4

บทที่ 4


 

“เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย ค่ำแล้วจะนอนที่ตรงไหน จะนอนไหนก็นอนได้ สุมทุมพุ่มไม้ก็เคยนอน...ฮึก” เสียงเพลงกล่อมลูกน้อยปนเสียงสะอื้นไห้สั่นไหวที่ออกมาจากปากของผู้เป็นแม่ มือบางตบลงเบาๆ เป็นจังหวะบนก้นของลูกรักที่นอนคว่ำบิดหน้ามาดูดนิ้วหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข ปีย์วราปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตา แม้จะเอ่ยสัญญาออกไปกับลูกน้อยแล้วแต่น้ำตาของเธอก็ยังไม่หยุดไหล “ลมพระพายชายพัดมาอ่อนๆ เจ้าเคยจรมานอนรังเอย…ฮึก...เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย ค่ำแล้วจะนอนที่ตรงไหน จะนอนไหนก็นอนได้ สุมทุมพุ่มไม้ก็เคยนอน ลมพระ...พายชายพัดมาอ่อนๆ เจ้าเคยจรมานอนรัง...เอย”  

                เมื่อเห็นว่าลูกรักหลับสนิทไปแล้ว หญิงสาวก็ขยับมานั่งชันเข่าซบหน้าลงกอดเข่าร่ำไห้ออกมาอีกหนอย่างอาดูร เกือบสองปีที่ผ่านมาปีย์วราเคยคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดแล้ว แต่มันไม่ใช่!

                วินาทีที่ปวิมมองมาด้วยแววตาที่ไม่เหลือความรักให้เธอเพียงเศษเสี้ยวนั่นต่างหาก ที่ทำเอาเธอเจียนตาย หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้นและปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แต่น้ำตาของเธอก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหลลงสักนิด มันเจ็บ เจ็บเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างบานเดียวที่มีอยู่ในห้อง ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงของดวงดาว มันช่างเหมือนกับชีวิตของเธอเหลือเกินที่มืดมนแทบไร้หนทางจะก้าวต่อไป ข้อมือเรียวถูกยกขึ้นมาตรงหน้า รอยแผลเลือนลางแทบจางหาย แต่เธอไม่เคยลืม ไม่เคยลืม ลืมไม่ลงจริงๆ มันเป็นความโง่และการขาดสติเพียงวูบเดียว วูบเดียวเท่านั้น ที่เธอรู้สึกเหมือนตนเองนั้นไร้ค่า หมดราคา ชีวิตมืดมนหมดความหมาย ไร้ที่พึ่งพา ปีย์วราซบหน้าลงกับเข่าของตนเองอีกหน เมื่อความรู้สึกนั้นกำลังจะย้อนกลับมาอีกครั้ง...            

เมื่องานที่ทำเคร่งเครียดก็ต้องมีการผ่อนคลายกันบ้าง เช่นเดียวกับหนุ่มๆ กลุ่มนี้ พอมีวันพักติดต่อกันหลายวันก็ชักชวนกันมาผ่อนคลายที่ผับชื่อดังแห่งหนึ่งใจกลางจังหวัด 

                “ไม่ได้มาที่ผับนี้หลายปี ที่นี่พัฒนาไปเยอะนะเนี่ย แถมสาวๆ สวยๆ เพียบเลยว่ะ” เอกอานนท์เดินนำหน้าเพื่อนๆ อีกสองสามคนที่เดินตามเขาเข้าไปภายในผับชื่อดังพร้อมกับโยกย้ายส่ายหัวไปตามจังหวะเพลงที่ได้ยิน

                “เฮ้ย คืนนี้เต็มที่เลยนะเว้ย” บวรภัคส่งเสียงบอกด้วยความสนุกสนานครื้นเครงภายในใจตามบรรยากาศที่รายล้อมอยู่รอบตัว “ว่าไงพาย คืนนี้จะดวลกับข้าสักยกไหมวะ”

                “พึงระลึกไว้สักนิดนะครับคุณบวรภัค ว่าคุณคือบุคลากรที่มีคุณค่าของกองทัพ คุณใช้ทุน ใช้เงินหลวงไปฝึกไปเรียนตั้งเท่าไหร่ ถนอมตัวบ้างก็ดีนะครับ” เอกอานนท์แทรกขึ้นมาก่อนที่ปวิมเอ่ยปากตอบบวรภัคออกไป และเขาเป็นคนเดียวที่มักจะทักท้วงเพื่อนในกลุ่มเสมอๆ

                “ทราบแล้วครับหลวงพี่เอกอานนท์ พวกกระผมถึงแม้จะกินเหล้าแต่พวกกระผมก็กินแบบมีลิมิตนะครับ” บวรภัคบอกแก่เอกอานนท์ เพื่อนสนิทผู้ซึ่งนิยมมานั่งชมบรรยากาศแห่งความสนุกสนานแต่ไม่นิยมดื่มสุราและของมึนเมาแต่อย่างใด

                “มึงอย่าทำตัวเป็นตาแก่ขี้บ่นเลยนะไอ้นนท์ มาเที่ยวผับไม่กินเหล้ามึงจะมาเที่ยวทำไมวะ” หนึ่งในกลุ่มที่มาด้วยกันย้อนถามเพื่อนรัก

ก็มานั่งดื่มด่ำบรรยากาศเหมือนที่กูทำไง กูมาฟังเพลง ชื่นชมสาวๆ แค่นี้ก็ผ่อนคลายพอแล้วมึงจะกินเหล้าให้ทำร้ายร่างกายตัวเองไปทำไมวะ แต่...ที่นี่แม่งเปิดเพลงเสียงดังชิบเป๋ง” เอกอานนท์บ่นทันทีที่ได้โต๊ะนั่งซึ่งอยู่บริเวณชั้นลอยของร้านแห่งนั้น

“ไอ้นนท์ ที่นี่มันผับนะเว้ย ไม่ใช่มาวัดจะได้เงียบสงบ ถ้าเพลงหนวกหูนักก็เอานี่ไปสวม” บวรภัคล้วงเอียปลั๊กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นส่งไปให้เอกอานนท์

“เฮ้ย นี่เอ็งเตรียมมาขนาดนี้เลยหรือวะ” เอกอานนท์หยิบอุปกรณ์อุดหูขึ้นมาดูอย่างประหลาดใจ

“บอกแล้วข้าเที่ยวอย่างมีสติ เอ็งไม่รู้อะไรหรอก ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะมาฟังเพลงนักหรอก เพลงน่ะฟังที่ไหนก็ได้ แต่บรรยากาศระหว่างการกินเหล้าเพื่อปลดปล่อยความตึงเครียดเนี่ย บางทีมันต้องมีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นสาวๆ ใส่สายเดี่ยวหรือจะสวมเกาะอกอวดความอวบอึมๆ พี่ได้หมดไม่เคยเกี่ยง จะเอ จะบี จะซี ดูได้ดูเพลินไม่มีลิมิต ยิ่งคืนวันศุกร์แบบนี้ด้วยแล้วนะเอ็งเอ๊ยย.. นักศึกษามหาลัย สาวๆ ออฟฟิศตรึม หรือว่าไงวะไอ้พาย”

“ตามสบายแล้วกัน กูขอนั่งจิบเบียร์เย็นๆ ตรงนี้ดีกว่า ใครอยากทำอะไรก็เชิญ” ปวิมบอกก่อนจะหยิบแก้วเบียร์ที่พนักงานนำมาเสริ์ฟขึ้นกระดกใส่ปาก เอนหลังนั่งพิงโซฟาอย่างสบาย สายตามองไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะส่งเสียงและแสงให้รู้ว่ามีคนส่งข้อความเข้ามา ปวิมพลิกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพียงนิด ก่อนยื่นส่งไปให้เอกอานนท์ “จัดการซะ จะเอายังไงก็เอา อย่าให้กูรำคาญมากกว่านี้”

“ทำไมเขาไม่ชอบกูวะ กูด้อยกว่ามึงตรงไหน หน้าตาก็สูสี เหล้ายากูก็ไม่กิน แถมนิสัยกูก็ดีกว่ามึงตั้งเยอะ”

“มึงไม่รู้หรือว่าผู้หญิงเขาชอบผู้ชายเลวๆ ผู้ชายดีๆ น่ะผู้หญิงเขาไม่มองหรอก มันไม่ท้าทายเว้ย” เพื่อนอีกคนพูดขึ้น

“เรื่องนี้จริงว่ะ กูเห็นด้วย มึงไม่เห็นเหรอเวลาผู้หญิงเขาจะเลิกกับใครเขาจะพูดว่า...คุณดีเกินไปนะคะ เพราะฉะนั้นถ้ามึงอยากให้ผู้หญิงสนใจมึงก็ต้องทำตัวเลวๆ ท้าทายให้เขาอยากลอง ลองเล่นตัวสักนิด เชิดๆ ทำเมินสักหน่อยเดี๋ยวผู้หญิงก็จะสนใจ” บวรภัคเสริม

เอกอานนท์มองข้อความในโทรศัพท์ของปวิมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไปโดยไม่ได้สนใจสักนิดว่าโทรศัพท์ที่ใช้อยู่ไม่ใช่ของเขา

“ไอ้นี่ ทำไมพิมพ์ไปแบบนั้นวะ” ปวิมท้วงทันทีที่เห็นข้อความที่เอกอานนท์พิมพ์ส่งโต้ตอบกลับไป

“มึงจะช่วยกูไหมไอ้พาย” เอกอานนท์วางมือบนบ่าเพื่อนรัก สีหน้าจริงจังและแววตามุ่งมั่นมองสบกับเพื่อนรัก

ปวิมถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับไปอย่างอ่อนใจ แม้ใจจริงจะไม่อยากยุ่งด้วยก็ตามที

“ช่วยเป็นตัวล่อให้กูอีกหน่อย อีกไม่นานหรอกกูจะจัดการให้เด็ดขาด”

“มัวแต่คุยอะไรกันนั่นแหละ มึงเห็นไหมสาวๆ โต๊ะนั้นน่ะเขาส่งสายตามาเชิญชวนแล้ว ไปสนุกกับเขาหน่อยไหมวะ” บวรภัคและเพื่อนอีกคนทำท่ากระตือรือร้นอยากจะเดินไปยังโต๊ะที่มีสาวๆ มากมายหลายคนนั่งอยู่ หลายคนในโต๊ะนั้นส่งสายตาเชิญชวนอย่างมีนัยจนทำให้หนุ่มๆ ไม่สามารถอยู่เฉยอีกต่อไปได้

“Tally[1] แต่ No Joy[2]ตามสบายเว้ย เดี๋ยวกูจะนั่งจิบเบียร์อยู่ตรงนี้แหละ” ปวิมยกแก้วเบียร์ชูขึ้นสูง

เช่นเดียวกับเอกอานนท์ที่โบกมือไล่ให้เพื่อนนำไปก่อน

ยิ่งดึกบรรยากาศภายในผับชื่อดังก็ยิ่งปลุกเร้า เสียงดนตรีเร่งจังหวะ สาวๆ หนุ่มๆ ออกมาเต้นขยับโยกย้ายด้วยความสนุกสนานครื้นเครง ปลดปล่อยอารมณ์ของวัยคะนองออกมาตามเสียงเพลง ท่วงทำนองและลีลาแต่ละคนก็ไม่ใช่ย่อย ส่ายสะบัดปล่อยอารมณ์กันสุดฤทธิ์

“เฮ้ย ไอ้พาย น้องบีมาแล้วว่ะ อย่าลืมที่เราพูดกันไว้นะโว้ย คนนี้กูขอ”

“หึ” ปวิมทำเสียงในคอก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้าๆ “สบายใจได้ คนนี้ไม่ใช่เป้าหมายของกู”

เอกอานนท์ขยับยืนก่อนจะเดินเข้าไปหาบราลีซึ่งเดินขึ้นมาบนชั้นลอยที่พวกเขานั่งอยู่ ก่อนจะพาหญิงสาวมานั่งที่โต๊ะ

บราลีส่งยิ้มให้แก่ปวิมทันทีที่มาถึงโต๊ะ หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อได้รับข้อความในโทรศัพท์ เธอรีบแต่งตัวในชุดที่สวยที่สุดและเซ็กซี่ที่สุดเท่าที่มีอยู่และรีบตรงดิ่งมาที่ผับแห่งนี้ แต่ถึงรีบแค่ไหนก็เสียเวลาไปร่วมชั่วโมง

“สวัสดีค่ะพี่พาย พี่นนท์ ขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีเพิ่งออกเวรกว่าจะอาบน้ำแต่งตัวก็เสียเวลาไปครู่ใหญ่”

“พี่นึกว่าน้องบีจะไม่มาเสียแล้ว” เอกอานนท์คือคนแรกที่พูดจากับบราลี พร้อมกับใช้ไหล่สะกิดเพื่อนรักที่ยังนั่งนิ่งเฉยไม่แสดงอาการอะไรออกมาสักอย่างเพื่อเป็นการช่วยเขา

“สวัสดีครับน้องบี” ปวิมพูดอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะนั่งจิบเบียร์ของตนเองต่อไป สายตายังคงเลื่อนลอยมองไปที่ฟลอร์เต้นรำซึ่งอยู่เบื้องล่าง

บราลีหน้าเสียไปนิด พร้อมๆ กับเกิดความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรปวิมถึงทำท่าทีแบบนั้นใส่เธอ ในเมื่อปวิมเป็นคนชวนเธอมาเที่ยวแท้ๆ แต่เขากลับนิ่งเฉยเหมือนไม่สนใจเธอเลย ผิดกับเอกอานนท์ที่พูดจนเธอเกิดความรำคาญ หญิงสาวฝืนยิ้มให้เอกอานนท์เมื่อเขาดูแลเทคแคร์เธอราวกับเป็นคนที่ชวนเธอมาเสียเอง แถมยังเอาอกเอาใจจัดหาเครื่องดื่มและของคบเคี้ยวมาให้

“มาเที่ยวกันกี่คนคะ” บราลีพยายามทำสีหน้าให้สนุกสนานแม้ในใจจะเริ่มขุ่นเคือง หันไปถามปวิมเพื่อหาเรื่องชักชวนชายหนุ่มพูดคุยด้วย แต่เขาทำเหมือนไม่ได้ยิน สายตายังเลื่อนลอยมองออกไปที่ฟลอร์เต้นรำตรงหน้าไม่ได้สนใจเธอสักนิดเดียวราวกับตรงนั้นมีอะไรน่าสนใจเสียหนักหนา

“มากันสี่ห้าคนครับ แต่ตอนนี้ไปอยู่ที่โต๊ะอื่นกันหมดแล้ว เหลือพี่กับไอ้พายแค่สองคน”

บราลีพยักหน้ารับรู้ ตอนนี้เธอรู้สึกน้อยใจและเสียความรู้สึกอย่างที่สุดเมื่อเขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับเธอเลย แม้กระทั่งชุดปาดหน้าแหวกหลังที่เธอแต่งมาในคืนนี้ บราลีมองตามสายตาของปวิมออกไปแล้วพบว่าตรงกลางฟลอร์เต้นรำมีหญิงสาวหน้าตาดีกำลังอวดลีลาท่าเต้นยั่วยวนจนดูน่าหมั่นไส้ แถมยังส่งสายตาเชิญชวนให้ท่าโต้ตอบกลับมาอีก หญิงสาวกำหมัดแน่นนึกอยากจะกระชากผมยาวๆ ของแม่นั้นไปฟาดกับอะไรสักอย่าง

“ไหนๆ ก็มาแล้ว ออกไปเต้นกับพี่ไหมครับ” เอกอานนท์ชักชวนบราลีเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวดูตึงๆ ท่าทางเหมือนคนไม่สนุกเข้าไปทุกทีๆ

บราลีเหลือบสายตามองไปที่ปวิมเพียงนิดก่อนจะพยักหน้ารับ นึกอยากจะอวดลีลาของตนให้ปวิมได้เห็นบ้าง เธอเองก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้หญิงที่เต้นส่ายสะโพกราวกับไส้เดือนโดนขี้เถ้าคนนั้นสักนิด คืนนี้เขาจะต้องเห็นว่าเธอสวยและยั่วยวนขนาดไหน

ตลอดเวลาที่อยู่ในฟลอร์เต้นรำสายตาของบราลีมองไปที่ปวิมซึ่งนั่งอยู่บนชั้นลอย ร่างบางบิดซ้ายบิดขวาไปตามจังหวะ ออกลีลาท่าทางยั่วยวนเซ็กซี่เร้าใจ หวังจะให้ปวิมได้เห็นและรู้สึกว่าเธอก็น่าสนใจเช่นกัน แต่เมื่อผ่านไปหลายเพลงเข้าบราลีก็รู้ว่าปวิมไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด แม้สายตาเขาจะมองมาแต่มันก็เหมือนจะทะลุผ่านเธอไป หญิงสาวหยุดเต้นลงในทันใดพร้อมกับหมุนตัวเดินออกจากฟลอร์เต้นรำไปด้วยอาการกระแทกกระทั่น จนกระทั่งคู่เต้นอย่างเอกอานนท์ที่กำลังเคลิ้มไปกับลีลาพลิ้วไหวของบราลีไม่ทันตั้งตัว

“บี น้องบีจะไปไหนครับ” เอกอานนท์เดินตาม บราลีไปพร้อมกับรั้งแขนของหญิงสาวเอาไว้

“บีขอโทษค่ะพี่นนท์ แต่บีอยากกลับแล้ว” บราลีหันหนี ไม่อยากแสดงอาการหงุดหงิดใจให้เอกอานนท์ได้เห็น

เอกอานนท์มองสีหน้าที่ไร้ความสนุกของบราลีอย่างเข้าใจและเห็นใจหญิงสาวอยู่มากที่ถูกเขาหลอกมาโดยไม่รู้ตัว “วันนี้ไอ้พายมันมีเรื่องนิดหน่อย มันเลยเครียดๆ บีอย่าไปใส่ใจมันเลยนะ” ชายหนุ่มแต่งเรื่องขึ้นมาโกหกหญิงสาวในทันที

บาราลีเหลือบตาไปมองไปทางปวิมอีกหน สีหน้าแสดงอาการน้อยใจเห็นชัด “แต่พี่พายเป็นคนชวนบีมาเองไม่ใช่หรือคะแล้วทำไมเขาไม่ใส่ใจบีเลย” หญิงสาวพ้อ

“เอาน่า อย่าคิดอะไรมากเลย ไหนๆ บีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว มาสนุกกันดีกว่า”

หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะสะบัดตัวจนหลุดออกจากการเกาะกุมและเดินหนีออกไปจนถึงลานจอดรถ เอกอานนท์ต้องรีบเดินตามหญิงสาวไปติดๆ หวังเพียงแค่อยากจะรั้งบราลีไว้ให้อยู่นานกว่านี้

“ให้บีสนุก ในขณะที่ผู้ชายที่บีสนใจไม่สนใจบีเลยหรือคะ” หญิงสาวหันไปใส่อารมณ์กับเอกอานนท์ แสดงสีหน้าน้อยใจให้เขาได้เห็น

“เอาแบบนี้ บีอยากให้ไอ้พายสนใจจริงๆ ใช่ไหม พี่เป็นเพื่อนมัน พี่รู้นิสัยมัน บีรู้ไหมว่ายพายขี้หึงมาก ยิ่งบีเล่นตัวหรือว่าบีมีผู้ชายให้เลือกหลายๆ คนไอ้พายก็จะยิ่งรู้สึกว่าบีมีคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น”

“แล้วพี่นนท์จะให้บีทำยังไงคะ พี่พายเขาถึงเธอจะหันมาสนใจบีบ้างสักนิด” บราลีมองเอกอานนท์อย่างหวั่นใจ รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่นาทีนี้เธอไม่มีทางเลือกมากนัก หากมีใครสักคนจะมาช่วยคิดหรือช่วยแนะนำเธอก็ยอมเชื่อทุกอย่าง เพียงเพราะอยากให้ปวิมหันมามองเธอเพียงสักนิด

 “ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวพี่จะช่วยเชียร์บีเอง”

แต่บราลีก็ยังไม่วางใจ เธอมองเอกอานนท์อย่างไม่มั่นใจ “เพราะอะไรพี่นนท์ถึงช่วยบีคะ”

เอกอานนท์มองหญิงสาวตรงหน้านิ่งก่อนจะยิ้มเศร้าจนบราลีรู้สึกแปลกๆ ในใจ “เพราะพี่ชอบบี พี่อยากให้บีสมหวัง”

ประโยคนี้ของเอกอานนท์ทำเอาบราลีถึงกับนิ่งอึ้งไป ใช่เธอรู้ว่าเขาคิดกับเธอในแง่ไหน แต่เรื่องของจิตใจมันบังคับกันไม่ได้ คนไม่รักทำอย่างไรก็ไม่รัก ต่อให้เขาแสนดีหรือรักเธอมากแค่ไหน ถ้าใจมันบอกไม่ใช่ฝืนไปก็คงมีแต่จะเหนื่อยด้วยกันทั้งคู่

“ฝากลาพี่พายด้วยนะคะ บีเหนื่อยแล้วอยากกลับไปพัก” บราลีสะบัดหน้าเดินออกไปทันที เธอไม่อยากเห็นหน้าหงอยๆ ของเอกอานนท์หรือสายตาที่มองผ่านเธอไปราวกับเธอคือหมอกควันของปวิม

ผู้หญิงที่ไหนๆ ก็เหมือนกันไปหมด ปวิมหัวเราะในลำคอเสียงขื่น เขาเคยมองผู้หญิงพลาดมาแล้วครั้งหนึ่งทำเอาเจ็บเจียนตาย แต่ต่อจากนี้ไปเขาจะไม่มีวันพลาดอีกเด็ดขาด

ปวิมมองตามบาราลีและเอกอานนท์ไป รู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ยังฝังใจกับความทรงจำเก่าๆ พร้อมกับอิจฉาลูกพี่ลูกน้องอย่างน่านเวหาที่ค้นพบเพชรเม็ดงามมาประดับชีวิต ใช่...ครั้งหนึ่งเขาเคยนึกว่าตนเองนั้นได้เจอแล้วเช่นกัน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่

แก้วเบียร์เย็นๆ ถูกยกขึ้นกระดกอีกหน เขายังจำวินาทีแรกที่ได้สบตากับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนที่เขาคิดว่าคนนี้แหละคือคนที่เขาเฝ้ารอมาตลอด “Love at first sight” คนที่ทำให้เขาใจเต้นผิดจังหวะในครั้งแรกที่เจอ คนที่ทำให้เขาอยากค้นหาเมื่อมองเข้าไปในตาคู่นั้น .. ตาสบตานิ่งงัน เขารู้สึกราวกับมีวงกลมล้อมรอบทั้งเขาและเธอเอาไว้ หัวใจเต้นแรง วินาทีนั้นเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร หรือเคยเป็นอะไรมาก่อน จะมีฐานะอย่างไร มีอาชีพอะไร พื้นเพเป็นอย่างไรเขาก็ไม่สน เขารู้แค่ว่าวินาทีแรกที่ได้สบตากันหัวใจเขาก็ไปอยู่กับเธอเสียแล้ว

ครั้งนั้นเขายังจำได้ดี มันก็เป็นการออกเที่ยวของหนุ่มๆ เหมือนอย่างในคืนนี้ แต่ในคืนนั้นมันแตกต่างออกไปตรงที่ว่าที่ผับแห่งนั้นมีการนำเสนอเครื่องดื่มชนิดใหม่โดยพริตตี้สาวกลุ่มหนึ่ง แรกๆเขาก็ไม่ได้สนใจแม่สาวพวกนั้นสักเท่าไรเพราะผู้หญิงแบบนั้นเห็นได้ทั่วไปดาษดื่น ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่สมัยนี้ก็มีแม่สาวที่เรียกตนเองว่าพริตตี้พวกนี้ ไปทำหน้าที่เป็นพนักงานขายหรือแนะนำประชาสัมพันธ์สินค้าแทบทุกงาน แถมพริตตี้สมัยนี้ก็หน้าตาเหมือนกันหมดราวกับโคลนนิ่งกันออกมาก็ไม่ปาน ผิวก็ขาวเหมือนกินหลอดนีออนเข้าไป ตาโตจากบิ้กอาย จมูกโด่งขึ้นสัน ปากสีชมพู รูปหน้าเรียวแหลมทรงเดียวกันไปหมด หน้าอกหน้าใจก็กลมเป็นก้อนใหญ่โตเพราะเสริมแต่งหรือใส่รัดรูปดันทรงจนแทบทะลักออกมา พูดจาฉะฉานขายของอย่างคล่องปาก

แต่...ในกลุ่มของสาวสวยเหล่านั้นกลับมีหญิงสาวคนหนึ่ง ที่สามารถเรียกความสนใจจากเขาได้ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็น ด้วยการยืนหลบอยู่ข้างหลังพริตตี้สาวคนอื่น ส่วนเรื่องความสวยนั้นก็ไม่ได้โดดเด่นหรือแตกต่างจากคนอื่นสักเท่าไร แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจผู้หญิงคนนั้นเป็นพิเศษก็คืออาการขัดเขินและท่าทางกระมิดกระเมี้ยนเอียงอาย แม้จะดูเซ็กซี่ ยั่วยวนจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่ก็ไร้เดียงสาน่าทนุถนอมไปในคราวเดียวกัน และทันทีที่เขาได้สบตากันกับเธอคนนั้น ทุกอย่างก็เหมือนหยุดลง  หยุดลงจริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใครมาก่อนเลยจริงๆ แม้แต่ผู้หญิงที่เคยผ่านๆ มา

มันคือสายตาของหญิงสาวอ่อนเดียงสาที่กำลังหวาดหวั่นกับอะไรสักอย่างและไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเหมือนสาวๆ บางคนที่เขาเคยเจอะเจอมา เพียงแค่ได้มองมันก็ปลุกเร้าความเป็นชายในตัวของเขาให้อยากลุกขึ้นมาดูแลปกป้องคุ้มภัย และคว้าเจ้าหล่อนมาเป็นของเขาทั้งกายและใจ เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำตอนที่เท้าพาเขาก้าวเดินตรงดิ่งแทรกผ่าฝูงชนเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอคนนั้น

“สนใจผลิตภัณฑ์ตัวไหนของเราคะ” พริตตี้หน้าหวานตาโตๆ ส่งยิ้มปากสั่นนิดๆ ให้แก่เขา เธอมีท่าทีขัดเขินอย่างเห็นได้ชัดระหว่างที่แนะนำสินค้า

“คุณอยากแนะนำตัวไหนให้ผมครับ” ชายหนุ่มย้อนถามส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มกลับไปให้หญิงสาวสวยตรงหน้า ยิ่งได้เห็นใกล้ๆ ก็ยิ่งถูกใจ ปวิมกระแอมในคอจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะส่งสายตาพิฆาตไปยังหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ที่มาอออยู่โดยรอบหญิงสาว จนกระเจิงหายไปหาพริตตี้สาวคนอื่นๆ จนหมด

“สวัสดีค่ะ เราเป็นตัวแทนจำหน่ายเบียร์นำเข้าค่ะ” พริตตี้สาวหยุดมองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยอาการสั่นนิดๆ ก่อนจะกลั้นใจพูดข้อมูลที่ท่องจำมาทั้งวันออกไป “วะ วันนี้เรามีเบียร์มานำเสนอลูกค้า 3-4 ชนิดค่ะ ชนิดแรกมาจาก โรงเบียร์อีชิโกะที่ตั้งใจพัฒนา Weizen อย่างจริงจัง จุดเด่นของเราก็คือมอลต์คุณภาพสูงที่อีชิโกะปลูกเอง และผ่านกระบวนการหมักโดยใช้ยีสต์ชนิดพิเศษ สูตรลับของอีชิโกะเท่านั้น ทำให้เกิดเบียร์ที่นุ่ม หอมหวานเป็นพิเศษจากกลิ่นของกล้วยละผลไม้อื่นๆ Weizen ของอีชิโกะยังมีเหรียญเงิน Monde Selection การันตีคุณภาพในปี 2000 อีกด้วยนะคะ” พริตตี้สาวรินเบียร์ใส่แก้วเล็กๆให้เขาได้ลองชิมมือไม้สั่น จนคนที่รับแก้วไปอดยิ้มขันไม่ได้

ปวิมรับแก้วนั้นมากระดกดื่มในคราวเดียวโดยที่สายตาไม่ได้คลาดไปจากใบหน้าหวานๆ ของสาวสวยที่อยู่เบื้องหน้าเลยสักนิด 

“มีชนิดอื่นอีกไหมครับ” ปวิมกระตุกยิ้มที่ริมฝีปากเมื่อเห็นแก้มนุ่มนวลนั้นเริ่มมีสีแดงเข้มขึ้นทุกขณะระหว่างที่ทำการสนทนากับเขา แม้หญิงสาวตรงหน้าจะมีท่าทีขัดเขินแต่เธอก็ยังทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Echigo Pilsner ผลิตจากมอลต์คุณภาพสูง 3 ประเภท Pisner, Carahell และ Caraform ที่มีความหอมจากฮอฟฟ์ของประเทศเช็ก ทำให้มีกลิ่นที่หอมหวานและรสชาติที่กลมกล่อม จุดเด่นของเบียร์ชนิดนี้คือความสมดุลของรสชาติ เป็นเบียร์ที่มียอดผลิตมากที่สุดเมื่อปีที่ 2013 แล้วยังได้รางวัลมากมายด้วยนะคะ อย่าง 2 เหรียญเงินในการประกวดรสชาติเบียร์ประเทศญี่ปุ่น เหรียญทองแดงระดับนานาชาติจากออสเตรเลีย และล่าสุดเหรียญเงินจากรางวัลในการประกวดในเบลเยียมเมื่อปี 2014 ค่ะ ถ้าลูกค้าสนใจวันนี้เรามีโปรโมชันพิเศษด้วยนะคะ”

“โปรโมชันอะไรครับ ซื้อวันนี้แถมเบอร์คนขายหรือเปล่า” ปวิมยั่วเย้าและรู้สึกพอใจทันทีเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของพริตตี้สาวตวัดส่งมาให้ สีหน้าและท่าทางของหญิงสาวดูจริงจังและระมัดระวังตัวขึ้นจนเขาต้องส่งยิ้มให้

“อันนั้นคงไม่ได้ค่ะ แต่วันนี้ผลิตภัณฑ์ของเรามีโปรโมชันซื้อ 3 ขวดแถม 1 ขวดหรือหากเป็นกระป๋องก็คือ 6 กระป๋องแถม 1 กระป๋องค่ะ”

“แล้วถ้าผมซื้อเยอะคุณจะได้เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า”

คิ้วบางๆ ของพริตตี้สาวเลิกสูงอย่างประหลาดใจก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “ได้ค่ะ”

“ถ้าผมจะสั่งสักยี่สิบลังคุณมีสินค้าให้ผมไหม” ระหว่างที่เจรจากันสายตาคมของปวิมไม่ได้คลาดไปจากใบหน้าหวานๆ นั้นแม้แต่เพียงเสี้ยววินาที

“คุณล้อเล่นใช่ไหมคะ” พริตตี้สาวทำสีหน้าเหนื่อยใจนิดๆ แต่ก็ยังฝืนส่งยิ้มให้แก่ลูกค้า

“ไม่ครับ ผมพูดจริง แต่คืนนี้ผมมาเที่ยว และผมคงไม่สะดวกที่จะขนกลับ ผมจะให้เบอร์โทร.ผมไว้ พรุ่งนี้คุณโทร.หาผมแล้วก็เอาของไปส่งให้ผมด้วยได้ไหมครับ”

“ได้น่ะได้ค่ะ แต่คุณจะไม่ถามราคาของสินค้าก่อนหรือคะ”

ปวิมส่ายหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปด้านหลังล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดออกหยิบบัตรเครดิตยื่นส่งให้พริตตี้สาวหน้าหวานทันที

“คุณจะรับสินค้าตัวไหนคะ”

ปวิมอมยิ้ม ก้มลงไปมองสินค้าซึ่งวางอยู่ตรงหน้าหญิงสาว “ตัวไหนคุณได้เปอร์เซ็นต์มากที่สุดครับ” เขาเห็นสายตาที่เหมือนกำลังจะลองดีอยู่เพียงนิดก่อนที่อีกฝ่ายจะหลบสายตา รับบัตรเครดิตไปจากมือของเขา

“ถ้างั้นก็คงเป็นดูฟเอล เป็นเบียร์บริสุทธิ์ธรรมชาติ ปราศจากสิ่งปรุงแต่งหรือสารกันบูด ตัวนี้ราคาแพงสุด ขวดละ 200 บาทค่ะ”

“โอเคครับ ผมเอาตัวนี้ 20 ลังอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ทีแรก ผมจ่ายเงินทั้งหมดเลย คุณจะได้มั่นใจว่าผมไม่เบี้ยว แล้วก็ไม่ได้ล้อเล่น ผมจริงจังนะครับ”

พริตตี้สาวยืนมองลูกค้าตรงหน้าด้วยอาการตะลึงนิดๆ เมื่อได้รู้ยอดที่เขาต้องการจะซื้อ “รอสักครู่นะคะ” พอรู้ตัวว่าจ้องมองอีกฝ่ายนานเกินไปก็รีบหมุนตัวเดินหายไปเพียงแวบก่อนจะเดินกลับมาพร้อมสลิปเพื่อให้เขาลงชื่อ “คุณเปิดร้านขายเหรอคะ ซื้อไปเยอะขนาดนี้”

ปวิมไม่ตอบแต่เขาก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างลงไปในด้านหลังของสลิปซึ่งเป็นหลักฐานการชำระเงิน พร้อมยื่นส่งให้พริตตี้สาวแสนสวยของเขา “ พรุ่งนี้คุณโทร.มาที่เบอร์นี้ แล้วก็เอาของไปส่งให้ผมด้วย หรือคุณจะให้ผมไปรับสินค้าเองก็ได้แต่คุณจะต้องเป็นคนส่งของให้ผมเท่านั้น” พอพูดจบเขาก็หมุนตัวเดินห่างออกไปทันที และนั่นคือการรอคอยที่แสนหวานที่สุดเท่าที่เขาเคยจำได้

ห้อง 554 เตียง 1 นายพรชัย สมติพร อายุ 80 ปี admit วันที่  4 ตุลาคม อาจารย์หมอวิทยาเป็นเจ้าของไข้ มาด้วยอาการปวดท้อง ด้านขวาล่างกดแล้วเจ็บ  คะแนนความเจ็บปวด 8/10 มีอาการคลื่นไส้ ต้องการความช่วยเหลือในระดับปานกลาง  ทำ U/S วันนี้ รอ specialist อ่านผลอยู่ ถ้าผลการตรวจมาแล้วให้โทรรายงานแพทย์ มีประวัติของโรคเกาต์โรคกรดไหลย้อนโรคเบาหวาน

ตอนนี้ NPO ไว้อยู่ bowel sound (การเคลื่อนไหวของลำไส้) ยังไม่มี ฝากกระตุ้น ambulate (การเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้) อีกที  on IV fluid เป็น 5%DN/2 rate 150 มล. / ชม เจาะน้ำตาลในเลือดอาจจะทุก 12 ชั่วโมง ความดันปกติ120/70 วันนี้ ไม่มีอาเจียน แต่ยังคงมีอาการคลื่นไส้และปวดท้อง เรื่อง N/V (อาการคลื่นไส้อาเจียน) มี Zofran 4 mg IV PRN q 6-8 hr. ได้ยาไปล่าสุด 14:00 เรื่องปวดท้อง ยังคงมีปวดท้องอยู่ มี มอร์ฟีน 4 mg IV prn q 4-6 hr. ได้ไปตอน 04:00 Pain score 7/10 ก่อนให้ยา ... หลังให้ยาแล้ว ผู้ป่วยลดลง PS 3/10  และผู้ป่วย rest (พักผ่อน) ได้

                “ปีย์ ปีย์ ปีย์วรา” น้ำเสียงเข้มงวดของหัวหน้าตึกปลุกเธอให้หลุดจากภวังค์ คุณเพลินพิศมองปีย์วราตาเขียว แสดงอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากตอนนี้อยู่ในการรับส่งเวร พยาบาลทุกคนต้องให้ความร่วมมือและตั้งใจในกระบวนการนี้ แต่ลูกน้องคนที่เธอไว้ใจที่สุดกลับยืนเหม่อลอย ท่าทางไม่ได้ฟังสิ่งที่เพื่อนพยาบาลเวรเดย์พูดเลยสักนิด

“ขอประทานโทษค่ะ”

“ศจี ยังไงเธอก็ช่วยดูแลอีกแรงนึงแล้วกันนะ” คุณเพลินพิศส่ายหน้าด้วยท่าทางไม่พอใจก่อนจะหันหน้าหนี พลิกแฟ้มในมือตรวจสอบความถูกต้องของรายงานผู้ป่วยรายที่จะได้รับการตรวจหรือผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ รวมถึงตรวจสอบความถูกต้องของ ชาร์ทประวัติ รายละเอียดคนไข้ ยาที่ใช้ แล้วก็แลบที่ค้างอยู่

“เป็นอะไรไปปีย์ ท่าทางเหม่อลอยยังไงก็ไม่รู้ ไม่สบายหรือเปล่า” บราลีเข้ามายืนชิดติดกับเพื่อนรักพร้อมกระซิบถามอย่างห่วงใย

ปีย์วราสายหน้าไปมาช้าๆ ด้วยท่าทางเหงาหงอยเศร้าสร้อยจนคนรอบตัวรู้สึกได้ “เราไม่เป็นอะไรหรอกบี แค่รู้สึกเพลียๆ นิดหน่อย”

“น้องพัฟกวนมากหรือปีย์ มีอะไรให้เราช่วยไหม”

ปีย์วราสายหน้าอีกครั้ง หากครั้งนี้ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มเกิดขึ้นมาเมื่อได้คิดถึงลูกชาย “น้องพัฟไม่ดื้อไม่ซน เลี้ยงง่ายจะตาย แค่ช่วงนี้กำลังตั้งไข่หัดเดินก็เลยอาจจะดูวุ่นวายแสนซนไปสักนิด”

“จริงสิ หัดเดินแล้วเหรอ เดินเก่งหรือยัง”

“ยังหรอกแค่เกาะๆ ก้าวสองก้าวก็ล้ม แต่เรื่องคลานเนี่ยให้เหรียญทองเลย คลานได้ไม่มีเหนื่อย ไปได้ทั่วห้อง คลานเร็วด้วย”

“เดี๋ยววันไหนว่างๆ เราแวะไปหาน้องพัฟดีกว่า คิดถึงจังเลย ไม่เจอกันกี่อาทิตย์แล้วนะ สักสองอาทิตย์แล้วมั้ง”

“อืม ไปสิ น้องพัฟก็คงคิดถึงตัวเองอยู่หรอก” ปีย์วราเหลือบมองใบหน้าของบราลีเพียงนิดเหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตัดใจถามสิ่งที่ตนเองอยากรู้ออกไป  “แล้วบีกับคุณปวิมอะไรนั่นล่ะเป็นยังไงบ้าง” พอพูดไปหญิงสาวก็แทบกัดลิ้นของตนเอง แล้วก็ต้องมากลั้นใจรอฟังคำตอบจากเพื่อนรักด้วยอาการหวั่นไหวในอก

“ก็ดีนะ เมื่อวันหยุดที่แล้วน่ะ พี่พายเขาก็ส่งข้อความมาชวนเราไปเที่ยวผับ”

                ดวงหน้าสวยรีบก้มลงหลบซ่อนสายตาที่มีแต่ความเจ็บปวดเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครได้เห็น ใจดวงเล็กๆ กระตุกสั่น นี่เธอคงไม่มีความหมายอะไรกับเขาแล้วจริงๆ เขาคงลืมทุกอย่างไปแล้วและพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงคนอื่น เพียงแค่คิดใจมันก็เจ็บแปลบ 

                “สองคนนั้นน่ะ จะยืนคุยกันอีกนานไหม เรายังส่งเวรกันไม่เสร็จนะ” เสียงดุเข้มงวดของคุณเพลินพิศทำเอาสองสาวที่ยืนกระซิบกระซาบกันอยู่สะดุ้งโหยง “ช่วยกรุณาตั้งใจปฏิบัติงานกันสักนิดนะ พี่ไม่อยากให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในตึกที่พี่รับผิดชอบ

“ค่ะ” ทั้งบราลีและปีย์วราเอ่ยขึ้นพร้อมกัน



[1] ศัพท์เฉพาะที่รู้กันระหว่างนักบินด้วยกัน Tally หมายถึง เห็นแล้ว
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น