15

บทที่ 15


 

บทที่ 15

                เข้าวันที่สามแล้วที่เกล้ามาลาไม่มาทำงาน โทรศัพท์ไปถามที่บ้านไหมทองก็บอกแต่ว่าน้องสาวไม่สะดวกจะคุยด้วยจนคนรอกระสับกระส่ายมากเข้าทุกที และเขาจะไม่ทนรอนานกว่านี้อีกแล้ว

                แสงภาณุปิดวิทยุแล้วเดินออกจากห้องทำงานด้วยความร้อนใจเพราะใกล้จะเที่ยงแล้วเขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของเกล้ามาลา และมั่นใจว่าหากปล่อยอย่างนี้ต่อไปคงได้ใจขาดไปเสียก่อน ใจร้อนรนก็ยังคิดไม่ตกว่าตัวเองไปทำอะไรให้เธอโกรธหรือไม่ สาวเจ้าจึงเงียบหายราวตั้งใจหนีหน้าเช่นนี้ ไปถามถึงบ้านคงได้รู้กัน

                “คุณแสงจะไปไหนครับ” ก้าวขาออกจากห้องทำงานแค่นิดเดียวผู้จัดการห้างก็ร้องทัก “มีธุระอะไรให้ผมไปทำให้ไหม ข้างนอกอาจจะมีอันตรายก็ได้นะครับ”

                “แล้วจะให้ผมส่งคุณออกไปเสี่ยงอันตรายแทนอย่างนั้นหรือ” ถามไปอย่างนั้นลูกน้องคนสนิทก็ไม่กล้าแย้งอะไรอีกแต่เขายังสงสัยอยู่ดี “แต่ข้างนอกมีเรื่องอะไร เหตุใดจึงว่าอันตราย”

                “ญี่ปุ่นยินยอมลงนามให้ไทยรวมสหรัฐไทยเดิม เอาเมืองเชียงตุงและเมืองพวนในรัฐฉานมาเป็นดินแดนของไทยแล้วนะครับ ประเทศในอาณานิคมของอังกฤษแท้ๆ ท่าทางจะระอุหนักอยู่นะคุณแสง”

แสงภาณุพยักหน้ารับรู้กับข่าวที่ตัวเองก็ทราบมาแล้วแต่ก็ไม่ขัดคนหวังดีมาเตือน จึงปล่อยให้ผู้จัดการห้างพูดไปอย่างไม่ขัดน้ำใจ

“ผมเกรงว่าเขาจะรบพุ่งกันหนักกว่าเดิม หากมีการทิ้งระเบิดตอนกลางวันขึ้นมาคงอันตราย”

                “ขอบคุณนะ แต่ธุระของผมใช้คุณไปแทนไม่ไดหรอก ผมจะออกไปหาคุณหญิงเกล้า”

                “จะไปตามกลับมาทำงานหรือครับ” ผู้จัดการห้างร้องตาใสขึ้นมาทันที “ก็ดีนะครับ คุณหญิงทำงานเรียบร้อยดี ผมยังเสียดาย ไม่น่าลาออกเลย”

                “ลาออก!” คนเพิ่งรู้เรื่องถึงกับร้องเสียงหลง “อะไรกัน ทำไมไม่มีใครแจ้งผม”

                “คุณหญิงส่งใบลาออกมาให้ผมตั้งแต่คุณแสงยังไม่กลับจากนครสวรรค์แล้วนี่ครับ ผมให้ฝ่ายบุคคลเดินเรื่องอยู่ยังไม่ได้ยื่นขึ้นไปให้… แต่เอ? คุณหญิงไม่ได้บอกคุณแสงหรือครับว่าจะออก”

                “แล้วบอกหรือไม่ว่าลาออกเพราะเหตุใด”

                “ไม่ครับ บอกแค่จะลาออก แล้วก็ไปเลย”

                เกล้ามาลามีเหตุผลอยู่แล้วที่ไม่บอกว่าลาออกเพราะอะไร แต่ไม่ยอมบอกเขาต่างหาก ชายหนุ่มมั่นใจอย่างนั้นแต่ก็ไม่มีอารมณ์จะมานั่งอธิบายให้ผู้จัดการห้างฟัง และแม้ว่าข้างนอกอาจมีเหตุรุนแรงครุกรุ่น เขาก็ยังมั่นใจว่าจะต้องไปพบเพื่อขอคำตอบจากคนที่จู่ๆ มาทิ้งกันไปอย่างไม่บอกกล่าวให้ได้

                มาถึงบ้านของคุณหญิงวรรณวาณิชได้เขาก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกับเจ้าของบ้าน ถามแค่ว่าเกล้ามาลาอยู่ที่ไหนผู้ใหญ่ก็ให้บ่าวไปตามให้ คนรอก็รออย่างใจจดใจจ่อเสียนาน ทั้งตื่นเต้นทั้งอยากรู้คำตอบจนหัวใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ แต่เมื่อเห็นหน้าคนที่เขาตั้งตาคอย หัวใจของชายหนุ่มก็เต้นแผ่วลงราวมันหมดแรง เกล้ามาลาไม่ยอมสบตาเขาเลย

                “มีธุระก็คุยกันไปแล้วกันนะ”

ผู้ใหญ่คงรู้ว่าเขาอยากคุยกับหลานสาวของท่านเป็นการส่วนตัวจึงหาข้ออ้างลุกหนีจากห้องรับแขก

“อาจะไปเตรียมมื้อกลางวันไว้ให้ อยู่กินด้วยกันนะพ่อแสง”

                “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณป้า คุณแสงมาธุระครู่เดียวก็จะกลับแล้ว”

                คนอุตส่าห์ตั้งใจมาหาถึงกับพูดไม่ออกเพราะเกล้ามาลาตัดบทเขาเสียเอง กระทั่งคนเป็นป้าก็ยังดูตกใจที่สายตาของหลานสาวที่มองเขากระด่างกระเดื่องไป ต่างจากที่เคยเป็นมาจนแสงภาณุเริ่มใจหาย รู้สึกว่าระหว่างเขากับเกล้ามาลามีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป และเป็นสิ่งที่ทำให้เธอลำบากใจจะมองหน้ากัน

                “คุณหญิงลาออกทำไมครับ”

แสงภาณุถามอย่างไม่อ้อมค้อมเมื่อผู้ใหญ่ออกจากห้องรับแขกไปให้ได้คุยกันสะดวกแต่หญิงสาวยังไม่ยอมสบตาเขา ถามไปก็ยิ่งเงียบราวกับว่าเธอจะไม่ยอมพูดด้วยอีกแล้ว

“คุณหญิง” แสงภาณุเรียกซ้ำแล้วตัดสินใจจะพูดกันตรงๆ “ผมอาจจะโง่ไปสักหน่อย แต่ผมไม่รู้ว่าทำอะไรให้คุณหญิงโกรธหรือไม่พอใจ จะกรุณาบอกผมหน่อยได้ไหมครับ”

“แล้วหากฉันจะขอร้องว่าอย่ามาพบฉันอีก คุณทำได้หรือไม่คะ” คำถามของคนที่เพิ่งยอมสบตาทำให้แสงภาณุแทบหายใจไม่ออก “คุณกลับไปเถิด อย่ามาพบกันให้ฉันลำบากใจอีกเลย”

ชายหนุ่มอ้าปากค้างอย่างตอบไม่ได้และไม่เข้าใจ แต่ยิ่งพยายามหาเหตุผลจากดวงตากลมคู่นั้นเท่าไรก็พบเพียงความอึดอัดใจที่มันล้นออกมา ยิ่งมองเขายิ่งไม่เข้าใจ ก็ในเมื่อก่อนจะโกหกว่าไปนครสรรค์เธอยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ บอกรักไปหญิงสาวก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เหตุใดวันนี้จึงไล่กัน

“แล้วหากต้องพบผม คุณหญิงลำบากใจอะไร”

“ฉันไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งคู่หมั้นพี่สาวตัวเอง”

คำตอบสั้นๆ ของเกล้ามาลาเต็มไปด้วยขื่นขม ทั้งน้ำเสียงและแววตาสั่นเครือจนบีบหัวใจของเขาไปหมด แต่แสงภาณุก็รู้อยู่ลึกๆ แล้วว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพบกับปัญหานี้จึงเฝ้าย้ำให้ฟังมาเสมอว่าถอนหมั้นกับช่อทิพย์ไปแล้ว อีกทั้งหญิงสาวก็รับปากว่าจะเชื่ออย่างนั้น แต่ระหว่างเขาที่ไม่อยู่มีสาเหตุอะไรมาทำให้เกล้ามาลาหวั่นไหวจนตัดสัมพันธ์กัน

“ถ้าเพราะเหตุผลนี้ผมจะไม่ไป เพราะคุณหญิงไม่ได้ทำอย่างที่ใครว่า” แสงภาณุยันเสียงหนัก “แต่หากคุณหญิงเกรงใจคุณอาศรีเพ็ญ ผมจะพูดเรื่องนี้กับท่านเอง และผมมั่นใจว่าท่านจะเข้าใจ”

“แล้วคุณพูดเรื่องนี้กับทุกคนได้หรือคะ” หญิงสาวยิ่งเสียงสั่นไปกันใหญ่ “ใครมารู้เรื่องเข้าป่านนี้คงไปเที่ยวโพนทะนาให้เข้าใจกันไปทั่วพระนครแล้วว่าฉันแย่งคู่หมั่นพี่ช่อทิพย์”

“คุณหญิงจะสนใจพวกปากหอยปากปูนั่นทำไม”

“หากคุณไม่เคยถูกนินทาว่าร้ายกับความผิดที่ตัวเองไม่ก่อ จนต้องซ่อนอยู่ในกะลาก้าวขาออกจากบ้านไม่ได้อย่างฉัน คุณก็อย่าถามอย่างนี้เลย”

                เกล้ามาลาตอบทั้งน้ำตา เป็นน้ำตาเพียงไม่กี่หยดที่ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าเธอเจ็บปวดมากแค่กับมลทินแปดเปื้อนที่ผู้คนป้ายสีให้ เฉพาะเรื่องแม่มีสามีใหม่ที่บีบหัวใจจนต้องหลบลี้อยู่ในวังสัตตบรรณอยู่แรมปีก็มากพออยู่แล้ว ซ้ำร้ายเกล้ามาลายังถูกหางเลขพลอยมีคนมาด่าว่าไปด้วยในงานพระราชทานเพลิงศพท่านชายก้องทั้งที่เธอไม่ได้ทำผิดแม้แต่น้อย

แต่เสียงนินทาว่าร้ายคงกัดกร่อนหัวใจเธอจนเหลือทน แล้วยิ่งมาถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิดเสียเอง ถูกด่าว่าแย่งคู่หมั้นพี่สาวไป เกล้ามาลาจะทนได้หรือ

เธอคงไม่อยากเจ็บช้ำอย่างที่เคยมาเป็นอีกแล้ว…

 

แสงภาณุรู้แล้วว่าต้องปล่อย ในยามนี้เขาคงไม่สามารถไปคาดคั้นให้หญิงสาวเข้าใจอย่างที่ตัวเองต้องการได้ และสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดคือตามตัวช่อทิพย์กลับมายืนยันว่าได้ถอนหมั้นกันเด็ดขาดไปแล้ว เกล้ามาลาจะได้สบายใจว่าไม่ได้แย่งคู่หมั้นใคร

แต่ปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ให้ตกคือทำอย่างไรเกล้ามาลาจะหายเจ็บปวดกับสิ่งที่แม่ทิ้งไว้ให้เป็นตราบาปติดตัวเธอ จนทำให้กลัวคำนินทาเสียจนเลือกที่ตัดเขาออกไปจากชีวิตทั้งที่เธอเองก็เจ็บปวด ถึงปากจะแข็งแค่ไหนแต่ซ่อนความรู้สึกในแววตาไม่มิด และหากไม่มีเยื่อใยต่อกันเลยสักนิด เกล้ามาลาคงไม่เดินหนีเขาขึ้นบ้านไปทั้งน้ำตา

คิดเรื่องเมื่อกลางวันแล้วแสงภาณุก็ยิ่งกลุ้ม คิดไม่ออกเสียทีว่าจะแก้ปัญหาใหญ่นี้ด้วยวิธีไหนเพราะบางทีแค่การเอาตัวช่อทิพย์มายืนยันก็คงไม่อาจจะลบคำนินทาของพวกปากหอยปากปูได้ หรือจะให้ยากกว่านั้นคือเปลี่ยนทัศนะคติของเกล้ามาลาว่าอย่าไปใส่ใจคำนินทามากเกินไป แต่ก็ต้องเข้าใจอีกนั่นแหละว่าเธอถูกเลี้ยงมาอย่างนางหงส์ทรงสง่า คงไม่อยากแปดเปื้อนราคีใดๆ

แม้จะยากแต่เพราะรักปักใจไปแล้วอย่างไม่อาจถอดถอน แสงภาณุก็ยังมุ่งคิดหาวิธีว่าจะแก้ปมในใจของหญิงสาวได้อย่างไร และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับไปหาเกล้ามาลาอีกในเวลาไหนถึงจะเหมาะสม เป็นเวลาที่หญิงสาวจะยอมเปิดใจฟังเขาอีกครั้ง แต่คงไม่ใช่ในเร็วๆ นี้แน่เพราะเขามีงานใหญ่ต้องไปทำ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ไม่มีช่อว่างให้ขยับตัวได้ดังใจเลย

                “หม่าม้าครับ นอนหรือยังครับ”

                คนคิดมากทั้งเรื่องงานและเรื่องหัวใจกลับมาถึงบ้านเวลาพลางไฟพอดี ในบ้านจึงดูสลัวๆ จนไม่คิดว่าคุณนายเหมยฮัวจะทำอะไรได้อีกนอกจากนอนหลับพักผ่อน แต่ที่มาเรียกก็เพราะเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำอีก และชื่นใจขึ้นมาเป็นกองเมื่อแม่ออกมาเปิดประตูให้

                “กลับค่ำเชียววันนี้” แม่ทักเขาอย่างแจ่มใส “กินอะไรหรือยัง หม่าม้าจะหามาให้”

                “เรียบร้อยแล้วล่ะครับ แค่แวะมาหาก่อนนอนน่ะ”

                ลูกชายคนเดียวบอกเสียงเรียบแล้วยิ้มเล็กน้อยให้มารดา ก่อนจะจูงมือท่านเข้าไปในห้องนอนกว้างที่บัดนี้มีเพียงผู้เป็นภรรยานอนอยู่ลำพังจนบางทีแสงภาณุก็นึกแปลกใจว่าแม่อดทนอยู่กับความเดียวดายโดยไร้พ่อคอยเคียงข้างได้อย่างไร

                “แล้วหม่าม้าทำอะไรอยู่ครับ ทำไมยังไม่นอน”

ลูกชายชวนคุยแล้วเหลือบตาไปมองหีบไม้หอมใบหย่อมบรรจุทองรูปพรรณหลายเส้นที่อยู่บนเตียง ข้างๆ มีเจ้าลู่เสียนขึ้นมานอนโบกหางอย่างสบายอารมณ์ คงอยู่เป็นเพื่อนให้มารดาคลายเหงา เห็นแล้วก็นึกอยากเย้าเล่น เพราะอย่างไรเสียการอยู่กับแม่เขาก็อยากให้ท่านเห็นแต่มุมอารมณ์ดี

“เอาทองมาสวมเล่นหรือครับ”

                “ไฮ้! ก็เอาออกมานับๆ ไว้ให้ลื้อนั่นแหละ”

                เจ้าของหีบไม้หัวเราะชอบใจแล้วพาเขาไปนั่งบนเตียงให้ดูทองหย็อยที่เก็บสะสมไว้ ดูจากลวดลายแล้วก็รู้ว่าเป็นทองจากช่างฝีมือคนไทยทั้งนั้น ท่านเคยบอกว่าส่วนมากได้มาจากช่างสุโขทัยและเพชรบุรี และเห็นมีเข็มขัดทองคำที่คุณหญิงดวงมณีเอามาขายเขาด้วย สรุปว่าหีบทั้งหีบเป็นของที่ได้ในระหว่างไม่กี่ปีนี้ เพราะท่านคงไม่เอาของเก่าของใหม่มาเก็บปนกัน

                “ลื้อว่าเส้นนี้หม่าม้าให้คุณหญิงเกล้าไว้สวมเล่นดีไหม”

จู่ๆ แม่ก็หยิบสร้อยทองน้ำหนักราวหนึ่งบาทลวดลายอ้อนช้อยและมีจี้ทับทิมล้อมเพชรทรงแปดเหลี่ยมรังผึ้งขึ้นมาให้ดูอย่างอารมณ์ดีเพราะอัญมณีสะท้อนแสงตะเกียงวาววับจับตา แต่ลูกชายก็ขมวดคิ้วมองเพราะท่านพูดถึงเกล้ามาลา

“ทำไมให้ล่ะครับ”

“ก็อีมาเรียกหม่าม้าว่าแม่อีกคนแล้วนี่ ต้องรับขวัญกันเสียหน่อย” คุณนายเหมยฮัวตอบอย่างมีเลศนัยในที่ทำให้ลูกชายยิ้มตามได้ไม่ยาก “ว่าแต่เมื่อไรลื้อจะพามาบ้านเราอีก หม่าม้าจะทำกับข้าวรอเยอะๆ”

“ช่วงนี้คงไม่มาหรอกครับ โกรธผมอยู่” แสงภาณุสารภาพไปตามตรงพร้อมถอนหายใจ “เรื่องน้องช่อทิพย์อย่างไรเล่าครับ ไม่รู้ใครมันไปสะกิดใจให้คุณหญิงคิดว่าการคบหากับผมเป็นการแย่งคู่หมั้นพี่สาวตัวเองเสียได้”

“ไอ้หย่า! ผีเจาะปากมาพูดแท้ๆ เชียว แล้วนี่ลื้อจะทำอย่างไรต่อ”

“ไว้ผมจะหาทางแก้ไขเอง หม่าม้าอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะครับ” แสงภาณุตอบอย่างเอาใจแล้วคว้าเอาสร้อยทองในมือแม่มาถือไว้เสียเอง “แต่เส้นนี้ผมขอไปเป็นข้ออ้างไว้ขอพบคุณหญิงเกล้าก็แล้วกันนะครับ บอกว่าหม่าม้าฝากมาให้ คงไม่ใจดำปฏิเสธหรอก”

“ถ้าทำได้จริงก็ลื้อก็ขนไปทั้งหีบเลยหม่าม้ายกให้ ขอแค่ลื้อสองคนอย่าโกรธกันก็พอ”

บอกอย่างนั้นแล้วคุณนายเหมยฮัวก็หัวเราะร่วนจนลูกชายยิ้มตาม เห็นแม่มีความสุขอย่างนี้เขาก็ดีใจ อยากเห็นท่านเป็นอย่างนี้ไปนานๆ แต่ไม่รู้ว่าตัวเขาจะทำได้ไหม

“หม่าม้าครับ ผมขออะไรอีกสักอย่างได้ไหม” แสงภาณุเรียกแล้วกุมมือแม่ไว้ เบาๆ ให้ท่านเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยแต่เขาก็ยิ้มให้ “ถ้าผมไม่อยู่แล้ว หม่าม้าต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ”

“ไอ้หย่า! พูดเป็นลาง”

“ผมไม่ถือนี่ครับ เกิดมาแล้วอย่างไรเสียก็ต้องตายเข้าสักวันอยู่ดี” เห็นแม่ตกใจลูกชายก็บอกยิ้มๆ เอาไว้ก่อน “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปโดนระเบิดเข้าวันไหน กลัวจะไม่ได้สั่งเสีย”

                “ก็จริงของลื้อ อย่าว่าแต่เดินออกไปไหนเลย บางคนนั่งเฉยๆ อยู่บ้านก็ยังโดน” แม่ของเขาถอนหายใจแรง “แต่ถ้าหม่าม้าโดนก่อน ลื้อก็ไม่ต้องทำงานศพให้มันใหญ่โตยุ่งยากหรอกนะอาหมิง ขอแค่เอาไปฝั่งกับอาป๊าของลื้อให้ได้ก็พอ”

                “ครับ”

                ลูกชายรับปากหนักแน่นแล้วยิ้มให้แม่อีกครั้ง มองหน้าท่านให้เต็มตาเพราะไม่รู้ว่าจะได้มองอย่างนี้อีกครั้งเมื่อไร เขาอยากจำภาพทุกอย่างไว้ให้ฝังลึกหัวใจ  ใจที่เต็มไปด้วยความหวังว่าจะได้กลับมากอดแม่อีกครั้ง และจะทำทุกอย่างให้เกล้ามาลายอมรับความรักจากเขาโดยไม่ต้องกลัวในสิ่งที่หลอกหลอนเธอมาตลอด

                แต่เขาจะกลับมาทำได้จริงหรือ ชายหนุ่มยังหนักใจเพราะตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าวันพรุ่งนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น