บทที่ 12
สุดท้ายแล้วเกล้ามาลาก็ตัดสินใจว่าจะไปกับแสงภาณุเพียงสองคน เพราะหากเสียเวลากลับไปรับอาเน้ยแล้วจะได้กลับมาทันขึ้นรถไฟรอบบ่ายหรือไม่ก็สุดจะคาดเดา การเดินทางใช่ว่าจะสะดวกดังใจไปหมดเสียที่ไหน ดีไม่ดีจะพลาดแล้วพลาดเลยไปเปล่าๆ
อีกอย่างหนึ่งคือที่อยุธยามีคนของเขารออยู่ คงไม่ได้อยู่ด้วยกันลำพังให้ใครครหาได้ และเมื่อมาถึงกรุงเก่าคนที่แสงภาณุนัดไว้ก็มาคอยต้อนรับอยู่ที่สถานีรถไฟ เขาบอกว่าเป็นลูกชายของผู้จัดการห้างคนเก่าที่เคยทำงานกับเจ้าสัวเล้ง เมื่อทำงานแก่ตัวมีเงินเก็บก็กลับมาอยู่บ้านเกิดแต่ก็สนิทกับเขาเป็นอย่างดีกันทั้งบ้าน จึงเต็มใจมาช่วยเป็นธุระในการตามหาช่อทิพย์ให้ และต้อนรับขับสู้เจ้านายเก่ากับเธอเป็นอย่างดีจนเกล้ามาลายังเกรงใจ
เมื่อเอากระเป๋าสัมภาระไปเก็บไว้ที่เรือนไทยของลูกน้องเก่า มาณพผู้เป็นลูกชายก็อาสาพาแสงภาณุและเธอไปหาคนที่บอกว่าเฝ้าช่อทิพย์อยู่ ญาติผู้พี่ของเธอปรากฏตัวที่บ้านสวนอยู่ไม่ไกลจากวัดพนัญเชิง ทั้งสามก็สู้อุตส่าห์เดินไป
เกล้ามาลาเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวเพราะไม่เคยเดินไกลเท่านี้มาก่อนแต่ก็อดทนเดินอย่างมานะอดทน ความหวังว่าจะได้พบช่อทิพย์ทำให้เธอมีแรงยกขาก้าวได้ไหว ทว่ากลับต้องมาพบเพียงความว่างเปล่า ผิดหวังเสียแทบจะทรุดร่างลงไปกองกับพื้นอย่างเหนื่อยใจ
“อ้อ! แม่คนที่พ่อมาณพให้มาเฝ้าน่ะเหรอ”
คนพื้นเพที่มาณพรับจ้างวานจากเจ้านายเก่าให้มาตามหาช่อทิพย์ร้องอ้อขึ้นมา
“ไปกันหมดแล้ว”
“อ้าวลุง!” มาณพร้องเสียงหลง “ฉันจ้างมาเฝ้าแท้ๆ เหตุใดมาบอกว่าเขาไม่อยู่อย่างนี้เล่า”
“ฉันไม่รู้”
คนรับจ้างให้มาเฝ้าช่อทิพย์หัวเราะร่วนอย่างไร้ความรับผิดชอบราวกับไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องตึงเครียดของเธอ
“ฉันก็ว่าฉันแอบมาซุ่มเฝ้าไว้อย่างดี แต่ลุกไปเหยี่ยวแค่ประเดี๋ยวเดียว ไม่มีคนอยู่บนบ้านเสียแล้ว”
“แล้วบ้านนี้เป็นบ้านของใคร” แสงภาณุถามเข้าประเด็นให้เธอมีความหวังขึ้นมาอีกรอบ “และมีใครมากับน้องช่อทิพย์บ้างหรือไม่ รู้จักเขาไหม”
“มากันคนหลายเชียว บอกว่าจะมาเช่าบ้านไว้หนีภัยสงคราม อพยพหนีระเบิดอย่างที่ชาวพระนครหนีมากันนั่นแหละ แต่คนเช่าเป็นใคร จะมาเมื่อไรฉันก็ไม่รู้หรอกนะ”
คราวนี้เกล้ามาลาค่อยรู้สึกว่าคนรับจ้างนี้ได้เรื่องขึ้นมาหน่อยแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่เธอก็คิดว่าอุตส่าห์มาถึงที่แล้ว กำขี้ดีกว่ากำตดเป็นไหนๆ
“ส่วนบ้านนี้เป็นบ้านของคุณพระพิชิต ตายไปนานแล้ว ลูกเต้าไปอยู่กรุงเทพฯ กันหมด”
“เป็นไปได้ไหมว่าลูกของคุณพระพิชิต จะเป็นเพื่อนของพี่ช่อทิพย์จึงมาด้วยกันได้” เกล้ามาลาตั้งข้อสังเกตและหันไปหาเจ้าถิ่น “คุณมาณพพอจะรู้จักคุณพระไหม”
“ผมไม่ได้โตที่นี่ ไม่ค่อยรู้จักคนเฒ่าคนแก่หรอกครับคุณหญิง… คงต้องไปถามคุณพ่อคงจะพอรู้อยู่บ้าง”
เกล้ามาลาไม่ถือว่าคว้าน้ำเหลวเสียทีเดียว จากนั้นก็ว่าจ้างให้คนเฝ้าคอยจับตาดูต่อ หากพบช่อทิพย์อีกก็ให้โทรเลขไปบอกเพื่อจะได้มาให้ทันการณ์ไม่คราดกันอย่างครั้งนี้อีก จากนั้นก็กลับบ้านของมาณพเพื่อไปถามเรื่องราวของคุณพระพิชิต
กว่าจะกลับมาถึงบ้านลูกน้องคนเก่าคนแก่ของแสงภาณุได้หญิงสาวก็ขาแทบลากเพราะวันนี้เดินมาทั้งวัน ดีหน่อยว่าแสงภาณุเอาน้ำใส่กระบอกไปด้วยไว้ให้เธอได้ดื่มดับกระหาย ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นลมไปกลางทางเสียก่อน พอเห็นว่าเธอดื่มน้ำเข้าหน่อยเขาก็ให้นั่งพักอย่างไม่เร่งรีบ หรือเดินผ่านสวนไหนมีผลไม้ก็เด็ดให้กินมาเรื่อยทั้งชมพู่และกล้วยน้ำหว้าให้พอมีแรงเดินต่อได้ไหว
แต่พอมาถึงแหล่งข่าวที่คาดหวังไว้นี่ซี เกล้ามาลาถึงกับหมดแรงไปเลย…
“คุณพระพิชิตอย่างนั้นหรือ ท่านตายไปนานแล้ว ลูกหลานย้ายไปอยู่พระนครกันหมด ไม่มีใครได้ข่าวหรอกครับ”
ข้อมูลที่ได้จากบิดาของมาณพไม่ต่างจากที่เธอได้มาเลย ไม่มีใครทราบว่าจะตามหาลูกหลานบ้านหลังนั้นได้ที่ไหน แต่ก็ใจชื้นอยู่หน่อยที่รู้ว่าไปอยู่กรุงเทพฯ กันหมด อย่างนี้จะเท่ากับตีกรอบการตามหาช่อทิพย์ให้แคบลงอยู่ในวงแค่เมืองหลวง คงจะได้ออกมาต่างจังหวัดอีกหากไม่มีโทรเลขใดๆ มาแจ้งข่าว
กระนั้นเกล้ามาลาก็หัวใจห่อเหี่ยวเพราะรู้สึกว่ามาเสียเที่ยวที่ไม่ได้พบพี่สาว แต่ยังปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้ข้อมูลมาบ้าง สบายใจว่ามีคนพบช่อทิพย์ยังอยู่สุขสบายดี เอาเป็นว่ากลับไปพระนครคราวนี้ค่อยไปตามหาอีกที
“ขอบใจทุกคนมากนะคะ” เกล้ามาลาบอกยิ้มๆ แต่ไม่เต็มที่นักเพราะผิดหวัง “ฉันกับคุณแสงคงต้องขอตัวกลับแล้ว หวังว่าโอกาสหน้าจะได้พบกันอีก”
“คุณหญิงจะไปไหนครับ”
แสงภาณุหัวเราะกิ๊กแต่ก็ทำเอาเธอมองเขาเคืองๆ จนคิ้วขมวดกับพ่อคนยิ้มทีไรเป็นตาสระอิไปเสียทุกที ก็มีเรื่องอะไรให้เขาขำนักเล่า
“นี่มันเย็นมากแล้ว กลับพระนครไม่ทันแล้วล่ะครับ”
“ต้องค้างที่นี่จริงๆ หรือคะ!” แม้จะทำใจมาบ้างแล้วแต่เกล้ามาลาก็เริ่มใจไม่ดีกับการต้องค้างอ้างแรมที่อื่น “รถไฟรอบค่ำไม่มีเลยหรือคุณแสง”
“ถึงมีผมก็ไม่พากลับหรอกครับ มืดค่ำอันตรายออก แล้วถ้าเกิดมีการทิ้งบอมใส่ทางรถไฟ เราจะไม่แย่หรือครับ”
“พุทโธ่เอ๋ย…”
“ไม่อยากค้างบ้านนอกหรือครับคุณหญิง” มาณพถามยิ้มๆ “ผมว่าจะพาไปเที่ยวหน่อย เสียดายจริง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นคะ”
แม้มาณพจะมาถามอย่างเย้าหยอกแต่หญิงสาวก็รีบส่ายปฏิเสธเป็นพัลวันเพราะเกรงจะเข้าใจผิดว่าเธอไปดูถูกดูแคลนกัน
“ฉันเพียงแค่ไม่เคยไปนอนบ้านใคร”
“ก็คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเองเสียแล้วกันนะครับ มากับคุณแสงก็เหมือนว่าเป็นเจ้านายผมด้วย พักให้สบายใจเถิดครับ”
พ่อของมาณพช่วยเอาใจแต่เกล้ามาลาก็ยิ้มหน้าเจื่อน ทั้งเกรงใจระคนประหม่า เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยไปค้างแรมบ้านคนอื่นเลยนอกจากบ้านของญาติสนิทและโรงเรียน แล้วจะค้างแรมที่อยุธยาได้จริงๆ หรือ คืนนี้ทั้งคืนเธอจะนอนหลับไหม
แต่คิดไปก็เท่านั้นเพราะเธอไม่มีทางเลือก สุดท้ายเกล้ามาลาก็มานั่งรับลมแล้วถอนหายใจอยู่ที่ท่าน้ำ ทอดมองสายธาราผืนใหญ่สะท้อนแสงแดดยามเย็น วาววับราวเพชรทอประกาย
เกล้ามาลาไม่เคยมากรุงเก่า ได้ยินเพียงท่านพ่อทรงเล่าให้ฟังถึงพระราชวังบางปะอินและเรื่องที่ว่าอยุธยาเคยรุ่งเรืองดังเมืองทอง มีวัดวาอารามอยู่แทบจะติดกัน เธอมองจากท่าน้ำนี้ก็ชักอยากรู้เสียแล้วว่าในอดีตเมืองนี้จะเป็นอย่างไร รุ่งเรืองเท่ากรุงเทพมหานครได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คงเคยอยู่ในภาวะศึกสงครามมาเช่นเดียวกัน
นึกถึงสงครามแล้วเกล้ามาลาก็อึดอัดอยู่ในอก อิจฉาคนกรุงเก่าขึ้นมาที่ว่าไม่ต้องคอยหลบระเบิดเหมือนคนที่พระนคร หลายครอบครัวจึงย้ายจากเมืองหลวงมาลี้ภัย ก็คงเหมือนคนที่เช่าบ้านคุณพระพิชิต ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใครแต่คงให้เบาะแสของช่อทิพย์ได้ หากมาณพส่งข่าวว่าอพยพมาเมื่อไรคงได้มาถามกัน
“เหตุใดมานั่งตากลมอยู่ตรงนี้เล่าครับคุณหญิง”
คำถามติดจะติเตือนนั้นทำให้เกล้ามาลาหน้าเจื่อนแต่ก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงจึงพยายามยิ้ม เผื่อว่าจะป้องกันไม่ให้ถูกดุ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าแสงภาณุถือกะละมังใบย่อมมาด้วยทำไม
“วันนี้ก็เดินตากแดดมาทั้งวัน ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะครับ”
“นั่งพักตากลมหน่อยก็เย็นดีนี่คะ” คนชอบรับลมริมน้ำบอกยิ้มๆ เพราะเกรงจะถูกดุจนต้องเปลี่ยนเรื่องหนี “แต่คุณเอากะละมังมาทำไมคะ”
“น้ำอุ่นครับ คุณหญิงแช่เท้าเสียหน่อย เดินมาทั้งวันคงปวดแย่”
“คุณไปต้มน้ำมาหรือ!”
แสงภาณุไม่ตอบรับแต่ก็ไม่เถียง และไม่ว่าเขาเป็นคนต้มมาให้หรือไม่ก็ช่าง แต่สิ่งเดียวที่เธอรับรู้คือความเป็นห่วง อุตส่าห์ถือน้ำอุ่นมาให้เธอแช่เท้าให้คลายความปวดเหมื่อยเพราะเดินมาทั้งวัน สิ่งที่เขาทำส่งผลให้หัวใจของเธอเต้นแรงระส่ำจนเหมือนมันจะระเบิดออกมา กลั้นหายใจไปแล้วเสียด้วยซ้ำเมื่อชายหนุ่มก้มลงนั่งยองอยู่ต่อหน้า แล้ววางกะละมังน้ำอุ่นไว้แทบเท้าเธอ
“จุ่มเท้าลงมาสิครับ”
คนที่มานั่งยองอยู่ตรงหน้าในระดับต่ำกว่าสั่งอย่างนุ่มนวลแต่เธอกลับทำอะไรไม่ถูก ตกตะลึงอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรไปถึงได้ใจเต้นแรงนัก แล้วยิ่งกลั้นหายใจไปกันใหญ่เมื่อชายหนุ่มถือวิสาสะถอดรองเท้าของเธอออกแล้วยกเท้าเข้าแช่น้ำในกะละมัง น้ำอุ่นช่วยให้หายปวดเท้าและสบายตัวขึ้นเป็นกอง แล้วยังช่วยผ่อนคลายจังหวะการเต้นของหัวใจเธอลงด้วย
“สบายไหมครับ” แสงภาณุเงยหน้าขึ้นมาถามยิ้มๆ “นวดหน่อยคงคลายเส้นได้ดีทีเดียว”
“ไม่ต้องค่ะ! ไม่ต้องนวด”
เกล้ามาลาร้องห้ามอย่างตกใจเมื่อชายหนุ่มส่งมือมาแตะเท้าเธออีกหนจนต้องรีบชักหนี อย่างไรเสียแสงภาณุก็เป็นผู้ชาย เธอไม่อยากให้เขามาแตะต้องส่วนต่ำสุดของร่างกายผู้หญิง รู้สึกว่ามันไม่เป็นมงคลสำหรับตัวเขาเลย
“ผมไม่ถือหรอกครับ มาเถิดจะนวดให้”
“แต่ฉันถือค่ะ อย่าเลย ฉันไม่สบายใจ” เกล้ามาลาแย้งหน้ายุ่งแล้วยังหวงเท้าไว้ไม่ให้เขาจับ “เท่านี้ฉันก็หายเหมื่อยแล้ว ขอบคุณมากค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็แช่ไว้นะครับ”
โชคดีที่เขาว่าง่าย แสงภาณุบอกยิ้มๆ พลางลุกขึ้นมานั่งข้างเธอ เว้นระยะห่างระหว่างชายหญิงให้เกล้ามาลาสบายใจ แล้วยังได้แช่เท้าในน้ำอุ่นอย่างสบายตัว
“ผมได้ยินจากมาณพว่าคืนนี้มีงานวัดด้วย ไปเที่ยวหน่อยไหม”
“ออกไปเที่ยวตอนกลางคืนไม่ได้หรอกค่ะ มันไม่งาม”
“แล้วถ้าแค่ออกไปเดินดูไฟได้หรือไม่” พอเธอปฏิเสธตัดรอนไป แสงภาณุก็กะล่อนขึ้นมาทันที “หรือว่าจะเดินไปซื้อขนมที่วัด เดินไปซื้อของกิน ไปดูคนมาเที่ยว อย่างนี้ได้ไหมครับ”
“คุณอยากไปหรือคะ” เจอคำถามมากเข้าหญิงสาวก็มองเขาอย่างรู้ทัน “ก็ไปกับคุณมาณพซี”
“แต่ผมอยากไปกับคุณหญิงนี่ กรุณาผมเถิดนะครับ”
จะมีสักกี่ครั้งที่เธอไม่เผลอใจอ่อนไปกับรอยยิ้มนั้น ทั้งหวาน ทั้งตาหยี มองทีไรก็สดใสน่าเอ็นดูราวเด็กขี้อ้อน แล้วมีหรือที่เกล้ามาลาจะปฏิเสธการไปเดินดูไฟที่วัดกับเขาได้ลงคอ
งานวัดครึกครื้นอย่างที่เกล้ามาลาเองก็คิดไม่ถึง เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เธอเคยไปเที่ยวงานวัดในกรุงเทพฯ อยู่บ้างแต่ไปในช่วงกลางวันกับญาติผู้ใหญ่เพียงเท่านั้น พออยู่คอนแวนต์ก็เป็นงานที่อิงไปตามศาสนาคริสต์ และกลับมาไทยอีกครั้งยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเธอแทบจะไม่ได้ก้าวขาออกจากวังเลยนับแต่วันที่ทะเลาะกับมารดา
เกล้ามาลารู้สึกว่าจะอยู่ตรงนี้ได้อย่างสบายใจเพราะอยุธยาไม่ใครรู้จักเธอ ไม่มีคนมาชี้หน้าด่าว่ามารดาคบชู้ ไม่มีใครมาป้องปากนินทา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสำรวมกิริยามารยาทให้ดีอยู่เสมอเพราะอาจจะเผลอไผลไปทำเรื่องงามหน้าก็ได้ เธอไม่อยากให้ใครจำในทางไม่ดี และจะไม่ยอมให้เสื่อมเสียไปถึงท่านพ่อด้วย
มาถึงงานวัด มาณพก็พาครอบครัวมุ่งหน้าไปหางานรื่นเริงเพราะเคยมาไหว้พระกันแล้ว ส่วนแสงภาณุพาเธอไปปิดทองลูกนิมิตเสียก่อน จากนั้นก็พาเดินเข้าโบสถ์ไปไหว้พระ วัดนี้ดูๆ แล้วเหมือนเพิ่งสร้างได้ไม่นาน ทุกอย่างยังดูใหม่เอี่ยมกระทั่งพระประทานปรางค์เรือนแก้วสีทองอร่าม แต่ก็เห็นคนสร้างพยายามจะเลียนแบบของโบราณมาแทบทั้งสิ้น แม้กระทั่งภาพเขียนในโบสถ์ก็ยังทำได้วิจิตรสวยงามไม่แพ้วัดเก่าๆ ในกรุงเทพฯ เลย
แต่อีกอย่างที่ทำให้เกล้ามาลาทั้งประหลาดใจและประทับใจคือการดูแลเอาใจใส่จากคนที่พาเธอมาทำบุญ แสงภาณุใส่ใจไปเสียทุกอย่าง ทำแม้กระทั่งเก็บรองเท้าเข้าที่ถอดไว้นอกโบสถ์ให้โดยที่เธอยังไม่ทันได้เอื้อมเอาไปวางบนชั้นเสียด้วยซ้ำ มองเขาแล้วก็รู้สึกว่าชายหนุ่มดูแลเธอมาทั้งวัน และไม่เคยมีใครเอาใจใส่เธอได้มากเท่าเขาเลย
เมื่อเขาจุดธูปเทียนและส่งดอกไม้สดมาให้ได้ไหว้พระขอพร เกล้ามาลาก็ไม่ขออะไรนอกจากให้ได้พบตัวช่อทิพย์ในเร็ววันเพราะเป็นห่วงพี่สาว หลังจากนั้นแสงภาณุก็รับฝากธูปเทียนของเธอไปปักลงกระถางให้ แล้วแลกเปลี่ยนธนบัตรเป็นเหรียญสลึงไปหยอดตามบาตรพระที่ตั้งอยู่หน้าพระพุธรูปปรางค์ประจำวันเกิด เกล้ามาลาก็หยอดใส่พระปรางค์ถวายเนตร หลับตาแล้วอธิษฐานขอพร
“คุณหญิงเกิดวันอาทิตย์หรือครับ”
ไหว้พระขอพรเสร็จ คนที่ทำบุญกับพระปรางค์ประจำวันเกิดวันอังคารที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็มาถามอย่างสนอกสนใจ
“แล้วเกิดวันที่เท่าไร เดือน ปี อะไรหรือ”
“ถามเสียละเอียดเชียว”
เห็นแสงภาณุมาทำตาหนาวใส่แล้วอมยิ้มเหมือนซ่อนความลับอะไรอยู่เธอก็ขมวดคิ้วมองแต่คิดว่าจะไม่ยอมบอกง่ายๆ แน่
“จะเอาไปทำอะไรคะ”
“เอาไปให้หม่าม้าหาฤกษ์ครับ”
เกล้ามาลาเผลออ้าปากค้างไปกับคำตอบของเขา แล้วม่านตาก็เบิกขยายมองชายหนุ่มเต็มที่ หัวใจมันเต้นแรงขึ้นมาจนได้ยินชัดแม้เสียงดนตรีนอกโบสถ์จะครึกครื้นมากแค่ไหน แต่เธอกลับได้ยินแต่คำถามเดียวที่ก้องอยู่ในหัวใจคือเขาจะให้มารดาไปขอฤกษ์อะไร เพราะเท่าที่จำได้คุณนายเหมยฮัวก็มีแต่จะไปขอฤกษ์แต่งงานให้ลูกชาย
“ฉันว่าคุณชักจะพูดเล่นไม่รู้เรื่องแล้วค่ะ” ตั้งสติได้เกล้ามาลาก็เลือกที่ค้อนแล้วเสหนีไปเสียดื้อๆ “ไปปิดทองพระประธานกันดีกว่า”
“ขอก็ไม่ได้”
แสงภาณุทำเป็นงอนแก้มป่องแล้วอมยิ้มให้จนไม่รู้ว่าตกลงงอนจริงหรือแกล้งให้เธอใจเสียเล่นๆ กันแน่ ทำเอาต้องมองอย่างลุ้นอยู่ไม่หายว่าเขาจะว่าอย่างไรต่อ
“แต่ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้แค่ให้ผมทำบุญร่วมชาติ หยอดเหรียญตักบาตรร่วมขัน แล้วยังได้เด็ดดอกไม้ถวายพระร่วมต้นกันอีก เท่านี้ผมก็มีความสุขเหลือเกินแล้ว”
“คุณแสง!”
หญิงสาวเผลอร้องเสียงแหลมแล้วหัวใจเต้นตุ้บๆ ขึ้นมา ทว่ายังพยายามคุมตัวเองไม่ให้สั่น จะไม่ยอมให้เขารู้ว่าเธอหวั่นไหวเพราะรอยยิ้มนั้นเป็นอันขาด เพราะหากชายหนุ่มรู้ทันคงไม่กล้ามองหน้าเขาอีกแน่ เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทั้งหัวใจเต้นแรงและรู้สึกว่าใบร้อนยิ่งกว่าลูกระเบิดที่กำลังจะปะทุเสียแล้ว
แต่คนยิ้มหวานจนตาหยีคงยังไม่รู้ว่าทำให้เธอเคลิบเคลิ้มไปจนหัวใจสั่นระรัว เขายังเดินหน้าชื่นไปเอาหยิบทองคำเปลว ก็คงจะพาไปปิดทองพระพุทธรูปอย่างที่บอกไว้เกล้ามาลาจึงยอมเดินตาม เข้าใกล้พระมาทำบุญหัวใจของเธอก็ค่อยๆ ผ่อนลงมาเต้นในจังหวะปกติ แล้วรับแผ่นทองคำเปลวมาปิดหน้าตักของพระพุธรูปปรางค์นาคปรกองค์เล็กหน้าพระประธานของโบสถ์
แสงภาณุปิดทองแล้วก็เหลือบมาทางเธออยู่ครู่ใหญ่ นานและชัดเจนมากพอที่จะให้เธอสังเกตเห็นจนหญิงสาวขมวดคิ้วมอง เหมือนว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย แต่หวังว่าจะไม่ได้พูดเรื่องฤกษ์แต่งงานกับเธออีก เพราะกว่าจะตั้งสติได้ก็ทำหัวใจเต้นตุบตับจนแทบตั้งหลักไม่อยู่เลย
“คุณหญิงว่าพระพุทธรูปองค์นี้งามไหมครับ”
คำถามที่ผิดคาดทำให้เกล้ามาลาสูดหายใจลึกเข้าไป วูบๆ เหมือนผิดหวัง แต่พอคิดอีกทีก็ดีแล้วเพราะเธอคงไม่ทานทนให้แสงภาณุหยอกเย้าไปได้ตลอดเวลา หัวใจไม่ได้แข็งแรงอย่างที่แล้วมา แต่มันพร้อมจะวูบไหวไปทุกเวลาหากผู้ชายคนนี้มาเกี่ยวเกี้ยวเอาไป
“คุณหญิงครับ”
แสงภาณุเรียกซ้ำแต่เหมือนดึงเธอกลับห้วงภวังค์ ให้กลับมามองพระพุทธรูปที่ตัวเองยังปิดทองค้างอยู่แล้วนึกถึงคำถามของเขาขึ้นมาได้
“ฉันดูพระไม่เป็นหรอกค่ะ” เกล้ามาลาตอบไปตามซื่อ “งามหรือไม่ เขาดูกันอย่างไรหรือคะ”
“ผมก็ดูไม่เป็น” ชายหนุ่มยักไหล่ตอบแต่ทำให้เธอแปลกใจไม่น้อยเลยเพราะเขายังทำหน้าตายทั้งที่เป็นคนชวนคุยแท้ๆ “แต่ผมว่าไม่งามหรอก ดูซี ตาก็ยาว หูก็ยาน”
“ตายจริงคุณแสง! ไปว่าพระท่านอย่างนั้นได้อย่างไรคะ”
“พระท่านก็คงไม่ใส่พวกปากไม่มีหูรูดอย่างผมหรอกครับ ดูสิท่านนั่งยิ้มให้เราอยู่เลย”
“คุณจะบอกอะไรฉันหรือเปล่า มีอะไรก็ว่ามาตามตรงเถิดค่ะ”
พูดไปเกล้ามาลาก็ยังไม่เข้าใจจนต้องถามไปตามตรง แต่เขายังเลิกคิ้วมองเหมือนคนลีลาจนต้องเรียกซ้ำ เธอรู้ว่าแสงภาณุไม่ใช่พวกปากไม่มีหูรูด ลองชวนคุยประเด็นนี้คงจงใจมากกว่า
“ผมแค่อยากให้คุณหญิงทำใจให้เย็นเหมือนพระท่านยามถูกใครนินทาเรื่องแม่อีก คุณหญิงทำให้ผมได้ไหม” แสงภาณุก็ไม่อ้อมค้อมพร้อมกับไม่มีแววตาขี้เล่นกับเธออีก “สุนทรภู่ว่าไว้ แม้แต่องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา… เห็นไหมล่ะครับ ทำตัวเป็นพระพุทธเสียก็จบ”
“พระพุทธรูปไม่มีชีวิตนี่คะ ท่านไม่มีหัวใจ แล้วจะมีความรู้สึกเหมือนที่ฉันเป็นได้อย่างไร”
เกล้ามาลาเสียงแข็งอย่างไม่ตั้งใจแต่ก็ควบคุมไม่ได้เพราะความขมขื่นที่ฝังรากลึกในใจนั้นถูกคนที่ทำให้เธอมีความสุขอยู่เสมอขุดออกมาเสียเอง ความสำราญที่ได้มาเที่ยวงานวัดเหมือนพังลงไปด้วย แม้จะรู้ว่าเขาหวังดีแต่หญิงสาวก็ไม่อาจรับมันได้ไหว ไม่อยากพูดถึงเรื่องแม่อีกเลย
“ผมขอโทษครับ บางทีผมอาจจะต้องการมากเกินไป”
เขาบอกเสียงหนักท่ามกลางความอึดอัดใจ หลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไปนาน ชายหนุ่มหน้าเสียไปไม่น้อยก็เพราะคงรู้ตัวว่าทำให้เธอเสียความรู้สึก ตัวเกล้ามาลาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรนอกจากเมินหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อสลัดอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อสักครู่นี้ไปเสีย
หญิงสาวบอกตัวเองให้หายเคืองคนที่หวังดีมาเสมอ แล้วพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่ายังถอนหายใจแรง ส่วนแสงภาณุเองก็ยกริมฝีปากขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ทำได้ไม่เต็มที่ คงกลัวเธอโกรธเข้าจริงๆ
“ช่างเถิดค่ะ ฉันเข้าใจคุณ” เกล้ามาลาบอกผ่านๆ เหมือนเมื่อครู่ไม่ได้คุยอะไรกันแล้วพยายามจะยกมุกปากให้เขาเหมือนกัน “ออกไปด้านนอกกันเถิดนะคะ”
“อยากไปเที่ยวดูอะไรก่อนดีครับ ไปเล่นยิงตุ๊กตากันไหม”
“โตแล้วค่ะ ไม่เล่นตุ๊กตาหรอก”
เธอก็ตอบไปตามตรงแต่ทำไมแสงภาณุต้องขำด้วย! หญิงสาวไม่เข้าใจว่าแค่ไม่เล่นตุ๊กตานี่ตลกนักหรือเขาถึงยิ้มอย่างไม่ฟืนเหมือนอย่างที่พยายามทำกันก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ แต่เป็นรอยยิ้มทำให้ความอึดอัดในใจเธอคลายลงไปเช่นเดียวกัน ใจอ่อนให้กับตาหยีๆ คู่นั้นไปเสียทุกที
เธอเคืองขุ่นเขาได้จริงจังเสียที่ไหนกัน…
เมื่อไหว้พระเสร็จเขาก็พาออกมาจากโบสถ์ เกล้ามาลารู้สึกเหมือนตัวเองได้สัมผัสกับงานรื่นเริงอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี มองรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ ทั้งร้านรวงที่เต็มไปด้วยอาหารและมหรสพ ตระการตาอยู่มากสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านอย่างเธอ ทั้งงานอื้ออึงไปด้วยเสียงดนตรี กลองโทน รำมะนา และเสียงชายหญิงร้องรำกันเป็นคู่ๆ ดูอิ่มเอมเปรมสุขกันทุกคน
“ไปรำวงกันไหมครับ”
แสงภาณุชวนเบาๆ แต่ทำให้หญิงสาวสะดุ้ง แทบลืมหายใจไปด้วยซ้ำเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากเขา กลัวจนขนลุกขึ้นมา
“หากฉันไปแล้วทั้งท่านพ่อและท่านอาทรงทราบ ไหนจะคุณป้า คุณตา คุณยาย ได้มารุมตีฉันตายแน่ๆ” เกล้ามาลาบอกอย่างสยองขวัญ “แค่จะไปดูละครนอกท่านยังห้าม และนี่หากรู้ว่าฉันมาเที่ยวงานวัดตอนกลางคืนคงได้ทำโทษกันจริงๆ”
“มันไม่งาม” ชายหนุ่มทำหน้าล้อเลียนให้เธอค้อนแต่เขายังไม่ยอมหยุด “ผมบอกแล้วอย่างไรว่าแค่จะพาคุณหญิงมาเดินดูไฟ แล้วเราก็แค่จะไปเดินในท่วงท่าพิเศษให้เข้าจังหวะกับเพลงเท่านั้นเอง”
“คุณนี่เจ้าเล่ห์เสียจริงเชียว”
“แน่นอนครับ” แสงภาณุรับคำต่อว่าของเธอไว้อย่างไม่ยี่หระซ้ำยังยิ้มให้เสียอีก “ไปเดินในท่วงท่าพิเศษให้เข้าจังหวะเพลงกับผมหน่อยนะครับ”
“ไม่ค่ะ” คราวนี้หญิงสาวไม่ยอมเคลิ้มไปด้วย “อยากรำก็ไปเกี้ยวสาวชาวกรุงเก่ามารำเป็นเพื่อนสักคนซี ฉันจะยืนดู”
“ไม่รำก็ได้ครับ” บทจะยอมแพ้เขาก็ยอมเสียง่ายๆ แต่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม “เกรงจะเปลี่ยนจากสาวน้อยรำวงมาเป็นนางสุวรรณมาลีมเหสีขี้หึงแทน”
“แล้วสาวรำวงที่ไหนจะไปเปลี่ยนเป็นนางสุวรรณมาลีให้คุณได้คะ”
“คนนี้” แสงภาณุยกนิ้วชี้มายังเธออย่างไม่ลังเลและดูอารมณ์ดีจนล้นออกมาทางดวงตา “เจ้าช่อมาลี คนดีของพี่ก็มา สวยจริงหนาเวลาค่ำคืน”[1]
คนถูกชี้ว่าเป็น ‘เจ้าช่อมาลี’ ทำได้เพียงยืนมองเขาอย่างมึนงงในคำตอบ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขาหาว่าเธอแสนงอนเอาแต่ใจหรือเปล่า รู้แต่ถูกชมว่าสวย แต่ตั้งสติยังไม่ได้แสงภาณุก็เดินนำเธอไปเสียแล้ว ทิ้งให้เธอได้แต่ยืนฟังเสียงเพลงรำวงอยู่แค่คนเดียว
แต่พอตั้งสติได้ เกล้ามาลาก็รีบสลัดทุกเรื่องทิ้งเพราะหากเธอมัวแต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนี้คงได้พลัดหลงกับเขา หญิงสาวก็รีบเดินตามไปเพราะกลัวหลงทาง และพบว่าเขายื่นอยู่ไม่ไกลจากเวทีลิเก
“คุณหญิงเคยกินน้ำตาลปั้นไหมครับ”
คนนำเที่ยวงานวัดหันมาถามเธอยิ้มๆ ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้ทำอะไรไว้สักอย่างแล้วยังส่งน้ำตาลปั้นรูปดอกไม้สีแดงสดมาให้ด้วย
“ลองหน่อยไหม กินขนมตอนกลางคืนคงไม่มีใครว่าใช่ไหมครับ”
“เอ้! คุณนี่”
ถูกเขาล้อมากเข้าเกล้ามาลาก็คิ้วขมวดแล้วรับน้ำตาปั้นมาถือแต่ไม่ยอมกินอยู่ดีเพราะไม่กล้าจะมาอมมาดูดอะไรกลางที่ชุมชน แล้วเบี่ยงความสนใจไปที่อย่างอื่นเพราะไม่อยากให้แสงภาณุเสียน้ำใจ
“เราจะกลับกันหรือยังคะ”
เธอถามเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่ามาเดินชมงานจนน้ำค้างเริ่มลงแล้ว พ่อคนสนุกกับการเลือกซื้อน้ำตาลปั้นอยู่ก็หันมาหา
“ครับ” แสงภาณุรับปากง่ายๆ แต่ยังไม่ขยับตัว “แต่ผมขอซื้อขนมอีกสักหน่อย”
“ที่พระนครก็มีขายนี่คะ” เธอถามอย่างขบขัน “หรือรสชาติมันต่างกัน”
“คงไม่หวานเท่ามาเดินซื้อกินกับคุณหญิงแน่”
ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ แต่เหมือนฉุดเอาลมหายใจของเธอไปอีกหน หนแล้วหนเล่าอยู่ซ้ำๆ ให้เกล้ามาลาเคลิบเคลิ้มจนรู้สึกว่าดวงใจหลุดลอยไปอยู่ในการครอบครองของเขาอย่างไม่อาจเรียกคืน แต่กลัวตัวเองจะเข้าใจผิดว่าเขาคิดเสน่หา เพราะหากแปลความผิดไป คนที่ชอกช้ำก็จะมีแต่เธอเพียงผู้เดียว
“แล้วถ้าผมอยากมีคุณหญิงอยู่ข้างๆ ไปเรื่อยๆ ให้นานเท่าชีวิตของผม จะได้ไหมครับ”
เขายิ่งทำให้หญิงสาวใจจดใจจ่อ ฟังน้ำเสียงของชายหนุ่มนุ่มลึกสุขุมพอๆ กับดวงตาที่จ้องมอง สะกดให้เธอสบตานิ่งอย่างเฝ้ารอ เกล้ามาลาไม่ได้ซื่อจนแปลความหมายไม่ออก แต่อยากฟังซ้ำให้มั่นใจว่าแสงภาณุรู้สึกกับเธออย่างไร
“และหากผมบอกไปตอนนี้ คุณหญิงจะเชื่อคำว่ารักของผมไหม”
คำถามนั้นทำให้โลกทั้งโลกของเกล้ามาลาหยุดเคลื่อนไหว รอบตัวนิ่งสนิทแต่มีเพียงรอยยิ้มของแสงภาณุที่ยังฉายอยู่เต็มใบหน้า ให้เธอเบิกมองชายหนุ่มเต็มดวงตา เพราะเขาเหมือนฝันที่เป็นจริง คำว่ารักนั้นแน่นหนัก ชัดเจน และยังก้องอยู่ในหัวใจของเธอ
แม้จะปลื้มเปรมจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อได้ฟังคำที่ปรารถนา แต่เกล้ามาลาก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากตอบ เพราะอีกใจยังกลัวความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงหากเปลี่ยนฐานะการคบหา กลัวว่าถ้าเธอใจร้อนตอบตกลงแล้วเขายังจะเป็นคนเดิมของเธออย่างที่เป็นมาตลอดหรือไม่
และหากสายตาที่มองกันเปลี่ยนไป ความคาดหวังจะทำให้เธอเรียกร้องมากเกินกว่าที่เป็นในตอนนี้หรือเปล่า แล้วเขาจะทำให้ได้ไหม คำถามพวกนี้ทำให้หญิงสาวยังไม่มั่นใจที่ตกลงในทันที เพราะหากเธอจะเอ่ยปากตอบรับ ก็หมายความว่ามั่นใจที่จะฝากทั้งชีวิตและความซื่อสัตย์ภักดีไว้กับเขาเพียงผู้เดียว
เกล้ามาลายังอยากเห็นความเสมอต้นเสมอปลาย เพระถ้าเขาทำได้ก็คงจะหมายถึงความมั่นคงด้วย ให้ความรู้สึกที่มีต่อกันค่อยเป็นค่อยไป ดังหยดน้ำเล็กๆ ที่รวมตัวกันเป็นสายธารชื่นฉ่ำ ไม่ใช่มาอย่างรวดเร็วและรุ่นแรงอย่างคลื่นลูกใหญ่ทรงพลัง แต่เมื่อได้กวาดทุกอย่างลงมหาสมุทรอย่างไม่อาจเรียกคืนได้แล้ว ก็หายวับไปในพริบตา
[1] เพลง ช่อมาลี
ความคิดเห็น |
---|