3

บทที่ 3


 

“โอ๊ยๆๆ ไม่ไหวแล้วนะ” เสียงบ่นนี้ดังออกมาจากปากของบราลี ทันทีที่รับ-ส่งเวรเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็ลากปีย์วราให้ออกห่างไกลจากพยาบาลคนอื่นๆ ในทันที “ปีย์รู้ไหมว่าเราต้องพยายามแค่ไหน กว่าพี่เขาจะยอมใจอ่อนรับนัดเราและออกมาเจอกันได้สักครั้ง”

                ปีย์วราเลิกคิ้วสูง มองไปรอบตัวด้วยความเกรงใจเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่มองตามเธอทั้งสองมาเหมือนไม่พอใจ เพราะขณะนี้เป็นเวลาทำงานของเธอทั้งคู่ แต่บราลีกลับลากเธอออกมาคุยแบบไม่เกรงใจใครเสียอย่างนั้น “ทำไม มีอะไรล่ะ เราก็นึกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้วเสียอีก เราเห็นบีเห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หลายวัน”

                “ใช่ ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยดีอยู่หรอกนะ ถ้าไม่มีพี่นนท์ เชื่อไหมปีย์ เรานัดพี่เขาให้ออกมาเจอกันจนได้แล้วนะ แต่พี่เขากลับพาพี่นนท์มาด้วย”

                “อ้าว แล้วตอนคุยกันคุยกันอย่างไรละ” 

                ริมฝีปากของบราลีที่เคลือบด้วยลิปสติกบิดเบ้ด้วยความไม่พอใจราวกับเด็กเล็ก “ได้คุยที่ไหน เราทำได้แค่ส่งข้อความไปหาเขาเท่านั้น เรารึทำใจกล้าชวนเขาออกมากินข้าวกลางวันด้วยกันเมื่อวันก่อน ดีใจแทบตายตอนเขาตอบตกลง แต่พอไปถึงร้านที่นัดกันเอาไว้นี่สิ ทำเอาแทบหมดอารมณ์อยากจะเดินกลับเลยพอเห็นอีตาพี่นนท์จอมจุ้นนั่งยิ้มแป้นอยู่ที่โต๊ะอีกคน”

                “เขาอาจจะเขินก็ได้ ถึงได้พาพี่นนท์มาด้วย”

                “ไม่มีทางเสียละ ท่าทางเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มนมเพิ่งแตกพานเสียหน่อย นั่งนิ่งๆ ส่งยิ้ม ไม่ค่อยพูด แต่นัยน์ตานะอย่างกับเหยี่ยว เหมือนจะรู้จะเห็นไปเสียหมด ท่าทางฉลาดเป็นกรด”

                “ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”

                “ไม่เก่งไม่ฉลาด จะมาเป็นนักบินรบได้อย่างไรกันล่ะจ๊ะ” บราลีบอกด้วยท่าทางภูมิใจ ก่อนที่หน้าสวยๆ จะงอหงิกลงอีกครั้ง

                “ปีย์ช่วยอะไรเราหน่อยได้ไหม” บราลีทำเสียงอ้อนก่อนเดินเข้าไปกอดแขนเพื่อนรักและเขย่าไปมา

                “ช่วยอะไรล่ะ”

                “ช่วยไปกันพี่นนท์ให้เราทีนะ กลางวันพรุ่งนี้เราชวนเขาไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันอีกหน เราว่าพี่นนท์ต้องไปด้วยอีกแน่ๆ เลย”

                “พรุ่งนี้หรือ” ปีย์วราทำสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที

                “ทำไม มีอะไร”

                “พอดีพี่เอม เขาให้เราควงเวรต่อให้ แกมีธุระ จะมาสายหน่อย”

                บราลีหน้างอ คิ้วขมวดแทบจะทันทีจนปีย์วรารู้สึกไม่ดีที่ทำให้บราลีเสียใจ

                “แต่เราว่า...พี่เอมคงมาช้าไม่กี่ชั่วโมงหรอก เราว่าเราคงไปทันนัดของบีพอดี ถ้ายังไงเราอาจจะตามไปหาบีทีหลังดีไหม นัดกันไว้ที่ไหนล่ะ”

                “ที่ห้างนี่เองปีย์” บราลีทำน้ำเสียงยินดีขึ้นทันที เมื่อยังพอมีความหวังอยู่บ้าง “ไปนะๆ ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ขอให้ไปเท่านั้นพอ ไปกันพี่นนท์ให้หน่อย ทำเป็นชวนไปซื้อของก็ได้ เปิดโอกาสให้เราอยู่กับพี่เขาสองคน นะปีย์นะ ปีย์รู้ไหมกว่าเขาจะยอมรับนัดเราอีกหน เราต้องพยายามอยู่ตั้งนาน เนี่ย...หน้าเรานะหนาขึ้นราวกับถนนคอนกรีตที่ขนาดรถสิบล้อวิ่งยังไม่รู้สึก ถ้าปีย์ไม่ไปแยกพี่นนท์ให้เรา เราต้องแย่แน่ๆ เลย เพราะไม่รู้ว่าหนหน้าเขาจะยอมรับนัดเราอีกหรือเปล่า”

                “อืม...” หญิงสาวรับคำและรู้สึกดีทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของบราลี อีกอย่างเรื่องที่บราลีไหว้วานมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ช่วยเพื่อนแค่นี้ทำไมเธอจะทำไม่ได้

                “ขอบใจนะปีย์ ปีย์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเลย นี่เรายังไม่รู้เลยนะว่าพรุ่งนี้จะใส่อะไรดี” บราลียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ตอนนี้ห้างยังไม่ปิดเราไปเดินหาชุดสวยๆ สำหรับใส่พรุ่งนี้ดีกว่า ขอบใจมากนะปีย์นะ พรุ่งนี้เจอกัน”

                “จ้ะ” ปีย์วรายกมือขึ้นโบกมือให้เพื่อนรักที่พอเสร็จธุระก็เดินไวหายไปทันที หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ ให้บราลีด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในตึกเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนเองทันทีด้วยไม่อยากเอารัดเอาเปรียบคนที่ขึ้นเวรพร้อมกับเธอ

                “ปีย์”

                เสียงเข้มงวดของหัวหน้าตึกทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวเดินต้องหยุดชะงัก พร้อมหันกลับมาทันที “ค่ะ หัวหน้า”

                นางพยาบาลสาวใหญ่ยื่นส่งปากกาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำให้ตรงหน้า ปีย์วรามองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

                “เห็นศจีว่า หมอภูวนัยมาถามหาปากกา ฝากไว้ให้ด้วยนะเผื่อคุณหมอท่านจะมาอีก ท่านมาลืมไว้เมื่อหลายวันก่อน”

                “ค่ะ” หญิงสาวรับปากกามาไว้ในมือ

                “โทร.ไปบอกให้มารับหลายหนแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่เห็นมาสักที ถ้าคุณหมอท่านหลงมาที่ตึกนี้อีก ฝากด้วยละกันนะ”

                “ค่ะ”

                “ขอบใจ” เพลินพิศบอกก่อนจะส่งยิ้มปรานีให้แก่ปีย์วรา ก่อนจะเดินออกไปจากตึกนี้อีกคน

                พอมาถึงตอนนี้อาคารชั้นนี้ก็เงียบเหงาลงทันตา ปีย์วราส่งยิ้มให้ศจีที่กำลังจัดยาให้ผู้ป่วยใส่ในกล่องเล็กๆ ที่ระบุหมายเลขห้องและชื่อผู้ป่วยเอาไว้ ก่อนจะนั่งลงและหยิบชาร์ตประจำตัวของผู้ป่วยมาเปิดออกอ่านบันทึกที่เวรเดย์เขียนเอาไว้ นี่คือข้อดีของเวรดึก ตอนนี้ทุกอย่างเงียบสงบเธอจึงรู้สึกว่าตนเองสงบขึ้น ชั้นทั้งชั้นแทบไร้คนเดิน เพราะแบบนี้เธอถึงเลือกที่จะลงเวรนี้ แม้ใครต่อใครจะบอกว่าต้องทำงานในเวลาที่คนอื่นเขากำลังหลับอย่างสบาย ก่อนขึ้นเวรก็เป็นกังวล นอนไม่หลับ เพราะเกรงว่าจะตื่นไม่ทันเวรบ้าง หรือการขาดสังคมไปเลยช่วงที่ทำงานเวรดึกเพราะตอนกลางวันก็นอนเท่านั้น อีกข้อก็คือหากมีคนไข้หนัก หรืองานหนักคืนนั้น ก็ต้องวิ่งวุ่นมากกว่าปกติ แต่ "ในดีมีเสีย ในเสียมีดี" ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไปหมดทุกอย่าง และไม่มีอะไรไม่ดีไปเสียหมดทุกอย่าง  ข้อดีของการเข้าเวรดึกคือได้รู้จักบุคลากรในโรงพยาบาลมากขึ้น ทั้งหมอด้วยกัน ทั้งแผนกเดียวกัน ต่างแผนก หมอ พยาบาล ยาม คนขนเปล ฯลฯ เพราะคนทำงานเวรดึกด้วยกันน้อย หากมีปัญหาอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน ได้รู้จักกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น เมื่อมีปัญหาในอนาคตก็ขอความช่วยเหลือกันได้ง่ายขึ้น 

               

                เช้าวันรุ่งขึ้นถือว่าโชคดีนักที่พยาบาลรุ่นพี่อย่างเอมมาต่อเวรที่ว่าจ้างปีย์วราเอาไว้เร็วกว่าที่บอก หญิงสาวรีบโทร.ไปฝากฝังให้ยุพาช่วยดูแลน้องพัฟต่ออีกชั่วโมงสองชั่วโมง ซึ่งยุพาก็ดีแสนดีรับปากจะช่วยเลี้ยงดูน้องพัฟต่อแบบไม่มีแง่งอนเลยสักนิด ปีย์วราก้มมองชุดขาวในเครื่องแบบของโรงพยาบาลที่ตนเองสวมใส่มาแล้วทั้งคืน แม้จะมีรอยยับย่นแต่ก็ไม่ได้แลดูน่าเกลียดแต่อย่างใดในระหว่างขึ้นรถประจำทางเพื่อไปยังห้างสรรพสินค้าที่ตนเองนัดหมายกับบราลีเอาไว้ เพราะก่อนหน้านี้บราลีส่งข้อความทางโทรศัพท์มาเร่งเธออยู่หลายหน

                ปีย์วราเอามือโบกลมให้พัดเข้าหาตัว วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ แม้จะมีลมพัดเข้ามาภายในรถที่หญิงสาวนั่งอยู่แต่ปีย์วรากลับรู้สึกร้อนและอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกเสียอย่างนั้น หรือร่างกายของเธอจะไม่ชินกับอากาศช่วงกลางวันเสียแล้วก็ไม่รู้ ปีย์วรายิ้มขำ

                จากที่ร้อนๆ มีเหงื่อซึมกาย ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้หญิงสาวสบายตัวขึ้นมาทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้างสรรพสินค้าใหญ่ประจำจังหวัดดังกล่าว ร้านอาหารที่บราลีนัดหมายเป็นร้านอาหารตำรับไทยชื่อดังอยู่บริเวณชั้นสามของห้างดังกล่าว ปีย์วราพลิกโทรศัพท์ในมือขึ้นมาดูอีกรอบเมื่อมีเสียงเตือนข้อความซึ่งมาจากบราลีอีกครั้ง! ก่อนจะก้าวเท้าให้ไวขึ้นเพื่อให้ทันต่อความต้องการของเพื่อนรัก

                ปีย์วรายิ้มกริ่ม เธอเห็นบราลีแล้ว...

                แต่แล้วรอยยิ้มที่มีบนใบหน้าก็ค่อยๆ เลือนหายไป เท้าที่กำลังจะก้าวเดินหยุดชะงักไม่สามารถก้าวต่อไปได้ เมื่อร่างกายของเธอก็เกิดอาการชาไร้ความรู้สึกกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ปีย์วราพยายามบอกตัวเองว่าภาพตรงหน้ามันไม่ใช่ของจริง มันเป็นเพียงภาพลวงตา หญิงสาวอยากจะก้าวถอยแต่ขาของเธอกลับไม่ทำตามคำสั่ง เกิดอาการสั่นสะท้านจนเกินกว่าจะควบคุมร่างกายของตนเองเอาไว้ได้

                แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเกือบ 2 ปีแล้ว แต่แค่ได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง เธอก็รู้ว่าเขาคือใคร หญิงสาวหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามทรงตัวไม่ให้ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น สองมือกำหูกระเป๋าแน่น อยู่ๆ แผลเป็นที่เคยเลือนรางจางหาย ตอนนี้กลับมีอาการเจ็บแปลบเหมือนโดนกรีดซ้ำเข้าที่เดิม มันเจ็บจนเธอเกือบจะต้องร้องออกมา ก่อนที่เท้าของปีย์วราจะค่อยๆ ล่าถอย เพื่อหลบหนีสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็พอดีกับที่บราลีหันมาพอดี  

                “ปีย์ มาถึงแล้วหรือ”

บราลีผุดลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยท่าทางยินดี เดินปรี่เข้าไปหาปีย์วราที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าประตูทางเข้าร้าน “ปีย์เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดจัง” บราลีเอ่ยถามทันทีที่เดินมาเห็นสีหน้าของเพื่อนรักใกล้ๆ ใบหน้าของปีย์วราขาวซีดแทบปราศจากสีเลือด เนื้อตัวที่สัมผัสอยู่ก็เย็นเฉียบ

                “บะ บี เรารู้สึกไม่สบาย เรากลับก่อนได้ไหม” ระหว่างที่หญิงสาวกำลังเอ่ยบอก สายตาของเธอก็จับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังกว้าง ของชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเขม็ง พลางภาวนาขออย่าให้คนทั้งคู่หันหลังกลับมาเห็นเธอเข้า หรือไม่ก็ขอให้ธรณีแยกออกตรงหน้าและสูบเธอลงไปให้หายไปในพริบตา

                แต่คำภาวนาของปีย์วราหาเป็นผลไม่เมื่อชายหนุ่มทั้งสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหันมามองที่เธอเเละบราลีพร้อมๆ กัน มันเหมือนกับภาพช้าในภาพยนตร์หรือละครทีวีที่เธอเคยเห็น ทุกเสี้ยววินาทีนั้นมันช้าจนแทบจะทำให้เธอลืมหายใจ ยิ่งเห็นสายตาของเขาคนนั้นเบิกจ้องมองมาที่เธอด้วยอาการตกตะลึงไม่ต่างกับที่เธอเป็น และเพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนดวงตาคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว สายตากร้าวกระด้างเต็มไปด้วยความเกลียดชังไม่เหลือแววอ่อนหวานที่เธอเคยจำได้ ปีย์วราถึงกับสะท้านหวั่นไหว เกิดอาการคลื่นไส้อยากจะอาเจียนและวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุด

เธอทำอะไรผิด? เธอต่างหากที่ต้องทำสายตาแบบนั้นใส่เขา เขาไม่มีสิทธิ์มาทำสายตาเกลียดชังแบบนั้นใส่เธอ ดวงตาคู่สวยเริ่มมีน้ำตาคลอแต่หญิงสาวต้องกล้ำกลืนฝืนมันเอาไว้เพราะไม่อยากให้บราลีเกิดสงสัยอะไรขึ้นมา

                “ปีย์ หน้าปีย์ซีดมากเลย ไม่สบายหรือเปล่า ไหวไหม” บราลีพูดอย่างห่วงใย ตอนนี้หน้าตาของปีย์วราซีดจนแทบปราศจากสีเลือด ซีดจนบราลีห่วงว่าเพื่อนของเธอจะล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นในนาทีนั้น

                “ระ เรา เรากลับก่อนได้ไหมบี”

                “ปีย์ แต่หน้าเธอซีดมากเลยนะ เข้าไปนั่งพักผ่อนเถอะ นะ อย่างน้อยก็ดื่มน้ำสักแก้วให้คลายร้อนให้คลายเหนื่อย พอค่อยยังชั่วแล้วก็ค่อยกลับไป”

ปีย์วราขยับถอยเมื่อเหลือบไปมองทางชายหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะเห็นทั้งคู่ลุกขึ้นยืนและเอกอานนท์กำลังเดินเข้ามาหาเธอทั้งคู่ ในขณะที่อีกคนยืนนิ่งไม่ไหวติ่งแต่สายตาไม่ได้ละไปจากเธอเลยแม้แต่น้อย

“มีอะไรหรือเปล่าบี ปีย์” เอกอานนท์เอ่ยถามสองสาว หากสายตาจ้องมองไปที่ปีย์วรา เมื่อเห็นหน้าซีดๆ ราวกับคนที่กำลังจะเป็นลม

“ปีย์ค่ะพี่นนท์ ปีย์ท่าทางไม่สบายเหมือนจะเป็นลมเลย หน้าก็ซี้ด ซีด”

“พี่ก็ว่าอย่างนั้น งั้นพาเข้าไปนั่งที่โต๊ะก่อนเถอะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งมาแล้วจะยุ่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ปีย์อยากกลับบ้าน ให้ปีย์กลับบ้านได้ไหมคะ ปีย์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ” หญิงสาวพยายามหาข้ออ้างทุกทางให้เธอได้ไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้!

“อย่าดื้อสิปีย์ ไปนั่งที่โต๊ะก่อนนะ ให้สีหน้าเธอดีกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยกลับ เราไม่รั้งเธอไว้หรอก”  

ปีย์วราพยายามขืนตัวระหว่างที่บราลีเข้ามาโอบรั้งพาเธอไปยังโต๊ะที่ชายคนนั้นยืนจ้องมองอยู่ก่อน

               

คำว่าตกใจคงใช้ไม่ได้กับเขาเพราะว่ามันหนักกว่านั้น วินาทีแรกที่เขาเห็นว่าเพื่อนของบราลีคือใคร นาทีนั้นเหมือนใครเอาค้อนปอนด์มาทุบลงโดยแรงบนศีรษะของเขา ปวิมแทบลืมหายใจ ความรู้สึกที่นึกว่าหายไปแล้วหวนกลับกับมาในร่างกายและในหัวใจเขาอีกครั้ง สายตาคมจ้องมองไปที่หญิงสาวทั้งสองคนตรงหน้าแบบไม่วางตา จนกระทั่งทั้งคู่เข้ามานั่งอยู่เบื้องหน้าเขา

ระหว่างที่บราลีและเอกอานนท์แสดงอาการห่วงใยปีย์วรา ปวิมกลับนั่งดูเฉยๆ อยากรู้เหลือเกินว่าปีย์วราจะทำอย่างไรต่อไปเมื่ออยู่ๆ ก็ได้มาเจอกับเขาโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ชายหนุ่มลอบมองปีย์วราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ความรักที่เกิดในช่วงเวลาสั้นๆ กลับตรึงเขาเอาไว้ให้เจ็บจนถึงวินาทีนี้ หญิงสาวตรงหน้าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากความทรงจำที่เขาพยายามที่จะลืมมันไป หรือไม่ก็อาจจะสวยและเย้ายวนกว่าอดีตที่เขาจำได้เสียอีก

ปวิมนั่งกอดอกก่อนจะเมินหน้าหนี แต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อรู้สึกถึงความทรมานภายในใจจนต้องหันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งหน้าซีดอยู่ตรงหน้าอีกหน

ตอนนี้สมองของเธอคิดอะไรไม่ออก ตื้อตันไปหมด ทุกสรรพสิ่งรอบตัวเงียบสงบมีแต่เสียงอู้อี้เหมือนมีอะไรอยู่ในหู

จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี’  ปีย์วราถามตนเอง

เพราะน้ำเสียง “หึ” ในลำคอที่ให้ความรู้สึกเย้ยหยันและเย็นชา ปรีย์วราถึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาและสบตาเข้ากับเขา ชายคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเธอ ชายที่เธอไม่เห็นมาเกือบ 2 ปี ชายคนที่เธอไม่เคยลืม ชายคนที่สร้างแผลเอาไว้ให้เธออย่างมากมาย แต่วันนี้เขาดูเปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาดูเข้ม แกร่งชวนมองยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่นายทหารหนุ่มอารมณ์ดีแววตายิ้มได้เหมือนเมื่อสองปีก่อนอีกต่อไปแล้ว วันนี้เขาได้กลายมาเป็นชายที่สามารถทําให้หัวใจหญิงสาวหลายๆ คนหวั่นไหวไปกับมาดนิ่งๆ ขรึมและแววตาคมกริบของเขาได้ สองปีเท่านั้น แค่สองปีแต่มันกับให้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาและเธอเปลี่ยนไปราวกับฟ้าและเหว

“ไหวไหมปีย์” น้ำเสียงเอื้ออาทรของเอกอานนท์ทำให้ปีย์วราจำต้องเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้นักบินหนุ่มที่เธอรู้จักมาพักใหญ่

“ขอบคุณบี ขอบคุณพี่นนท์มากนะคะ อากาศข้างนอกมันร้อนไปหน่อย พอเข้ามาเจอแอร์เย็นๆ ในห้างนี้เข้าเลยทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ตอนนี้ปีย์ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” หญิงสาวฝืนพูดออกไป เพราะไม่อยากให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าและมองเธอด้วยสายตาเย้ยหยันเหมือนในขณะนี้ ไม่อยากให้เขารู้สึกได้ว่าเขาชนะเธอ เธอจะต้องเข้มแข็ง เธอจะแสดงความอ่อนแอออกไปเด็ดขาด

“เราว่าปีย์นั่งให้สบายตัวก่อนดีกว่านะ หน้ายีงซีดอยู่แล้ว”

“อืม” ปีย์วราพยักหน้ารับ ระหว่างนั้นพนักงานเสิร์ฟก็ทยอยนำอาหารที่คาดว่าจะสั่งไว้ล่วงหน้ามาที่โต๊ะ

“คนนี้หรือครับเพื่อนของบี คนที่บีรออยู่” นั่นคือประโยคแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยพูดออกมา หลังจากจ้องมองหญิงสาวที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่เบื้องหน้า เขามองเครื่องแต่งกายบนร่างกายของปีย์วราอย่างสนใจ เพราะตอนที่เจอกันเธอบอกเขาว่าเป็นเพียงนักศึกษาที่มาช่วยงานพี่สาวเป็นครั้งคราว

น้ำเสียงทุ้มๆ ที่เคยเธอถวิลหา หากเวลานี้มันฟังดูกระชากห้วน สร้างแต่ความเจ็บปวดให้แก่เธอไปทั้งหัวใจ ปีย์วราซุกมือของตนเองลงไปใต้โต๊ะ พร้อมๆ กับใช้มือหนึ่งกำรอบข้อมือที่มีบาดแผลเอาไว้แน่น

 “ปีย์ไหวไหมครับ หรือจะให้พี่ไปส่งที่บ้านก่อน” เอกอานนท์ขันอาสาอย่างห่วงใย เมื่อสีหน้าของปีย์วราไม่ได้ดีขึ้นเลยแถมยังซีดลงไปกว่าเก่าจนเขานึกห่วง เลยไม่ทันได้เห็นสายตาแห่งความไม่พอใจปรายมาที่เขาในเสี้ยวนาทีนั้น

“เพื่อนบีชื่ออะไรครับ ผมยังไม่รู้จักเลย” ปวิมเปิดฉากถามทันที เมื่อปีย์วราได้รับเครื่องดื่มจากพนักงานเรียบร้อยแล้ว

“บีนี่แย่จังเลยค่ะ ลืมแนะนำ ปีย์จ๊ะนี่ เรืออากาศเอกปวิม เพื่อนของพี่นนท์ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกและมาประจำอยู่ที่นี่ พี่พายคะ คนนี้ปีย์วราเพื่อนของบีเองค่ะ เป็นพยาบาลทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกันกับที่บีทำงานอยู่”

“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” แม้น้ำเสียงจะเนิบนาบ แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าภายในใจเขานั้นแทบลุกเป็นไฟ อยากจะลุกขึ้นและกระชากร่างบางที่เห็นอยู่ตรงหน้า มาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอน พร้อมกับถามเธอว่าทำไมถึงกล้าทรยศเขาได้ถึงเพียงนั้น ปวิมกำมือของตนเองแน่น

เพราะน้ำเสียง และกิริยาดูถูกเยาะเย้ยให้ได้อายกับนัยน์ตาวาวโรจน์ที่มองตรงมาที่เธอ มันทำให้ปีย์วราเกิดอาการแน่นหน้าอกหายใจขัดเหมือนมีใครกำลังบีบหัวใจของเธอเอาไว้จนเจ็บไปทั้งทรวงอก นึกอยากจะลุกเดินหนีออกไปจากโต๊ะในนาทีนั้น แต่เธอกลับทำไม่ได้ ตอนนี้เธอทำได้แค่เพียงนั่งก้มหน้าหลบสายตาเขาเท่านั้น

“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับยกมือไหว้เขา ฝืนกล้ำกลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาได้ทุกวินาทีให้ไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน จะขยับหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก แต่ยังกลั้นใจตอบโต้เขาไป

2 ปี… 2 ปีเท่านั้น แต่...เขากลับทำเหมือนไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน สายตาเย็นชาที่เขาจ้องมองมาที่เธอมันเหมือนมีดนับร้อยเล่มพันเล่มทิ่มแทงลงไปที่หัวใจของเธอ

“พยาบาลสมัยนี้หน้าตาดีนะครับ นี่ถ้าบีไม่บอกว่าเป็นพยาบาลเหมือนกัน ผมอาจจะนึกว่าทำอาชีพอื่น จำพวกที่ใช้หน้าตาหากินอย่างพวก “สาวพริตตี้” ปวิมลงน้ำเสียงที่ท้ายประโยคเหมือนจะเน้นย้ำไปกระทบใครบางคน

บราลีหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกว่าถูกชม และไม่เข้าใจความนัยที่แทรกอยู่ในประโยคของปวิม “บีกับปีย์ไม่สวยขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“เรื่องนี้พี่เห็นด้วยกับเพื่อนพี่นะครับ นางพยาบาลโรงพยาบาลนี้หน้าตาสวยน่ารักและใจดีกันทั้งนั้นเลย” เอกอานนท์สนับสนุนคำพูดของเพื่อนรักทันที เพราะเขารู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของปวิมทุกคำ

คงมีแต่เธอเท่านั้นสินะที่รู้ความนัยที่ซ่อนอยู่ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ดวงตาเศร้าสร้อย พยายามสะกดความรู้สึกของตนเอง อย่างน้อยก็ขอให้เธอมีสติทุกวินาทีในตอนนี้ แต่ถึงแม้จะพยายามประคับประคองสติของตนเองมากมายแค่ไหน เธอไม่รู้ว่าใครพูดอะไรบ้าง จับถ้อยความอะไรไม่ได้เลย อาหารตรงหน้าคืออะไรหรือกินอะไรเข้าไปปีย์วราก็จำอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้จนกระทั่งทุกอย่างจบลง

 

มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็กำลังเดินขึ้นบันไดทางขึ้นอพาร์ตเมนต์ซึ่งตนเองพักอยู่เสียแล้ว อาหารมื้อนั้นจบลงด้วยความรู้สึกที่ปีย์วราแทบอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ มันช้า มันนาน และทรมานราวกับเธอนั่งอยู่ตรงนั้นทั้งวันทั้งคืน สมองของเธอตื้อตัน ในขณะที่ปากเธอขมไปหมด อาหารที่ผ่านเข้าปากไร้รสชาติราวกับกำลังกินกระดาษกินไม่ปาน เสียงหัวเราะของปวิมและบราลียังดังก้องอยู่ในหู เหมือนคนทั้งสองยังมานั่งคุยกันที่ข้างหู ปีย์วรายกมือขึ้นปาดน้ำตา รู้สึกหม่นหมองลึกเข้าไปในหัวใจ นึกอยากให้สายลมที่กำลังพัดอยู่พัดพาความทุกข์ไปจากใจ แต่มันจะเป็นไปได้ไหม

เสียง มะ มะ ที่เรียกขานเธออยู่ทำให้หญิงสาวได้สติ ปีย์วราเดินตรงดิ่งเข้าไปโอบกอดลูกชายเอาไว้แน่น

“กลับไวจริง ป้านึกว่าหนูจะไปนานกว่านี้”

“พอดีเสร็จธุระไวค่ะเลยรีบกลับมา ปีย์พาลูกกลับห้องเลยนะคะ” หญิงสาวส่งยิ้มเศร้าๆ ให้ยุพา ก่อนจะพาลูกชายเดินกลับเข้าห้องที่ตนเองพักอยู่อย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้เอ่ยกล่าวบอกลา ยุพาเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา  

ทันทีที่ประตูปิดลงหญิงสาวก็ปล่อยลูกชายให้ลงไปคลานกับพื้น ส่วนตนเองนั้นก็ทรุดลงไปนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับคนไม่มีแรง ในสมองของเธอตอนนี้มีแต่ภาพใบหน้าของปวิมลอยเต็มไปหมดอยู่ และก่อนที่หญิงสาวจะทันรู้ตัว น้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาเป็นสาย

ปีย์วราสะอื้นฮัก น้ำตาไหลพรากราวกับทำนบแตก ความรู้สึกกดดันที่เก็บกักอยู่ภายในอกทะลักทลายออกมาเป็นน้ำตาพร้อมเสียงร่ำไห้ ที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกเจ็บแสบที่เกิดภายในใจ หญิงสาวร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ร้อง ร้อง และร้องเพื่อระบายความเจ็บที่มีอยู่ในอก ความรักที่เคยคิดว่าเลือนหายไปกับความเจ็บและกาลเวลา วันนี้เธอได้รู้แล้วว่ามันไม่เคยจางหายไปไหน มันยังคงอยู่ที่เดิม ถูกซุกเอาไว้ด้วยน้ำมือของเธอเอง

หญิงสาวร้องไห้อยู่นานจนกระทั่งมีมือเล็กๆ มาสัมผัสที่ท่อนแขน ปีย์วราเงยหน้าขึ้นไปมองสัมผัสเล็กๆ แผ่วเบาที่ได้รับนั้น ก่อนจะยิ้มรับและยื่นแขนออกไปดึงร่างอวบอ้วนของลูกชายมากอดเอาไว้แนบอก

“แม่จ๋าขอโทษลูก แม่ขอโทษที่ทำให้หนูเป็นแบบนี้ แต่แม่จ๋าก็ไม่รู้ว่าแม่จ๋าทำผิดอะไรพ่อเขาถึงทิ้งแม่ไป แม่จ๋าไม่รู้จริงๆ”

ปีย์วราอาศัยร่างอวบอ้วนของลูกชายเป็นหลักพักพิงและเป็นที่สงบจิตใจ น้องพัฟก็ไร้เดียงสาเกินไปจนไม่รู้ว่าตอนนี้แม่กำลังเสียใจหนักหนา เด็กชายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเพราะนึกว่าแม่กำลังเล่นอยู่กับตน

เพราะเสียงหัวเราะของลูกชาย จากที่กำลังร่ำไห้เสียใจเป็นที่สุดก็ทำให้เธอกลับมามีสติและยิ้มออกมาได้ทั้งที่น้ำตายังนองอยู่บนใบหน้า เด็กชายหัวเราะชอบใจ มือเล็กๆ ปัดไปที่ใบหน้าของแม่เสมือนเป็นการปาดเช็ดน้ำตา ก่อนจะโอบมือซุกหน้าซบลงตรงทรวงอกอุ่นเฉกเช่นทุกครั้งที่อ้อนขอดื่มนม กิริยานั้นทำให้ปีย์วรายิ้มออกมาและหยุดร้องไห้ไปโดยปริยาย

“แม่จ๋าขอโทษจ๊ะ แม่ขอโทษ แม่จ๋าจะไม่ร้องแล้ว แม่จะเข้มแข็งเพื่อหนู เพื่อหนูคนเดียวนะลูก” ปีย์วรากอดลูกชายเอาไว้แนบอก พยายามไม่นึกถึงเรื่องหมองหม่นที่ทำให้เธอมีแต่ความเศร้าใจออกไป แม้มันจะยากก็ตามที

 

ดวงตาคมมองไกลออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ที่กำลังเคลื่อนตัวไปตามถนนสายหลัก โดยมีเพื่อนรักทำหน้าที่เป็นพลขับให้

“ผู้หญิงที่ชื่อปีย์วรานี่เป็นพยาบาลจริงๆ หรือวะ”

เอกอานนท์เหลียวหันมามองปวิมเพียงแวบก่อนจะหันกลับไปขับรถต่อ “สงสัยอะไรวะ”

“เปล่า กูก็แค่สงสัยว่าหน้าตาแบบนั้นจะเป็นพยาบาลจริงๆ หรือเปล่า”

“ติดใจหรือยังไง”

“ไม่! แค่สงสัยก็เท่านั้น”

“เป็นนางพยาบาลจริงๆ แต่….” เอกอานนท์หยุดพูดไปเหมือนกำลังคิดว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดดี “แต่คนนี้กูว่าเอ็งอย่าไปสนใจเลย”

“ทำไมวะ หรือเอ็งชอบ”

“ไอ้พาย เอ็งก็รู้ว่ากูชอบน้องบี”

“แล้วทำไมถึงบอกให้กูเลิกสนใจ ยายคนที่ชื่อปีย์วรานี่ล่ะ”

“ไม่อยากพูดสักเท่าไหร่ เดี๋ยวจะหาว่ากูนินทาผู้หญิง”

“ทำไม มันลับลมคมในนักหรือไง ทำไมถึงพูดออกมาไม่ได้”

เอกอานนท์ถอนหายใจเหมือนหยุดคิดก่อนจะพูดออกมา “น้องปีย์เขาก็น่ารักนิสัยดี แต่อดีตกูไม่รู้เห็นมีคนพูดว่าน้องเขาเรียนก็เกือบไม่จบเพราะท้อง ก่อนจะเข้ามาเป็นพยาบาลที่นี่”

“ท้องหรือ ท้องกับใครวะ” มาถึงตรงนี้ปวิมขยับนั่งตัวตรงหันไปมองเพื่อนด้วยความสงสัย ท่าทางสนใจจริงจังเห็นได้ชัด ก่อนใบหน้าของชายคนหนึ่งจะผุดขึ้นมาในหัวของเขา

“กูจะไปรู้ได้ยังไงเล่า รู้แค่เพียงว่าท้อง แล้วตอนนี้ก็มีลูกคนหนึ่งที่ต้องเลี้ยงดูตามลำพัง กูถึงบอกไงว่าอย่า ประวัติน้องเขาไม่สวยเท่าไหร่ ไม่สมกับมึงหรอก”

“หึ! ก็คงจะมั่วไปทั่วเลยสินะถึงท้องขึ้นมาแบบนั้น แล้วมึงรู้ได้ไงว่าไม่มีพ่อเด็ก” ปวิมอ้าปากเตรียมจะพูดชื่อใครบางคนออกไปแล้ว แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “หรือไม่ก็มึงก็รู้ไม่จริง หน้าตาท่าทางแบบนั้นคงไม่หน้าโง่ประจานตัวเองด้วยการปล่อยให้ท้องแน่ๆ คงมีคนรับเลี้ยงแบบลับๆ ไปแล้วล่ะ”

“มึงก็คิดสิ ถ้ามีคนรับเลี้ยงจะออกมาทำงานงกๆ ทำไมวะ น้องปีย์เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ค่อนข้างน่าสงสารเชียวละ ส่วนตัวกู กูคิดว่าน้องเขาน่าจะถูกผู้ชายเหี้ยๆ หลอกเอาเสียมากกว่าเพราะดูจากลักษณะท่าทางแล้วไม่ใช่พวกไวไฟ แต่กูชื่นชมน้องเขานะที่เลี้ยงลูกมาเองคนเดียวได้ตั้งแต่แบบเบาะ”

“มึงรู้ได้ไง”

เอกอานนท์ทำสีหน้าปั้นยาก “ก็รู้จากน้องบีนั้นแหละ”

“มึงถูกหน้าตาสวยๆ หลอกเอานะสิ ถึงขนาดไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ หรือหาใครมารับผิดชอบเป็นพ่อเด็กไม่ได้ จะเป็นผู้หญิงดีๆ ไปได้ยังไงกัน

เอกอานนท์หันมาตวัดสายตาใส่เพื่อนด้วยความไม่พอใจ “กูรู้จักน้องปีย์มาพักนึงละ น้องปีย์ไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นหรอก”

“หึ” ปวิมทำเสียงในคอก่อนจะขยับนั่งเอนลงไปกับเบาะรถ “หรืออีกทีก็มีผัวลับๆ แอบกินกันไม่บอกกล้าบอกใคร”

“มึงอารมณ์เสียมาจากไหนวะไอ้พาย มองโลกในแง่ร้ายเกินไปละ ปกติมึงไม่ใช่คนพูดจาหมาๆ ดูถูกผู้หญิงแบบนี้นี่”

“ก็ถ้าผู้หญิงมันดีกูก็คงไม่พูดแบบนี้”

“เฮ้ย ไอ้นี่พูดจาหมาหมา กูก็บอกแล้วไงว่าปีย์เขาเป็นคนดี นิสัยก็ดี กูรู้จักเขามาพักนึงแล้ว ส่วนอดีตของเขา กูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มึงจะตัดสินคนจากอดีตหรือวะ” อานนท์หันมามองเพื่อนรักอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมปวิมตั้งแง่รังเกียจปีย์วราขนาดนี้ “ท่าทางมึงนี่ไม่ค่อยชอบน้องเค้าเลยว่ะ มีอะไรหรือป่าววะ หรือเคยรู้จักกันมาก่อน”

ปวิมเงียบเขาไม่ได้ตอบคำถามของเอกนนท์แต่กลับหลับตาลงทำเหมือนหลับและนั่งเงียบไปตลอดทางนับจากนั้น จนกระทั่งถึงแฟลตที่พักจึงได้แยกย้ายกันเข้าห้องของใครของมัน

                ร่างสูงเดินตรงดิ่งเข้าไปในครัวและเปิดตู้เย็นหยิบกระป๋องเบียร์ที่แช่เอาไว้จนเย็นเฉียบออกมาถือไว้ในมือ เดินไปทรุดนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดียวกลางห้องกว้าง กระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือไม่ได้ถูกเปิดออกแต่ถูกถืออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งความเย็นจางหายไปเหลืองไว้เพียงละอองน้ำที่ไหลมารวมกันและหยดลงสู่พื้น ชายหนุ่มเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง สำหรับปีย์วราแล้วมันไม่ใช่ความเกลียด แต่เป็นอะไรบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้และไม่อยากจะนึกถึง

                คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน

ก็วันนั้นที่คุยกันเขาได้ยินว่าเอกชัยมีเมียเป็นพริตตี้ถ้าไม่ใช่ปีย์วราแล้วจะเป็นใคร?
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น