ” คนที่พี่สาวหายถึงกับถอนหายใจเฮือกแล้วหน้ามุ่ยทันที “เมื่อวันที่ฉันกับคุณแม่รู้ว่าพี่ช่อทิพย์หายตัวไปตอนเช้ามืด ตระเวนตามหาไปทั่วก็ไม่พบ จนกระทั่งวันนี้คุณแม่ไปหาคุณแสงว่าจะไปขอแรงให้ช่วยตามหา แล้วได้พาท่านกลับบ้านนี่ละ”

                “แล้วก่อนที่พี่ช่อทิพย์จะหนีไป เธอได้ทิ้งจดหมายไว้ไหมคะ”

                “ไม่เลย” ไหมทองส่ายหน้าเหนื่อยใจ “แต่ฉันว่าคงไปอยู่กับเพื่อนกระมัง”

                “แล้วบ้านของเพื่อนๆ พี่ช่อทิพย์อยู่ที่ไหน พี่ไหมทองจดให้หญิงได้หรือคะ หญิงจะออกไปตามหาเอง”

                “ไว้ของทางบ้านเพื่อนฉันจะเป็นธุระเองแล้วกัน แต่ก็จนใจอยู่นะ พี่ช่อทิพย์เธอเรียนสูง คงรู้จักคนมากมาย มาจากที่ไกลๆ ก็มี ไม่แน่อาจจะหนีไปอยู่เมืองเชียงใหม่หรือปักษ์ใต้เลยก็ได้”

                ฟังแล้วก็ท้อ เกล้ามาลาถอนหายใจเพราะหากช่อทิพย์หนีไปไกลปานนั้นจริงเธอจะมีปัญญาตามหาหรือไม่ แต่พอคิดอีกทีก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ติดสงครามอยู่ พี่สาวเธอจะไปไกลๆ ได้จริงหรือ อาจจะอยู่เพียงในพระนครหรือจังหวัดรอบๆ นี้ หากลองสืบข่าวดูจากบ้านเพื่อนคงรู้ได้

“แต่จะว่าไปก็เสียดายคุณแสงเหมือนกันนะ”

จู่ๆ ไหมทองก็เปลี่ยนเรื่องไปหาอีกคน แต่ชื่อของแสงภาณุก็ทำให้เธอตั้งใจฟังได้อย่างน่าประหลาด นึกอยากรู้ว่าในสายตาของคนอื่นที่มอง เขานิสัยใจคอเป็นอย่างไร

“เห็นกันมาตั้งหลายปีนึกว่าจะเป็นมาพี่เขยแล้วเสียอีก ฉันเล่ารู้สึกเหมือนเสียพี่ชายไปเชียว จะให้สนิทเหมือนเดิมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”

“พี่ไหมทองก็สนิทกับคุณแสงหรือคะ”

“ก็คุยกันถูกคออยู่ละจ้ะ” ไหมทองเล่าถึงอดีตคู่หมั้นของพี่สาวอย่างยิ้มแย้ม “เขาก็มีน้ำใจกับฉัน เอ็นดูอย่างน้องสาวนั่นแหละ คุณแสงใจดี เป็นที่พึ่งให้ทุกคนได้เสมอ”

“พี่ไหมทองชอบผู้ชายอย่างคุณแสงหรือคะ”

“ต๊าย! ไม่เอาล่ะ”

พอเธอเห็นพี่สาวพูดไปก็ยิ้มไปจึงอยากรู้ว่าผู้ชายในฝันของไหมทองเป็นอย่างแสงภาณุหรือไม่ พี่สาวกลับร้องเสียงหลงแล้วถึงกับเบ้ปาก ไม่รู้รังเกียจอะไรหรือเปล่า

“คุณแสงอะไรๆ ก็ดี แต่ไม่ได้รับราชการ ฉันไม่เอาหรอก”

“แต่งานการของเขาก็ดูมั่นคงดีนี่คะ” คนเป็นน้องแย้งคิ้วขมวด “ทรัพย์สินห้างร้านก็ไม่น้อย ฐานะทางสังคมก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย”

“พูดเหมือนพี่ช่อทิพย์เชียว”

ไหมทองทำให้เธอรู้ว่าช่อทิพย์เคยชมอดีตคู่หมั้นด้วย ทำให้เกล้ามาลายิ่งสงสัยในความสัมพันธ์ของญาติผู้พี่กับแสงภาณุว่าเป็นอย่างไรกันแน่

“แต่หากจะให้แต่งกัน ฉันก็ไม่ชอบคุณแสงอยู่ดี เทือกเขาเหล่ากอหาคนเป็นเจ้าขุนมูลนายไม่ได้สักคน” ไหมทองบ่นให้เธอฟังต่อ “อย่างฉันต้องได้ข้าราชการหนุ่มรูปงาม บ้านรวย อนาคตไกลเท่านั้นจ้ะ”

ไหมทองบรรยายแต่ละคำออกมาราวกับเพ้อฝันก่อนจะทำตาวับวาวใส่เธอ

“แล้วท่านเล่าอยากได้สามีแบบไหน”

“พี่ไหมทอง! ถามอะไรก็ไม่รู้ค่ะ”

“ไม่รู้ได้อย่างไรกัน เรื่องนี้ท่านต้องรู้นะ” เธอยิ่งเขินไหมทองยิ่งพูดเรื่องนี้เสียเต็มปาก “ผู้หญิงเราแต่งกับใครก็เหมือนฝากชีวิตไว้กับคนนั้น จะเลือกทั้งทีก็ต้องเลือกให้ดีซี ท่านว่าจริงไหมจ๊ะ”

เกล้ามาลาเขินจนตอบไม่ออกแล้วหน้าแดงขึ้นมาทันที…

จริงอยู่ที่ว่าเธอยังไม่มีคำตอบแน่นอนว่าชอบผู้ชายแบบไหน ไม่ใช่ว่าเพราะจะไม่เคยมีใครถาม แต่เกล้ามาลาไม่เคยมีอุดมคติตายตัว รู้เพียงว่าหากเลือกรักใครสักคนได้จริงก็คงเลือกคนที่ทำให้เธอมีความสุขและมีรอยยิ้มได้เสมอ เป็นคนที่เธอจะกล้าวางฝากชีวิตไว้ให้เขาดูแล

แต่พอนึกถึงคำว่า ‘ดูแล’ แล้วเกล้ามาลาก็หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกหลายเท่า เพราะคนเดียวที่เธอคิดว่าตรงกับที่หวังไว้ในใจ ก็คือผู้ชายที่ช่วยเหลือเธอมาเสมอ เจ็บป่วยก็คอยเฝ้าไข้ ดูแลใกล้ชิดเป็นอย่างดีอยู่ตลอดเวลาจนทำให้รู้สึกว่าฝากชีวิตไว้ในมือของเขาได้ และเป็นคนที่ทำให้เธอยิ้มได้อีกครั้ง เธอมีแสงภาณุอยู่ในห้วงความคิดถึง

มีแต่เขาเป็นคำตอบอยู่เต็มหัวใจ...

 

 

[1] เจือ สิงหเสนี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น