10

ตอนที่ 9


“กรี๊ดดด!!!

ทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง ร่างสูงใหญ่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรของแอลทูพุ่งเข้ามารวบตัวลลนาไว้ ก่อนจะล้มกลิ้งลงด้วยกันบนเตียงกว้างของชายหนุ่มอย่างพอดิบพอดี มือใหญ่ตะปบไว้ที่ปากของหญิงสาวเพื่อหยุดเสียงร้อง ได้ยินเสียงประตูปิดอัตโนมัติ พร้อมกับเสียงเจ้าของห้องคำรามลั่น

“ให้ตายเถอะเอ็น คุณเข้ามาทำบ้าอะไรในห้องนี้”

หญิงสาวดิ้นรนเต็มที่ แต่แอลทูไม่ยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ เขากักขังเธอไว้ด้วยร่างกายบึกบึนซึ่งยังเปลือยเปล่า และชื้นเย็นจากหยดน้ำพร่างพราว กลิ่นกายหอมกรุ่นที่มีส่วนผสมระหว่างไม้หอมเข้มข้น ผสมกับกลิ่นกำยานเร่าร้อน โอบล้อมร่างกายเธอไว้

“หยุดดิ้นก่อนได้ไหม อย่าทำให้อะไรมันแย่ลงไปกว่านี้เลย ได้โปรด” ชายหนุ่มบอกเสียงแหบต่ำ

ลลนาค้อนคนพูด แย่ไปกว่านี้นะหรือ จะมีอะไรที่แย่ไปกว่าการนอนบดเบียดกับเรือนกายเปลือยเปล่าของผู้ชายอยู่บนเตียงสองต่อสองอีกเล่า

แม้จะคิดอย่างนั้น หากเธอก็ยอมหยุดดิ้นอย่างว่าง่าย ไม่ได้คิดว่าเธอสู้เขาไม่ได้หรอกนะ แต่เธอไม่อยากให้เนื้อตัวเสียดสีกับอีกฝ่ายมากกว่าที่เป็นอยู่

เอ...หรือนั่นคือความหมายของเขาที่บอกให้เธอหยุดดิ้น

แอลทูถอนใจหนักหน่วง จ้องลึกลงมาในดวงตาเธอ

“ตั้งสติก่อนนะเอ็น ใจเย็นๆ คุณสัญญาได้ไหมว่าถ้าผมปล่อย แล้วคุณจะไม่กรีดร้องเหมือนคนเสียสติอีก เดี๋ยวเด็กสองคนนั่นได้ยิน แล้วคิดว่าผมทำมิดีมิร้ายกับคุณขึ้นมาจะยุ่งกันใหญ่”

ลลนาพยักหน้าเร็วๆ พยายามใช้สายตาอ้อนวอนให้เขาปล่อยเธอเสียที

“โอเค ผมเชื่อคุณ”

แอลทูลดมือลงจากใบหน้าครึ่งล่างของลลนา และขยับตัวให้ห่างออก แต่เมื่อชายหนุ่มกำลังดันตัวจะลุกออกไป หญิงสาวก็รวบร่างบึกบึนเอาไว้เสียแน่นด้วยสองแขน ทำเอาคนถูกกอดประท้วงเสียงหลง

“เฮ้ คุณ มากอดผมทำไม”

“นี่คุณคิดจะลุกขึ้นไปทั้งๆ ที่ยังแก้ผ้าล่อนจ้อนอย่างนี้น่ะหรือ  ไม่สงสารลูกตาฉันบ้างหรือไง ทำไมไม่หาผ้าอะไรมาพันตัวก่อนแล้วค่อยลุก”

แอลทูมองเธอด้วยสายตาฉายแววระอา ก่อนจะถามเสียงเข้ม

“ถ้าไม่อยากเห็น ทำไมไม่หลับตา”

ลลนาชะงักกึก ร้อนวูบขึ้นที่สองข้างแก้มทันที

นั่นสิ ทำไมเธอไม่หลับตาเล่า

หญิงสาวรีบปล่อยร่างสูงใหญ่ในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ ทันเห็นใบหน้าบูดบึ้งที่ดูโกรธเกรี้ยวมากกว่าครั้งไหนค่อยๆ ห่างออกไป

จากนั้นจึงเป็นแผ่นอกแน่นตึง...

หน้าท้องแข็งขึ้นลอนสวย...

แล้วเธอจึงหลับตาลง

 

เลนนอนลอบมองหญิงสาวใต้ร่างที่หลับตาปี๋ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอคือแม่จอมยุ่งตัวจริงเสียงจริง เขาคร้านจะนับแล้วว่าตั้งแต่เจอหน้ากัน เธอก่อเรื่องให้เขาต้องปวดหัวมากี่ครั้งแล้ว

“อย่าเพิ่งลืมตานะ” เขากำชับ พลางเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนหนาที่ใช้เช็ดผมมาพันรอบกายท่อนล่าง

แม้มันจะดูล่อแหลมไปสักหน่อย เพราะผ้าผืนเดียวที่หล่นอยู่ใกล้มือก็มีแค่เพียงผืนนี้ผืนเดียว แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรปิดบังก็แล้วกัน ขอแค่แม่จอมยุ่งที่นอนหลับตาปี๋อยู่บนเตียงไม่อุตริหรี่ตาขึ้นดูเป็นพอ

อันที่จริงสายลับหนุ่มไม่มีปัญหาในการเปลือยกายต่อหน้าผู้หญิงสักเท่าไร ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ข้ามคืนกันมาแล้ว ยิ่งสบายหายห่วง

แต่กับผู้หญิงไทยคนนี้ คนที่กรีดร้องเหมือนเสียสติในตอนที่เจอเขาเปลือยอยู่ในห้องส่วนตัว เขากลับรู้สึกผิดที่กลายเป็นมลพิษทางสายตาของเธอเสียอย่างนั้น

สงสัย...สาวเวอร์จิ้นสินะ

เลนนอนก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องแต่งตัวขนาดย่อมซึ่งอยู่ใกล้บริเวณห้องอาบน้ำ หยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นมาสวมลวกๆ ก่อนจะรีบกลับไปดูหญิงสาวที่เขาทิ้งไว้บนเตียง เมื่อเห็นเธอยังนอนแข็งทื่อหลับตาปี๋เหมือนเดิมก็อดนึกขำไม่ได้ เรียกว่าทั้งฉุนทั้งขำนั่นละ

“เปิดตาได้แล้ว” ชายหนุ่มสั่ง

หญิงสาวค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละข้าง เมื่อมั่นใจแล้วว่าคนเคยเปลือยบัดนี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก สีหน้าโล่งใจอย่างเปิดเผย

“ค่อยยังชั่วหน่อย”

“ผมแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ทีนี้คุณจะบอกได้หรือยัง ว่าแอบเปิดประตูห้องผมเข้ามาได้ยังไง แล้วไปเอารหัสเปิดล็อกมาจากไหน อย่าบอกนะว่าแอลบอก”

“แอลวันไม่ได้บอกหรอก เขาแค่บอกว่ารหัสของพวกเราทุกคนเป็นเลขเรียงกัน ฉันเลยกดสุ่มดู”

เลนนอนขึงตาใส่ “กดสุ่มดู นี่ตกลงว่าแอบมาเข้าห้องผมเล่นๆ งั้นสิ”

หญิงสาวขึงตาตอบ “ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันไขรหัสลับออกบางส่วนแล้วต่างหาก เลยตั้งใจจะมาเรียกคุณ แต่กดกริ่งก็แล้ว เคาะเรียกก็แล้ว คุณก็ไม่ตอบ”

“ผมอาบน้ำอยู่ ไม่ได้ยินเสียงคุณ” สายลับหนุ่มบอกตามตรง รู้สึกดีขึ้นเมื่อรู้ว่าเธอแอบเข้ามาเพราะเรื่องงาน “ว่าแต่เมื่อกี้ คุณเพิ่งบอกว่าไขรหัสลับออกบางส่วนใช่ไหม”

“ใช่” หญิงสาวตอบพร้อมลุกขึ้นควานหากระดาษ เมื่อเจอแล้วก็รีบยื่นให้ดู “ฉันรู้แล้วว่ามันต้องอ่านเป็นรูปสามเหลี่ยมจากซ้ายไปขวา”

“ถ้าอย่างนั้นรีบเอาไปให้บีถอดรหัสกันดีกว่า” เลนนอนขยับจะลุก แต่หญิงสาวรั้งไว้

“บีถอดไม่ได้หรอกเพราะมันไม่ได้แปลออกมาเป็นตัวเลขแบบที่บีถนัด แล้วก็ไม่ได้แทนค่าด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ กรีก หรือลาตินด้วย”

“แล้วใช้วิธีไหน”

“ใช้การอ่านอักขระนี่แหละ แต่ไม่ได้อ่านตรงๆ อย่างที่ฉันพยายามจะประสมคำตั้งแต่แรก ต้องอ่านเป็นทิศทางของรูปสามเหลี่ยมแทน”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าต้องอ่านแบบนี้”

“บังเอิญเมื่อตอนบ่าย ฉันได้คุยกับบีเกี่ยวกับการถอดรหัส บีเลยสอนวิธีอ่านรหัสแบบคร่าวๆ ให้ บีบอกฉันว่าไม่จำเป็นต้องอ่านเรียงไปตรงๆ ก็ได้ มันมีอีกหลายวิธีในการอ่าน รวมทั้งแบบสามเหลี่ยมนี้ด้วย”

สายลับหนุ่มอดทึ่งไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาคิดว่าเธอและเด็กๆ พวกนั้นคงเอาแต่คุยเล่นกันมากกว่าทำงาน แต่เปล่าเลย ทุกคนรับผิดชอบงานของตนเองได้ดีด้วยกันทั้งสิ้น

และนั่นทำให้เขามองหญิงสาวตรงหน้าในแง่บวกขึ้นมา...เล็กน้อย

“แล้วมันหมายถึงอะไร”

“เป็นชื่อสถานที่”

“ที่ไหน”

“พิพิธภัณฑ์วาติกัน กรุงโรม”

“นั่นเป็นที่ที่ภาพเขียนที่สองถูกขโมยไปนี่” เลนนอนดีดนิ้ว บอกอย่างตื่นเต้น รีบคว้ากระดาษที่มีแต่อักขระโบราณมาเพ่งพินิจอีกครั้ง “และบังเอิญเหลือเกินที่อักขระเหล่านี้มีห้าย่อหน้า”

“ใช่” เอ็นพยักหน้า “คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่แต่ละย่อหน้าจะบอกสถานที่ที่ภาพเขียนจะถูกขโมย ห้าย่อหน้า ห้าสถานที่ และห้าภาพ”

“ผมเองก็คิดเหมือนคุณ”

สายลับหนุ่มยกมือขึ้นลูบปลายคาง หรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด นิ้วแกร่งไล่ทวนไปตามอักขระที่หญิงสาวลงสีสันเอาไว้

“ถ้าการหายไปของภาพเขียนสองภาพแรกเรียงตามย่อหน้าของอักขระโบราณพวกนี้ ก็เท่ากับเราจะสามารถหยุดยั้งการโจรกรรมภาพเขียนที่อยู่ในย่อหน้าที่สามได้”

“ใช่ น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

“เราต้องพิสูจน์ว่าข้อสันนิษฐานของเราเป็นความจริงหรือเปล่า”

หญิงสาวถอนใจหนัก ท่าทางตื่นเต้นเมื่อนาทีที่แล้วปลิวหายไปในพริบตาเมื่อเธอตระหนักรู้ถึงความจริงบางอย่าง

“แสดงว่าทางเดียวที่จะพิสูจน์ว่าการโจรกรรมภาพเขียนเกิดขึ้นเรียงลำดับตามย่อหน้าของรหัสในอักขระโบราณพวกนี้ก็คือ...การแปลย่อหน้าที่หนึ่งและสามให้ออกสินะ”

เลนนอนกระตุกยิ้ม ส่งกระดาษในมือคืนให้เจ้าของเดิม

“ใช่ แปลย่อหน้าที่หนึ่งและสามให้ออก เพื่อที่จะถอดรหัสให้ได้ และนั่นคืองานหลักของคุณ...ของคุณคนเดียวเลย...แม่จอมยุ่ง”

 
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น