8

บทที่ 8


 

บทที่ 8

            หม่อมราชวงศ์หญิงเกล้ามาลาไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นที่ตรงไหนเมื่อกลับมาถึงวังสัตตบรรณ เธอจากบ้านกว่าหกปีเพื่อไปศึกษาอยู่ปีนัง สยามเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปแม้กระทั่งชื่อประเทศมาเป็นไทย

เมื่อได้รับลายพระหัตถ์จากพระขนิษฐาร่วมอุทรของท่านพ่อ ว่าหม่อมเจ้าก้องปรีชาประชวนออดๆ แอดๆ อยู่ไม่หาย คนที่เพิ่งเรียนจบคอนแวนต์และกำลังรอเรียนต่อคอลเลจก็ตัดสินใจชะลอเอาไว้ก่อน และกลับมาถวายดูแลท่านพ่อเพราะแม่ไม่อยู่ที่วังนี้อีกแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดแม่จึงทิ้งท่านพ่อไปในยามที่ประชวร แค่จะเขียนจดหมายไปบอกก็ไม่ทำจนต้องให้เจ้าอาทรงส่งไป ราวกับตั้งใจจะทิ้งสองคนพ่อลูกไว้แล้วโบยบินจากไปอย่างไร้ร่องรอย

‘กลับมาเสียทีหญิงเกล้า อานึกว่าการเดินทางจะติดขัดจนมาไม่ถึงเสียแล้ว’

หม่อมเจ้าเกศกษมาทรงทักเธอเป็นคนแรกเมื่อหลานสาวคนเดียวก้าวขาเข้ามาหา สีพระพักตร์ไม่แจ่มใสนักก็คงเพราะเป็นห่วงโอรสธิดาทั้งสามคนที่บัดนี้ภัยสงครามทำให้ต้องติดต่อกันลำบากอยู่ที่เมืองยุโรป จะกลับบ้านมาอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ได้ และหลานกลับมาท่านก็คงรีบเสด็จมารอ

‘ท่านพ่อประทับอยู่ที่ใดเพคะ’

หลังจากกราบเจ้าอาแล้ว เกล้ามาลาก็รีบถามหาพระบิดาเพราะไม่เห็นท่านประทับอยู่ในห้องรับแขกของวังด้วยกัน

‘อยู่ในห้องบรรทมหรือ’

‘ประทับอยู่นั่นแหละ จะเสด็จไปไหนได้หากไม่มีคนช่วย ทรงลุกขึ้นมาเดินเหินได้ตามพระทัยเหมือนก่อนได้เสียเมื่อไรกัน’

ถามถึงพระเชษฐา หม่อมเจ้าเกศกษมาก็ส่ายพระพักตร์อย่างเหนื่อยหน่ายระคนคับแค้นใจและเอาอารมณ์มาลงกับเธอนั่นล่ะ

‘ตั้งแต่แม่เราหนีตามชู้ไปพระอาการก็ยิ่งทรุดหนักเชียว’

‘หม่อมแม่หนีตามชู้!’

เกล้ามาลาแทบจะไปลม หายใจไม่ออกอีกแล้วเมื่อเจ้าอารับสั่งบอก หน้าซีดเผือดสีไปหมดจนรู้สึกเหมือนว่าหัวใจจะวาย ไม่อยากเชื่อเลยแม่จะทำเรื่องงามหน้าเพียงนี้ได้ สมองของเธอตื้อตันจนคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เพียงแค่จะขยับร่างกายยังทำไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ

เธอกลับจากปีนังเพื่อต้องมาฟังเรื่องนี้หรือ!

แต่หากจะเถียงว่าไม่จริง เกล้ามาลาก็รู้สึกว่าเธอรู้จักเจ้าอาเป็นอย่างดี ท่านไม่เคยทรงมีจิตริษยาใครจนจะมากุเรื่องโกหกให้แม่ของเธอเสื่อมเสียได้ แต่ที่กริ้วจนเลือดขึ้นหน้าอยู่นี้เพราะทุกอย่างที่บอกหลานเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องที่ทำให้เกล้ามาลาน้ำตาเอออย่างสุดจะกลั้นเก็บความรู้สึกไว้ได้อีกต่อไป

‘แล้วเหตุใด… ไม่มีใครบอกหม่อมฉันเลยเพคะ’

‘ก็ท่านพี่ทรงห้ามไว้’

พอแข็งใจถามไป เจ้าอาก็รับสั่งอย่างพระทัยเย็นลง คงทรงรู้แล้วว่าเธอตกใจมากแค่ไหน

‘ท่านพี่ทรงกลัวว่าเรื่องนี้จะไปรบกวนจิตใจหญิงระหว่างเรียน แต่นี่อาเห็นว่าหญิงเรียนจบแล้วจึงเรียกกลับมา ให้มาฟังเสีย จะได้อยู่ถวายการดูแลท่าน’

‘แต่หม่อมแม่ไม่เคยเขียนไว้ในจดหมาย…’

‘จะหน้าด้านบอกลูกก็เต็มทีละ!’ หม่อมเจ้าเกศกษมากริ้วจนควันออกหู ‘แต่อาก็ไม่รู้หรอกว่าแม่ของหญิงใจกล้าหน้าด้านสักเพียงไหนถึงกล้าอยู่กินกับผู้ชายคนนั้นออกหน้าออกตา ลูกผัวไม่ยอมมาดูแล’

‘แล้วตอนนี้ หม่อมแม่อยู่ที่ไหนเพคะ’

‘ก็อยู่กับผัวใหม่น่ะซี จะไปอยู่ที่ไหนได้’

เห็นเจ้าอากริ้วมากเข้าเกล้ามาลาก็ไม่กล้าออกปากถามอีกเลย แต่ในอกยังร้อนรนราวถูกไฟสุม ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดแม่จึงทำเรื่องร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ หญิงสาวได้แต่นั่งน้ำตาไหล ชอกช้ำอยู่ในอกแต่ไม่อาจระบายต่อว่าตัดฟ้อกับใครได้ ไม่อยากยอมรับว่าแม่ทิ้งเธอกับท่านพ่อไปแล้วจริงๆ

ครอบครัวนี้ไม่มีความหมายกับแม่แล้วหรือจึงหนีตามชู้ได้ลงคอ!

 

แม้รู้แน่แล้วว่าแม่หนีตามชู้แต่เกล้ามาลาก็อยากพบท่าน เมื่อทราบจากบ่าวในตำหนักว่าตอนนี้แม่อยู่ที่ไหนหญิงสาวก็ติดตามไป อยากถามกันให้รู้เรื่อง อยากเห็นด้วยตาของตัวเอง

ต่อให้จะค่ำมืดแค่ไหน หญิงสาวก็ยังสั่งให้เอารถออกจากวัง ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาถึงย่านศิริราชวังหลังเพราะได้ข่าวว่าแม่อยู่กับสามีคนใหม่ที่นี่ ให้ถามหาบ้านหมอปวิชก็หาไม่อยาก และเมื่อบอกว่ามาขอพบ ‘คุณนายสร้อยจันทร์’ บ่าวก็เชิญให้เธอเข้าในนั่งในเรือไม้ทรงขนมปังขิง หลังไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่ก็บอกว่าเจ้าของมีฐานะพอสมควร

แต่ถึงจะดูดีมีฐานะมากแค่ไหนเกล้ามาลากลับรู้สึกว่าเจ้าของบ้านนี้น่ารังเกียจ ผู้ชายหน้าไม่อายโอบประคองเอวแม่ของเธอให้เดินออกมาหาลูกแล้วยังยิ้มให้เธอเสียอีก เขากล้าดีอย่างไร ไม่กลัวว่าเธอจะฉีกอกเป็นชิ้นๆ บ้างหรือ

‘หญิงเกล้า’

แม่ทักทันทีเมื่อเห็นว่าเธอมาหาถึงบ้าน รีบเข้ามาสวมกอดราวกับคิดถึงเสียใจจะขาด แต่เกล้ามาลาไม่เข้าใจเลยว่าหากคิดถึงแล้วเหตุใดจึงทิ้งกันลงคอ ยอมบอกลาความเป็น ‘หม่อมสร้อยจันทร์’ แล้วมาอยู่กินกับผู้ชายคนใหม่อย่างนี้หรือ

‘กลับมาตั้งแต่เมื่อไร แล้วมืดค่ำออกจากวังมาได้อย่างไร อันตรายออก’

‘คิดถึงหญิงหรือคะ’ ยิ่งแม่ทำเหมือนห่วงใยกันเท่าไรเกล้ามายิ่งกล้ำกลืนมากเท่านั้น ‘ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปด้วยกันซี’

‘แม่กลับไม่ได้ หญิงก็รู้’

‘เพราะไม่มีหน้าจะกลับไปใช่หรือไม่คะ!’

เกล้ามาลาถามขึ้นเสียงอย่างสุดจะกลั้นแต่ไม่ได้มองหน้าแม่แม้แต่น้อย สายตาแห่งความโกรธเกลียดจ้องไปยังคนที่พาแม่หนีเธอกับท่านพ่อมา ผู้ชายจิตใจต่ำที่แย่งเมียคนอื่นลงคอ

‘ผู้ชายคนนี้มีดีอะไร! หม่อมแม่จึงทิ้งหญิงกับท่านพ่อได้’ หญิงสาวไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว ‘หลงมัวเมาอะไรไปคะ เหตุใดจึงกล้าหนีตามเขามา เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปได้อย่างไร’

‘หญิงเกล้า!’

แม่ตวาดดังทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งเหมือนสร้างแผลในใจให้ แต่ไม่อาจทำให้เธอละสายตาจากผู้ชายคนใหม่ของแม่ได้ เขายังหนุ่มแน่น หล่อเหลา และรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ คงถูกใจกันมากกระมังจึงทำเรื่องผิดศีลธรรมได้อย่างไม่อายฟ้าดิน

‘ใจเย็นลงหน่อยเถิดลูก แล้วช่วยเข้าใจแม่บ้างได้ไหม ระหว่างแม่กับท่านชายก้องไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว’

‘จะบอกว่าหมดรักหมดสวาทท่านพ่อแล้วอย่างนั้นหรือคะ’ คราวนี้เกล้ามาลาหันมาถามแม่ทั้งน้ำตา ‘แต่มันควรแล้วหรือที่หม่อมแม่จะหนีตามผู้ชายคนอื่นมา อยู่กินออกหน้าออกตากันให้อายไปทั้งพระนครเช่นนี้’

‘หากคุณหญิงอายก็อย่าได้มาที่นี่อีกเลย จงอยู่อย่างสมเกียรติธิดาในหม่อมเจ้าก้องปรีชาเถิด’

แม่ไล่เธอ!

เกล้ามาลาแทบจะไม่เชื่อหูแต่น้ำตาที่ร่วงหล่นนั้นบอกว่าเธอได้ยินไม่ผิด นี่ท่านเห็นว่าผัวใหม่ดีกว่าลูกในไส้หรืออย่างไรจึงออกปากบอกว่าไม่ให้มาหาอีก จะตัดแม่ตัดลูกเพราะผู้ชายคนนี้ได้เชียวหรือ

‘หากหม่อมแม่เห็นว่าอยู่กับเขาแล้วเป็นสุขใจมากกว่าอยู่กับหญิง ก็เชิญอยู่ให้สบายเถิดค่ะ’

ลูกสาวประชดไปทั้งน้ำตานองหน้า สาวเท้าออกจากบ้านหลังนั้นอย่างไม่รู้ทิศ ตั้งใจแน่วแน่ว่าเธอจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีกเป็นอันขาดแม้ว่าแม่จะอยู่ที่นี่ เพราะท่านก็ไม่ต้องการให้ลูกคนนี้มาหาอีกเช่นเดียวกัน ไม่มีแม้กระทั่งเยื่อใยรั้งจะไว้ ปล่อยเธอนั่งรถออกมาทั้งที่น้ำตาไหลไม่ขาดสาย

แม่เลือกผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่เธอ!

เกล้ามาลายังน้ำตาไหลไม่หยุดตลอดทางที่นั่งรถกลับวังสัตตบรรณ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสู้หน้าท่านพ่อได้อย่างไร จะกล้าตอบหรือไม่หากท่านตรัสว่าออกไปไหนมา เพราะเธอคงใจไม่แข็งพอจะเล่าให้ฟังว่าไปพบแม่อยู่กับชายชู้ มันโหดร้ายเกินกว่าจะเอ่ยปาก

หวอ…

เสียงหวีดหวิวแสบแก้วหูฉุดเกล้ามาลาขึ้นจากบ่อน้ำตา แต่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร พึ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้ไม่ทันข้ามวัน ไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นบ้าง ทว่ายังไม่ได้คำตอบ คนขับรถก็เร่งความเร็วขึ้นมาจนตกใจ

‘จะไปไหนนายมั่น!’ เกล้ามาลาร้องถามอย่างตระหนก ‘นี่ไม่ใช่ทางกลับวังเสียหน่อย’

‘เครื่องบินทิ้งระเบิดมาแล้วขอรับคุณหญิง ไปหาที่หลบก่อนเถิด’

ตอบมาเพียงเท่านั้นเกล้ามาลาก็ถึงหายใจไม่ออก นั่งนิ่งตัวแข็งแล้วปล่อยให้คนขับรถพาไปหลบระเบิดโดยไม่รู้เลยว่าจะหลบที่ไหนได้ อกสั่นขวัญหายจนเหงื่อตก แต่ขอให้เธอมีชีวิตกลับไปพบท่านพ่อด้วยเถิด ภาวนาว่าอย่างเป็นอะไรไปกลางทางเลย

คนขับรถทิ้งฟอร์ด มัสแตงคันงามไว้ข้างถนนอย่างไม่สนใจราคาของมัน แล้วรีบบอกให้เธอตามมาโดยไม่ใส่ใจบ่าวอีกคนที่มาด้วยกัน แต่ผู้คนมากมายที่กำลังเอาชีวิตรอดกันอลหม่านก็เบียดให้บ่าวของเธอหายไปจากสายตา

‘นายมั่น!’

เกล้ามาลาเรียกเสียงดังเพราะคนขับรถถูกเบียดหายเข้าไปในฝูงชน ให้เหลือเพียงผู้หญิงที่เพิ่งกลับมาจากปีนังตัวคนเดียว แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อ ถูกทิ้งไว้ข้างถนนท่ามกลางผู้คนที่วิ่งหนีตายกันขวักไขว่ ซ้ำยังไม่รู้จักใครสักคน หญิงสาวกลัวจนแทบจะเป็นบ้า แต่เธอไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหนได้

ทุกคนวิ่งไปทุกทิศจนเกล้ามาลาไม่รู้จะตามใครไปจึงจะเป็นที่ปลอดภัย แต่หากเธอยังยืนอยู่ในที่โล่งริมถนนอย่างนี้ก็เสี่ยงเหลือเกินว่าร่างกายจะถูกระเบิดจนแยกเป็นชิ้นๆ เสียงหวอก็ดังแสบแก้วหูขึ้นทุกที เหมือนบีบหัวใจให้กดดันมากกว่าเก่า อกสั่นขวัญหายราวถูกเสียงของยมทูตร้องเรียกหาอยู่ทุกวินาที เสียงแหลมหวีดหวิดโหยหวนกรีดลงกลางอก แต่เธอไม่รู้เลยว่าจะแต่พาตัวเองไปหลบที่ไหนได้

‘คุณ! มาทางนี้’

คนที่เข้ามาฉุดข้อมือเธอให้ก้าวขาวิ่งหนีจากการเป็นเป้านิ่งเป็นชายหนุ่ม ท่าทีภูมิฐานและกำลังมองเธออย่างเอื้ออาทรผ่านดวงตายาวรีคู่นั้นที่บอกชัดว่าเขามีเชื่อสายจากทางเอเชียตะวันออก แต่เกล้ามาลาไม่มีเวลาพินิจมองเขามากกว่านั้น เธอก็ถูกดึงข้อมือให้วิ่งเข้าที่หลบ

คนมาช่วยผลักร่างน้อยของเธอให้เข้าไปหลบรวมกับผู้คนนับสิบ หญิงสาวได้แต่ขดตัวหลบอยู่ใต้โครงอาคารดูแข็งแรงในซอกตึกอย่างอกสั่นขวัญหาย ไม่รู้ว่ามันจะทนแรงระเบิดได้จริงหรือไม่ น้ำตาของคนกลัวไหลพรากทุกครั้งที่ได้ยินเสียงระเบิดดังโครมคราวก้องไปทั่ว กลัวเหลือเกินว่ามันจะดังอยู่บนหัวของเธอ แล้วพรากลมหายใจจากโลกนี้ไป เธอจะไม่มีโอกาสกลับไปหาท่านพ่ออีก

หญิงสาวร้องไห้จนตัวสั่นเทาอย่างไม่เคยร้องมาก่อนเพราะกลัวจะต้องจากท่านพ่อไป หากสิ้นลูกคนเดียวไปแล้วใครเล่าจะเฝ้าดูแลพยาบาล เธอไม่น่าออกจากบ้านมาเลย!

เกล้ามาลาน้ำตาไหลพรั่งพรู ใช่ว่าจะรักตัวกลัวตายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นห่วงท่านพ่อจนไม่อาจหักห้ามความรู้สึกได้ และยิ่งน้อยใจแม่ขึ้นมาอีกหลายเท่า ท่านจะรู้บ้างไหมว่าระหว่างที่แม่สุขกายสบายใจอยู่กับชายชู้ ลูกสาวกับสามีเก่าทุกข์ทรมานกันมากเพียงใด และหากคืนนี้เธอต้องตายเพราะระเบิด แม่จะเสียใจบ้างไหม

‘อย่าร้องไห้สิ’ คนร้องไห้ได้สติอีกครั้งเมื่อถูกสะกิดเรียกจากผู้ชายคนเดิมที่ช่วยเธอไว้แล้วพามาหลบภัยในนี้ ‘ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนนะ’

ชายหนุ่มผู้มีดวงตาชั้นเดียวปลอบเธอยิ้มๆ ให้สบายใจทั้งที่หลบระเบิดกันอยู่ แต่พอรู้สึกว่ามีเพื่อน เกล้ามาลาก็เหมือนตัวเองกลับมาหายใจได้อีกหน อุ่นใจไปกับรอยยิ้มเพียงบางเบาของเขา

ตู้ม!!!

ใจชื้นได้ไม่เท่าไร เสียงดังราวฟ้าถล่มก็คำรามลั่นทำให้เกล้ามาลาถึงเผลอยกมือขึ้นมาอุดหูแล้วห่อตัวหดอยู่ความหวาดกลัว หลังถอยไปจนชิดกำแพงและเบียดเข้าหาคนข้างๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร กลัวจนสะเทือนขวัญสั่นประสาทเกินกว่าจะตั้งสติได้อีกแล้ว

‘ผมร้องเพลงให้ฟังดีไหม’

คำถามเบาๆ ดังที่ข้างหูทำให้เกล้ามาลาเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงง เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังเบียดเอา ‘เพื่อนใหม่’ มาใช้เป็นกำบังอย่างเห็นแก่ตัว ทว่าเขาไม่ถือสา ยังยิ้มให้เธออยู่เหมือนเดิม แต่เกล้ามาลากลับมองเขาอย่างงุนงง ไม่นึกมาก่อนเลยว่าหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ผู้คนรอบตัวก็เบียดเสียดหนีตายกันเข้ามาหลบระเบิด เขายังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกหรือ

‘ผมร้องได้จริงๆ นะ เคยได้ยินวงมโหรีร้องเล่นกันบ่อยๆ’ เขาย้ำให้ฟังราวกับกำลังเล่นตลกให้เธอดู ‘ขยับมาใกล้ๆ ซี ผมไม่กล้าร้องดัง ไม่เคยร้องให้ใครฟังหรอกนะ’

เกล้ามาลายิ้มออกมาได้ทั้งที่เสียงระเบิดด้านนอกที่หลบภัยยังดังกระหึ่ม เธอยอมทำตามที่ชายหนุ่มขออย่างว่าง่าย เข้าไปฟังเพลงใกล้ๆ เพื่อรอให้เขาได้ขับกล่อมตามที่บอก ลืมกลัวความตายไปชั่วขณะเพราะสายตาปลอบประโลมที่มองมาไม่ขาดสาย และยังเงยหน้ามองคนที่เข้ามาปลอบอย่างพิศวง นึกทึ่งว่าเวลาที่เฉียดใกล้ความตายเช่นนี้ เขามีแก่ใจร้องเพลงด้วยหรือ

แต่หากจะร้องจริงก็คงเพราะร้องปลอบขวัญเธอ หญิงสาวจึงยอมรับการดูแลนี้ราวกับหัวใจต้องมนต์ต่อสายตาเอื้ออาทรของชายหนุ่มที่ส่งมา

เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากว่าระเบิดจะสงบลงไปได้ ชายหนุ่มร้องเพลงวนอยู่กี่รอบ แม้แก้วเสียงของเขาจะไม่อาจเทียบเท่านักร้องที่ไหน แต่ทุกท่วงทำนองจับหัวใจของเกล้ามาลาได้อย่างตราตรึง และเสียงเพลงก็สงบไปพร้อมเสียงระเบิดด้านนอก ทั้งสองอย่างยังติดตรึงอยู่ในหัวใจ โดยเฉพาะเพลงท่อนสุดท้ายที่เขาร้องให้เธอฟัง

‘โอ้อกคิดถึง คิดถึงคะนึงนอนวัน นอนให้ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า

ทรงกลด สวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า ขวัญตาเรียมเอย[1]

 

                แสงจันทร์และแสงไฟด้านนอกที่หลบภัยถูกบดบังให้ขมุกขมัวไปด้วยควันไฟราวมีหมอกพิษลอยอยู่เต็มอากาศ ออกมาเห็นอย่างนี้แล้วหญิงสาวก็ยิ่งสะท้อนในอก ไม่เข้าใจเลยว่าผู้คนที่มารบพุ่งกันนี้ทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อตัวเธอยังมองไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกความพินาศในสงคราม

เกล้ามาลาถูกชายหนุ่มที่เพิ่งร้องเพลงจบประคองให้เดินออกจากที่หลบภัย แล้วก็กวาดสายตามองความเสียหาย ไกลลิบๆ เห็นตึกหลังหนึ่งพังลงมาและถูกไฟไหม้ควันดำขึ้นโขม่ง ระเบิดลูกหนึ่งคงตกลงตรงนั้น เห็นแล้วก็ใจหาย ภาวนาว่าอย่าได้มีใครต้องจบชีวิตอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปกับผลของสงครามอีกเลย แต่การสู้รบจะจบลงเมื่อไรก็ยังไม่มีใครตอบได้อีกเหมือนกัน

‘คงสงบแล้ว’

คนแปลกหน้าปลอบเธออย่างอ่อนโยนราวเป็นญาติกัน ค่อยๆ ปล่อยร่างน้อยออกอย่างสุภาพให้เธอยืนด้วยตัวเอง เกล้ามาลาปาดน้ำตาทิ้งแล้วถอนหายใจโล่งราวกับยกภูเขาออกจากอก แต่พอเห็นภาพด้านนอกแล้วก็ใจหายเพราะแม้บริเวณใกล้ๆ ที่เธอหลบซ่อนจะไม่เสียหายเพราะแรงระเบิด แต่มันคงทิ้งลงไม่ไกล เป็นความตายที่เฉียดใกล้เพียงเอื้อมมือ

‘แล้วบ้านอยู่ไหนครับ ให้ผมไปส่งดีไหม’

‘ขอบคุณค่ะ แต่ฉันมากับบ่าวน่ะ’ เธอปฏิเสธแม้ชายหนุ่มจะเสนอน้ำใจอย่างเอื้อเฟื้อ ‘คงต้องตามหากันก่อน แต่ว่าจะไปรอที่รถ พวกเขาอาจจะรอฉันอยู่ที่นั่น’

‘ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรอที่รถเป็นเพื่อน’

เขาบอกแล้วก็ทำเหมือนคอยให้เธอเดินนำไปที่รถเพื่อรอบ่าวกลับมาอย่างที่บอก แต่ไม่ทันได้ก้าวขาก็มีผู้ชายอีกคนเดินรี่ๆ เข้ามาหา แล้วคว้าแขนเพื่อนใหม่ของเธอเอาไว้แน่น หน้าตาก็ขึงขังจนน่ากลัว

‘รีบไปกันเถอะ’

ผู้มาใหม่บอกสั้นๆ จนเกล้ามาลามองเขาอย่างงุนงง แล้วเพื่อนใหม่ของเธอก็หน้าตึงไปด้วยอีกคนจนหญิงสาวคิดว่าคงมีอะไรที่สำคัญกว่าการพาเธอไปรอคนขับรถเสียแล้ว

‘คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ’ คนตาชั้นเดียวที่ช่วยเธอไว้บอกอย่างอ่อนโยน สายตาไม่เหมือนยามมองคนที่ตามเลย ‘คุณกลับไปรอบ่าวที่รถนะ ผมคงต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย’

‘ขอบคุณนะคะ’

เกล้ามาลาไม่ยื้อและเขาก็ทำเพียงพยักหน้าให้ จากนั้นชายหนุ่มก็รีบออกไปกับคนที่ตาม เธอจึงทำเพียงมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่คล้อยจากไปจนลับสายตา โดยไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร แต่ก็คงทิ้งเขาไว้เพียงในความทรงจำ คงไม่บังเอิญกลับมาพบกันอีกแล้ว

‘คุณหญิง! คุณหญิงเจ้าขา!’

เพียงครู่เดียวที่ผู้ชายคนนั้นลับสายตาไป บ่าวคนติดตามที่พลัดกันตอนลงจากรถไปหลบระเบิดก็วิ่งมาหาเธอทั้งน้ำตา

‘เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ทูนหัวของบ่าว บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่’

‘ไม่เป็นอะไร ฉันเข้าที่หลบทัน’ เกล้ามาลาตอบอย่างใจเย็นให้บ่าวสบายใจ ‘แล้วนุ่มเป็นอย่างไรบ้าง’

‘ปลอดภัยดีเจ้าค่ะ’ แม่นุ่มบ่าวคนสนิทรีบบอกแต่ก็ดูลุกหลิก ‘ว่าแต่พี่มั่นไปไหนเสียละเจ้าคะ’

‘พลัดกันตอนวิ่งเข้าที่หลบ’ ถามหาคนขับรถเกล้ามาลาก็ถอนหายใจแรง ‘รีบช่วยกันตามหาเถิด จะได้กลับวัง ฉันเป็นห่วงท่านพ่อเหลือเกิน’

‘เจ้าค่ะ’

เมื่อต้องตามหานายมั่นคนขับรถเกล้ามาลาก็ต้องเดินเท้าหา ทว่าเหตุการณ์ทิ้งระเบิดเมื่อครู่ทำให้ความสงบหายไปจนสิ้น ผู้คนขวักไขว่เต็มไปด้วยความโกลาหน และแม้จะเดินหาจนเหมื่อยก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพบนายมั่นเลย เรี่ยวแรงของเธอก็โรยลงเต็มที ไม่รู้จะเดินหาคนขับรถได้ไหวอีกสักเท่าไรกัน

‘คุณหญิงเจ้าขา บ่าวขอไปซื้อน้ำตรงนั้นได้ไหมเจ้าคะ กระหายเหลือเกิน’

‘ไปซี’ เกล้ามาลาก็รู้สึกไม่ต่างกัน ‘ซื้อมาเผื่อฉันด้วยนะ’

หญิงสาวหยิบธนบัตรใบละหนึ่งบาทให้บ่าวไป ส่วนตัวเองไปนั่งรอที่ม้านั่งริมตึกแถวที่ด้านข้างเป็นร้านขายของชำซึ่งส่วนมากคนก็ซื้อยาและอาหารแห้ง ต่อแถวยาวพอสมควร คงเพราะระเบิดเมื่อสักครู่ทำให้มีคนเจ็บ… สงครามมันโหดร้ายเหลือเกิน

‘นี่เธอๆ ได้ยินข่าวเมียหมอปวิชบ้านฟากขะโน้นไหม ที่ว่าเคยเป็นหม่อมมาก่อนอย่างไรเล่า ได้ยินว่าค่ำวันนี้ลูกสาวมาอาละวาดถึงบ้านเชียวหนา’

เกล้ามาลาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังทว่าเรื่องของคนที่ต่อแถวรอซื้อของอยู่ก็เข้ามากระทบหูเธอ แต่ก็ไม่แปลกใจหากคนละแวกนี้จะลือเพราะร้านค้านี้ก็อยู่เพียงคนละฟากกับบ้านของชายชั่วผู้นั่น หรือดีไม่ดีจะลือกันไปทั้งคุ้งน้ำแล้วกระมัง ข่าวลือนี่ไม่ว่าจะเท็จหรือจริง มันก็ช่างไปเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งเสียอีก

‘บ่าวบ้านนั้นเห็นแล้วก็รีบมาเล่าให้ฉันฟัง’ เธอเพิ่งรู้ว่าที่บ้านใหม่ของแม่มีฆ้องปากแตกก็คราวนี้ ‘ตอนเล่ายังได้ยินเสียงทะเลาะเอะอะกันอยู่เลยแม่เอ๊ย! ฉันได้ยินเต็มสองหูเชียวว่านางลูกมันด่าแม่ว่าเห็นผู้ชายดีกว่าลูก’

‘ก็จริงไหมเล่า!’ คนที่ยืนอยู่ข้างกันรีบผสมโรงราวกับรู้เรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ‘เจ้าหล่อนเป็นหม่อมมาก่อน ไม่รู้ว่าหนีตามเขามาได้อย่างไร แล้วยังอยู่กินกันออกหน้าออกตาเสีย นี่ถ้าฉันเป็นลูกเป็นผัวคงไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน’

‘สงสารแต่นางคนลูก มีแม่ใฝ่ต่ำคบชู้สู่ชายแล้วหอบผ้าหนีตามกันมา อัปยศแท้ๆ เชียว’

อัปยศ…

คำเดียวที่ยังก้องอยู่ในหัวของเกล้ามาลาติดฝั่งแน่น หยดน้ำตารินออกมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด โกรธ น้อยใจที่ถูกแม่ทิ้งไปอยู่ชายชู้ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าพันทวี แต่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากทนอยู่กับความรวดร้าวในหัวใจ

แก้ไขความจริงนั้นไม่ได้เลย!

 

เกล้ามาลาแทบจะไม่ก้าวขาออกไปไหนอีกเลยหลังจากวันนั้น นับเวลามาก็เจ็ดแปดเดือนแล้ว เธอไม่อยากได้ยินคำบาดหูบาดหัวใจ และเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่แต่ในรั้ววังสัตตบรรณ

นับตั้งแต่วันนั้นมาก็มีเพียงเจ้าอาทรงแวะมาเยี่ยมท่านพ่ออยู่เนื่องนิตย์ แต่มาคราวใดก็เอาแต่เรื่องงามหน้าของแม่มาเล่าระบายความคับแค้นใจให้ฟัง พูดย้ำอยู่ไม่หยุดเพราะเจ็บใจที่แม่ทิ้งท่านพ่อแล้วหนีตามชายชู้ได้อย่างหน้าไม่อาย จนหลายหนหญิงสาวเริ่มไม่แน่ใจท่านยังทรงรักใคร่เอ็นดูหลานคนนี้อยู่จริงหรือไม่ เหตุใดจึงเอาแต่เรื่องสะเทือนหัวใจมาบอกกล่าวให้มันต้องกลายเป็นฝันร้ายแทบทุกคืน

ครั้นจะหนีไปไม่ฟังที่หม่อมเจ้าเกศกษมาทรงบริภาษมารดา คนเป็นหลานก็ทำไม่ลงเพราะท่านเป็นพระญาติผู้ใหญ่ฝ่ายท่านพ่อเพียงองค์เดียวที่ยังดูแลเธออยู่ คนอื่นพอรู้ว่าแม่ของเธอทำเรื่องน่าอับอายก็ไม่เคยมาเยี่ยม ซ้ำยังตั้งข้อสงสัยเชิงกล่าวหา ว่าหลานสาวผู้นี้เป็นธิดาในหม่อมเจ้าก้องปรีชาจริงหรือไม่ หรือหม่อมสร้อยจันทร์จะริคบชู้มาตั้งแต่ยังสาวแล้วเอาลูกเสือลูกตะเข้มายังหยัดให้ได้เป็นหม่อมราชวงศ์หญิงหรือเปล่าก็ไม่รู้

เกล้ามาลาก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ทว่ามีหลายหนที่เธอเผลอน้อยใจเพราะรู้ว่าที่แม่ของเธอมาเป็นหม่อมได้ก็เพราะคุณป้าศรีเพ็ญพามาถวายตัว เนื่องจากเมื่อก่อนคุณป้าเคยเป็นข้าหลวงในวังครั้งเสด็จย่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ คราวนั้นท่านพ่อเป็นหนุ่มใหญ่วัยย่างสี่สิบแล้ว ไม่มีลูกกับหม่อมเอกจนฝ่ายหญิงตายจาก เมื่อมาเห็นสาวน้อยแช่มช้อยวัยสิบหกอย่างแม่ของเธอก็ทรงออกปากขอจากตายาย กลายเป็นว่าเกล้ามาลามาเกิดตอนที่ท่านชายก้องปรีชามีชันษาครบสี่สิบพอดี

แต่หลายเสียงในใจก็ยังค้านว่าเธอเป็นลูกพ่อ เกล้ามาลามั่นใจโดยไม่ต้องมีเหตุผลหรือหลักฐาน มีเพียงความผูกพันของสายเลือดที่ส่งผ่านให้สัมผัสได้อยู่ตลอดเวลา และตั้งแต่แม่หนีไปท่านก็ไม่ตรัสถึงเลยสักไม่ครั้ง ไม่มีชื่อของหม่อมสร้อยจันทร์ให้ลูกได้ยินจากโอษฐ์ คงเพราะไม่อยากให้เธอเสียใจ

‘อ้าวหญิงเกล้า มาแต่เช้าเชียวลูก’

ก้าวเข้ามาในห้องบรรทมได้ท่านพ่อก็ทรงทักทายด้วยรอยยิ้มโรยแรงตามประสาผู้ที่อยู่ดูโลกนี้มาเกือบหกสิบปีแล้ว แต่เธอก็แปลกใจว่าเหตุใดวันนี้ท่านจึงตื่นบรรทมเช้านัก หรืออาจเพราะพระอาการดีขึ้น ไม่นอนเจ็บออดๆ แอดๆ เหมือนก่อนหน้าที่ลูกสาวจะกลับมาดูแล คงเพราะมีเธออยู่ใกล้ๆ ท่านจึงทรงสดชื่นแจ่มใส อาการประชวรก็หายราวได้โอสถทิพย์

‘หม่อมฉันนึกว่ายังบรรทมอยู่จึงเข้ามาดูเสียก่อน’ ลูกสาวตอบอย่างเอาใจแล้วเข้าไปอ้อนใกล้ๆ ขอบพระแท่นบรรทม ‘เช้านี้อยากเสวยอะไรเป็นพิเศษไหมเพคะ จะให้คนครัวทำถวาย’

‘มีอะไรให้กินก็กินเถิดลูกเอ๋ย อย่าลำบากไปเลย ยามสงครามอย่างนี้เก็บเงินไว้สำรองใช้จ่ายเรื่องอื่นเถิด’

ท่านพ่อรับสั่งอย่างอ่อนโยนและเกล้ามาลาก็เห็นด้วย อย่าว่าแต่อาหารเลย ทุกอย่างในภาวะสงครามนี้แพงไปหมด นับแต่น้ำท่วมใหญ่เมื่อเดือนสิงหาคม เรือกสวนไร่นาของชาวบ้านก็เสียหาย คนที่เคยมาเช่าที่ดินของท่านพ่อก็ถึงกับต้องมาขอผัดผ่อนไม่มีเงินจะจ่าย ท่านก็ทรงให้เอาพืชผักตามแต่จะหาได้มาเป็นค่าเช่าไปพลางๆ จนกว่าที่สวนที่นาจะฟื้น แม้จะทำให้ขาดรายได้ไปแต่ก็มีของกินอยู่ไม่ขาด

แต่เมื่อไม่มีรายได้จากการเช่าที่ดินมาเข้ามือเหมือนเดิม เกล้ามาลาก็หมุนเงินจากค่าเช่าตึกสองคูหาที่ถนนเจริญกรุงมาใช้ก่อน ประหยัดหน่อยก็พอจะเลี้ยงตัวเธอและท่านพ่ออีกทั้งบ่าวในวังที่มีอยู่ห้าคนได้ไหว ทำบัญชีอย่างถี่ถ้วนแล้วก็เห็นรายรับรายจ่ายให้รู้ว่าต้องควบคุมจุดใดบ้างจึงจะไม่สิ้นเปลือง

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เหนื่อยใจกับสภาพเศรษฐกิจเต็มที ของกินของใช้ก็ขาดแคลนไปแทบทุกอย่าง กระทั่งข้าวสารยังราคาตั้งถังละ 6 บาท จะมีเงินหน่อยก็คงเป็นพวกเศรษฐีสงคราม กักตุนสินค้าไว้เพื่อโก่งราคาให้ได้ร่ำรวยไปตามๆ กัน

ยังดีว่าวังสัตตบรรณไม่ได้ใหญ่โตนัก เกล้ามาลาจึงไม่ต้องใช้เงินในการดูแลมากเพราะหม่อมเจ้าก้องปรีชาผู้เป็นเจ้าของมองแล้วว่าอยากเป็นนกน้อยทำรังแต่พอตัว จึงโปรดให้สถาปนิกออกแบบตึกสถาปัตยกรรมนีโอ-โกธิกให้สวยงามแต่ไม่ใหญ่โตโอ่อ่าเกินกว่าครอบครัวน้อยๆ จะใช้สอยพื้นที่ เป็นผลให้เธอไม่ต้องจ้างคนงานมากๆ มาคอยดูแล

‘แล้วดูแลวังคนเดียวอย่างนี้เหนื่อยไหมลูก’ ท่านพ่อตรัสเบาๆ แต่ก็ดึงลูกสาวให้กลับมาตั้งใจฟังท่าอีกหน ‘ถ้าไม่ไหวให้พ่อช่วยดูก็ได้นะ’

‘ไหวซีเพคะ เรื่องนิดเดียว’

‘ที่คอนแวนต์คงสอนเจ้ามาดี เก่งจริงๆ ลูกพ่อ’

เกล้ามาลายิ้มรับคำชมอย่างไม่ขวยเขิน รู้ดีว่าท่านทรงภูมิใจในตัวเธอมากแค่ไหน และรู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่ท่านทรงตั้งพระทัยรอคอยมานาน จึงทรงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้ หม่อมราชวงศ์สาวก็ตั้งใจจะถวายการดูแลพระบิดาให้เต็มความสามารถ ไม่ว่าทรงต้องการอะไรก็จะทำถวายได้ทุกสิ่งอัน

‘อ้อ! หญิงเกล้า กำไลข้อเท้าของเจ้าหายไปอยู่ที่ไหนกัน’ ได้ยินอย่างนั้นเกล้ามาลาก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที ‘พ่อไม่เห็นสวมมาตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงถอดออกเสียล่ะ’

‘ถอดตั้งแต่ไปอยู่โรงเรียนแล้วเพคะ เขาห้ามสวมเครื่องประดับ’ คนไปเรียนไกลถึงปีนังตอบตามซื่อ ‘แต่ยังเก็บไว้อย่างดี ก็เสด็จย่าประทานให้’

‘เอากลับมาสวมเสียนะลูก และหากยามใดกลับไปเรียนต่อคอลเลจก็อย่าได้ถอดเชียว เขาคงไม่ได้ห้ามสวมเครื่องประดับแล้วใช่ไหม’

‘ไม่ห้ามเพคะ แต่จะสวมอีกทำไมกัน หม่อมฉันก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว’

‘ไม่ใช่เด็กๆ แล้วแต่ก็ยังไม่ออกเรือน’ ท่านชายก้องปรีชาทรงพระสลวนเบาๆ  อย่างเอ็นดู ‘ออกเรือนเมื่อใดแล้วค่อยให้สามีถอดให้ก็แล้วกัน’

พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเกล้ามาลาก็ใจหายวูบ รู้ตัวแล้วว่าเป็นสาว บางทีท่านพ่ออาจจะทรงหมายตาชายคนใดไว้ให้ หากถูกสั่งให้แต่งงานไปเธอคงไม่กล้าขัดเพราะอยากตามพระทัยท่านไปทุกอย่าง แต่หากจะต้องมีสามีจริง จะให้เธอได้รู้จักเขาบ้างได้ไหมหนอ

‘โปรดให้หม่อมฉันออกเรือนแล้วหรือเพคะ’ เกล้ามาลาเสี่ยงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ‘จะทรงให้ออกไปใคร’

‘พ่อไม่รู้หรอก’ คราวนี้ท่านทรงหัวเราะร่วนชอบใจใหญ่ ‘แค่พูดเผื่อไว้ ส่วนเรื่องคู่พ่อจะให้เจ้าเป็นรจนา เสี่ยงมาลัยหาคู่เองเสียแล้วกัน’

‘แล้วหากหม่อมฉันเสี่ยงได้เจ้าเงาะเล่าเพคะ’

ลูกสาวอดเย้าคืนไม่ได้แต่ก็สบายใจที่ไม่ถูกคลุมถุงชน ทว่าคำถามนั้นก็ทำให้พ่อพ่อทรงหยุดหัวเราะไป กระนั้นพระพักตร์ยังแช่มชื่น แล้วทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาลูบหัวเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเอ็นดู

‘แม้เจ้าเงาะก็มีเนื้อแท้เป็นทอง และพ่อเชื่อว่าลูกของพ่อจะมีตาทิพย์ มองทะลุเข้าไปถึงเนื้อในของชายที่เจ้าเลือกเป็นคู่ เลือกดูให้ดีเถิดเกล้ามาลา’

‘เพคะ’

‘แต่เรื่องเดียวที่พ่อจะขอ คือไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นใครหรือฐานันดรใดก็ตาม พ่อขอให้เขารักและให้เกียรติเจ้า จะเลือกใครมาเป็นคู่ต้องดูให้ดี อย่าทำให้ตัวเองต้องมัวหมอง…’

ท่านพ่อรับสั่งเสียงหนักจนทุ้มลงไปในหัวใจของลูกสาว และยิ่งกดแน่นมากขึ้นเมื่อท่านวางพระหัตถ์นิ่งอยู่เหนือศีรษะของเธอ

‘เกล้ามาลา ชื่อของเจ้าหมายถึงหัวที่เทิดดอกไม้ไว้ เป็นดอกบัวบริสุทธิ์แห่งราชกุลสัตตบรรณของเรา จงครองตัวอยู่บนความดีงาม บูชาแต่สิ่งที่ควรบูชา ให้สมกับที่เกิดมามีราชกุล’

‘เพคะ’

เกล้ามาลารับคำหนักแน่น แต่ในใจกลับมีความรู้สึกมากมายอื้ออึงขึ้นมา และสัมผัสได้ถึงความคาดหวังของท่านพ่อที่ทรงมีต่อตัวเธอ ว่าแม้จะไม่ได้ทรงบังคับเรื่องการเลือกคู่ครอง แต่ก็เหมือนดักคอไว้แล้วว่าหากเธอจะมีคู่ก็ต้องมีคู่ที่ดี สมเกียรติศักดิ์ศรีของหม่อมราชวงศ์หญิงผู้เป็นทายาทแห่งราชสกุลสัตตบรรณ อย่าให้มีเรื่องอื้อฉาวมัวหมองใดๆ มาเจือปน

 

แต่เรื่องคู่นั้นคงอีกไกลเพราะเกล้ามาลายังไม่คิดจะเลือกใคร สิ่งเดียวที่ตั้งใจทำให้ตอนนี้คือถวายการดูแลท่านพ่อ ท่านเป็นมิ่งขวัญเดียวในชีวิต เป็นคนที่ทำให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาอย่างมีความหวังอยู่ทุกวัน

ชีวิตของเธอดำเนินไปอย่างราบเรียบ มีรายได้จากการเก็บค่าเช่าตึกและรับผักผลไม้จากชาวสวนแทนเงินค่าเช่ามาเป็นเสบียงเลี้ยงคนในวัง ควบคุมรายรับรายจ่ายให้ดีจึงไม่ต้องเอาสมบัติเก่ามาขายกิน และตัวเธอก็แทบจะไม่ก้าวขาออกจากบ้านไปไหน กลัวเหลือเกินว่าหากพ้นรั้ววังไปเรื่องของแม่จะทำให้เจ็บช้ำใจอีก

แต่เหมือนว่าต่อให้เธอซ่อนอย่างไรก็หนีไม่พ้น เกล้ามาลาจำได้ดีว่าวันนั้น 22 มกราคม เธอกำลังเล่นไวโอลิน หัดเพลงใหม่มาได้สักพักแล้ว ซึ่งเป็นเพลงที่ ‘ผู้ชายคนนั้น’ ร้องปลอบขวัญเธอในวันหลบระเบิด มันเป็นเพลงที่เกล้ามาลาฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ

‘คุณหญิงเจ้าคะ หม่อมสร้อยจันทร์มาขอพบเจ้าค่ะ’

คันสีไวโอลินหยุดชะงักในทันที พอเริ่มเล่นจะเป็นเพลงสักนิดบ่าวก็เดินมาตามแล้วบอก เกล้ามาลาถึงกับหน้าซีดไปไม่คิดว่าแม่จะกล้ากลับมาที่วังสัตตบรรณอีก นึกเป็นห่วงท่านพ่อสุดหัวใจ ไม่อยากคิดเลยว่าหากท่านได้พบหน้าอดีตชายาแล้วจะรู้สึกอย่างไร

‘ตอนนี้อยู่ที่ไหน’ เธอถามอย่างร้อนใจ ‘ให้เข้ามาในวังมาหรือเปล่า’

‘รออยู่ที่ห้องรับแขกเจ้าค่ะ’

‘เชิญไปที่สวน’ ลูกสาวเจ้าของวังออกคำสั่งเด็ดขาด ‘แล้วให้คนไปเฝ้าท่านพ่อไว้ อย่าเพิ่งให้เสด็จออกจากห้องบรรทม ฉันไม่อยากให้ท่านได้พบกัน’

ออกคำสั่งเสร็จเกล้ามาลาก็เดินไปแอบดูท่านพ่ออีกทีว่าท่านตื่นบรรทมหรือยัง โชคดีเหลือเกินที่ทรงเอนหลังเป็นประจำเมื่อคล้อยบ่าย และอาจเพราะเหตุผลนี้แม่จึงกล้ามาหาเธอ แต่จะมีอะไรให้พูดคุยกันอีกหรือในเมื่อวันนั้นก็เป็นคนไล่ลูกเองกับปาก

แต่วันนี้แม่ดูแปลกตาไปจนเกล้ามาลาชะงักเมื่อพบหน้าท่าน หญิงวัยสามสิบกว่าสวมชุดดำ ใบหน้าดูหม่นหมองถือหมวกผ้ากำมะหยี่ประดับดอกไม้ประดิษฐ์ไว้บนตัก และเมื่อเห็นหน้าเธอท่านก็คลี่ยิ้มออกมาราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ทำหน้าเศร้าเลยสักนิด

‘สวัสดีจ้ะ’

คำแรกที่แม่ทักเมื่อเธอเดินมาถึงโต๊ะน้ำชาในสวนของวังทำให้เกล้ามาลาขมวดคิ้วมุ่นเพราะมันไม่ชินหู ไม่รู้ว่าแม่ไปเอาคำนี้มาจากไหนจนงงไปหมด ตั้งตัวไม่ถูกเลย

‘อะไรกันคะ’

‘อ้าว หญิงยังไม่ได้ฟังวิทยุหรือจ๊ะ’ แม่ถามคืนอย่างฉงน ‘ก็ท่านผู้นำประกาศให้ใช้คำว่าสวัสดีเป็นคำทักทายทั่วไปกันแล้ว’

‘หญิงไม่เอาด้วยหรอกค่ะ’

‘เหมือนท่านไม่มีผิด’ พอเธอปฏิเสธแม่ก็ถึงถอนหายใจแรง ‘ตามใจหญิงเถิด แต่หากออกนอกบ้านเมื่อไรก็อย่าขืนให้มันมากไปนัก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสวมหมวก แม่เป็นห่วงนะ’

‘แล้วหม่อม… คุณแม่มีธุระอะไรกับหญิงหรือคะ’

เธอไม่ยอมคืนตำแหน่งให้มารดาแต่ก็ไม่ถึงขั้นกระด้างกระเดื่องใส่ แม้จะเสียงแข็งอยู่ไม่น้อยเพราะยังทั้งโกรธทั้งน้อยใจ ส่วนแม่เองหน้าเจื่อนไปไม่น้อยเลย

‘แม่ก็คิดอยู่นานว่าจะเยี่ยมหญิงดีหรือไม่’ น้ำเสียงของแม่ฟังห่างเหินออกไปเมื่อเธอเรียกท่านว่าคุณแทนหม่อม ‘แล้วหญิงสบายดีหรือ’

‘สบายดีค่ะ’

ลูกสาวทำเสียงเย็นแต่ในอกโหวงเหวงไปหมด ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่เป็นคนอื่นคนไกลมากขึ้นทุกที ราวกับท่านไม่มีความอบอุ่นให้ลูกคนนี้อีกแล้ว

‘หากคุณแม่มีธุระเพียงเท่านี้ก็เชิญกลับเถิดค่ะ หญิงไม่อยากให้ท่านพ่อตื่นบรรทมมาพบ’

‘จริงๆ แล้วแม่ตั้งใจจะมาบอกว่าบ้านของคุณตากับคุณยายโดนทิ้งบอม’ ข่าวร้ายนั้นทำให้เกล้ามาลาใจหายวูบแล้วชาไปทั้งตัว ‘หาศพก็ไม่พบคงจะมอดไหม้ไปเพราะถูกไฟคลอกแล้วกระมัง จึงได้แต่บำเพ็ญกุศลส่งไปให้ เอาของเก่าๆ ที่ท่านเคยให้คุณหญิงป้ากับแม่ไว้มาตั้งให้พระสวดแทนศพ’

‘หญิง… จะไปฟังสวดศพคุณตากับคุณยายค่ะ’ เกล้ามาลาบอกเสียงสั่นเพราะอย่างไรเสียก็ไม่อาจตัดญาติขาดมิตรกับท่านได้ ‘สวดศพวัดไหนคะ’

‘วัดหัวลำโพง’ แม่ตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย ‘หากพรุ่งนี้หญิงจะไป แม่ก็จะไม่ไปเสียแล้วกัน จะให้คุณหญิงป้าอยู่รอรับนะ’

‘ค่ะ’

‘แล้วก็พาบ่าวตามไปสักสองสามนะลูก เผื่อระหว่างเดินทางมีเหตุเกิดร้ายขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้’

‘ไม่ได้หรอกค่ะ หากไปกันหมดแล้วใครจะอยู่ถวายการดูแลท่านพ่อ’

‘พระอาการหนักหรือ’

เกล้ามาลาชักสีหน้าทันทีเมื่อแม่ถาม ความน้อยใจประเดประดังเข้าใส่จนน้ำตาของเธอเอ่อแต่ก็กลั้นไว้ไม่อยากร้องไห้ออกมาให้คนที่ทิ้งเธอได้เห็นเลย

‘ก็เป็นไปตามชันษานั้นละค่ะ’ เกล้ามาลาแข็งใจตอบแต่ยังมองหน้าแม่อย่างสุดจะน้อยใจ ‘แต่หญิงจะถวายการดูแลท่านให้ดีที่สุด ไม่ทิ้งไปไหนแน่’

‘จะไม่กลับไปเรียนต่อคอลเลจแล้วหรือ’

‘แล้วจะให้ทิ้งท่านพ่อไปได้อย่างไรคะ!’

‘แต่แม่อยากให้หญิงเรียนสูงๆ สมัยนี้ผู้หญิงก็ทำงานเลี้ยงตัวอยู่มาก จะมาจมอยู่กับบ้านเป็นแม่บ้านแม่เรือนอยู่แต่ในวังได้อย่างไร แล้วหากวันใดสิ้นท่านชายไป หญิงจะอยู่คนเดียวอย่างไม่มีงานทำได้หรือ แม้สมบัติของท่านจะมีมาก แต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าจะผลาญได้หรอกนะลูก’

‘คุณแม่!’

เกล้ามาลาร้องเสียงแหลมแล้วถึงกับลุกจากโต๊ะช้ำชา โกรธจนตัวสั่น น้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างสุดจะกลั้นนั้นเต็มไปด้วยความน้อยใจ ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากปากคนเป็นแม่

‘หาจะมาแช่งท่านพ่ออย่างนี้ ก็อย่าได้กลับมาเหยียบวังสัตตบรรณอีกเลย กลับไปเถิดค่ะ!’

หญิงสาวออกปากไล่ทั้งน้ำตาแล้วไม่อยู่ฟังอะไรอีก รีบสาวเท้าหนีไปด้วยหัวใจแสนชอกช้ำ ไม่อยากอยู่มองหน้าคนที่ไม่รักเธอกับท่านพ่อจนถึงขั้นแช่งชักหักกระดูกกันอีกแล้ว!

 

มันเหมือนคำแช่งจริงๆ หลังจากวันนั้นเพียงไม่กี่เดือนท่านพ่อก็ประชวร หมอว่าเป็นมาลาเรียแต่ยาขาดแขลนเหลือเกิน มีเงินอย่างเดียวก็ใช่ว่าจะซื้อได้ เกล้ามาลาพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วแต่ไม่อาจยื้อมิ่งขวัญเดียวในชีวิตไว้ได้เลย

หลังสงกรานต์เพียงไม่นานท่านพ่อก็ถึงชีพิตักษัย ทิ้งเพียงน้ำตาไหลนองหน้าลูกสาว เกล้ามาลารู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกของเธอมืดดับลงและเหลือตัวเองเพียงลำพัง ลมหายใจเข้าออกแต่ละรอบช่างผ่านไปอย่างไร้ความหมาย ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหากไม่ต้องตื่นมาเพื่อจัดการงานพระศพแล้วให้ครบเจ็ดวันแล้ว เธอจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร

เกล้ามาลาอยู่กับความโศกสันต์มาจนถึงวันที่แปด พระญาติองค์เดียวที่คอยช่วยงานอยู่ด้วยคือหม่อมเจ้าหญิงเกศกษมา คอยเป็นผู้ใหญ่บอกว่าในงานพระศพต้องจัดการอย่างไรบ้าง ให้เด็กสาววัยเพิ่งเข้าสิบเก้าปีมาเป็นแม่งานได้ รวมทั้งช่วยทูลเชิญเหล่าพระญาติมาร่วมฟังพระสวด ช่วยถวายการต้อนรับแขกผู้ใหญ่ในงานพระราชทานเพลิงพระศพอีกด้วย หากไม่มีเจ้าอาแล้วเกล้ามาลาก็คงทำทั้งหมดนี้เพียงคนเดียวไม่ได้

ลำพังตัวเธอเองยังไม่รู้อนาคตว่าจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในวังสัตตบรรณได้อย่างไร นึกอย่างแรกคือคงจะให้คนงานที่สมัครใจจะออกไปหางานใหม่ออกกันไปก่อน เพราะลำพังตัวเธอไม่ต้องการข้ารับใช้มากมายเหมือนตอนที่มีคนป่วยอยู่ในบ้าน เหลือไว้เพียงข้าเก่าเต่าเลี้ยงสองคนคือนางนุ่มกับแม่เพราะสองคนนี้ไม่มีที่ให้ไป บ้านของเธอจึงไม่ต่างจากบ้านของทั้งสองคนไปด้วย

ส่วนต่อไปภายหน้าก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง จะเรียนต่อดีไหมหรือจะใช้ชีวิตเฝ้าวังไปวันๆ อย่างที่เคยเป็นมาครั้งท่านพ่อยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เธอยังมองไม่เห็นวันข้างหน้าของตัวเองเลย

‘หญิงเกล้า ประเดี๋ยวไปยืนอยู่ตรงหน้าแท่งวางดอกไม้จันทน์นะ แล้วก็เช็ดน้ำตาเสีย รู้หรอกว่าเสียใจแต่อย่าร้องให้หนักไปนักเลย เป็นลมเป็นแล้งไปจะยุ่งเสียเปล่าๆ’

เจ้าอารับสั่งเสียงเรียบและทอดเนตรอย่างตำหนิเหมือนเธอช่างไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย แต่อย่างไรเสียท่านก็ทรงหวังดี หลานสาวจึงทำตาม ขึ้นไปไหว้เหล่าแขกผู้ใหญ่ที่เสด็จมาร่วมวางดอกไม้จันทน์

‘ตาเถร! กล้ามาได้อย่างไร’

เกล้ามาลาไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นจากการไหว้ขอบคุณแขกผู้ใหญ่ที่เพิ่งวางดอกไม้จันทน์ไป เสียงแหลมของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอก็ดังขึ้นมาเสียก่อน แต่เมื่อรู้ว่าเหตุใดจึงร้องหญิงสาวหน้าเสียจนซีด ไม่อยากเชื่อเลยว่าแม่จะกล้ามา

‘นี่หล่อนมีหน้ามาเหยียบงานนี้ได้อย่างไร!’

เจ้าอาที่ประทับอยู่ข้างกันกริ้วจนแทบจะควบคุมอารมณ์ให้สำรวมในงานศพได้อีกต่อไป มองอดีตพี่สะใภ้ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ และหากไม่อยู่ในวงล้อมของแขกเหรื่ออาจจะชี้หน้าด่าคุณสร้อยจันทร์ที่กล้าพาสามีใหม่มาร่วมงานพระศพของหม่อมเจ้าก้องปรีชาไปแล้วก็ได้

‘หม่อมฉันเพียงอยากมาขออโหสิกรรมเพคะ’ คนรู้ตัวว่าผิดตอบเบาๆ ‘ท่านชายถึงชีพิตักษัยไปแล้ว ไม่อยากให้มีอะไรติดค้างกันเพคะ’

‘อ้อแน่ละ! เจ้าพี่ของฉันทรงไปสบายแล้ว แต่หล่อนนี่สิตายไปคงได้พากันปืนต้นงิ้วกับไอ้ระยำนี่’

เจ้าอาทรงดุด่าอย่างไม่สนพระทัยว่าคนเป็นลูกก็ฟังอยู่ หากแต่เกล้ามาลาไม่มีความคิดแม้เพียงน้อยที่จะลุกขึ้นมาปกป้องแม่ ในเมื่อที่หม่อมเจ้าเกศกษมาตรัสก็ไม่มีสิ่งใดผิด อดคิดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแม่กับผู้ชายคนนี้สมควรถูกต่อว่าแล้ว

‘สุดแล้วแต่ฝ่าบาทจะดำริเถิดกระหม่อม’ หมอปวิชยอมรับคำประณามอย่างไม่ปริปากเถียง ‘แต่คุณสร้อยจันทร์เธอแค่อยากมาถวายดอกไม้จันทน์ วางเสร็จแล้วก็จะไป’

‘ฉันไม่ให้วาง!’ เจ้าอาทรงขึ้นเสียงดังมาขึ้นทุกที กริ้วจนพระพักตร์แดงไปหมด ‘ไสหัวออกไปให้พ้นบัดเดี๋ยวนี้ ชายโฉดหญิงชั่วอย่างแก่สองคน อย่ามาทำให้ราชสกุลสัตตบรรณแปดเปื้อน ออกไป!’

ในที่สุดเจ้าอาก็ทรงชี้หน้าด่าอย่างสุดจะทนและเกล้ามาลาก็เลือกที่จะไม่ช่วย นิ่งดูดายให้มารดาถูกต่อว่า แต่เธอไม่ได้ทับถมเพราะรู้ว่าเท่านี้แม่ก็อายเหลือเกินแล้ว หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งๆ มองแม่แอบวางดอกไม้จันทน์ไว้ แล้วเดินนำหมอปวิชลงจากเมรุไป ทิ้งเพียงความเจ็บช้ำหัวใจไว้ให้ลูกสาว

‘งามหน้านัก! อย่ามานับญาติกับฉันอีกเชียว คนอย่างนี้มันเสนียดจังไร เข้าใกล้เมื่อไรคงฉิบหายเมื่อนั้น’

หม่อมเจ้าเกศกษมาทรงสาปส่งให้หลังแม้แม่กับหมอปวิชจะเดินจากเมรุไปไกลแล้ว แต่เหมือนแขกเหรื่อในงานก็เห็นด้วยกับเจ้าอา ยังด่าว่าส่งท้ายจนเสียงติฉินนิทามันเข้ามากระทบอกคนเป็นลูก

มีแต่คำว่า คบชู้ สันดารต่ำ และ แพศยา ก้องอยู่เต็มหูของเกล้ามาลา ฝั่งลึกลงไปในหัวใจไม่รู้ลืม!

หลังจากวันนั้นเกล้ามาลาอายจนไม่แทบจะแทรกแผ่นดินหนี ญาติมิตรจากเคยพอจะเอ็นดูอยู่บ้างก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก วันที่มาฟังทนายเปิดพินัยกรรมก็แทบจะไม่รับไหว้เธอ ไม่ยอมแม้กระทั่งจะจิบน้ำที่ตั้งไว้ต้อนรับสักคำ และไม่มีใครมาเยี่ยมอีก มีเพียงเจ้าอาเกศกษมาที่ยังทรงพอไถ่ถามเธออยู่บ้าง แต่ท่านก็ดูเย็นชาไป ไม่อบอุ่นเหมือนครั้งท่านพ่อยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่

                แม้จะมีทรัพย์สินจากกองมรดก แต่เกล้ามาลาไม่อาจอยู่อย่างสุขสราญใจได้เพราะเรื่องในงานวันพระราชทานเพลิงศพยังอื้อฉาว สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจหนีไปให้พ้นจากความอัปยศที่แม่ทิ้งไว้ให้โดยทูลเจ้าอาไปว่าจะไปเรียนต่อคอลเลจตามพระประสงค์ของท่านพ่อ ท่านหญิงเกศจึงทรงให้ไป เธอก็ปิดวังแล้วแล้วถวายทรัพย์สินให้เจ้าอาทรงช่วยดูแล เพราะทรงเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เธอมองว่าไว้ใจได้ หรือหากท่านจะทรงนำเงินรายได้ไปใช้สอยเกล้ามาลาก็ไม่นึกขัด แล้วหญิงสาวก็เก็บกระเป๋าและตั้งใจว่าจะเดินทางกลับปีนังเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น

                เกล้ามาลาไม่อยากบากหน้าอยู่ต่อให้ผู้คนภายนอกชี้เข้ามาในวัง แล้วเล่ากันปากต่อปากว่าหม่อมวังนี้คบชู้สู่ชาย ทิ้งพระสวามีไปไม่ดูแล กระทั่งท่านจากไปก็ยังกล้าพาชายชู้ไปถวายดอกไม้จันทน์

เธออายจนอยู่วังสัตตบรรณไม่ไหวอีกแล้ว!

 

[1] ลาวคำหอม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น