4

ตอนที่ 3

 

“ว่ายังไงล่ะ เธอตกลงจะร่วมมือกับพวกเราเพื่อทำภารกิจนี้ไหม”

ประโยคคำถามของเชอร์ชิลดังก้องไปทั่วห้องประชุม ท่ามกลางความเงียบ ทุกคนรอให้ลลนาตัดสินใจ หญิงสาวกวาดตามองก่อนส่ายหน้า

“ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ คนธรรมดาอย่างฉันจะไปเข้าร่วมภารกิจสายลับอะไรได้ยังไง”

แม้เธอจะปฏิเสธ แต่เชอร์ชิลก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“อย่างที่ฉันเพิ่งบอกไป ฉันไม่ได้ขอให้เธอออกไปเสี่ยงอันตรายที่ไหนหรอกนะ แค่ทำงานแปลเอกสารง่ายๆ อยู่ในตึกนี้เท่านั้นแหละ งานด้านภาษาน่ะ”

ลลนาเห็นว่าดวงตาของเชอร์ชิลเต้นระยับในตอนที่เอ่ยคำว่างานด้านภาษา ถ้างานนี้ง่ายจริงอย่างที่พูด เขาคงไม่เจาะจงลักพาตัวเธอมาแบบนี้หรอก คงใช้คนอื่นไปนานแล้ว

“แต่ฉันมีงานประจำต้องทำนะคะ จะมาทิ้ง แล้วหายมาเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ”

“ฉันสัญญาจะจ่ายค่าเหนื่อยให้เธออย่างเหมาะสม”

เชอร์ชิลเอ่ยตัวเลขที่ทำเอาหญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อย เพราะมันมากกว่ารายได้จากการเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินห้าปีรวมกันเสียอีก แต่เธอก็ยังลังเล

“แต่ว่า...”

“เราจำเป็นต้องง้อผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอเชอร์ชิล”

แอลทูหรือผู้ชายหน้าบึ้งซึ่งนั่งข้างเธอทะลุขึ้นกลางปล้อง เขาปรายตามองเหยียดๆ บอกเสียงเยียบเย็น

“ผมว่าเสียเวลาเปล่านะ ดูเหมือนเธอไม่ได้มีความสามารถมากมายขนาดที่จะต้องเสียค่าจ้างด้วยเงินจำนวนมากขนาดนั้นหรอก ผมว่าคุณมองคนผิดแล้ว เก็บเงินมากมายที่คุณเสนอให้เธอ เอาไปจ้างแม่ครัว คนทำความสะอาด แล้วก็คนชงกาแฟตอนกลางคืนเพื่อพวกเราทุกคนยังจะมีประโยชน์มากกว่าอีกนะ อ้อ เพิ่มคนทำเยลลี่เข้าไปด้วยก็ดีนะ เพราะผมชอบกินเยลลี่”

ลลนาแทบจะควันออกหู เมื่อได้ยินแอลทูพูดจบ นี่เขาคิดว่าการจ้างเธอทำงานมีประโยชน์น้อยกว่าการจ้างคนมาทำเยลลี่ให้เขากินอีกหรือ

เชอร์ชิลหันไปมองแอลทูที่หยิบปากกามาหมุนเล่นเหมือนไม่มีอะไรทำ แล้วบอกยิ้มๆ

“ฉันบอกเธอไปหรือยังแอลทู ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอัจฉริยะในด้านภาษา เอ็นสามารถเรียนรู้ภาษาที่ไม่เคยรู้จักทุกภาษาในโลกนี้ จนสามารถอ่านออกเขียนได้คล่องภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ไม่ว่าภาษานั้นจะยากแค่ไหนก็ตาม แม้แต่อักขระโบราณบนแผ่นจารึก เอ็นก็สามารถอ่านได้”

แอลทูวางปากกาลง แววตาดูถูกของเขาแปรเปลี่ยนเป็นฉงนแกมทึ่งในทันที ทำเอาลลนารู้สึกสะใจอยู่ไม่น้อย ก่อนที่อีกฝ่ายจะยักไหล่ไม่แยแส หยิบปากกามาหมุนต่อ แล้วโยนคำถามใส่เชอร์ชิล

“คุณเคยเจอเธอมาก่อนสินะ”

“ใช่ ฉันเคยเป็นครูสอนเธอมาก่อนที่ศูนย์พัฒนาศักยภาพเด็กอัจฉริยะ”

“เธออาจจะเก่งแค่ตอนเด็กๆ ก็ได้นะแวน พอโตขึ้นมาก็เหมือนเด็กปกติ ไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องอะไร” แอลทูเอ่ยประโยคนั้นคล้ายกับกำลังพูดกับเชอร์ชิล แต่ดวงตาสีเทาควันบุหรี่จับจ้องมาที่เธอ

มันน่าควักลูกตาออกมาขยี้เล่นนัก

ลลนากัดฟันกรอด พูดตอบเขาไปตรงๆ

“ฉันยังมีความสามารถพวกนั้นอยู่นะ”

“มีความสามารถ กับเป็นอัจฉริยะมันต่างกันนะคุณ”

“ฉันเป็นอัจฉริยะ!”

“ลองทดสอบดูหน่อยมั้ยล่ะ”

“ไม่จำเป็นต้องทดสอบ จะบอกให้นะ เมื่อวันก่อนฉันยังเอาหนังสือภาษาเผ่าอารยันมาลองอ่าน แล้วก็สามารถอ่านได้ภายในหนึ่งอาทิตย์อยู่เลย แสดงว่าความเป็นอัจฉริยะทางภาษาของฉันยังอยู่”

แอลทูทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ ก่อนจะส่ายหน้าไม่เชื่อ

“ไม่จริงหรอก ถ้าคุณเป็นอัจฉริยะทางด้านภาษาจริงอย่างที่เชอร์ชิลบอก และคุณกำลังอวดอ้าง คุณคงกล้ารับงานนี้โดยไม่ลังเลแล้วละ ไม่ใช่บ่ายเบี่ยง เล่นตัวแบบนี้ ผมว่าสมองคุณน่าจะพัฒนาสูงสุดตอนที่เชอร์ชิลเจอคุณเมื่อสมัยเด็กแน่นอน แล้วจากนั้นก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ไม่แน่นะ ตอนนี้เส้นกราฟสติปัญญาของคุณอาจแตะที่ระดับเดียวกับเด็กแปดขวบก็ได้”

“แปดขวบอย่างงั้นเหรอ อย่ามาดูถูกฉันนะ”

แอลทูเชิดหน้าหยิ่งๆ

“อาจจะต่ำกว่านั้นด้วยซ้ำ”

“ปากหรือที่พูดน่ะ”

“ผมก็แค่พยายามอธิบายความจริงตามหลักของความน่าจะเป็นให้ทุกคนฟัง คุณอาจรับไม่ได้กับความจริงที่ผมพูดไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของผม เพราะผมไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนไร้ประโยชน์”

แอลทูชะโงกหน้าผ่านลลนาไปเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุไร้ความสำคัญ แล้วจึงบอกแอลวันซึ่งเป็นฝาแฝดด้วยน้ำเสียงดูแคลน

“ฉันว่านายพาเธอกลับไปส่งที่เดิมเถอะ ผู้หญิงคนนี้เก็บเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์กับทีมเรา”

แอลวันยิ้มเจื่อน “แต่เชอร์ชิลบอกว่าเธอมีความสามารถและมีประโยชน์กับเรานะ”

“ไม่มีหรอก เชื่อฉันสิ” แอลทูยืนยัน

“ดูเหมือนนายอยากจะไล่เธอกลับไปมากนะ”

“ฉันไม่ได้อยากไล่ เธออยากกลับเองต่างหาก คงรู้ตัวไงว่าไร้ประโยชน์ที่จะอยู่”

คำก็ไร้ประโยชน์ สองคำก็ไร้ประโยชน์ คนอย่างลลนาแม้จะเฉื่อย ไม่ทันโลก แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกหรอกน่า อีตาหน้าบูดแอลทูรู้จักอัจฉริยะทางภาษาอย่างเธอน้อยไปเสียแล้ว

“ใครบอกว่าฉันจะกลับ” ลลนาตบโต๊ะ โพล่งขึ้นมาเสียงดัง ทำเอาเงียบกันทั้งห้องประชุม “ฉันจะเข้าร่วมภารกิจนี้ ฉันจะพิสูจน์ให้คนบางคนดู ว่าฉันไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่ถูกกล่าวหา”

“เฮอะ แรงฮึดของผู้หญิงไร้ประโยชน์นี่ช่างน่ากลัวจริงๆ”

“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”

แอลทูกลอกตาขึ้นฟ้า “ผมบอกให้กลับไปยังไงเล่า น่ารำคาญจริง จะอยู่ทำไม”

“อยู่ให้คนแถวนี้อกแตกตายละมั้ง” ลลนาสวน

เชอร์ชิลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทิ้งสะโพกลงบนโต๊ะรูปครึ่งวงกลม แล้วเอ่ยถาม

“อย่าไปฟังที่แอลทูพูดเลย หมอนี่เป็นคนขวางๆ พูดจาไม่เข้าหูอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตกลงว่าเธอรับปากใจจะช่วยฉันทำภารกิจลับในครั้งนี้แล้วใช่มั้ยเอ็น”

ยังไม่ทันที่ลลนาจะตอบ คู่กรณีของเธอก็ก่อกวนอย่างต่อเนื่อง

“คิดใหม่เถอะแวน ผมขอร้อง”

ลลนาขึงตาใส่แอลทูให้เขาหยุดพูด ก่อนจะตอบรับเชอร์ชิลเสียงหนักแน่น

“ใช่ค่ะ ฉันตกลงรับทำงานนี้”

เชอร์ชิลดีดนิ้วด้วยความยินดี

“ขอบใจมากเอ็น ฉันคิดอยู่แล้วว่าเธอเป็นคนกล้าหาญ และเหมาะสมกับภารกิจนี้ที่สุด แฟ้มภารกิจจะถูกส่งไปที่ห้องพักของเธอ พักผ่อนก่อนก็ได้นะ จากนั้นค่อยใช้เวลาว่างอ่านและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับคดีโจรกรรมภาพเขียนในครั้งนี้ แล้วเธอจะเข้าใจเองว่างานนี้ทำไมถึงต้องเป็นเธอ”

“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้แอลวันพาเธอไปดูห้องพัก รับรองว่าสะดวกสบายไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาวที่เธอพักแน่นอน”

“อย่ากังวลเรื่องนั้นเลยค่ะ ฉันเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกอาชีพพนักงานต้องรับบนเครื่องบินหรอก”

“ยินดีต้อนรับสู่ทีมของเรา” เชอร์ชิลยิ้ม

ลลนาส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้แอลทูที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งอยู่ข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกระเป๋าถือในมือ เธอเดินตามแอลวันที่ดูสุภาพและใจดีออกไปจากห้องประชุม

ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มขันที่มุมปากของเด็กสาวและเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้อง และไม่ทันได้เห็นแววตาขอบคุณอย่างคนรู้กันของเชอร์ชิลที่ส่งไปให้แอลทู

หลังจากที่แอลวันพาลลนาออกมาจากห้องประชุม ชายหนุ่มก็พาเธอเดินไปตามทางเดินสีเงินหรูหรา และผนังสีขาวซึ่งเต็มไปด้วยไฟสีขาวส่องสว่างไสว โดยไม่ได้ใช้ผ้าปิดตาเธอเอาไว้อีกต่อไป อีกฝ่ายให้เหตุผลว่าที่ต้องปิดตาในตอนแรกเป็นเพราะองค์กรนี้เป็นองค์กรลับ หากลลนาไม่ตกลงร่วมมือ จะได้กลับออกไปโดยไม่รู้จักที่นี่ แต่ตอนนี้เปิดเผยได้แล้วเพราะหญิงสาวเป็นส่วนหนึ่งของทีมแล้ว

แอลวันพาเธอมาหยุดที่หน้าประตูห้อง เขากดรหัสหน้าห้อง ก่อนจะเปิดประตูเผยให้เห็นห้องพักกว้างขวาง ด้านในเต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกทันสมัยครบครัน

“นี่คือห้องพักของคุณนะเอ็น รหัสเปิดปิดคือเลขสี่ตัวที่ผมเพิ่งกดให้ดู รหัสห้องพักของพวกเราจะเป็นตัวเลขเรียงกันไป ถ้าลืมก็ถามใครก็ได้ พักผ่อนให้สบายนะ แฟ้มภารกิจและของใช้ส่วนตัวของคุณจะมาถึงในไม่ช้า แล้วค่อยเริ่มงานกันพรุ่งนี้”

“เอ่อ...แล้วงานประจำของฉันละคะแอลวัน พรุ่งนี้ตอนบ่าย ฉันต้องบินกลับเมืองไทยแล้ว อย่าลืมว่าฉันเป็นแอร์นะคะ ไม่ใช่สายลับ”

แอลวันยิ้ม “เชอร์ชิลจะจัดการเรื่องไฟล์ตบินทุกอย่างของคุณให้เรียบร้อย รวมทั้งดร็อปตารางบินในอีกสองเดือนข้างหน้าของคุณด้วย”

ลลนาเบิกตากว้าง “โอ เขาจะทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

แอลวันอมยิ้ม “เขาคงไม่ได้ทำเองหรอก แต่คงอาศัยอำนาจจากอินเตอร์โปลทำ ก็แค่ส่งเอกสารลับ ไปหาสายการบินของคุณ ว่าทางอินเตอร์โปลต้องการตัวคุณมาช่วยงานเกี่ยวกับคดีดัง สายการบินไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว คุณอยากจะส่งข้อความหาครอบครัวหรือเพื่อนบ้างไหม เดี๋ยวผมจัดการให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันโทร.หาพวกเขาเองได้ ฉันเอาโทรศัพท์มาด้วย”

“ผมเสียใจที่จะต้องบอกว่า คุณไม่สามารถใช้โทรศัพท์ส่วนตัวที่นี่ได้ สัญญาณโทรศัพท์ลงมาไม่ถึง เพราะเราจำเป็นต้องเลือกที่ตั้งซึ่งอยู่ในจุดที่ปลอดภัยจากการติดตาม การดักฟังและการสอดแนมจากทุกแห่ง เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในทีม หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ”

ลลนาพยักหน้าช้าๆ จริงสินะ หญิงสาวจำได้ว่าเธอต้องลงลิฟต์มาหลายชั้น แสดงว่าที่นี่ต้องอยู่ใต้ดินที่ลึกพอสมควรเลยทีเดียว ขนาดสัญญาณโทรศัพท์ยังลงมาไม่ถึง

“แต่ไม่ต้องห่วงนะ คุณจะไม่เหงาตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เพราะเรามีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดเวลา”

“ค่ะ ฉันหวังว่างานของฉันจะไม่ยากเกินไปนัก และฉันจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้โดยเร็วที่สุด”

แอลวันส่งกระดาษโน้ตมาให้ ลลนาจึงฝากข้อความไปหาวีณาซึ่งเป็นหัวหน้ากับครอบครัวที่กรุงเทพฯ โดยเลือกใช้ภาษาอังกฤษตามที่แอลวันขอร้อง เธอฝากข้อความกลางๆ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง สบายดี และจะติดต่อกลับไปเรื่อยๆ

ชายหนุ่มรับกระดาษโน้ตมา ก้มลงอ่าน ก่อนถาม

“มีแค่นี้เหรอครับ”

“ค่ะ มีเท่านี้”

“แฟนล่ะ ไม่ฝากอะไรถึงเหรอ”

ลลนาหลุดขำกับท่าทางประหลาดใจที่ดูจะเกินจริงของอีกฝ่าย

“มีเสียที่ไหนกันคะ ฉันไม่มีแฟนหรอกค่ะ ยิ่งบินไปบินมาตลอดแบบนี้ หาแฟนยาก ไม่มีใครเอา”

แอลวันยิ้มขัน “ผมบอกได้เลยว่าผู้ชายพวกนั้นพลาดอะไรดีๆ ในชีวิตไปเสียแล้ว”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“ผมจะจัดการส่งข้อความของคุณให้เร็วที่สุด เพราะพรุ่งนี้ผมต้องออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอก อาจจะไม่ได้กลับมาอีกเป็นอาทิตย์ แต่ไม่ต้องห่วงนะ แอลจะเป็นคนดูแลคุณเอง”

ลลนากลอกตาขึ้นฟ้าเมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงฝาแฝดของเขา แต่เอ...เขาเรียกอีตาหน้าบูดว่าแอลเฉยๆ เท่านั้นหรือ แปลกนะที่คนสองคนใช้ชื่อเดียวกันแบบนี้

“คุณเรียกฝาแฝดของคุณว่าแอลเหมือนกันหรือคะ ทำไมคุณกับฝาแฝดต้องใช้ชื่อเดียวกันด้วย”

“เพราะผมกับเขาเป็นคนคนเดียวกันไง”

“ฝาแฝดกันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนคนเดียวกันซักหน่อยนี่คะ”

“ผมกับแอลทูเป็นคนคนเดียวกัน ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ทุกตัวอักษร”

ลลนาเลิกคิ้ว “คุณหมายถึงอะไร ฉันไม่เข้าใจ”

“พวกเรามีสองคนก็จริง แต่ใช้ชีวิตเป็นคนคนเดียวมาตลอด สลับกันไปโรงเรียน สลับกันไปสอบ ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นฝาแฝด”

ลลนานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วยคะ”

“เพราะชีวิตของพวกเราถูกกำหนดให้เป็นสายลับไงครับ เราสองคนถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาเพื่อเป็นสายลับ ไม่มีอย่างอื่นนอกจากนี้ ไม่ต้องตั้งคำถาม แค่ดำเนินชีวิตไปอย่างที่มันควรจะเป็นก็พอ”

“ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะ ว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้เลือกทางเดินที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้ให้กับพวกคุณ”

แอลวันคลี่ยิ้ม ดวงตาสีควันบุหรี่ทอประกายเจิดจ้า ไม่ได้มีร่องรอยของความน้อยใจเลยสักนิดในยามที่เอ่ย

“ผมกับแอลทูเป็นเด็กกำพร้า เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น