13

บทที่ 13


 

บทที่ 13

            หญิงสาวยังตาค้างอยู่ทั้งคืนเพราะหัวใจมันเต้นแรงสุดกู่และคิดว่าต่อไปคงต้องวางตัวกับแสงภาณุให้ดี แต่ก็คอยระวังอย่าให้ถึงขั้นเมินเฉยเย็นชา และต้องไม่ให้เขามองว่าให้ท่าเช่นเดียวกัน

                แต่การที่เธอไม่ปฏิเสธคำถามเมื่อคืนนั่น ซ้ำยังขวยเขินจนหน้าแดงให้เขาเห็น แสงภาณุก็คงรู้ว่าเธอรับคำว่ารักของเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาว่าเองว่าจะทำให้รับรักได้หรือไม่ ให้ดูใจกันไปสักพักคงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว

แต่พอสถานะเปลี่ยนไปหญิงสาวก็เริ่มเป็นกังวล จะวางตัวอย่างไรก็ยังนึกไม่ออก เหมือนสมองของเกล้ามาลาหลุดออกจากหัวจนไม่อาจคิดอะไรได้อีกนับแต่คนที่บอกรักเธอในงานวัดเมื่อคืนวานมาปลุกตอนรุ่งสาง เห็นเขามาเคาะประตูห้องนอนทักทายอรุณสวัสดิ์แล้วก็ได้แต่ยิ้มเขินๆ นึกจะพูดจาด้วยก็กรองแล้วกรองอีกว่าจะให้คำไหนออกจากปากจึงจะเหมาะสม

เช้านี้ทั้งเช้า เธอเผลอออกอาการเขินอายทุกทีเมื่อแสงภาณุมองมา บางครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเอามือไปวางไว้ที่ไหน ยามพูดคุยกันควรมองอะไร แต่หากจะให้สบตาเขาล่ะก็คงได้หัวใจวายไปก่อนเพราะมันเต้นแรงเหลืองเกิน

                ไปๆ มาๆ เกล้ามาลาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะเป็นตัวตลก เพราะเมื่อวานที่เธออยู่กับแสงภาณุก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะขำขันมากเท่านี้ และยิ่งวางตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่เพราะสายตาที่เธอมองชายหนุ่มนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แล้วนี่ควรจะดีใจไหมที่ได้ยินคำว่ารักจากปากเขา เพราะอะไรๆ มันเปลี่ยนไปจนทำให้เกร็งไปหมด

“กับข้าวไม่ถูกปากหรือครับคุณหญิง”

เธอนั่งตัวเกร็งหลบสายตาของแสงภาณุอยู่ระหว่างรับประทานอาหารเช้า มาณพก็ถามอย่างเป็นห่วง

“ผมให้คนครัวไปทำให้ใหม่ดีกว่า อยากรับอะไรดีครับ”

                “ไม่ต้องค่ะ ข้าวต้มนี่ก็อร่อยดี”

                “มาณพเขาคงเห็นว่าคุณหญิงไม่ค่อยตักเสียเท่าไร” คนที่เธอหลบสายตาอยู่บอกเนิบนาบราวว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้พูดเรื่องสำคัญที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตของเธอ “ทำไมไม่กินล่ะครับ”

                “คุณก็อย่าจ้องฉันซี”

                “อ้าว… ผมมองก็ผิดด้วย” พอเธอบอกไปตรงๆ แสงภาณุถามไปก็หัวเราะชอบใจ “ถ้าอย่างนั้นคงต้องควักลูกตาผมทิ้งแล้วกระมัง หากคุณหญิงไม่ให้มองผมก็ไม่รู้จะมีลูกตาไว้เพื่ออะไร”

                “คุณแสง!”

เกล้ามาลายิ่งเสียงหลงไปกันใหญ่ท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขำที่เจ้าของบ้านกลั้นไม่อยู่กันสักคนจนเธอทั้งค้อนทั้งเคืองพ่อคนหาเรื่องให้อาย

                “พูดอะไรไม่รู้ความ คราวหลังอย่าพูดอีกเชียว”

                “พูดบ่อยๆ อีกหน่อยก็ชิน คุณหญิงจะได้ไม่เขินผมอีกอย่างไรเล่าครับ” แสงภาณุดื้อด้านเป็นที่สุด “และหากคุณหญิงยังหลบหน้าหลบตาผมอยู่อย่างนี้ ผมจะมานั่งพูดให้ฟังทั้งวันเชียว”

                แสงภาณุก็เหมือนจะชอบใจมากขึ้นทุกทีที่เธอค้อน แล้วพอมาเห็นครอบครัวเจ้าของบ้านพากันหัวเราะขบขัน หญิงสาวก็ยิ่งเขินอายเข้าไปใหญ่

                “แต่ก่อนกลับบ้านคุณอา ไปเยี่ยมหม่าม้ากับผมหน่อยได้ไหม” ชายหนุ่มทำให้เธอลืมค้อนไปชั่วครู่เพราะพูดถึงผู้ใหญ่ “ท่านบ่นคิดถึงคุณหญิง คนที่บ้านก็ถามบ่อยๆ ว่าเมื่อไรคุณหญิงจะมา”

                “แต่ฉัน… ไม่กล้าไป”

                “ไหนรับปากผมแล้วว่าบ้านนั้นจะเป็นบ้านคุณหญิงอีกหลังอย่างไรเล่าครับ” เขาทวงสัญญาแล้วฝังกลบความลังเลของเธอด้วย “ไปเถิดนะครับ อย่างน้อยก็ไปเกาคางให้เจ้าลู่เสียนบ้างก็ยังดี มันคิดถึงคุณหญิงนะ”

                ถูกเขาคะยั้นคะยอหนักเข้าเกล้ามาลาก็อดขำไม่ได้เพราะเขาเอาแมวมาอ้าง แต่เสียงหัวเราะที่เผลอปล่อยออกมากับรอยยิ้มที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยของแสงภาณุนั้นเหมือนเข้ามาละลายความขวยเขินที่กดดันเธออยู่ เกล้ามาลารู้สึกเหมือนเขากำลังทำให้เธอสบายใจ ไม่ต้องเกร็งกับคำว่ารักที่เขาบอกเมื่อคืนวาน

พอสบายใจขึ้นหญิงสาวก็เริ่มกลับมาพูดคุยกันเขาอย่างสนิทใจได้เหมือนเดิมแต่ก็ดูตัวเองจะอารมณ์ดีไปอย่างน่าประหลาด เพียงแค่สายลมพัดแผ่วเบาผ่านใบหน้าก็ทำให้ยิ้มออกมาได้ ท้องฟ้า ท้องน้ำ หรือแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าที่ผ่านสายตาก็ดูสดใสไปหมด ตลอดการเดินทางโดยรถไฟจากอยุธยากลับมากรุงเทพฯ พร้อมแสงภาณุเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

เธอมีความสุขได้เพียงง่ายดายเพราะมีเขาอยู่ข้างๆ เท่านั้นเอง…

 

                แสงภาณุพาเธอนั่งรถรางมาลงใกล้ๆ บ้าน ต่อสามล้อถีบอีกนิดหน่อยก็ถึงคฤหาสน์สีน้ำผึ้งที่ตั้งตระง่านอยู่หลังสนามหญ้าที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่

เดินเข้ามาในบ้านก็เห็นว่าต้นมณฑาทิพย์ยังออกดอกดกเต็มต้นอยู่เหมือนเดิม และเบนสายตาไปเพียงเล็กน้อยก็พบว่าคุณนายเหมยฮัวนั่งจิบน้ำชาอยู่กับภรรยาอีกสามคนของท่านเจ้าสัว แต่เกล้ามาลายังไม่คุ้นกับผู้หญิงสวมชุดสีขาวลายดอกกุลาบแดงดอกใหญ่ที่นั่งหัวร่อต่อกระซิบอยู่ด้วยอีกคนเลย

มองๆ ไปแล้วก็อยากรู้ว่าสาวผมดำขลับยาวสลวยที่หันหลังให้ผู้นี้เป็นใคร หรือว่าจะเป็นหนึ่งในแปดน้องสาวของแสงภาณุที่กลับมาเยี่ยมบ้าน

“จะมาอีกทำไม”

เสียงบ่นเบาๆ ของแสงภาณุทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ใคร่จะพอใจแขกผู้มาเยือนเสียเท่าไร ชายหนุ่มชักสีหน้าใส่และไม่ยอมเดินเข้าไปหา ดวงตายาวรีคู่นั้นจ้องเขม็งอย่างระวังภัย เขาไม่เคยมองอาเน้ยหรืออาลั้งด้วยสายตาอย่างนี้ให้เธอเห็นมาก่อนเลย หรือว่าสาวชุดลายกุหลาบผู้นั้นจะไม่ใช่น้องสาวของแสงภาณุ

“เราเดินเข้าทางหลังบ้านดีกว่านะ”

“ไม่เข้าไปหาคุณแม่หรือคะ”

เกล้ามาลาถามอย่างงุนงงแต่ก็เรียกเหมยฮัวว่าแม่จนติดปากเพราะกลัวว่าจะถูกดุอย่างที่เคยครั้งยังอาศัยอยู่หลบซ่อนอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่พอเธอถามแสงภาณุก็ทำเพียงส่ายหน้าแล้วทำท่าจะเดินนำทางไปเข้าประตูหลังบ้านจริงๆ

“อ้าว! อาหมิง คุณหญิง กลับมาแล้วหรือ”

                ไม่ทันที่จะเดินหนีพ้นคุณนายเหมยฮัวก็ตะโกนเรียกจนเกล้ามาลาสะดุ้ง ตกใจไปแล้วก็พยายามเตือนตัวเองให้ชินเพราะผู้ใหญ่ในบ้านนี้ชอบพูดเสียงดัง แต่พอแม่เรียกลูกชายคนดีกลับถอนหายใจแรงดังเฮือกจนมาเข้าหูเธอ ก่อนจะยอมหมุนตัวกลับไปปั้นยิ้มให้แม่ ไม่ต่างจาการรีบสวมหน้ากากเลย

                “มานี่ๆ อาคุณหญิงน้อยอุตสาห์มาเยี่ยมลื้อตั้งแต่เช้าแล้ว พาคุณหญิงมาแนะนำให้อีรู้จักหน่อยซี”

                แปลก… พอแม่บอกอย่างนั้นพ่อคนหน้าบูดของเธอก็ยิ้มออกมาเสียง่ายๆ ดูจะสุนทรีย์มากเสียด้วยจนหญิงสาวสลับอารมณ์ตามเขาไม่ทัน แต่แสงภาณุไม่อธิบายอะไรนอกจากใช้ปลายนิ้วแตะแผ่นหลังเธอเบาๆ ราวกับบอกให้เดินเข้าหากลุ่มคนที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ในสวนทั้งที่เมื่อครู่จะเดินหนีอยู่แท้ๆ

                แต่พอเข้ามาใกล้เกล้ามาลาก็แทบจะลืมเรื่องงุนงงเมื่อครู่ไปจนสิ้น เมื่อต้องมาสบตาคนคุ้นหน้ากัน ทางนั้นก็ดูจะผงะไปเมื่อสบตาเธอ คงจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พบกันคืองานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าก้องปรีชา แต่ดูสาวชุดลายกุหลาบจะสะคราญตาสะคราญใจขึ้นเป็นกองจนเธอแทบจำไม่ได้ มีเหตุผลอะไรทำให้ดวงมณีต้องประเทินโฉมมากถึงเพียงนี้

                “คุณหญิงเกล้า!” หม่อมราชวงศ์หญิงดวงมณีแทบจะร้องเรียกเธออย่างลืมมารยาท “มากับคุณแสงได้อย่างไร”

                “ไม่เห็นแปลกนี่ครับ” แสงภาณุแย่งเธอตอบอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส “ว่าแต่รู้จักกันด้วยหรือ”

                “อ้อ! รู้จักดีทีเดียวค่ะ ชื่อเสียงของคุณหญิงเกล้ามาลาออกจะโด่งดัง… โดยเฉพาะเรื่องแม่ของคุณหญิง”

                หม่อมราชวงศ์สาวจีบปากจีบคอหัวเราะคิกคักแต่เกล้ามาลากลับอายจนหน้าชา ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนน้ำตาจะไหลแต่ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร จนได้แต่ปล่อยให้เพื่อนร่วมชั้นครั้งเรียนอยู่ปีนังถากถางอย่างได้ใจ

                “แล้วที่โบราณเขาว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว และบอกว่าดูช้างให้ดูหางดูนางให้ดูแม่ คุณแสงพอจะเคยได้ยินไหมคะ”

ดวงมณีทิ้งหางตาใส่เธออย่างชัดจนความอายกลายเป็นโกรธ ทว่าหญิงสาวเถียงไม่ออกสักคำ ในใจมีแต่ความเจ็บช้ำกับแผลที่มารดาทิ้งไว้ให้จนมันกลายเป็นตราบาปติดตัวเธอ

“โอ๊ย! แม่ก็ส่วนแม่ ลูกก็ส่วนลูก คนละคนกัน จะมานับรวมกันได้อย่างไร” เป็นคุณนายเหมยฮัวที่แก้ตัวให้เธอ “และทั้งอั๊วทั้งอาหมิงก็ดูมาจนมั่นใจแล้วว่าคุณหญิงเกล้าไม่เข้าข่ายตำราโบราณนั่นหรอก”

“แต่คนเขาก็พูดกันพระนคร”

“ถ้าอย่างนั้นก็คงเข้าใจผิดกันทั้งพระนครแล้วละครับ รวมทั้งคุณหญิงด้วย”

แสงภาณุตอบเสียงเรียบแต่ดูเหมือนคนที่กระแหนะกระแหนเธออยู่เมื่อครู่จะหน้าเสียไปเลยทีเดียว และในขณะเดียวกันก็ทำให้เกล้ามาลาใจชื้นขึ้นมาด้วย เพราะแม้สังคมนอกรั้วบ้านจะกล่าวหาเธออย่างไรแต่คนในบ้านนี้ก็เข้าใจและแยกแยะได้เสมอ ไม่มีใครกล่าวโทษเธอเลย

และที่อุ่นใจที่สุดคือชายหนุ่มที่ยืนเคียงข้างกันผู้นี้จะปกป้องเธอไปทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“ว่าแต่คุณหญิงน้อยมาหาผม มีธุระอะไรหรือครับ”

แสงภาณุเปลี่ยนหนีไปชวยคุยเรื่องอื่น พลางพาเธอนั่งร่วมโต๊ะน้ำชาให้เข้าที่เข้าทาง หลังจากที่เหล่าอนุภรรยาของเจ้าสัวเล้งถอยตัวออกไปให้คุณชายใหญ่ได้คุยกับแขก

“หรือมีเครื่องทองโบราณงามๆ มาปล่อยขายให้ผมอีก”

“เปล่านะคะ!”

ดวงมณีหน้าเสียไปเมื่อถูกถามอย่างนั้นแต่ก็เห็นว่ารีบปรับท่าทางให้กลับหน้าเชิดดังเดิม

“แต่ฉันรู้มาว่าคุณแสงถอนหมั้นกับลูกสาวเจ้าคุณวรรณวาณิชแล้ว จริงหรือไม่คะ”

“ครับ”

“คราวนี้คุณแสงก็โสดสนิทแล้วน่ะซีคะ!”

ได้ยินอย่างนั้นดวงมณีก็ดีใจจนออกนอกหน้าขนาดที่ว่าเกล้ามาลายังอายแทนกับกิริยาตาโตเป็นไข่ห่านของเพื่อนร่วมชั้นเรียน นึกเสียหน้าแทนพ่อแม่ครูอาจารย์ที่อบรมบ่มนิสัยมาแต่ไม่สำเร็จ แล้วพอเธอเห็นสีหน้าผู้ชายระอาเหลือทนก็ยิ่งขายหน้าแทนเป็นไหนๆ แม่คุณดูไม่ออกหรือว่าเขารังเกียจ

                “อ้อใช่ๆ โสด แต่สนิทหรือเปล่านี่อั๊วไม่รู้นะ”

คุณนายเหมยฮัวแทรกขึ้นมาราวกับรู้ว่าลูกชายจะไม่ยอมออกปากอะไร แต่ก็อารมณ์ดีแช่มชื่น แล้วยังหันมายิ้มให้เธออีกต่างหาก

“แต่ก็คงโสดอีกไม่นานแล้วล่ะ อาหมิงกำลังจะหมั้นหรือไม่ก็อาจจะแต่งไปเลยก็ได้ ก็คราวนี้ไม่ได้ถูกผู้ใหญ่จัดการให้แต่อีถูกใจของอีเอง ไว้ได้ฤกษ์ได้ยามแล้วอั๊วจะส่งเทียบเชิญไปให้นะ คุณหญิงน้อย”

                “ส่งเทียบเชิญให้ฉัน?” จากที่ยิ้มๆ อยู่ดวงมณีก็หน้านิ่วขึ้นมาทันที “แล้วคุณแสงจะแต่งกับใครคะ”

                “อ้าว… เมื่อกี้อั๊วก็ยังบอกให้อาหมิงพามาแนะนำกับคุณหญิงอยู่เลย ยังไม่รู้จักกันอีกหรอกหรือ”

                คุณนายเหมยฮัวถามไปก็หัวเราะคิกคักราวกับพูดเรื่องตลกทว่าคนฟังกลับหน้าม่านไป เพื่อนร่วมชั้นมองเธอราวกับพบเรื่องสยองขวัญ ตาเหลือกลานไปหมดจนเกล้ามาลานึกกลัว แต่ไม่ทันที่เธอจะตั้งสติได้ ดวงมณีก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วลุกเดินออกไปจากโต๊ะน้ำชาอย่างไม่ให้ใครต้องไปส่งแขกเลย

                “โอ๊ย… แม่คนนี้ อั๊วละยอมจริงๆ”

แม่ของแสงภาณุบ่นอุบลังจากที่เห็นรถยนต์ของดวงมณีพ้นเขตรั้วบ้านไป

“นี่ถ้าลื้อไม่รีบกลับมานะอาหมิง สงสัยหม่าม้าต้องนั่งให้อีประสบสอพลอใส่ไปอีกนานเชียว”

                “คงไม่กล้ามาอีกแล้วล่ะครับ” ลูกชายพูดเหมือนรู้กันจนเกล้ามาลางงไปหมด “แต่ก็ขอบคุณที่จัดการเด็ดขาดให้นะครับ”

                “ต้องขอบคุณคุณหญิงเกล้า” คุณนายเหมยฮัวพูดกับลูกชายแต่หันมายิ้มให้เธอ “ดีนะอีไม่เถียงว่าไม่ใช่เมียลื้ออีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นหม่าม้านี่แหละที่หน้าแตก”

                “ค่ะ”  

เธอเข้าใจว่าเหมยฮัวพูดเรื่องอะไรอยู่แต่ก็ไม่มีจังหวะได้คะคานอีกตามเคย และมันทำให้ดวงมณีดีดกระเด็นออกไปได้ด้วย จึงปล่อยเลยตามเลยไป แต่ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนบ้านนี้ไม่ชอบอดีตเพื่อนร่วมชั้นของเธอหรือจึงหาเรื่องให้อาย

“แต่เหตุใดต้องบอกคุณหญิงน้อยว่าอย่างนั้นด้วยคะ”

                “ก็อีจะมาจับลูกชายอั๊ว!” คราวนี้คนเป็นแม่ดูโมโหขึ้นมาฟึดฟัด “หน็อยแน่! คิดว่าอั๊วรู้ไม่ทันหรือว่าคุณหญิงคุณชายก๊กนั้นถังแตก จนต้องเที่ยวเข้าออกบ้านเศรษฐีไปหยอดเขาไว้ทั่วหมายจะได้ตกถังข้าวสาร นี่คงหมายตาอาหมิงไว้อีกคนล่ะซีถึงตามมาวอแวอยู่ได้ พอรู้ว่าลูกอั๊วถอนหมั้นก็ยิ่งกระดี๊กระด๊าใหญ่ ไม่มีทางเสียหรอก!”

                “เขาจะทำเรื่องหน้าอายเพียงนั้นจริงๆ หรือคะ! ความรู้การศึกษาก็มี เหตุใดไม่ทำมาหากินด้วยตัวเอง”

                “ก็ก๊กนั้นรักสบายแล้วก็ไม่ได้หน้าบางเท่าลื้อน่ะซี”

คุณนายเหมยฮัวบอกอย่างเป็นกันเองและหญิงสาวไม่รู้สึกว่านี่เป็นคำด่ากระแหนะกระแหน แต่ผู้ใหญ่เพียงจะชี้แจงอย่างให้เห็นภาพชัดๆ ตามประสาคนพูดตรงเท่านั้น

“ไฮ้! ไม่เอาล่ะ ไม่อยากพูดถึงให้อารมณ์เสีย ไปบอกคนครัวหาข้าวให้ลื้อกับอาหมิงกินดีกว่า แต่อยู่ถึงกินข้าวเย็นนะคุณหญิง อั๊วอยากทำอะไรให้ลื้อกินตั้งเยอะแยะ อยู่นะๆ”

จู่ๆ แม่ของแสงภาณุก็เปลี่ยนเรื่องจนเธอปรับอารมณ์แทบไม่ทันคนวัยทอง แต่ดูไปแล้วก็น่ารักดี เกล้ามาอดยิ้มตามไม่ได้เลย อบอุ่นใจจนรู้สึกว่าที่นี่เป็นครอบครัว เป็นบ้านอีกหลังของเธอไปแล้วจริงๆ

กำชับเสร็จแล้วคุณนายเหมยฮัวก็โบกสะบัดพัดจีนเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้เธอกับแสงภาณุมองหน้ากันเก้อๆ เพราะรู้ว่าคงต้องนั่งเล่นอยู่บ้านนี้อีกนานจนกว่าจะได้รับประทานอาหารเย็น จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากว่าขอตัวไปโทรศัพท์หาผู้จัดการที่ห้างสักครู่เพื่อติดตามงานเพราะตัวเองไปธุระต่างจังหวัดมา

แสงภาณุให้เธอมานั่งเล่นกับอาเน้ยที่กำลังจะนั่งเก็บดอกหญ้าออกจากขนให้เจ้าลู่เสียนอยู่พอดี เกล้ามาลาจึงจับเจ้าเหมียวอาบน้ำเสียเลยเพราะหวังว่ามันจะทำให้ตะกอนความคิดแสนขุ่นมัวที่ดวงมณีทิ้งไว้ในหัวใจเมื่อสักครู่นั้นสงบลงได้บ้าง แต่ก็ยังไม่อดคิดไม่ได้ว่านอกรั้วบ้านนี้ นอกรั้วบ้านของคุณป้า และนอกรั้ววังสัตตบรรณ ผู้คนจะครหาหรือนินทาเธอไปมากแค่ไหน

ชื่อเสียงจะหม่นหมองเพราะเรื่องที่แม่ทำไว้ไปมากเท่าไร เกล้ามาลาไม่อาจจินตนาการได้เลย…

 

สามสี่วันผ่านมาแล้วเธอก็ยังไม่ได้ข่าวช่อทิพย์ แต่เพราะถูกสั่งว่าห้ามออกจากบ้านไปตามหาด้วยตัวเองให้เสี่ยงกับเครื่องบินทิ้งระเบิดอีก หญิงสาวจึงยอมอยู่นิ่งและตั้งหน้าตั้งตารอฟังข่าวพี่สาวจากคนที่แสงภาณุจ้างวานให้สืบหา

แต่เกล้ามาลาก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่บ้านนิ่งๆ ไม่ได้จึงเริ่มหาอะไรหยิบจับมาทำ ไม่เสียเวลาหายใจทิ้งไปเปล่าๆ และป้องกันไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่างอีกทั้งช่วยแบ่งเบางานในบ้านของคุณป้าด้วย อยู่ที่นี่หญิงสาวก็ถือคติอยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น งานบ้านมีอะไรเธอก็ช่วยพวกบ่าวทำ และรับปากคุณป้าว่าจะช่วยเป็นหูเป็นตาคอยดูลูกสาวคนเล็กผู้ชอบเที่ยวเล่นนอกบ้านให้ ทำหลายอย่างเข้าเกล้ามาลาก็ลืมวันลืมคืนไปเอง

อยู่บ้านป้าสุขสบายก็จริงแต่หลายครั้งเกล้ามาลานึกเกรงใจ แม้ท่านไม่เคยออกปากแต่เธอก็เห็นว่าเมื่อมีหลานมาอยู่ด้วยค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นจนหญิงสาวชั่งใจอยู่หลายหนว่าจะกลับไปทูลขอกิจการที่ฝากเจ้าอาดูแลไว้กลับมาทำกินเองดีหรือไม่เพื่อจะได้ไม่รบกวนเงินคุณป้า แต่ก็ไม่กล้าไปเพราะเกรงหม่อมเจ้าเกศกษมาจะทรงรู้ว่าหลานยังอยู่ในพระนครแล้วเรื่องจะไปถึงคุณหูแม่ของเธอ เกล้ามาลาอยากพบแม่อีกแล้ว

“คุณหญิง… คุณหญิง อยู่ในเรือนไทยหรือไม่”

“ค่ะ”

เกล้ามาลาขานรับเพราะได้ยินป้าเรียก แล้วก็วางมือจากฟักทองที่แกะสลักเป็นดอกรักเร่แช่น้ำปูนใสว่าจะเชื่อม และโผล่หน้าไปให้ท่านเห็นก่อนที่ผู้ใหญ่จะต้องเดินขึ้นมาตามถึงในเรือนไทยริมน้ำ

“มาขลุกอยู่เรือนไทยอีกแล้ว ติดใจอะไรหนักหนาหนอกแม่คุณ”

“ลมเย็นดีนี่คะ” เกล้ามาลาตอบยิ้มๆ เพราะถึงคุณป้าเหมือนจะบ่นแต่สายตายังเอ็นดู “คุณป้ามีอะไรจะใช้หญิงหรือเปล่าคะ”

“พ่อแสงมาหา ไปพบเขาเสียหน่อย”

“มาทำไมคะ”

เกล้ามาลาถามอย่างประหม่า เพราะนับแต่ได้ยินว่าคำรักจากเขามาการพบแสงภาณุก็กลายเป็นเรื่องเขินอายของเธอไป ทว่าจะหนีหน้าก็ไม่คิดทำเพราะเกรงชายหนุ่มจะเข้าใจผิดไปว่าเธอปฏิเสธ แต่จะให้แสดงออกชัดเจนดังใจคิดก็กลัวจะเกินงามจนบางทีหญิงสาวก็เริ่มวางตัวไม่ถูก บางครั้งแค่มองหน้าเธอไม่กล้ามองเลย

“เขาว่ามาเรื่องงาน”

คุณป้าตอบอย่างนั้นคนที่มัวแต่คิดเรื่องหัวใจก็เผลอหน้ามุ่ยเพราะไม่เป็นดังใจที่แอบหวังไว้ว่าชายหนุ่มจะมาหาเพราะคิดถึง

“รีบไปพบเขาหน่อยเถิดคุณหญิง รออยู่ในห้องโถงโน้นแหนะ ประเดี๋ยวจะรอนาน”

เกล้ามาลาไปตามคุณป้าสั่งแต่ก็ไม่กล้าเดินเร็ว เกรงว่าแสงภาณุจะหาว่าเธอดีใจจนออกนอกหน้าที่เขามาหา พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดยามพบเจอ ไม่ให้ได้รู้แน่ว่าหัวใจของเธอเต้นแรงแค่ไหน

แต่พอได้พบหน้า เห็นเขายิ้มหวานจนตาหยี่มาให้เกล้ามาลาก็เหมือนจะตั้งหลักไม่อยู่ จากที่เคยตั้งใจว่าจะทำเฉยให้ตัวเองนิ่งๆ กลับทำไม่ได้ เผลอก้มหน้าหลบอย่างขวยเขินเพราะรอยยิ้มที่แย้มบานอยู่เต็มใบหน้าของชายหนุ่ม

“ฮะแฮม!”

เสียงกระแอมโดยตั้งใจของคุณป้าทำให้เกล้ามาลาหุบยิ้มฉับพลันจนสะดุ้งเพราะกลัวท่านจะว่า แล้วยังหวาดๆ ขึ้นมาเพราะเกรงใจที่ว่าลูกสาวคนโตของท่านก็เคยหมั้นหมายกับผู้ชายคนนี้ หากคุณป้ารู้ว่าแสงภาณุชอบคออยู่กับเธอแล้วท่านจะโกรธหรือไม่ หลานสาวก็ยังไม่กล้าเดาใจเลย

“พ่อแสงมีธุระอะไรคุณหญิงเกล้าหรือ”

คุณป้าถามพลางส่งสายตาบอกให้เธอนั่งคุยกันโดยมีท่านเป็นผู้ใหญ่อยู่ด้วย แต่แสงภาณุก็ไม่ได้ตอบในทันที ยิ้มให้เธอก่อนแล้วค่อยเอ่ยปากอย่างมีความหวัง

“ผมมาทวงสัญญาที่คุณหญิงว่าจะไปช่วยผมทำงานที่ห้างครับ”

“หือ?... ไปสัญญากันตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นคุณหญิงจะบอกป้าสักคำ”

คำถามของคุณป้าทำให้เกล้ามาลาห่อตัวหดเพราะท่านมองมาอย่างพินิจพิเคราะห์ เธอไม่ได้กลัวแค่ที่ว่าเคยนึกอยากทำงานนอกบ้านโดยไม่บอก แต่เกรงว่าแสงภาณุจะเล่าเรื่องที่อยุธยาให้ฟังด้วย เพราะหากเป็นจริงก็กลัวท่านขุ่นเคือง

“แล้วนี่คุณหญิงจะทำไหวหรือ”

“ไหวซีครับ” แสงภาณุแย่งเธอตอบราวกับกลัวว่าจะไม่ได้คนไปทำงานให้ “คุณหญิงจบมาสูงพอสมควร พิมพ์ดีดก็ได้ ทำบัญชีก็ได้ ให้ไปช่วยงานผมเถิดนะครับ ทำงานในออฟฟิศ ไม่ลำบากหรอก”

“ตำแหน่งอะไร”

“เลขานุการครับ”

“ของพ่อแสงหรือ”

แสงภาณุตอบคุณป้าไม่คล่องปากเหมือนทุกทีเมื่อถูกผู้ใหญ่ถามเสียงเย็นแล้วทำตาเขม็งใส่ น่ากลัวจนเกล้ามาลาก็แอบขนลุกเพราะไม่รู้ท่านแฝงอะไรไว้ในคำพูดหรือเปล่าจึงทำตาดุนัก

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำเสียงหนักและนิ่งไปนานกว่าทุกที “ผมอยากให้คุณหญิงเกล้าไปทำงานกับผม คุณอาอนุญาตได้ไหมครับ”

“ถ้างานสุจริตก็ทำไปซี จะไปว่าอะไรได้… ว่าแต่คุณหญิงเล่า อยากไปทำงานกับพ่อแสงไหม”

“คุณหญิงสัญญากับผมแล้วนี่ครับว่าจะไป”

“แหนพ่อแสง! ทำไมกลายเป็นคนใจร้อนอย่างนี้ไปได้”

เธอไม่ทันได้อ้าปากตอบเสียด้วยซ้ำ คุณป้ากับแสงภาณุก็ขัดแย้งกันเสียแล้ว เป็นอย่างนี้ท่านจะเคืองจนไม่อยากให้เธอไปทำงานไหม แล้วทำไมเขาช่างใจร้อนผิดหูผิดตาไปอย่างที่คุณป้าว่าจริงๆ

“เจ้าตัวเขายังไม่ได้ตอบเลย อย่ามามัดมือชกหลานอาซี”

คุณป้าเอ็ดซ้ำจนคนหนุ่มทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ ให้ ก่อนที่ท่านจะหันมาหาเธอ

“ว่าอย่างไรคุณหญิง อยากไปทำงานกับพ่อแสงไหม”

“หญิงก็อยากมีรายได้มาช่วยแบ่งเบาคุณป้าบ้างค่ะ” เกล้ามาลาตอบอ้อมๆ อย่างเกรงใจ “แต่จะไปหรือไม่ คงสุดแล้วแต่คุณป้าค่ะ”

“แบ่งเบาอะไรกัน หลานทั้งคนป้าเลี้ยงได้อยู่แล้ว” คุณป้านิ่วหน้าตอบแต่ยังมองอย่างเอ็นดู “แต่หากอยากทำงานก็ลองไปทำดูก่อน ถ้าไม่ชอบก็ค่อยว่ากัน”

“ขอบคุณครับ” แสงภาณุยิ้มหวานกว่าเธอเสียอีก “ไว้เริ่มงานพรุ่งนี้ ผมจะมารับมานะครับ”

“ฉันไปเองดีกว่าค่ะ” คนจะไปเป็นลูกจ้างตอบอย่างเกรงใจ “กว่าจะมารับฉันคงต้องย้อนไปมา ห้างของคุณก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านคุณป้าเสียเท่าไรนี่คะ”

“แล้วคุณหญิงจะไปถูกจริงๆ หรือ” เขาเถียงหน้าเป็น “ให้ผมมารับเถิดนะครับ”

“มาสักสองสามวันแรกก็แล้วกันนะพ่อคุณ”

ผู้ใหญ่ออกจากปากจัดการให้แล้วมองแสงภาณุตาเขม็งเหมือนจะหาคำตอบอะไรสักอย่างให้ตัวเองอยู่

“แล้วจะทำอะไรก็ระวังคนข้างนอกเขามองไม่ดี น้องเป็นผู้หญิงนะ”

“ครับ”

ถึงคุณป้าจะดุแต่แสงภาณุก็ยิ้มแป้น ดูๆ ไปก็น่าหมั่นไส้อยู่เหมือนกัน แต่พอได้เธอไปทำงานด้วยสมใจเขาก็อารมณ์ดีเสียจนไม่ได้สนใจแล้วกระมังว่าผู้ใหญ่จ้องเขม็งอยู่

สายตาของคุณป้าน่ากลัวชอบกล จนเกล้ามาลาอดคิดไม่ได้ว่าหากท่านทราบเรื่องที่อยุธยาแล้วยังจะกล้าปล่อยให้ไปทำงานกับเขาอยู่อีกไหม และท่านจะว่าอย่างไร หากรู้ว่าแสงภาณุบอกรักเธอ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น