1

บทที่ 1

 

 

            “ท้องไม่มีพ่อ”

คำคำนี้เป็นเสมือนตราบาปที่เกาะกินใจเธอราวกับมะเร็งร้าย ที่ค่อยๆ กัดกร่อนใจของเธอให้ตายด้านลงไปทุกวันๆ มันเป็นรอยด่างในอดีตที่เธอไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงหรือลบเลือนไปจากชีวิตได้ และไม่สามารถทำให้ใครต่อใครลืมเลือนเรื่องราวนี้ไปได้เช่นกัน เธอไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับความทรงจำที่มีแต่ความเจ็บปวดนี้ไปอีกนานแค่ไหนหรือว่าจะต้องทนไปจนวันตาย กี่ครั้งแล้วที่ต้องแอบร้องไห้คนเดียว กี่ครั้งแล้วที่เธอแทบจะทนไม่ได้ต่อสายตาของใครต่อใครที่มองมา กี่ครั้งแล้วที่อยากจะหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก

                ปีย์วรา วรานุติ เงยหน้าขึ้นจาก Nurse Note[1] ที่กำลังเขียนอยู่เพื่อส่งต่อข้อมูลให้พยาบาลเวรต่อไปได้รับทราบว่าระหว่างที่เข้าเวรเธอได้ทำอะไรกับคนไข้ไปบ้าง ก่อนจะมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้า เธอคือคนที่จะได้สัมผัสความงามแรกของรุ่งอรุณในยามเช้าก่อนใครเสมอๆ ครั้งหนึ่ง...เคยมีคนบอกเธอว่าพระอาทิตย์ขึ้นคือการเริ่มต้นใหม่ แต่สำหรับเธอแล้วแทบไม่มีความหวังใดเหลืออยู่เพื่อให้เริ่มต้นได้อีกครั้ง ทุกวันนี้ที่อยู่มาได้ก็เพราะ “ลูก” คนเดียวแท้ๆ

                รอยแผลเป็นกรีดยาวที่ข้อมือเป็นเสมือนเครื่องเตือนความทรงจำ แม้มันจะค่อยๆ เลือนรางไปตามวันและเวลาที่ผ่านไป แต่เธอก็รู้ว่ามันยังคงอยู่ เช่นเดียวกับแผลเป็นที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาซึ่งเกิดขึ้นในภายในจิตใจและมันไม่มีวันที่จะหายไป

                               

                หญิงสาวรีบขยับจับนาฬิกาข้อมือให้เลื่อนไปปิดบังรอยแผลเป็นเอาไว้ เมื่อได้ยินเสียงเปิดปิดประตูและเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามา

                “ว้า!! ว่าจะมาจับผิดเสียหน่อย ว่าแอบอู้แอบหลับหรือเปล่า แล้วนี่อยู่คนเดียวหรือ” น้ำเสียงสดใสของ บราลี พิกิตขจร พยาบาลสาวเรือนร่างบอบบางขวัญใจของเหล่านายแพทย์หนุ่มๆ เอ่ยทักอย่างแจ่มใส

                “ศจีไปเบิกยา ว่าแต่...มาทำไมแต่เช้า อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาส่งเวร[2]” ปีย์วราใช้ขาหมุนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ให้หันมาเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวที่สนิทสนมคุ้นเคยกันตั้งแต่ที่ปีย์วราเริ่มมาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แถมยังมีชื่อเล่นที่ออกเสียงคล้ายกันจนเกิดความสับสนอยู่หลายหน

 “เอ้า นี่ เอามาฝากตาพัฟของป้าบี” บราลีว่างถุงมากมายหลายถุงลงบนโต๊ะที่ปีย์วรานั่งทำงานอยู่

“ซื้ออะไรมาตั้งมากมาย เราบอกหลายครั้งแล้วว่าเราเกรงใจ”

“บีซื้อให้หลานด้วยจิตเสน่หา ปีย์อย่างมาห้ามเสียให้ยาก เราไม่ได้ซื้อให้ตัวเองเสียหน่อย”

“ขอบใจนะบี” ปีย์วรารู้สึกซาบซึ้งใจกับสิ่งที่บราลีมอบให้แก่เธอและลูกชายเสมอมา เพราะแบบนี้เธอจึงมักทำงานเกินหน้าที่ เผื่อให้ในส่วนที่บราลีต้องรับผิดชอบไว้เสมอๆ เพื่อเป็นการแสดงการขอบคุณในความมีน้ำใจของหญิงสาว “แล้วว่ายังไง บียังไม่ตอบเราเลยนะ ว่าทำไมวันนี้ถึงมาแต่เช้า”

“นอนไม่หลับ” คนบอกไม่ได้มีท่าทีกลัดกลุ้มหรือเคร่งเครียดแต่อย่างใด แต่ใบหน้ากลับมีแต่รอยยิ้มกริ่มท่าทางสุขใจ

ปีย์วราเลิกคิ้วขึ้นสูง มองบราลีอย่างแปลกใจ “คนนอนไม่หลับ เขาต้องมีท่าทีอิดโรย เหนื่อยอ่อนไม่ใช่หรือ ไม่ใช่มานั่งทำตาเคลิ้มฝัน อมยิ้มแก้มแดงอยู่แบบนี้”

บราลีบิดตัวอย่างขัดเขิน แถมยังยื่นมือมาตีเพื่อนรักเบาๆ “เมื่อวานมีคนส่งดอกไม้มาให้เรา”

“แล้วทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้น เราก็เห็นบีได้ออกบ่อยไป” ปีย์วราเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจอีกหน รอบกายของบราลีรายล้อมไปด้วยหนุ่มหล่อคุณสมบัติเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนายแพทย์หนุ่มๆ ในโรงพยาบาล พ่อค้านักธุรกิจระดับมหาเศรษฐี นายธนาคาร หรือแม้แต่ทหาร แต่เธอก็ไม่เคยเห็นบราลีจะมีอาการตื่นเต้นอมยิ้มเคลิ้มฝันแบบนี้กับใครสักคน

“ไม่รู้สิ เราแค่รู้สึกว่ามันพิเศษ แถมเขาคนนั้นยังส่งดอกลิลลี่ที่เราชอบมาด้วยนะ ดูจากลายมือที่เขียนมาในการ์ด จะต้องหล่อมากแน่ๆ”

“ปีย์ก็เห็นหนุ่มๆ ของบีหล่อทุกคน แถมทุกคนก็ให้ดอกไม้บีออกบ่อย” ปีย์วราว่าก่อนจะหันกลับไปเขียน Nurse Note ต่อ เพราะเรื่องที่บราลีได้ช่อดอกไม้ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก

“แต่ช่อนี้มันไม่เหมือนช่ออื่นๆ นะปีย์”

“แล้วมันต่างจากช่ออื่นตรงไหนล่ะ” เธอยอมวางมือจากงานและหันกลับมาคุยกับเพื่อนต่อ

“คือแบบนี้...เมื่อวันก่อนตอนที่ไปเดินซื้อของที่ห้าง เราไปเจอพี่นนท์เข้าโดยบังเอิญ แล้วได้เจอเพื่อนของพี่นนท์ด้วย”

“แล้วยังไงล่ะ” ปีย์วราก็ยังไม่เข้าใจ เอกอานนท์คือนายทหารอากาศหนุ่มอีกคนที่มาติดพันบราลี “ดอกไม้มาจากพี่นนท์?”

“ฟังก่อนสิปีย์ พอเจอกันเลยไปกินข้าวเย็นด้วยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็มีเรื่องดอกไม้ที่เราชอบด้วย พอกลับถึงบ้าน เชื่อไหมปีย์ มีคนจากร้านดอกไม้เอาดอกลิลลี่สีขาวมาส่งให้เราช่อใหญ่บะเริ่มเลย”

“สรุปว่าพี่นนท์ส่งดอกไม้ช่อนั้นมาให้อย่างนั้นหรือ”

                “โธ่ ถ้าเป็นของพี่นนท์เราจะตื่นเต้นทำไมล่ะ เราคิดว่าเป็นของเพื่อนพี่นนท์คนนั้นต่างหากเล่า”

                “อ้อ....” หญิงสาวพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ “สรุปว่าเพื่อนพี่นนท์เป็นคนให้”

 “ไม่รู้ ไม่รู้ แต่เราว่าต้องใช่ ลายมือหวัดสวยไม่เหมือนลายมือพี่นนท์ เราว่าต้องเป็นเพื่อนพี่นนท์แน่ๆ ที่ส่งมาให้เรา อ้อๆๆ อีกอย่าง มะรืนนี้พี่นนท์ชวนเราไปที่ฝูงบิน ที่ฝูงจะมีการเลี้ยงต้อนรับนายทหารที่จบมาจากโรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง และพวกที่จบมาจากเมืองนอกกันหลายคน ไปด้วยกันไหมปีย์”

“หยุดเลย!” ปีย์วรายกมือห้าม “ถ้าเกี่ยวกับพวกทหารอากาศเราไม่อยากยุ่ง ไม่อยากฟัง”

บราลีทำหน้ายุ่งทันที ปีย์วราเกลียดทหารอากาศเข้าไส้ เรียกได้ว่าแม้แต่ฟังเข้าหูยังระคาย แต่เธอก็เข้าใจและเห็นใจเพื่อนอยู่มากเกี่ยวกับเรื่องราวแต่หนหลัง “แต่พี่เขยปีย์กับพี่นนท์ก็เป็นทหารอากาศนะ เราก็เห็นปีย์คุยดี”

“นั่นเป็นข้อยกเว้นพิเศษ เพราะสองคนนั้นเป็นคนดี”

“แหม” บราลีลากเสียงยาว “ปีย์ใจร้าย ไปกับเราหน่อยนะ เผื่อจะได้เจอนายทหารหนุ่มๆ หล่อๆ ไง”

“ไม่ละ” ปีย์วราลงชื่อในแฟ้มก่อนขยับลุก “ถ้าบีพูดเรื่องทหารอากาศอีกคำเดียวนะ วันนี้เราจะไม่เข้าสั่งอาหารในระบบให้ จะให้บีนั่งทำเอง”

“โอ๊ะๆๆ ก็ได้ๆ เราไม่พูดแล้วปีย์ ปิดปากสนิทเลย คำเดียวก็ไม่พูด ปีย์เข้าไปสั่งอาหารคนไข้ในระบบให้เรานะ นะ น้า” บราลีทำหน้าตาตื่นเดินไปเขย่าแขนเพื่อนรักเพื่อง้องอนทันที

“อืม แล้วพอหมอราวด์วอร์ด[3] เสร็จบีก็มาดูอีกทีละกันนะว่าเคสไหนหมอปรับอาหารบ้าง แล้วบีก็เปลี่ยนซะ”

“อืมๆๆ” บราลีพยักหน้ารับอย่างเอาใจ ปีย์วราทำงานเก่ง ทำงานละเอียด แถมยังเผื่อแผ่ทำแทนเธออีกหลายอย่างอย่างมีน้ำใจ “เราอยากขึ้นเวรพร้อมปีย์จัง คงสบายน่าดู ปีย์ทำให้หมดทุกอย่าง”

“อย่าไปพูดให้คุณพิศได้ยินเชียวนะ บีจะโดนเขม่นไปเป็นเดือน” ปีย์วราหันมาบอกเพื่อนรักด้วยความหวังดี

บราลีทำปากยื่นเหมือนไม่พอใจทันที “ใครจะกล้าพูดเล่า เดี๋ยวโดนจับควงเวรเป็นการลงโทษแบบนั้นเราตายแน่ๆ”

“ทำงานกลางคืนดีออก ค่าเวรก็ดี คนไข้ก็ไม่วุ่นวาย เงียบสงบสุดๆ”

บราลีย่นจมูกใส่เพื่อนรัก “ไม่เอาหรอก แบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปมองหนุ่มๆ กันล่ะ กลางวันนอน กลางคืนทำงาน ใครจะสามารถแบบปีย์ละ เข้าเวรทั้งคืนยังกลับบ้านไปเลี้ยงลูกต่อได้อีก”

“ไม่เห็นลำบากอะไรเลย น้องพัฟสายหน่อยก็หลับไปจนบ่าย เราก็อาศัยช่วงนั้นแหละนอนไปกับลูก แต่ถ้าน้องพัฟเข้าโรงเรียนเมื่อไหร่เราคงต้องขอเปลี่ยนไปอยู่เวรเดย์แทน”

“นี่ก็ขวบแล้วเนอะ เวลาผ่านไปไวจัง”

“ใช่...” แววตาของปีย์วราวูบเศร้าไปเพียงนิดก่อนจะกลับมาเป็นปกติจนแม้แต่บราลีก็ไม่ทันได้เห็น ห้วงเวลาหนึ่งปีแปดเดือนสำหรับคนอื่นมันผ่านไปไว แต่สำหรับเธอมันนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ทุกวินาทีนานเหมือนหนึ่งชั่วโมง กว่าจะผ่านไปแต่ละชั่วโมงเสมือนเป็นปี

“ใกล้เวลาส่งเวรแล้ว เราซื้อขนมปังเนยสดมาด้วย ไปนั่งกินกันที่ห้องพักเถอะ ปีย์เคลียร์งานเสร็จหรือยัง”

“ก็เหลือแต่สั่งอาหารในระบบนั่นแหละ แต่เดี๋ยวค่อยมาทำก็ได้”

“งั้นไปกัน” บราลีเข้าไปควงแขนเพื่อนสนิท พากันไปคว้าถุงต่างๆ ที่บราลีหิ้วมาเข้าไปยังห้องพักเล็กๆ ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์พยาบาล ห้องนี้ใช้เป็นห้องพัก กินอาหาร ดื่มกาแฟ หรือให้หมอเวรฯ มานั่งพักยามที่ราวด์วอร์ด

"ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย"  นั่นคือสิ่งที่นักบินทุกคนตระหนักอยู่เสมอ

เคยมีนายทหารอากาศท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า “การเป็นนักบินรบเรื่องจิตใจสำคัญมาก เหมือนกับว่าเราต้องทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ระหว่างบินต้องบังคับเครื่อง ต้องติดต่อสั่งการระหว่างหมู่บิน  ยิ่งเมื่อมีการรบติดพันกับเครื่องข้าศึกที่มีสมรรถนะเท่าเทียมกัน เราต้องเลือกใช้อาวุธด้วย แล้วยังต้องเกร็งตัวสู้กับแรงจีด้วย…นักบินจึงต้องมีการฝึกฝนประสาทเป็นประจำ ตกใจได้แต่ต้องหายเร็ว แก้ไขได้เร็ว…ถ้าแก้ไขผิดแล้วตกใจอาจทำให้ต้องสูญเสียเครื่องไปเลย”[4]

การบินจะมีความงดงามได้ก็ต่อเมื่อวัสดุ อุปกรณ์ คน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน สิ่งอำนวยความปลอดภัยในการบิน ทุกอย่างถูกสำรวจตรวจสอบ เรียนรู้ ทดลอง ทำในบริบทต่างๆ กันแล้วพัฒนาต่อยอดจนเป็นวัฏจักรของเครื่องยนต์กลไกที่สมบูรณ์แบบ

ฝูงบิน “เหยี่ยวพิฆาต” คือฝูงบินที่เขาได้กลับเยือนอีกครั้ง กองทัพดูแลและปรับปรุง F-16 มาตลอด  จนกระทั่งปี 2555 ถึงครบ 24 ปีที่ F-16 ฝูงแรกเข้าประจำการ  ที่ผ่านมามีการปรับปรุงขีดความสามารถของ F-16 ฝูงนี้ให้มีความทันสมัยโดยแบ่งการดำเนินการเป็น 3 ระยะ  ระยะที่ 1 และ 2 เป็นการปรับปรุงโครงสร้างตามโครงการ Falcon up และ Falcon Star ส่วนระยะที่ 3 เป็นการปรับปรุงขีดความสามารถตามโครงการ Mid Life Up Date (MLD) ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวจะทำให้ F-16 A/B มีประสิทธิภาพเท่า F-16 บล็อก 50/52 ที่ผลิตภายหลัง[5]และเขาเรืออากาศเอกปวิม การขาว เป็นนักบิน 1 ใน 6 คนที่ได้รับคัดเลือกไปฝึกบินกับ F-16 ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนสำเร็จหลักสูตรครูการบินกับ F-16  และกลับมารับผิดชอบฝูงบิน 1xx กองบิน x จังหวัดนครราชสีมาแห่งนี้อีกครั้ง 

"Devil" คือฉายาที่เขาได้รับจากความสามารถในการบิน รวมถึงมาจากเสียงเชิดชูของบรรดาเพื่อนร่วมงานภาคพื้นดินในการท่องราตรีตามประสาคนหนุ่ม สำหรับเขาที่นี่มีความทรงจำหลายๆ ทั้งสุขและทุกข์บางอย่างที่แม้อยากจะลืมแต่กลับลืมไม่ลง เขาต้องทรมานและจมอยู่ความความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนทั้งๆ ที่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะจดจำสักนิด เพราะมันเป็นความทรงจำที่มีแต่การทรยศหักหลัง แค้นจนเกินแค้น

และรักจนอยากจะลืม...

ดวงตาคมแข็งกร้าววาวโรจน์เมื่อนึกย้อนถึงเรื่องราวแต่หนหลัง สองมือดึงคันบังคับเร่งความเร็วของพาหนะที่ขับเคลื่อนอยู่ตามอารมณ์ที่กรุ่นอยู่ในใจ ก่อนเครื่องบินสุดแกร่งจะโจนทะยานพุ่งไปข้างหน้าเหมือนแรงอัดระเบิด จนทำให้เกิดเสียงดังสนั่น

“ซูมมมมมมมมมมมมมมม!!!...”

ปีย์วราสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองยังท้องฟ้ากว้างทันทีที่ได้เสียงราวกับฟ้ากำลังถล่มลงมา เครื่องบินรบสี่ลำเพิ่งจะบินผ่านศีรษะเธอไป แม้เสียงจะดังก้องอยู่แต่ตัวเครื่องบินก็บินไปไกลเกินกว่าที่ตาจะมองเห็นได้ ทิ้งไว้เพียงเส้นสีขาวพาดยาวอยู่บนท้องฟ้า ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงใครบางคนที่เคยบอกเธอว่าเสียงระเบิดก้องแบบนี้เรียกว่า “โซนิคบูม”[6]

รอยยิ้มเศร้าปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากบาง ครั้งหนึ่งปีย์วราเคยคิดว่าตนเองนั้นโชคดี เมื่อมีชีวิตที่ดี แม้ฐานะทางบ้านจะไม่ร่ำรวยแต่ก็อบอุ่นพร้อมหน้า มีความสุขตามอัตราภาพ แต่แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อตอนที่เธอกำลังเรียนปีสี่ มารดาของเธอต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นการด่วย เพราะป่วยเป็นโรคไตวายเฉียบพลัน เนื่องจากการกินยาหม้อยาลูกกลอนที่ผสมสเตียรอยด์แก้ปวดเนื้อปวดตัวจากการทำงาน จนต้องทำการรักษาด้วยการฟอกไต ในขณะที่บิดาของเธอเองก็เริ่มจะไม่กลับบ้าน หายหน้าหายตาไปนานสองนาน จนสุดท้ายก็ได้รู้ว่าบิดาได้แอบไปมีครอบครัวใหม่และไม่เคยกลับมาเหลียวแลครอบครัวเก่าอีกเลย

ดวงหทัยพี่สาวของเธอจึงต้องทำงานหนักขึ้นเป็นสองเท่า นอกจากทำงานบริษัทในเวลาปกติแล้วยังต้องทำอาชีพเสริมเป็น 'พริตตี้เกิร์ล' หารายได้มาช่วยเหลือจุนเจือค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ทั้งค่ารักษาพยาบาลมารดาที่ใช้เงินเดือนๆ หนึ่ง เกือบหมื่นบาท และค่าเทอมค่าใช้จ่ายในการเรียนของเธอแทนบิดาอีกด้วย

ดวงตาสวยเศร้าแหงนมองรอยจางเป็นเส้นสีขาวบนฟ้าอีกหน ถ้าวันนั้นเธอไม่ตกปากรับคำไปช่วยงานพริตตี้เกิร์ลของพี่สาวที่กำลังขาดคน วันนี้เธอก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่กับความขมขื่นแบบนี้ หญิงสาวยิ้มเศร้าให้ตนเองอีกหน

“มะ มะ มะ” ร่างอ้วนป้อมที่เพิ่งจะเริ่มตั้งไข่หัดเดินส่งเสียงและรอยยิ้มทักทายเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา สองแขนเล็กกางอ้า รอให้มารดามาอุ้มเข้าสู่อ้อมกอดอย่างเคย

โลกของปีย์วราสว่างไสวขึ้นอีกหนเพราะผู้ชายคนนี้ แค่ได้เห็นหน้า แค่ได้อยู่ใกล้ ความทุกข์ในใจก็เหมือนจะสลายไปในบัดดล

“ว่าไงลูก วันนี้ดื้อกับคุณยายไหม” ปีย์วราวางข้าวของทุกอย่างลงกับพื้นแทบจะทันที เมื่อร่างกายอวบอ้วนของลูกชายที่กำลังเกาะอยู่ที่โซฟาทำท่าจะล้มลง

เพราะหน้าที่การงานและอะไรอีกหลายๆ อย่างเลยทำให้หญิงสาวออกมาเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ แม้พี่เขยจะห้ามปรามอย่างไรแต่เธอก็ยังยืนยันที่จะย้ายออกเพื่อความสบายใจของตนเองเองด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นบุญของเธอนักที่ได้มาเจอยุพา หญิงวัยกลางคนที่อยู่ห้องข้างๆ กัน ช่วยรับเลี้ยงลูกชายให้ในเวลากลางคืน

“ไม่ดื้อๆ ตาพัฟของยายไม่ดื้อเลยใช่ไหมลูก” ยุพาเดินถือตระกร้าผ้ามาจากระเบียงหลังบ้าน ส่งยิ้มให้เด็กชายที่หันมาตามเสียงของนาง “แต่ช่วงนี้คงจะยืดตัว เลยมีการถ่ายกระปริบกระปรอย วันนี้ยืนเกาะเก้าอี้ อึทั้งวัน” ยุพาว่าแต่ใบหน้ากลับมีแต่รอยยิ้มเอ็นดู

ปีย์วรามีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที เธอสงสัยอยู่เหมือนกันว่าช่วงนี้ลูกชายถ่ายเหลวไม่เป็นก้อนแข็ง แต่ไม่ถึงกับเป็นน้ำ ว่าจะพาไปหาหมออยู่เหมือนกันแต่ลูกชายเธอกลับไม่มีท่าทีเจ็บป่วยแต่อย่างใดให้เห็น ยังคงรู้สึกตัว ไม่มีอาการปวดบิดตอนถ่ายท้อง เล่นได้ปกติ และไม่มีอาการซึม

“แล้วอาการนี้จะเป็นนานไหมคะป้า” หญิงสาวถามเพราะอยากรู้

“โอ๊ย...ไม่นานหรอก อย่าไปกังวล เดี๋ยวก็หาย โบร่ำโบราณเขาว่าไว้ เพราะเด็กกำลังจะยืดตัว”

ปีย์วราพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ในใจและความรู้รวมถึงอาชีพที่ทำอยู่ทำให้ไม่วางใจเพราะกลัวลูกชายจะติดเชื้อไวรัสเข้า พรุ่งนี้สายๆ ว่าจะพาไปหาหมอเพื่อความสบายใจของเธอเอง แต่เธอคงไม่พูดบอกออกไปให้ขัดใจกับยุพาแน่ๆ เพราะยังต้องพึ่งพาอาศัยให้ดูแลลูกชายอยู่ หญิงสาวหันไปขยับล้วงซองสีขาวออกมาจากกระเป๋าถือ

“ค่าเลี้ยงดูน้องพัฟค่ะป้ายุพา” หญิงสาวยื่นส่งซองดังกล่าวให้ยุพา

“อะไรกันหนูปีย์ ยังไม่สิ้นเดือนเลย อีกตั้งสองสามวัน”

“พอดีเงินที่ทำงานล่วงเวลาของปีย์ออกค่ะป้า เลยรีบแบ่งมาให้เสียก่อน”

“แหม ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” ยุพาพูดไปอย่างนั้นแต่มือก็มารับซองใส่เงินไปทันทีพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างยินดี

“งั้นปีย์ไม่กวนนะคะ” หญิงสาวใช้สองมืออุ้มลูกรักขึ้นมาไว้ในวงแขน

“มาๆ ป้าช่วย ข้าวของเยอะแยะเลย” ยุพาอาสาอย่างใจดี รีบมาหยิบฉวยข้าวของต่างๆ ขึ้นมาจากพื้น

เดินออกมาจากห้องของยุพาเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องของปีย์วรา ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก เด็กชายกวินทร์ก็ดิ้นรนลงจากอ้อมกอดของมารดาทันที

“เดี๋ยวสิลูก” ปีย์วราวางลูกชายลงกับพื้นห้องที่เธอขัดถูทุกวันจนสะอาดขึ้นเงา มองตามร่างป้อมๆคลานไวไปยังกล่องของเล่นที่วางอยู่ที่มุมห้องด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะหันมารับถุงต่างๆ จากมือยุพา

“ขอบคุณนะคะป้า”

“มีอะไรก็เรียกนะ” ยุพาบอกอย่างมีน้ำใจ

“ค่ะ” ปีย์วรารับคำก่อนจะปิดล็อกประตูห้อง หยิบฉวยข้าวของต่างๆ ไปจัดเก็บให้เป็นที่เป็นทาง ก่อนจะเริ่มทำอาหารให้ลูกรักและตนเองเหมือนเช่นทุกๆ วันที่ผ่านมา

แม้จะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการจะลืมอดีตที่ขมขื่น และไม่ต้องการสุงสิงกับใครก็ตามที่ทำอาชีพนี้ แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับลูกชายทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น กับเกี่ยวข้องและมีความทรงจำของผู้ชายใจร้ายคนนั้นไว้ทุกประการ เพื่ออะไร... ทุกวันนี้ปีย์วราก็ตอบตัวเองไม่ได้ ทุกครั้งที่เอ่ยเรียกชื่อเล่นของลูกชายก็เหมือนกับเธอเอ่ยเรียกชื่อของชายคนนั้นด้วยทุกครั้ง

“น้องพัฟ อย่าอมข้าวสิลูก” หญิงสาวเอามือเขี่ยแก้มลูกชายเพื่อกระตุ้นให้เด็กชายที่กำลังเล่นลูกบอลเนื้อนุ่มที่พอจับเขย่าจะมีเสียงกระดิ่งอยู่ภายในกลืนข้าวบดลงคอ

เด็กชายทำเหมือนรับรู้ เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้มารดา อ้าปากส่งเสียงหัวเราะจนอาหารที่ยังคาอยู่ในปากไหลย้อยออกมาตามมุมปาก ทำเอาคนเป็นแม่อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม พร้อมๆ กับเอาผ้ากันเปื้อนที่ผูกไว้ที่คอลูกชาย ซับให้หายเลอะเทอะ

“อิ่มแล้วใช่ไหมล่ะ” ปีย์วรามองถ้วยข้าวในมือที่มีเหลือติดก้นถ้วยเท่านั้น “งั้นรอให้อาหารย่อยก่อนนะ เดี๋ยวเราค่อยไปอาบน้ำกัน หญิงสาวบอกลูกชายก่อนจะลุกไปจัดการงานบ้านอื่นๆ ระหว่างนั้นก็หันมามองลูกชายที่คลานไปมาอยู่ที่พื้นเป็นพักๆ นี่ถ้าเป็นคนอื่นหลังออกเวรมาเขาคงจะล้มตัวนอนพักหลับกันทันที แต่เธอทำแบบนั้นไม่ได้เพราะต้องมาดูแลลูกต่อ ช่วงแรกๆ ปีย์วรามักเผลอหลับเป็นประจำระหว่างเข้าเวร แต่ตอนนี้เหมือนร่างกายเธอเริ่มปรับตัวและชินชากับการนอนน้อยๆ แบบนี้ไปเสียแล้ว

งานในโรงพยาบาลเอกชนจะว่าสบายก็สบาย จะว่าลำบากมันก็ได้ แม้อัตราคนไข้ที่มาพักรักษาตัวจะน้อย ไม่เหมือนกับโรงพยาบาลรัฐบาล แต่ด้วยเหตุผลว่าโรงพยาบาลเอกชนนั้นคนที่จะมาใช้บริการได้ส่วนหนึ่งคือต้องรวยและมีฐานะอยู่พอสมควรเพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่าค่าบริการสูงเอาการ เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ย่อมเรียกร้องทุกสิ่งที่เขาต้องการหรือต้องการการเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ บางครั้งก็มากเสียจนเกินกว่าที่ใครจะนึกถึงได้ ที่นี่พยาบาลต้องทำหน้าที่หลายๆ อย่างเพื่อให้คุ้มกับค่าจ้างที่ทางโรงพยาบาลจ้างมา

 พยาบาลสาวๆ ที่จบมาใหม่หลายคนจะตาลุกวาวทันทีที่ได้รู้ถึงจำนวนค่าจ้าง พร้อมทั้งวาดฝันถึงเครื่องแบบสวยๆ เดินนวยนาดฉุยฉายเหมือนในหนังในละครที่คนนิยมดู แต่พอเจอกับความจริงและปริมาณงาน รวมถึงงานคุณภาพเข้าไปถึงกับลาออกกันแทบไม่ทัน แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักที่จะทำให้ความอดทนของพยาบาลสาวๆ พวกนี้หมดลง จนต้องลาออกไปทำงานที่อื่นเสียทีเดียว

เพราะสาเหตุหลักที่ทำให้พยาบาลสาวๆ ที่นี่ลาออกเป็นอันดับหนึ่งนั้น เล่าไปแล้วก็คงเป็นที่ขบขันและคงไม่มีใครเชื่อ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ก็เป็นเพราะผู้มารับบริการที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ไม่ใช่เพราะเหนื่อยหน่ายทนให้โขกสับไม่ได้หรอกนะ แต่พยาบาลสาวๆ หลายคนของที่นี่ลาออกไปแต่งงาน หลังจากได้พบเจอกับเจ้าบ่าวที่มาเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ จนฟูมฟักเกิดเป็นความรัก ยิ่งช่วงหลังมีชาวต่างชาติมาท่องเที่ยว มาทำธุรกิจที่จังหวัดนี้มากขึ้น พยาบาลสาวๆ หลายคนก็ได้ตบแต่งไปกับชาวต่างชาติมากขึ้นเป็นเท่าตัว จนคุณเพลินพิศ หัวหน้าพยาบาลยังต้องออกปากเปรยออกมาว่าจะไม่พิจารณารับพยาบาลสาวโสดมาทำงานที่ตึกนี่อีกแล้ว เพราะมาไม่นานก็ลาออก เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไวราวกับเล่นกล

ส่วนสาเหตุที่สองของการลาออกเป็นอันดับสองคือทนไม่ไหวกับความต้องการและการเรียกร้องของผู้มารับบริการอย่างที่รู้ๆ กัน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ปีย์วราเลือกและสมัครใจอยู่เวร Night หรือเวรกลางคืนก็เพราะค่าแรงเป็นสำคัญ ส่วนที่สองนั้นก็เพราะเวรกลางคืนไม่วุ่นวาย เงียบสงบ คนไข้ส่วนใหญ่หลับ ถ้าจะมีปัญหาบ้างก็เป็นบางห้องซึ่งจะยุ่งหน่อยในช่วงเช้าถ้ามีเตรียมผ่าตัดเยอะในวันรุ่งขึ้น แต่ก็ชอบตรงที่ ไม่ต้องโทรติดต่อประสานงานกับใคร  ไม่ค่อยมีรับคนไข้ใหม่หรือเตรียมคนไข้ที่จะต้องกลับบ้าน แต่หากมีเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆ ก็วุ่นวายกันจนแทบลืมหายใจหายคอ วุ่นวายมีอะไรให้ทำมากมายจนบางครั้งลืมเวลาออกเวรฯ ไปเลยด้วยซ้ำไป

เสียงปิดเปิดประตูทำให้ปีย์วราที่นั่งทำงานอยู่ต้องหันไปมอง นายแพทย์ภูวนัย วิภาสตานนท์ ศัลยแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมของโรงพยาบาลเดินก้มหน้าเข้ามาเงียบๆ ภายในห้องกระจกแห่งนี้ คิ้วบางขมวดเข้าหากันมากขึ้น...ที่นี่คือวอร์ดในของแผนกอายุรกรรม ไม่ได้มีผู้ป่วยศัลยกรรมมาฝากนอนพักรักษาตัวสักคน แล้วนายแพทย์ภูวนัยมาที่นี่ทำไม

หญิงสาวขยับยืนขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ “คุณหมอ” เธอทักนายแพทย์หนุ่มใหญ่ขวัญใจของพยาบาลสาวๆ ครึ่งโรงพยาบาล ภูวนัยทำงานอยู่ในโรงพยาบาลที่ประเทศอังกฤษหลายปี จนกระทั่งเมื่อต้นปีถึงได้เดินทางกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกครั้ง หลังจากที่เคยทำตอนสมัยเป็นหนุ่มจบใหม่ ก่อนไปเรียนต่อและอยู่ทำงานที่อังกฤษ หลายๆ คนเล่าว่าที่ภูวนัยกลับเมืองไทยได้ก็เพราะภรรยาของเขาซึ่งเป็นคนอังกฤษได้เสียชีวิตลง ส่วนเธอเองก็เคยพบหน้าค่าตาภูวนัยนับครั้งได้ เพราะด้วยห้วงเวลาทำงานที่แตกต่างกัน

ภูวนัยเงยหน้าขึ้นมามองพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้างงๆ ก่อนจะยกมือเอานิ้วสางเข้าไปในผมยุ่งๆ ที่ดูยุ่งอยู่แล้วให้ยุ่งหนักเข้าไปอีก “ขอโทษ ผมนึกว่าผมมาชั้นศัลยกรรม”

ปีย์วราอึ้งไปนิดเมื่ออีกฝ่ายสารภาพว่ามาผิดชั้น “คุณหมออยากจะรับกาแฟสักแก้วไหมคะ” ที่ถามออกไปก็เพราะท่าทางของภูวนัยที่ดูงงๆ เพลียๆ เลยทำให้ปีย์วราอดไม่ได้ที่จะชักชวนให้เขาได้พักสักนิด

นายแพทย์หนุ่มใหญ่ยืนนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ “ครับ ดีครับ” เขาบอกก่อนจะลากเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดมานั่งลง

แก้วกาแฟถูกวางอยู่อย่างนั้นมาพักหนึ่งแล้ว แต่ปีย์วราก็ไม่เห็นว่าภูวนัยจะหยิบมันขึ้นมาดื่มสักที จนหญิงสาวอดทนนั่งเงียบๆ ต่อไปอีกไม่ไหวเพราะมันอึดอัดเหลือจะกล่าวเมื่อต้องนั่งทำงานแล้วมีนายแพทย์ใหญ่มานั่งเงียบๆ อยู่ไม่ไกลแบบนี้

“คุณหมอคะ”

ภูวนัยเงยหน้าขึ้นมามองปีย์วราทำตาปริบๆ หน้าตาเหลอๆ เหมือนลืมไปว่ามีเธอนั่งอยู่ในห้องนี้อีกคน

“กาแฟเย็นหมดแล้วค่ะ” เธอเตือน และเหมือนว่าภูวนัยเพิ่งจะนึกออกเขาหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ ก่อนจะดื่มจนหมดในคราวเดียว แล้ววางลงไปที่เดิมอีกหน ก่อนจะนั่งก้มหน้าเงียบๆ อีกครั้ง

ปีย์วราถอนใจออกมาเบาๆ คิดว่าภูวนัยคงมีอะไรในใจ เธอเลยทำเป็นไม่สนใจทำงานของตนเองต่อไปเรื่อยๆ แม้ใจจะอึกอัดกับบรรยากาศแบบนี้ก็ตามที จนกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ อยู่ๆ เสียงนุ่มทุ้มของนายแพทย์หนุ่มใหญ่ก็ดังขึ้นมา

“ผมเพิ่งเสียคนไข้ไปในห้องผ่าตัด เด็กอายุไม่ถึงสิบขวบเลยด้วยซ้ำ”

ปีย์วราเข้าใจทันทีถึงสาเหตุที่ทำให้ภูวนัยนิ่งไปแบบนี้ “คุณหมอทำดีที่สุดแล้วค่ะ”

“คุณไม่เข้าใจ แม่เด็กพาเด็กขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศร แถมหมวกกันน็อก เครื่องป้องกันอะไรสักอย่างก็ไม่มี ทั้งๆ ที่เรื่องนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องรู้ดี เข้าใจดี มันป้องกันได้ แต่ทำไมไม่ทำกัน...” ภูวนัยพูดยาว ความรู้สึกตอนนี้ทั้งขมขื่นทั้งโมโห เด็กที่เขาเพิ่งเสียไป อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของเขาก็ไม่ปาน

ปีย์วรานิ่งเงียบ ภูวนัยแค่ต้องการระบาย เขาไม่ต้องการความเห็นหรือการโต้แย้งใดๆ หญิงสาวนั่งมองนายแพทย์ใหญ่อย่างเข้าใจ และเหมือนเขาจะรู้ตัวว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอเข้า

“ขอบคุณคุณมากนะที่ยอมรับฟังคำบ่นบ้าบอจากผม ผมคงมากวนการทำงานของคุณสินะ” นายแพทย์ใหญ่ขยับยืนขึ้นอย่างเก้อๆ “ขอบคุณสำหรับกาแฟด้วยครับ มันรสชาติดีมาก”

“ค่ะหมอ”

“ผมไปก่อนดีกว่า” เขาพูดจบก็เดินออกไปจากห้องเงียบๆ เหมือนตอนที่เดินมาไม่มีผิด ปีย์วราถอนใจเบาๆ  รู้สึกดีเหลือเกินที่ได้รู้ว่ายังมีหมอดีๆ แบบนี้อยู่อีกคน



[1] บันทึกของพยาบาลที่บันทึกอาการของผู้ป่วยใน ว่ามีอาการเช่นไร ได้ให้การพยาบาลอย่างไร และผลเป็นอย่างไร

[2] ในโรงพยาบาลรัฐระบบการเข้าเวรอาจจะแบ่งออกเป็น เวรของพยาบาลส่วนใหญ่จะเป็น เวรเช้า 8.00-16.00 เวรบ่าย 16.00-24.00 เวรดึก 24.00-8.00แต่ในโรงพยาบาลเอกชนจะเข้าเวรในระบบ Day-Night เวร Day 7.00-19.00 เวร Night 19.00-7.00

[3] ราวด์วอร์ดก็คือ การเดินดูคนไข้ที่หอผู้ป่วย ไล่ไปทีละเตียง บางครั้ง อาจใช้คำว่า "ราวด์เช้า" กรณี เป็นช่วงเช้า

[4] ที่มา นาวาอากาศโท อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บังคับฝูงบิน ๑๐๓ (F-16 ฝูงแรกของเมืองไทย) สัมภาษณ์โดย วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์ ใน “F-16 ฝูงบินเหยี่ยวพิฆาต ผู้คุ้มกันสันติภาพสารคดี ฉบับที่ ๖๙  พฤศจิกายน ๒๕๓๓

[5] “วันนี้” ของ “อดีตผู้บังคับฝูง F-16” (คนแรกของเมืองไทย) พล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศhttp://www.sarakadee.com/2011/11/15/ittiporn/

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น