5

บทที่ 5


 

บทที่ 5

            เกล้ามาลาไม่รู้ว่าตัวเองนึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของเขาตั้งแต่เมื่อไร รู้เพียงว่าสุขหัวใจที่มีแสงภาณุคอยดูแล ผูกพันกับเขาได้เพียงในเวลาไม่กี่วัน แต่พอต้องมารู้ว่าเขามีคู่หมั้น มีเจ้าของ หัวใจของเธอก็เหมือนหลุดออกจากอก เหนื่อยเหลือเกินกับความสูญเสียซ้ำๆ ที่โถมเข้ามาราวระรอกคลื่นโถมทะเล

                ความทุกข์ทับถมความสุขอยู่เสมอ ไม่หยุดลงสักครั้งเลย…

                แต่ลึกๆ แล้วหญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดจึงน้อยใจนักที่แสงภาณุกำลังจะแต่งงาน เหตุผลที่ค้านขึ้นมาอีกอย่างคือเธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขา จะโกรธไปทำไม และเขาก็คงคบหาดูใจกับคู่หมั้นมานานมากแล้วจึงมาเตรียมงานแต่งกันได้ แล้วนี่เธอเป็นเพียงลูกนกลูกกาที่ชายหนุ่มให้ความช่วยเหลือไว้เพียงไม่นาน จะไปน้อยใจได้อย่างไรกัน

คิดไปแล้วเกล้ามาลาก็รู้สึกว่าช่างงี่เง่าที่ไปโกรธเขาทั้งที่ไม่มีสิทธิ์เลย แสงภาณุทั้งช่วยเธอหาที่หลบภัย ถ้าไม่ได้เขาบางทีป่านนี้อาจถูกเจ้าหน้าที่จับไปสอบสวนเพราะสงสัยว่าจะเป็นพวกใต้ดินไปแล้วก็ได้ หรือหากนั่นไม่ใช่การจับกุมพวกใต้ดินเธอก็ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับพวกที่ถือปืนอยู่ดี ไม่อยากเข้าใกล้ความตายอีก แล้วจะไปโกรธคนที่อุตส่าห์ช่วยไว้ได้อย่างไร แต่ทำไมเธอตัดอารมณ์นี้ออกจากหัวใจไม่ได้เลย

                หญิงสาวสาวนอนไม่หลับทั้งคืนจนสว่างคาตา คิดซ้ำแต่เรื่องเดิมราวกับแหวกว่ายอยู่ในทะเลที่มองไม่เห็นฝั่ง ความน้อยใจที่ตัดออกจากไปห้วงความรู้สึกไม่ได้ก็ยังบีบหัวใจเธออยู่ไม่หยุด ครั้นคิดว่าจะไปจากที่นี่เสียให้รู้แล้วรอด ภาพคนตายวันนั้นก็ยังกดเธอไว้ไม่ตัดสินใจหุนหันอย่างที่แล้วมา เพราะเกล้ามาลารู้แล้วว่าการออกไปเผชิญโลกนี้เพียงลำพังมันน่ากลัวเกินไปสำหรับคนที่เคยอยู่แต่ในรั้วบ้านรั้วโรงเรียนอย่างเธอ วันนั้นที่ก้าวออกจากบ้านเพียงลำพังก็นับว่าเป็นการตัดสินใจเข้ามาเสี่ยงอันตรายของคนที่อ่อนต่อโลกเหลือเกิน เธอตัดสินใจผิดไปแล้วจริงๆ

แต่จะหลบซ่อนอยู่ในบ้านของแสงภาณุต่อไปอีกนานแค่ไหน…

นั่นเป็นถามใหม่ที่ผุดขึ้นมารบกวนหัวใจและรู้แน่ว่าเธออยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้ ครั้นนึกจะกลับไปโรงเรียนตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกก็ดูจะเป็นเรื่องยากเย็นไปเสียแล้ว การเดินทางด้วยรถไฟยังไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง ทว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ ต่อไป ให้กลับไปอยู่บ้านเดิมของตัวเอง เธอก็ไม่รู้ว่าจะบากหน้าทนกับความอัปยศไปได้สักเท่าไร ส่วนญาติพี่น้องนั้นเกล้ามาลาไม่กล้าจะนึกถึง พวกเขาคงอับอายจนไม่อยากให้ความช่วยเหลือหลานคนนี้อีกแล้ว

“เกล้า ขอผมเข้าไปได้หรือไม่”

เสียงเรียกพร้อมประตูที่เปิดออกรับแสงอรุณรำไร ทำให้เกล้ามาลาสะดุ้งเหมือนถูกฉุดกระชากกลับมาจากห้วงภวังค์ ให้มาฟังแสงภาณุเรียกเธอสั้นๆ ตามที่บอกกับมารดาของเขาไว้เมื่อวาน แต่ดูเหมือนคนที่ทิ้งให้เธอนอนลำพังมาตลอดทั้งคืนก็สีหน้าไม่สู้ดีเสียเท่าไรเมื่อต้องสบตากันอีกหน

“นี่มันห้องของคุณ จะทำอะไรก็ทำก็ทำเถิดค่ะ”

หญิงสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องประชดแต่ก็ทำไปแล้ว ซ้ำยังหน้ามุ่ยอย่างไม่อาจหยุดตัวเองได้อีก เห็นหน้าเขาเท่าไรก็ยิ่งน้อยใจมากขึ้นทุกที

“เช้าแล้วทำไมยังไม่เห็นออกจากห้องอีกล่ะ ไม่หิวหรือ”

“ฉันออกจากห้องนี้ได้ด้วยหรือคะ”

“ก็รู้กันทั้งบ้านแล้วนี่ว่าคุณมาอยู่กับผม”

                “แล้วคุณบอกว่าฉันเป็นใคร!” ได้ยินอย่างนั้นเกล้ามาลาก็ยิ่งวิตก “คงไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิดว่าฉันเป็นเมียของคุณอย่างที่ว่ากันเมื่อคืนนี้หรอกนะ”

“คนอื่นผมยังไม่ได้บอกว่าอะไรทั้งนั้น แต่บอกแม่ไปว่าบ้านของคุณโดนทิ้งบอมผมจึงให้มาอาศัยอยู่ที่บ้านนี้” แสงภาณุตอบแล้วก็ถอนหายใจยาว สีหน้าดูกลัดกลุ้มไม่น้อยเลย “แต่ท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี ท่านว่าถ้าอย่างนั้นจริงแล้วทำไมต้องซ่อนไว้ในห้องนอน”

“แล้วคุณตอบแม่ไปว่าอย่างไร”

“ก็ได้แต่ปล่อยให้ท่านเข้าใจอย่างนั้นไป ไม่รู้จะว่าอย่างไรได้อีก ตอบอะไรก็ฟังไม่ขึ้น แม่ผมเชื่อปักใจไปแล้วว่าคุณเป็นเมียผม”

“ถ้าอย่างนั้นก็เล่าความจริงให้ท่านฟังเสียซี!”

“บอกเรื่องที่เขายิงกันตายวันนั้นไม่ได้หรอกนะ”

พูดถึงเรื่องวันนั้นทีไรชายหนุ่มเสียงแข็งและหน้าตึงขึ้นมาทันที จนเกล้ามาลาอดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะเขาค้าขายกับพวกญี่ปุ่นหรือเปล่า คนเป็นพ่อค้าจึงไม่อยากให้ตัวเองมีชื่อว่าต้องสงสัยว่าเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นการจับพวกใต้ดิน แล้วยังมาถอนหายใจแรงให้เธอฟังเสียอีก

“ข่าวนั่นมันลือไปทั่ว ทั้งแม่ผม ทั้งคนในบ้านก็ยังรู้เรื่องกันทุกคน ถ้าเกิดผมยอมบอกว่าพาคุณมาจากป้อมวันนั้น แล้วมีใครเผลอพูดออกไปเข้าหูเจ้าหน้าที่ เราจะแย่กันทั้งคู่”

“แล้วจะให้ฉันยอมรับสมอ้างว่าเป็นเมียคุณอย่างนั้นหรือ! หากคู่หมั้นของคุณมารู้เรื่องนี้เข้า ฉันต้องถูกเจ้าหล่อนตราหน้าว่าเป็นเมียน้อยคุณจริงๆ อย่างนั้นซี”

                ฟังที่แสงภาณุพูดแล้วเธอก็ยิ่งโกรธ แต่เหมือนเขาไม่สะทกสะท้านอะไรเลยทั้งที่เธออายจะแย่ แล้วไหนจะกังวลว่าป่านนี้คนไม่ลือกันไปทั่วแล้วหรือว่าเธอแย่งว่าที่สามีของคนอื่น แล้วยิ่งโกรธขึ้นมาอีกหลายเท่าเพราะไม่เห็นว่าชายหนุ่มจะพยายามแก้ต่างให้เลย ใจคอจะให้เธอขึ้นชื่อว่าเป็นเมียน้อยทั้งตัวเขาเองก็กำลังจะแต่งงานอย่างนั้นหรือ

“ฉันจะไปจากบ้านนี้” เกล้ามาลาบอกอย่างขัดใจและหัวเสียขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมอารมณ์ให้นิ่งได้ดั่งเดิมอีกแล้ว “คุณก็ค่อยไปตอบคู่หมั้นของคุณเอาเองเถิด แต่ฉันจะไม่อยู่ให้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียน้อยใครอีกแล้ว”

“แล้วคุณจะไปไหน คงไม่คิดจะเดินทางคนเดียวอย่างที่แล้วมาหรอกนะ ก็รู้นี่ว่ามันอันตราย แล้วอย่าตอบว่าจะไปตายเอาดาบหน้าเชียว ก็เห็นแล้วนี่ว่าความตายมันเป็นอย่างไร”

เกล้ามาลาพูดไม่ออก ใจหายวูบจนเผลอกัดริมฝีปากของตัวเองเพราะภาพวันนั้นยังจำติดตา คนเลือดอาบที่มาล้มร่างใส่เธอทำหญิงสาวไม่กล้าท้าทายกับความตายอีกแล้ว

แต่เธอสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วหรือ หากอยู่บ้านของแสงภาณุไม่ได้ กลับไปโรงเรียนไม่ได้ ก็มีที่เดียวให้กลับไปคือบ้านที่ตัวเองเกิดและเติบโตมา ทว่าเกล้ามาลาไม่อยากกลับไปเลย เพราะมันไม่ต่างจากการกลับไปทนอยู่กับเรื่องอัปยศที่ผลักให้เธอหนีมาตั้งแต่แรก เธอไม่อาจทนแบกรับมันได้ไหวอีกแล้ว

“อาหมิง ลื้ออยู่ในห้องนอนไหม”

ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ เสียงทรงอำนาจที่เกล้ามาลาเริ่มจะคุ้นหูก็เรียกมาแต่ไกล พอรู้ว่าเป็นแม่ของแสงภาณุมาหาหญิงสาวก็เริ่มปรับสีหน้าจากบูดบึ้งให้ดีขึ้น เพราะถึงโกรธลูกชายก็ไม่อยากเอาอารมณ์ไปพาลใส่มารดาของเขาเลย

“ทำอะไรกัน”

มาถึงหน้าประตูห้อง แม่ของแสงภาณุก็ถามคิ้วขมวดแล้วจ้องหน้าลูกชายสลับกับหน้าเธออย่างสงสัย แล้วสุดท้ายก็ตวัดสายตาไปหาชายหนุ่ม

“ถ้าจะวิ่งแจ้นมาหาเมียอย่างนี้ แล้วเมื่อคืนลื้อจะไปนอนที่โซฟากลางบ้านทำไม”

เกล้ามาลารู้แล้วว่าเมื่อคืนชายหนุ่มหายไปไหนมา แต่ยังหาจังหวะอ้าปากบอกว่าเธอไม่ใช่เมียน้อยเมียเก็บของแสงภาณุไม่ได้เลย

“ผมแค่ขึ้นมาตามเกล้าลงไปกินข้าวเช้าครับ เกรงจะหิว” แสงภาณุตอบอย่างขอไปที “ว่าแต่หม่าม้ามีอะไรหรือครับถึงต้องขึ้นมาตามเอง”

“อาช่อทิพย์มาหาลื้อ”

ชื่อคู่หมั้นของแสงภาณุทำเธอหน้าชาไปอีกหน รู้สึกเหมือนไม่มีหัวใจเต้นอยู่ในอก อึดอัดจนหายใจไม่ออกมากเข้าทุกทีๆ เกล้ามาลาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเธอจึงรู้สึกเช่นนี้ แต่ไม่ชอบความเจ้าอารมณ์ของตัวเองเลย… แสงภาณุกำลังทำให้เธอควบคุมตัวเองไม่ได้!

“อีบอกจะมาคุยเรื่องลื้อมีเมียนี่แหละ” ผู้ใหญ่ยังบ่นต่อและดูหัวเสียไม่น้อยเลย “บ้านเรานี่ต้องมีสายลับคอยรายงานข่าวให้บ้านท่านเจ้าคุณแน่ๆ อาช่อทิพย์ถึงได้มาเร็วเหลือเกิน อย่าให้จับได้เชียวว่าใคร!”

“อาจเพราะคนลือไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วกระมังครับ บ้านก็อยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้เอง และหากเป็นคนในบ้านเราพูดแพร่ข่าวออกไปจริงก็คงไม่ได้ตั้งใจหรอก”

“ลื้อนี่ก็ใจดีอยู่เรื่อย”

“ผมขอตัวไปพบน้องช่อทิพย์ก่อนแล้วกันนะครับ ฝากเกล้าไว้กับหม้าม่าด้วย”

แสงภาณุบอกเหมือนไม่ได้ใส่ใจอารมณ์ของมารดา ไม่ใส่ใจแม้กระทั่งจะมองหน้าเธอ ทำเพียงถอนหายใจออกมาดังๆ เหมือนจะขับไล่อะไรบางอย่างออกจากอก แล้วเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างของบ้าน ก็คงไปหาคู่หมั้นของเขา แต่สองคนนั้นจะคุยอะไรกันเกล้ามาลาไม่รู้เลย ในอกของเธอตอนนี้มีแต่คำถามปั่นป่วนอยู่เต็มไปหมดจนร้อนรน

แต่ที่กลัวคือไม่รู้ว่าคนกำลังจะแต่งงานกันจะต้องมามีปากเสียงเพราะเธอเป็นต้นเหตุหรือเปล่า และถึงจะโกรธก็ไม่อยากให้แสงภาณุต้องมาเดือดร้อนเพราะเขาช่วยเธอไว้เลย อีกอย่างจะปล่อยให้ใครเข้าใจว่าเธอเป็นเมียน้อยไม่ได้ด้วย

“ลื้อจะไปไหนอาเกล้า!”

แค่จะเดินตามแสงภาณุลงไปหาคู่หมั้นของเขา หญิงสาวก็ถูกเรียกเสียงแข็งและผู้ใหญ่ก็มองเธออย่างขัดใจทันที

“นี่คงไม่คิดจะตามอาหมิงลงไปคุยกับเขาด้วยคนหรอกนะ”

“ฉันว่าจะไปช่วยคุณแสงอธิบาย…”

“ถ้าอาหมิงอยากให้ลื้อช่วยพูด อีพาลื้อลงไปแล้วละ” ถูกตัดบทอย่างนั้นเกล้ามาลาก็ถึงกับคิดอะไรไม่ออก “ให้เขาพูดคุยกันก่อน ลื้อลงไปตอนนี้จะกลายเป็นเรื่องสามคนผัวเมียเสียเปล่าๆ เกิดหึงหวงทะเลาะกันขึ้นมาลูกชายอั๊วคงปวดหัวตาย”

“ฉันไม่ได้เป็นเมียคุณแสงนะคะ!”

“โอ๊ย! ไม่ต้องอายอั๊วแล้ว ยอมรับกันมาเถิด เมื่อคืนอาหมิงก็ไม่เห็นจะเถียงอั๊วสักคำ ลื้อจะปกปิดไปทำไม เป็นเมียลูกชายอั๊วมีอะไรให้อาย!”

แม่ของแสงภาณุตะโกนโฉงเฉง ทำให้หญิงสาวชักจะเข้าใจแล้วว่าทำไมแสงภาณุถึงเถียงแม่ไม่ทันว่าเธอไม่ใช่อนุของเขา แล้วผู้ใหญ่ยังขมวดคิ้วมุ่น จ้องหน้าเธออย่างกับจะเค้นเอาคำตอบที่ถูกใจตัวเองให้ได้

“หรือที่พูดอย่างนี้เพราะงอนอี ดูๆ ทีเหมือนลื้อจะไม่รู้ว่าอาหมิงอีคู่หมั้นอยู่ก่อน หรือลูกชายอั๊วไม่ได้บอกลื้อล่ะ ถึงได้ยอมหอบกระเป๋าหนีตามเขามาใบเบ้อเร่อ”

“เปล่านะคะ”

“อ้อ! ไม่ได้บอกจริงๆ”

ที่เธอบอกว่าเปล่านั้นหมายถึงไม่ได้หอบกระเป๋าหนีตามแสงภาณุมา แต่มารดาของเขายิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่ คงนึกว่าลูกชายไม่ได้บอกเรื่องจะแต่งงานแน่ๆ ถึงมองกันแบบนี้

“คู่หมั้นอาหมิง เป็นลูกสาวเพื่อนของอาป๊าอีที่ทำการค้าด้วยกันมานาน เป็นลูกพระน้ำพระยาเชียวนา”

น้ำเสียงของคนเป็นแม่เย็นลงเมื่อเล่าเรื่องลูกชายกับคู่หมั้น

“ท่านเจ้าคุณอีรักอาหมิงมากเอาการ เกิดมาก็ตั้งชื่อไทยให้เสียยาว แล้วแนะนำให้อั๊วกับอาเฮียส่งไปเรียนเมืองนอกเหมือนลูกผู้ดีชาวไทย จะได้มีความรู้แล้วยังเชิดหน้าชูตาได้ ไม่น้อยหน้าใคร คงหวังว่าจะให้เป็นลูกเขยหัวแก้วหัวแหวนด้วย ก็อาเฮียของอั๊วอีไปทาบทามลูกสาวเขาไว้ตั้งแต่เรียนมัธยม”

พอมารดาของชายหนุ่มเล่าให้ฟัง เกล้ามาลาก็ตั้งใจฟังอย่างแปลกใจตัวเอง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากรู้เรื่องคู่หมั้นของแสงภาณุนัก

                “ตอนที่อาหมิงอีกลับจากอังกฤษ คู่หมั้นอียังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยก็เลยต้องมารอกันอยู่ นี่ก็ได้ฤกษ์แต่งงานกันมาแล้ว แต่อาหมิงพาลื้อเข้าบ้านเสียก่อน ไม่รู้ทางนั้นจะว่าอย่างไร”

                “พุทโธ่! คุณป้าคะ ฉันไม่ได้เป็น…”

                “ไฮ้! อย่ามาเรียกอั๊วว่าป้า!”

พอเธอจะอธิบายแม่ของแสงภาณุก็ร้องขัดใจขึ้นมาทุกที คนไม่เคยโดนดุเสียงดังก็กลัวเสียจนห่อตัวหดไปหมด

“อั๊วชื่อเหมยฮัว แล้วนี่ลื้อเป็นเมียอาหมิงก็เป็นสะใภ้อั๊ว เรียกหม่าม้าสิ”

                “แต่…”

                “อ้อ ลื้อเป็นคนไทย… ถ้าอย่างนั้นจะเรียกอั๊วว่าแม่ก็ได้ จะเป็นเมียน้อยหรือเมียแต่ง ให้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียอาหมิง อั๊วก็นับเป็นลูกหมดนั่นแหละ”

คุณนายเหมยฮัวแทรกขึ้นมาอีกหนแบบไม่ให้เธอได้อ้าปากเลยสักนิด

“แต่อั๊วว่าจะลงไปฟังพวกอีคุยกันเสียหน่อย อย่างน้อยก็ให้มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ส่วนลื้อก็รอฟังข่าวอยู่บนนี้แล้วกัน อยากได้อะไรก็เรียกใช้บ่าวได้เต็มที คิดเสียว่าอยู่บ้านตัวเอง”

                ผู้หญิงคนนี้ปากร้ายแต่ใจดี… เกล้ามาลารู้สึกอย่างนั้นเมื่อแม่ของแสงภาณุยิ้มให้พลางดันหลังเธอให้เข้าไปนั่งรอในห้องนอน ก่อนจะเดินให้หลังจากไป และทิ้งเธอไว้กับความกังวลมากมายที่ระอุอยู่ในอก อยากรู้ว่าการพูดจาระหว่างแสงภาณุกับคู่หมั้นจะมีผลออกมาเป็นอย่างไร

กระวนกระวายเหลือเกิน!

 

                เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงที่ถูกทิ้งไว้ในห้องนอนให้ความรู้สึกว่ามันยาวนานเหลือเกิน หญิงสาวเริ่มผุดลุกผุดนั่งเพราะอยากรู้ข่าวด้านนอกห้องนี้ อยากรู้ว่าแสงภาณุพูดเรื่องของเธอกับคู่หมั้นว่าอย่างไร

                และที่อยากรู้มากไปกว่านั้นคือหญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมในอกจึงโหวงเหวงนัก รู้สึกเหมือนตัวเองเสียของรักของหวงไป เป็นของสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงหัวใจเจ็บช้ำของคนที่เพิ่งเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่มา และตอนนี้เธอกำลังรู้สึกว่าจะเสียคนที่ทำให้ตัวเองยิ้มได้อีกหน กำลังจะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเขาอีกแล้ว เพราะชายหนุ่มมีเจ้าของมาตาม และก็คงทวงคืนคู่หมั้นไปจากเธออย่างชอบธรรม

                ช่วงเวลาที่เธอมีแสงภาณุอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลเอาใจใส่มันหมดลงไปแล้ว…

                เกล้ามาลารู้ชัดแล้วว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่าหัวใจมันหายไปในอก และยิ่งเขวงขว้างขึ้นมาอีกหลายเท่าเมื่อต้องคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปหากไม่มีแสงภาณุคอยประคับประคองอยู่ แต่เธอยึดเขาไว้ไม่ได้และเป็นตัวเองนั่นแหละที่ต้องไป ทว่าจะไปจากที่นี่ได้โดยไม่รู้สึกอะไรจริงๆ หรือ

แต่หากจะอยู่ต่อก็เป็นไปไม่ได้เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ ที่สำคัญ ‘ช่อทิพย์’ คงไม่พอใจหากว่าที่สามีจะมาดูแลผู้หญิงคนอื่น โดยเฉพาะการเอาเธอมาซุกไว้ในห้องนอน

                “เกล้า อยู่ข้างในใช่ไหม ขอผมเข้าไปหน่อยนะ”

            แสงภาณุกลับมาแล้ว เธอจำเสียงของเขาได้แม่นแล้วก็รีบเดินมาเปิดประตูให้ ใจกระวนกระวายอยากรู้ความเป็นไปนอกห้องนอนทำให้หญิงสาวสีหน้าไม่ดีนัก แต่พอมาเห็นใบหน้านิ่งๆ ของชายหนุ่มเธอยิ่งเป็นกังวล ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองควรทำอย่างไรต่อไป

                “เป็นอย่างไรบ้าง” เห็นหน้าเขาแล้วหญิงสาวก็ถามอย่างร้อนใจ “คุณพูดกับคู่หมั้นว่าอย่างไร ได้บอกหล่อนหรือไม่ว่าฉันไม่ได้เป็นเมียน้อยคุณ”

                “ไม่ได้บอก” คำตอบนั่นทำเอาเกล้ามาลาอ้าปากค้าง “แทบจะไม่ได้พูดอะไรกันด้วยซ้ำ ส่วนมากน้องก็เป็นคนพูดเอง… น้องมาขอถอนหมั้นเพราะได้ยินว่าผมมีเมียแล้ว”

“ฉันไม่ใช่เมียคุณเสียหน่อย!”

“แต่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าอย่างนั้นนะ”

คำตอบของแสงภาณุทำให้เธอมองเขาอย่างตกตะลึง จู่ๆ ก็เหมือนว่าหัวใจหยุดเต้น แต่แยกไม่ออกว่าโกรธหรืออาย แต่ถ้าความรู้สึกนี้เป็นอาย จะอายเพราะอะไรกัน

“รับสมอ้างไปก่อนเถิด”

ชายหนุ่มบอกเสียงเย็นๆ จนเกล้ามาลารู้สึกถูกฉุดกลับมาจากห่วงอารมณ์ทั้งปวงแล้วมาเคร่งเครียดไปกับเขาแทน

“ก็อย่างที่ผมบอกคุณเมื่อเช้านั่นละ ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยก็ได้ว่ากลัว ไม่อยากพูดเรื่องที่ป้อมให้ใครสืบรู้ว่ามีชื่อเราของเราสองคนไปเกี่ยวกับพวกใต้ดินแล้วเข้าหูเจ้าหน้าที่เลย”

“แต่ฉันเสียหาย!”

“ดีกว่ากลายเป็นผู้ต้องสงสัยไม่ใช่หรือ”

เขาถามกลับเพียงสั้นๆ แต่ทำให้เกล้ามาลาหยุดชะงัก หาเหตุผลมาแย้ต่อไปอีกพบได้ แต่เธอไม่พอใจที่มันเป็นเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าการตัดสินใจก้าวออกจากบ้านในวันนั้นจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ หากมีคนอื่นมารู้เพิ่มเข้ามาอีก ศักดิ์ศรีของเธอคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี

“ฉันไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นเมียน้อยใครเลย” หญิงสาวระบายออกมาอย่างอัดอั้นใจ “เรื่องชิงรักหักสวาท ไม่มีชื่อของฉันไปเกี่ยวข้องไม่ได้หรือ”

“แล้วถ้าเป็นเมียแต่งแค่เมียเดียวล่ะ”

“คุณ!”

                เกล้ามาลาร้องตาโตแล้วเหมือนหัวใจมันเต้นดังตึก เพียงตึกเดียวเท่านั้นก็หยุดไป ทำอะไรไม่ถูกอีกเลยนอกจากยืนกลั้นหายใจ ความร้อนในร่างกายวูบวาบขึ้นมาอยู่ไม่หยุด กระจายไปเต็มใบหน้าและทรวงอก แต่บอกไม่ถูกเลยว่าอาการอย่างนี้เรียกว่าอะไร รู้เพียงว่ามันเกิดกับแสงภาณุเป็นแรกและอาจจะเป็นคนเดียวในชีวิตเลยด้วยซ้ำ

“ผมแค่อยากให้คุณยิ้ม”

แสงภาณุคงรู้ว่าเธอคิดมากจึงหาเรื่องมาเย้าเล่น แต่พอเห็นว่าเธอไม่ยิ้มไปกับคำตอบของเขา จึงกลับมาเสียงนิ่งอีกหน สงบเสียจนหญิงสาวโกรธไม่ลงที่มาล้อเล่นกันอย่างนี้ และรู้สึกไปพร้อมกันว่าดูเขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เธอต้องเสียน้ำตา

“สบายใจเถิด คุณไม่ได้แย่งคนรักของใครหรอก น้องช่อทิพย์มาบอกเพียงว่าขอถอนหมั้น ผมเองก็ตกลง ด้วยความสมัครใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่ได้มีใครเสียใจ ส่วนเรื่องที่ว่าแต่งงานกันตามที่พ่อของเราต้องการไม่ได้ ก็ค่อยไปให้ท่านต่อว่าตอนที่วิญญาณไปพบบรรพบุรุษเสียแล้วกัน”

                “คุณไม่ได้รักหล่อนเลยหรือ”

                “ไม่” แสงภาณุตอบสั้นๆ แต่หนักแน่นเหลือเกิน “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว จะถือว่าคุณช่วยน้องช่อทิพย์ไว้ก็ได้ ผมเองก็สงสารหล่อนเหมือนกันที่ต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักหล่อนเลย”

                คำตอบตรงไปตรงมาพร้อมแววตาจริงจังของชายหนุ่มทำให้เกล้ามาลาพูดไม่ออก ไม่เข้าใจว่าอาการตึงๆ อยู่ในอกนี้คืออะไร จะว่าสงสารช่อทิพย์ก็ใช่ แต่ที่มากกว่าคือสงสารคนที่สารภาพความรู้สึกกับเธอ

หากไม่ใช่เพราะเหตุเข้าใจผิดนี้ แสงภาณุคงต้องแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้รัก ถ้าลองคิดในมุมของเขา หญิงสาวก็รู้สึกว่ามันคงเป็นความอึดอัดที่ไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะมากมายเพียงใดหากถูกคลุมถุงชนอย่างไม่เต็มใจ แต่ดูจากสีหน้าของเขาตอนนี้แล้ว คนถูกถอนหมั้นดูสบายใจ อมยิ้มอยู่ตลอดเวลา คงรู้สึกราวกับนกได้รับอิสระให้โบยบินออกจากกรง

                “ส่วนเรื่องชื่อเสียงของคุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป ผมจะรับผิดชอบให้ดีที่สุด”

                “ฉันพอจะรู้วิธีรับมือกับเรื่องทำนองนี้มาบ้างแล้ว คุณอย่าลำบากเลย”

                ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิธีรับผิดชอบของแสงภาณุเป็นอย่างไรแต่หญิงสาวก็ปฏิเสธเพราะรู้สึกว่ารบกวนเขามาไม่น้อยแล้ว ไม่อยากให้ผู้มีพระคุณของเธอต้องลุกขึ้นมาทำอะไรให้ลำบากอีก และหากจะต้องกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิม อยู่อย่างหลีกหนีการเผชิญหน้ากับความอื้อฉาว เกล้ามาลาก็รู้สึกว่าตัวเองชินชาเสียแล้ว จะมีเรื่องให้อายอีกสักเรื่องมันก็คงไม่ได้แย่ไปกว่าที่เป็นมา

                 แต่ก็แปลก พอเธอบอกไปอย่างนั้นแสงภาณุกลับหัวเราะขึ้นมาเสียได้ เรื่องกลุ้มใจของเธอมีอะไรน่าขบขันหรือ แต่หากตลกแล้วเหตุใดดวงตาของชายหนุ่มจึงมองมาอย่างเอ็นดู เกล้ามาลาไม่เข้าใจเลย

                “แล้วคุณจะรับมืออย่างไร”

                เขาถามยิ้มๆ แต่นั่นกลับทำให้หญิงสาวขบริมฝีปากแน่น ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ให้ตัวเองตัดสินใจเก็บกระเป๋าเดินออกจากบ้านอีก เธอไม่อยากเสียน้ำตาโดยไม่จำเป็น

                “ที่ไม่ตอบนี่คือยังคิดไม่ออกหรือไม่อยากบอกผม” แสงภาณุเดาถูกไปกว่าครึ่งและยังยิ้มอยู่ “แล้วนี่คิดไว้หรือยังว่าต่อจากนี้ไม่ต้องเอาแต่หลบอยู่ในห้องนอนของผมแล้ว คุณอยากจะทำอะไร และหากไม่อยากอยู่บ้านตัวเอง แล้วอยากอยู่บ้านนี้กับผมไหม”

                “จะให้ฉันรบกวนคุณไปตลอดได้อย่างไร”

                “ได้ ไม่ถือว่ารบกวนหรอก” คำตอบสั้นๆ นั้นหนักแน่นอยู่เหมือนเดิม “ผมอยากให้คุณนับบ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณอีกหลัง จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้”

                “ให้ฉันอยู่ ทั้งๆ ที่คุณยังไม่รู้ว่าฉันเป็นใครมาจากไหนอย่างนั้นหรือ”

                “แล้วคุณแต่งงาน หมั้น หรือมีคนรักแล้วหรือยัง”

คำถามสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว เกล้ามาลาก็ส่ายหน้าตอบอย่างงุนงง แต่พอเธอปฏิเสธ คนถามก็ยิ้มหน้าบานขึ้นมาจนตาหยี ให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมา

“ผมอยากรู้เพียงเท่านี้ ส่วนคุณจะเป็นใครมาจากไหน ผมไม่สนใจอีกแล้ว”

เขาบอกอย่างนั้นเธอก็ยิ่งเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างงอกเงยขึ้นมาในหัวใจ วาบหวามอยู่ในทรวงจนผลักให้ใบหน้าร้อนผ่าว ทว่าความละอายทำให้หญิงสาวกดมันไว้เพราะเกรงจะเข้าใจผิดให้ตัวเองต้องอายในภายหลัง

เกล้ามาลาจึงได้แต่มองหน้าคนอารมณ์ดีอย่างไม่ทราบสาเหตุที่กำลังส่งยิ้มมาให้อยู่ไม่ขาดสาย แต่ก็เป็นรอยยิ้มละมุนละไมที่ทำให้เธออุ่นใจได้อยู่เสมอ

เธอรู้สึกเหมือนว่าได้แสงภาณุกลับคืนมา และเขาจะอยู่ข้างๆ อย่างนี้ไม่ห่างไปไหนเลย…

 

แสงภาณุดูอารมณ์ดีผิดหูผิดตาและผิดแปลกจากคนที่ถูกถอนหมั้น แต่หากนำท่าทีของเขามาทบทวนกับคำสารภาพก่อนหน้านี้ หญิงสาวก็สรุปได้ว่าที่เขายอมตกกระไดพลอยโจน คงเพราะอยากได้เธอเป็นข้ออ้างไม่ต้องแต่งงานกับคู่คลุมถุงชน ถึงได้ยอมให้คนเข้าใจผิดกันไปทั่ว

แต่เขาก็ยังย้ำว่าไม่อยากอธิบายให้ใครไปฟังไปมากกว่านี้เพราะกลัวเรื่องที่ป้อมพระสุเมรุจะถูกขุดคุ้ย และรับรองให้เธอสบายใจว่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่ในฐานะอนุภรรยา เพราะหลังจากที่ช่อทิพย์ถอนหมั้นไปหมาดๆ เขาก็บอกว่าได้ปล่อยให้มารดาเที่ยวประกาศกับทุกคนในบ้านไปแล้วว่ามีเธอเป็นสะใภ้แต่เพียงผู้เดียว

ส่วนคนได้ลูกสะใภ้สมใจอยากก็หน้าชื่นตาบาน สองแม่ลูกทำทุกอย่างโดยพละการ ไม่ปรึกษาหรือถามความสมัครใจของเธอสักคำ แต่ก็แน่ล่ะ ในเมื่อแสงภาณุได้ประโยชน์จากการเข้าใจผิดนี้เต็มๆ ทำไมจะไม่ยอมทำให้เธอสบายใจเป็นการแลกเปลี่ยนเล่า

กระนั้นชายหนุ่มยังสัญญาเป็นหมั่นเป็นเหมาะว่าแม้จะนอนร่วมห้องเพื่อทำให้เรื่องโกหกนี้สมจริงก็จะไม่ล่วงเกินเธอเป็นอันขาด ซึ่งเกล้ามาลายอมไว้ใจเชื่อเพราะที่ผ่านมาแสงภาณุก็พิสูจน์ให้เห็นมาตลอดว่าทำได้จริง ทว่าเรื่องกังวลใจที่ผุดขึ้นมาใหม่คือไม่รู้ว่าเธอจะสวมบทบาทเป็นภรรยาของเขาได้จริงๆ หรือไม่ ตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหมที่ทำอย่างนี้ หญิงสาวลังเลอยู่หลายที แต่ก็แปลกที่เธอยังไม่ยอมออกปากปรึกษากับเขาเลย

“เฮียหมิง อยู่ข้างในกับอาซ้อใช่ไหม อั๊วขอเข้าไปหน่อยนะ”

                จู่ๆ มีคนมาเรียกเกล้ามาลาก็สะดุ้งเพราะรู้ดีว่า ‘อาซ้อ’ นั้นหมายความอย่างไร อดคิดไม่ได้ว่าข่าวลือของเธอแพร่กระจายออกไปมากเท่าไร แต่คงไม่มีเวลาจะคิดเพราะตอนนี้มีสาวน้อยวัยราวสิบสามสิบสี่ปีเปิดประตูแล้วยื่นหน้ามายิ้มให้ เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม สวมเสื้อคอจีนสีชมพูสดใสถักเปียสองข้างมองเธอตาหวานอย่างเป็นมิตร แต่เกล้ามาลาไม่รู้จักคนที่เข้ามาหาถึงห้องนอนนี้เลย

“แม่ใหญ่ให้มาตาม บอกว่าให้เฮียพาอาซ้อลงไปกินข้าวข้างล่างด้วยกัน”

                “ยังไม่กินข้าวเช้ากันอีกเหรอ”

                “ก็มีเรื่องใหญ่กันไม่ใช่หรือ ใครจะกล้ามานั่งกินข้าว” เด็กสาวย้อนแต่ทำเอาตัวต้นเหตุของเรื่องใหญ่ที่ว่าถึงกับหน้าชา “ไปกันเถิด จะได้พาอาซ้ออีไปเคารพผู้ใหญ่ด้วย”

                “แก่แดดนักนะหมวยเล็ก”

                แสงภาณุว่าน้องแต่น้ำเสียงเหมือนว่าแมวไม่มีผิด ส่วนเรื่องไปเคารพผู้ใหญ่ตอนเช้าของทุกวันนั้นเกล้ามาลาพอจะรู้ว่าเป็นธรรมเนียมของบ้านผู้ดีชาวจีนเนื่องจากเพื่อนร่วมห้องเชื้อสายจีนที่โรงเรียนเล่าให้ฟัง แต่เธอไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการหรือเปล่า ต้องลงไปประกาศบอกทุกคนจริงๆ น่ะหรือว่าตัวเองเป็นอะไรกับแสงภาณุ แล้วถ้าเกิดญาติผู้ใหญ่มาทักท้วงว่าเธอหอบกระเป๋าหนีตามผู้ชายมา จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนกัน

                “เกล้า… นี่อาเน้ย น้องผมน่ะ”

                “สวัสดีจ้ะ”

อาเน้ยยกมือไหว้เธอแล้วทักทายด้วยคำที่ประกาศให้ทุกคนใช้โดยทั่วกันเมื่อต้นที่ผ่านมา ให้เกล้ามาลายิ้มตอบพร้อมรับไหว้เด็กสาวที่มองเธอตาใสแจ๋วอยู่ไม่วาง

“ฉันชื่อพิมพ์มาดา เฮียหมิงตั้งให้ ท่านว่าไพเราะหรือไม่จ๊ะ”

                “ไพเพราะจ้ะ”

เกล้ามาลาตอบอย่างเอาใจเด็กและยิ้มให้เมื่อต้องมาพูดจาภาษาไทยสมัยใหม่ให้มี ‘วัธนธัม’ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิบัติตามไปเสียทุกข้อเพราะถือว่าอยู่ในบ้านตัวคงไม่มีใครมาถือโทษเอาผิด

“พี่ชื่อเกล้ามาลา เรียกพี่เกล้าเฉยๆ ก็ได้”

                “จ้ะ” พอเธอยิ้มให้เด็กสาวก็ว่าง่ายอย่างถูกจริตกัน “พี่เกล้าลงไปข้างล่างกันเถิด แม่ๆ รออยู่ อยากเห็นหน้าพี่กันใจจะขาดแล้ว”

                “มีแม่หลายคนหรือ!”

                “จะร้องทำไมซ้อ เรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ”

เด็กสาวหัวเราะคิกคักแต่ก็เหมือนจริตจะก้านเดิมจะกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ

“ก็แม่ใหญ่มีเฮียหมิงได้แค่คนเดียวแล้วก็แท้งอยู่สองสามรอบ อาป๊าเลยไม่ให้มีลูกอีก แล้วมีเมียเพิ่มแทน แต่แปลกนะ มีเมียตั้งสามคนไม่ยักจะมีลูกชายสักคน เฮียหมิงเลยได้เป็นคุณชายใหญ่อยู่เดียว”

                “แล้วทำไมไม่เมียเพิ่มอีก ถ้ามีอีกก็เผื่อมีลูกชายอย่างไรล่ะ”

เกล้ามาลาประชดอย่างไม่เข้าใจว่าทำไม รู้แค่ว่าอารมณ์ไม่ดีเลย ยิ่งมองไปเห็น ‘คุณชายใหญ่’ ยิ้มแหย่กับดีกรีความเจ้าชู้ของบิดา เธอก็ยิ่งบึ้งตึง

                “อาป๊าตายไปตั้งสามสี่ปีแล้ว” น้องสาวคนละแม่ของแสงภาณุบอกยิ้มๆ “ต่อไปถ้าอยากได้ลูกชายไว้สืบสกุลคงต้องรอจากเฮียหมิงกับซ้อแล้วละ”

                “หมวยเล็ก… เฮียบอกว่าอย่าแก่แดด”

                เขาคงเห็นว่าเธอหน้าแดงขึ้นมาจึงช่วยดุ แล้วพอถูกพี่ชายทำเสียงเย็นใส่แม่สาวน้อยก็เงียบไปทีเดียว แต่ไม่วายยังซุกซนให้เห็นด้วยการเข้ามาจูงมือเธอและพาเดินออกจากห้องไป

                แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่เกล้ามาลาได้ออกจากห้องนอนในเวลากลางวันและเดินออกมาอย่างผ่าเผย ไม่ต้องหลบซ่อนใคร ให้เธอมีโอกาสมองบ้านหลังใหญ่ได้เต็มตา ตึกนี้ตอนกลางคืนว่าสวยงามแล้วแต่เมื่อต้องแสงแดดก็ยิ่งจับตาจับใจได้มากกว่า จากทรงของหน้าต่างและบานประตูน่าเป็นตึกทรงโคโลเนียล และหากมองมาจากด้านนอกคงทรงสง่าไม่น้อยหน้าไปกว่าบ้านของผู้ดีมีเงินในพระนครเลย

                อาเน้ยจูงมือพาเธอลงมาจากบันไดเวียงหลังใหญ่ของบ้าน แล้วตรงไปที่ห้องกินข้าวแต่เกล้ามาลาก็แอบเหงื่อตกเพราะคิดว่าคงได้พบทุกคนในครอบครัวของชายหนุ่ม บ้านของเขาอยู่กันหลายคนแน่ เฉพาะคนที่นั่งรอเธอยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็สี่คนแล้ว ยังไม่นับรวมคนงาน และทุกคนที่รออยู่ล้วนแล้วแต่เป็นสาวใหญ่วัยน่าจะสามสิบสี่สิบกันแล้วทั้งนั้น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ส่งมาให้เธออยู่ไม่ขาด

                “อาหมิง พาน้องมานั่งนี่”

คุณนายเหมยฮัวเรียกลูกชายให้พาเธอไปนั่งใกล้ๆ แต่หญิงสาวก็ยังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก กระทั่งชายหนุ่มแตะข้อศอกเบาๆ ถึงได้เดินตามเขาไปนั่งด้วยกัน

“นั่นอาเง็ก อาจู แล้วก็อาบัว… คนนี้คนไทยเหมือนลื้อ” คุณนายเหมยฮัวชี้ไปยังผู้หญิงสามคนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ “เมียๆ ของเจ้าสัวอี”

“เจ้าสัวไหนคะ”

“เอ้า! ก็ผัวอั๊วนี่ไง”

พอแม่พูดอย่างนั้นแสงภาณุก็หัวเราะเบาๆ ทว่าหญิงสาวกลับเคืองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาเห็นเรื่องมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นซีจึงขำออกมาได้ แต่เกล้ามาลากลับไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงไม่อยากให้เขาเจริญรอยตามบิดา ไม่ชอบแน่หากลูกชายเจ้าสัวจะมาทำตัวเจ้าชู้ยักษ์ให้เธอเห็น

แต่ไม่พอใจไปก็เท่านั้นเพราะแสงภาณุไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ จะปล่อยเลยตามเลยไปก็ได้ ถือเสียว่าไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองจะเข้าไปเกี่ยวข้องก็แล้วกัน

“ส่วนนั่นอาเน้ยลูกอาบัว คงรู้จักกันแล้วซี” คุณนายเหมยฮัวชี้ไปหาเด็กสาวที่นั่งอยู่อีกฝั่งเยื้องกับเธอ “อีรักเรียนก็เลยให้เรียนไปก่อน เผื่อโตแล้วจะได้มาช่วยงานอาหมิงที่ห้าง ถ้าไม่ชิงมีผัวออกเรือนไปก่อนเหมือนพี่ๆ อีน่ะ”

“มีน้องสาวหลายคนหรือคะ”

“แปดคน” แสงภาณุเป็นคนตอบเธอเอง “แต่แต่งงานออกเรือนกันหมดแล้ว นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านที”

“คราวนี้ก็ได้ถึงทีเฮียหมิงจะได้แต่งกับเขาเสียทีนะจ๊ะ” อาเน้ยแทรกขึ้นมาเสียงใสแต่ไม่มีผู้ใหญ่ดุสักคน “แล้วจะใช้ฤกษ์เดิมที่เตรียมไว้แต่งกับลูกสาวท่านเจ้าคุณอยู่ไหมจ๊ะแม่ใหญ่”

“ไฮ้! ก็ต้องหาฤกษ์ใหม่สิ”

แม่ของแสงภาณุร้องดังขึ้นมาทันทีแล้วจ้องหน้าเธอจนเกล้ามาลารู้สึกเหมือนถูกสะกด

“ลื้อเอาวันเดือนปีเกิดมาให้หม่าม้านะอาเกล้า จะเอาไปปรึกษาซินแสหาฤกษ์แต่งงานให้”

“ฉันไม่แต่งนะคะ!”

                “ทำไมจะไม่แต่ง!”

พอเธอเผลอปฏิเสธไปคุณนายเหมยฮัวก็ร้องเสียงแหลมขึ้นมาอย่างขัดใจ จ้องตาเขม็งจนเกล้ามาลาถึงกับคอหด ไม่เคยมีใครมองเธอด้วยสายตาน่ากลัวอย่างนี้มาก่อนเลย

“ถึงจะมากินมาอยู่กันแล้วแต่อั๊วก็จะให้เข้าพิธีอยู่ดี ต้องไหว้ฟ้าดินไหว้บรรพบุรุษกันก่อน”

แม่ของแสงภาณุบ่นเป็นพ่นไฟ อารมณ์ดุดันเหมือนจะออกรบมากกว่าจะจัดงานมงคลให้ลูกชาย

“ส่วนเรื่องจัดงานก็ไม่ต้องห่วงหรอก ทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว แค่เปลี่ยนตัวเจ้าสาวจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรกัน”

“แต่ว่า…”

“หรือลื้อรังเกียจไม่อยากใช้ของเก่าที่อั๊วเตรียมไว้ให้อาช่อทิพย์” คุณนายเหมยฮัวไม่เว้นช่องว่างให้เธอพูด “จะมาคิดเล็กคิดน้อยอะไร คงไม่ได้ขี้หึงหรอกนะ แล้วนี่ถ้าเกิดต่อไปอาหมิงมีเมียน้อยลื้อจะอยู่ได้หรือ”

“ผมไม่คิดจะมีเมียน้อยหรอกครับหม่าม้า ถ้าจะแต่งกับใครก็ยกชีวิตให้เป็นของคนนั้น และผมชีวิตเดียวก็จะมีแค่เมียเดียวนั่นละ”

แสงภาณุแทรกขึ้นมาเสียงนิ่งแต่ก็ทำให้ทุกคนถึงกับหยุดชะงัก ไม่เว้นแม้แต่หัวใจของเธอที่แน่นิ่งราวกับถูกสายตาของเขาตรึงไว้อย่างจงใจ กลายเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง ราวกับว่ากำลังฟังคำสาบานของชายหนุ่มที่จะให้เธอเพียงผู้เดียว

แต่เขาจะทำให้เธออย่างนั้นหรือ…

“หม่าม้าครับ” เงียบกันไปสักพักแสงภาณุก็ละสายตาจากเธอแล้วหันไปหามารดา “เกล้ายังไม่พร้อมจะแต่งงานหรอก ก็อย่างที่บอกว่าบ้านน้องถูกบอม อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ หม่าม้าอย่าเพิ่งไปบังคับเลย”

“อ้อ! อั๊วก็ใจร้อนจนลืมไป ขอโทษที”

แม่ของแสงภาณุสงบลงได้เร็วราวกับแสงเทียนโชติถูกเป่าดับ ทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่เมื่อครู่ก็โวยวายโฉงเฉง แต่ก็ทำให้เกล้ามาลารู้ว่ารอดตัวจากการถูกบังคับให้แต่งงานแบบตกกระไดพลอยโจนแล้ว ทว่ายังหวาดๆ กับรอยยิ้มที่เหมยฮัวมองเธอกับลูกชายได้อีกหน

“ไว้ทุกข์เสร็จแล้วค่อยแต่งก็ได้ แต่ระหว่างรอนี้ลื้อสองคนต้องรีบมีหลานให้หม่าม้านะ จะท้องก่อนแต่งก็ไม่ถือหรอก ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่”

คุณนายเหมยฮัวว่าไปแล้วก็มองเธออย่างพินิจพิจารณา แต่ไม่นานความกังวลก็เริ่มฉายขึ้นมาบนใบหน้าจนคนถูกจ้องวางตัวไม่ถูกเอาเสียเลย

“แต่เมียลื้อนี่อ้อนแอ้เอวบางเสียจริง เห็นทีต้องบำรุงกันขนาดใหญ่แล้ว แม่แข็งแรงแล้วหลานอั๊วจะได้มาเกิดไวๆ”

“หม่าม้าครับ…”

“อย่าขัดใจกันอีกเลยน่า อาหมิง” เหมือนแม่จะรู้ว่าลูกจะพูดอะไรถึงได้รีบดักคอไว้ “หม่าม้าอยากอุ้มหลานแล้ว ขอเถิดนะ เห็นใจคนแก่เถิดนะ”

เจอไม้นี้เข้าไปแสงภาณุก็ถึงกับปั้นหน้ายากให้เธอเห็น ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียวแล้วก้มหน้าลงไปมองถ้วยข้าวสวยของตัวเอง ทิ้งให้เกล้ามาลาพูดไม่ออกเหมือนกัน ไม่รู้เลยว่าจะบ่ายเบี่ยงอย่างไรได้เพราะทุกคนก็เข้าใจว่าเธอเป็นภรรยาของแสงภาณุไปแล้ว กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันสักคน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น