5

ตอนที่ 4


“เด็กกำพร้า?”

“ใช่ พวกเราถูกฝึกจากองค์กรลับของรัฐบาลเพื่อทำหน้าที่เป็นสายลับมาตั้งแต่เด็ก”

“ซีไอเอหรือคะ” ลลนาหมายถึงหน่วยข่าวกรองของสหรัฐซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข่าวสารๆ ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อส่งไปยังประเทศแม่

“ไม่ใช่หรอก” แอลวันส่ายหน้า “สหรัฐมีองค์กรสายลับอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งที่ทำงานอย่างถูกกฎหมาย เรียกว่าเป็นองค์กรสีขาวสะอาด ไปจนถึงสีเทาๆ หรือแม้กระทั่งสีดำสนิท ซึ่งพร้อมจะทำทุกทางเพื่อให้ได้ข่าว โดยไม่สนใจว่าวิธีการที่ได้มาซึ่งข่าวสารนั้นจะสกปรกสักแค่ไหนก็ตาม”

ลลนายิ้มเจื่อน “แสดงว่าคุณน่าจะอยู่ในองค์กรสายลับประเภทสีดำใช่ไหมคะ”

แอลวันไม่ตอบคำถามของเธอ แต่อธิบายต่อง่ายๆ

“องค์กรของเราเป็นศูนย์รวมเด็กกำพร้าที่ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กเพื่อเป็นสายลับ พวกเราทำงานเหมือนเครื่องจักร ไม่มีความรัก ไม่มีความปรานี ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ เพราะพวกเราไร้ค่า จนกระทั่งเชอร์ชิลมาเจอ และพบว่าเราทั้งสองคนมีค่ามากกว่าการใช้ชีวิตแบบไม่มีตัวตนอย่างแต่ก่อน”

“แสดงว่าเขาช่วยพวกคุณออกมาจากองค์กรสายลับแห่งนั้น”

ลลนาเอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นในหัวใจ เพราะเธอเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เคยได้รับการ ‘ช่วยเหลือ’ จากเชอร์ชิลเช่นกัน

“ใช่ ด้วยความที่เชอร์ชิลเคยเป็นซีไอเอ เขาจึงมีเส้นสายอยู่ในหลายองค์กร”

“เชอร์ชิลน่ะเหรอคะ เป็นซีไอเอ”

“อดีตซีไอเอเท่านั้น ตอนนี้เขาไม่ได้ทำงานให้ซีไอเอแล้ว” แอลวันแก้ “เขาค่อยๆ ดึงตัวเราออกมาจากองค์กรลับแห่งนั้น เยียวยาจิตใจ พวกเราถึงได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติอีกครั้ง”

ลลนาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังกำมือแน่นในตอนที่เอ่ยถาม

“แต่พวกคุณก็ยังเป็นสายลับ”

“อาจเพราะเราทำอย่างอื่นไม่เป็นละมั้ง” แอลวันหัวเราะร่าเริง “แต่งานของผมกับแอลหลังจากที่พบเชอร์ชิลก็ต่างจากเดิมมากนะ อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่ากำลังช่วยทางราชการกำจัดอาชญากร ไม่ใช่ทำงานเสี่ยงตาย หาข่าวสารเพื่อใครก็ไม่รู้”

“ฉันเสียใจนะคะที่ถาม” ลลนารู้สึกผิดจริงๆ

“ไม่ต้องเสียใจหรอกสาวน้อย ดูเหมือนผมจะพูดมากเกินไปซะแล้ว มันอาจจะรบกวนจิตใจคุณสินะ อย่ากังวลที่จะอยู่ร่วมกับพวกเราเลย ถึงเราจะเป็นสายลับแต่ก็เป็นมนุษย์เหมือนๆ กับทุกคนนั่นแหละ เจ็บได้ร้องไห้เป็น ไม่แตกต่างกันหรอกน่า”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าคุณแตกต่างหรอกค่ะ ไม่ใช่ความหมายนั้นแน่ๆ”

ก็คนที่ ‘แตกต่าง’ จากคนอื่นมาตลอดชีวิตอย่างเธอ จะไปหาว่าคนอื่นแตกต่างได้อย่างไร

แอลวันยิ้มอย่างเป็นมิตร “เอาเป็นว่าคุณพักผ่อนเถอะนะ พรุ่งนี้ค่อยเริ่มงาน ผมเชื่อว่าเชอร์ชิลจะต้องมีอะไรดีๆ รอคุณอยู่แน่”

               

                ชายหนุ่มวัยสามสิบห้าปีจำต้องเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงานซึ่งเต็มไปด้วยกองเอกสาร เมื่อชายศีรษะล้านวัยกลางคนสวมแจ็คเก็ตผ้าร่มสีเทาตุ่นๆ เปิดประตูเข้ามาในห้อง ดูจากสีหน้าปริวิตกของผู้มาใหม่แล้ว ‘ข่าว’ ที่อีกฝ่ายนำมาให้เขาน่าจะไม่ใช่ข่าวดีเป็นแน่

                “เรียบร้อยไหม”

                เขาถาม...ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีอะไรเรียบร้อยสักอย่างเป็นแน่

                กุสตาฟค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงาน ยกมือหนาขึ้นลูบศีรษะล้านเลี่ยนของตนเองไปมา ก่อนจะส่ายหน้าเร็วๆ

                “ไม่ครับอาห์เรน ผมยังไม่ได้ตัวเธอ”

                “คลาดกัน หรือมีเหตุผลอื่น”

                “คือ...มีคนมาดักชิงตัวเธอไปก่อนครับ”

“อะไรนะ มีคนมาชิงตัวเธอไปก่อนอย่างนั้นเหรอ” อาห์เรนทวนประโยคของลูกน้องด้วยความคาดไม่ถึง

“ใช่ครับ” กุสตาสตอบเบาๆ

เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาวก่อนจะผ่อนออกอย่างแรง มือกำแน่นอย่างคนที่พยายามระงับโทสะ กว่าทีมของเขาจะสืบรู้เรื่องผู้หญิงไทยที่มีความสามารถระดับอัจฉริยะด้านภาษาก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนอื่นล่วงรู้อีก มิหนำซ้ำพวกมันยังตัดหน้าขโมยแม่สาวอัจฉริยะชาวไทยของเขาไปอย่างหน้าด้านๆ

ใช่...เธอควรจะเป็น ‘ของเขา’ ถึงจะถูก

“มันเป็นใคร ทำงานให้ฝ่ายไหน”

“ยังสืบไม่ได้ครับ”

“มันพาตัวเธอไปที่ไหน”

“ยังสืบไม่ได้ครับ” กุสตาฟเอ่ยประโยคเดิมราวกับแผ่นเสียงตกร่อง

“บ้าชิบ ทำไมถึงไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วนายปล่อยให้มันตัดหน้าไปได้ยังไง”

“ผมขอโทษครับ ผมไม่คิดว่าจะมีใครรู้สืบรู้เรื่องสาวไทยคนนี้ และรู้ลึกไปถึงความสามารถทางภาษาของเธอ”

อาห์เรนหยิบรูปหญิงสาวชาวไทยในแฟ้มออกมาพิจารณา อ่านทวนชื่อ ลลนา พาณิชย์ทรัพย์ ของเธอซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้งทั้งๆ ที่จำได้ขึ้นใจ ก่อนจะทิ้งรูปนั้นลงบนโต๊ะอย่างหมดแรง

“ทางเรายังสืบรู้มาได้ นับประสาอะไรกับคนอื่น ป่านนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”

“ผมดักฟังทางโทรศัพท์ ได้ความว่าคุณลลนากำลังจะไปหาเพื่อที่ย่านใจกลางเมือง ก็เลยไปรอที่นั่น แต่ไม่คิดว่าจะมีคนลงมือก่อน”

“แล้วค้นหาจากสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเธอหรือยัง”

“ค้นแล้วไม่พบครับ คาดว่าเธอน่าจะอยู่ในจุดที่สัญญาณมือถือเข้าไม่ถึง”

“คว้าน้ำเหลวอีกแล้วสินะ”

“แต่ทันทีที่เธอเปิดมือถือ เราจะสามารถระบุตำแหน่งของเธอได้ทันทีครับ”

อาห์เรนถอนใจ กระแทกตัวลงกับเก้าอี้หนังลูกวัวสีน้ำตาลเข้ม

“เอาเถอะ เราคงต้องพยายามหาวิธีถอดรหัสใหม่ ขอแค่พวกที่ได้ตัวเธอไป อย่าเป็นพวกเดียวกับอินเตอร์โปลก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นคดีนี้จะหลุดจากมือของเราไป ได้ซวยกันหมดแน่”

ชายหนุ่มหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาจากแฟ้มซึ่งเป็นแฟ้มเดียวกับที่เขาเพิ่งหยิบรูปของลลนาออกมา เขาจ้องมองเอกสารซึ่งเต็มไปด้วยอักขระแปลกตายาวเต็มหน้ากระดาษแล้วสบถ

“โว้ย!!! นี่มันรหัสบ้าบออะไรกัน ทำไมมันไม่เขียนรหัสให้อ่านง่ายๆ แบบที่ใช้คำแรกในประโยคมาเรียงต่อกันเป็นข้อความใหม่ หรือใช้แค่ตัวอักษรที่สองของแต่ละคำมาประกอบเป็นข้อความวะ อย่างน้อยเราจะได้ถอดความได้ง่ายกว่านี้”

“แบบนั้นเขาใช้กันมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้วครับ ปัจจุบันไม่มีใครใช้กันอีกแล้ว เพราะมันง่ายเกินไป” กุสตาฟอธิบายอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“งั้นข้อความแบบที่ต้องอ่านบรรทัดเว้นบรรทัดล่ะ”

“แบบนั้นยิ่งแล้วใหญ่ครับ หาในกูเกิ้ลยังมีเลย”

อาห์เรนทอดลมหายใจเหยียดยาว พลางเคาะนิ้วลงกับเอกสารหนึ่งแผ่นตรงหน้า พยายามบังคับอารมณ์ของตนให้เย็นลง

 “แล้วเราพอจะหาใครที่มีความสามารถใกล้เคียงกับสาวไทยคนนั้นมาถอดรหัสบ้าบอ พวกนี้ได้ไหม ไม่ต้องใช้อัจฉริยะทางภาษาแบบเธอก็ได้ เอาแค่นักวิชาการด้านอักขระโบราณก็พอ”

ชายวัยกลางคนส่ายหน้า

“นักวิชาการส่วนมากจะเชี่ยวชาญเพียงภาษาเดียวครับ อย่าลืมนะครับว่า แค่ศึกษาเพียงภาษาเดียวก็แทบจะใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว รหัสเหล่านี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นการผสมผสานจากอักขระโบราณของหลายชาติ ยากมากครับที่จะถอดความได้”

“มันเอาอักขระโบราณของชนชาติต่างๆ มารวมกันได้ เราก็น่าจะขนนักวิชาการหลายๆ คนมาร่วมกันแปลได้นี่หว่า ฉันออกค่าใช้จ่ายให้เอง เงินส่วนตัวด้วย ไม่ต้องใช้งบอันน้อยนิดของหน่วยงาน” อาห์เรนบอกอย่างใจป้ำ

“ก็เพราะนักวิชาการเหล่านั้นไม่สามารถอ่านอักขระพวกนี้ได้ทั้งหมดภายในเวลาอันสั้นไงครับ พูดง่ายๆ ก็คือมันทำภายในสองสัปดาห์ไม่ได้แน่ๆ นี่มันก็ผ่านมาเกือบสี่สิบแปดชั่วโมงแล้ว นับจากวันที่ภาพเขียนภาพที่สองหายไป แสดงว่าเราเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ด้วยซ้ำ เมื่อรหัสถูกเขียนขึ้นโดยอัจฉริยะทางภาษา คนที่ถอดได้ก็น่าจะมีเพียงคนที่เป็นอัจฉริยะทางภาษาเหมือนกันเท่านั้น”

ทำไมอาห์เรนจะไม่รู้ความจริงที่ลูกน้องเพิ่งบอกมา รหัสยึกยือพวกนี้ สันนิษฐานว่าถูกเขียนขึ้นโดยมีเรียม ลุฟคอฟ อัจฉริยะทางภาษาชาวรัสเซียที่หายตัวไปเมื่อสองปีก่อน มีรายงานยืนยันว่าเธอถูกจับและกักตัวไว้โดยพวกอาชญากรกลุ่มหนึ่งซึ่งยังไม่เปิดเผยตัว

ในตอนนั้นอาห์เรนไม่เข้าใจว่าพวกคนร้ายจะกักตัวมีเรียมไว้เพื่อประโยชน์อะไร จนกระทั่งมีคดีโจรกรรมภาพเขียนเกิดขึ้น และมีการวางแผนการโจรกรรมโดยใช้รหัสซึ่งไม่เคยมีใครถอดได้ เขาจึงเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของอัจฉริยะพวกนี้

และขาก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกเด็กอัจฉริยะทางภาษาที่น่าจะพอช่วยเหลือในการถอดรหัสได้ จนกระทั่งได้พบข้อมูลของลลนา...หญิงสาวชาวไทยที่ถูกระบุว่าสามารถอ่านอักขระโบราณได้

แต่เธอก็ถูกชิงตัวไปแล้ว

อาห์เรนเงียบไปสักพัก ก่อนจะสรุปกับลูกน้อง

“เราจะรอให้ภาพเขียนที่สามหายไปไม่ได้ เร่งมือหาตัวผู้หญิงไทยที่ชื่อลลนามาให้ได้ แล้วสืบให้รู้ด้วยว่าใครหรือหน่วยงานไหนได้ตัวเธอไป”

กุสตาฟลุกขึ้นยืนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังเคร่งขรึม

“แต่อย่างน้อยเราก็ตัดไปได้หนึ่งหน่วยงานนะครับ ที่ไม่ได้ตัวเธอไปแน่นอน”

“หน่วยงานไหน”

“บีเอ็นดีไงครับ”

อาห์เรนปากยื่น ตาแทบถลนออกมานอกเบ้า เมื่อได้ยินลูกน้องเอ่ยถึงบีเอ็นดี ซึ่งเป็นหน่วยงานข่าวกรองของประเทศเยอรมัน ก่อนจะตะโกนลั่น

“เออสิวะ ก็นั่นมันหน่วยงานของเรานี่ และฉันเป็นคนรับผิดชอบงานนี้โดยตรง ถ้าเราไม่ได้ตัวเธอ แล้วบีเอ็นดีจะได้ตัวเธอได้ยังไงวะ”

“แหะๆ ใช่ครับ ใช่ ผมกลัวว่าคุณจะลืม”

“ไปเลยนะ ออกไปสืบมาให้รู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนชิงตัวผู้หญิงที่ชื่อลลนาไป แล้วสืบมาให้รู้ด้วยว่าเธอถูกซ่อนตัวไว้ที่ไหน เราจะยอมให้มีภาพเขียนถูกขโมยอีกไม่ได้ เราต้องถอดรหัสพวกนั้นให้ได้ เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ” กุสตาฟรับคำลนลาน ก่อนจะรีบรุดออกไปจากห้อง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น