“อะไรกันคะ นี่มันเหมือนบังคับกันชัดๆ”
“จริงเหรอ” เชอร์ชิลยิ้มขำๆ ขยิบตาล้อเลียน “นี่ฉันกำลังบังคับเธออยู่หรือ ไม่เห็นรู้เลยนะ ว่ายังไงล่ะ เธอตกลงจะร่วมมือกับพวกเราเพื่อทำภารกิจนี้ไหม”
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย ใครก็ได้...”
เธอร้องออกไปได้แค่นั้น ก่อนที่บุรุษแปลกหน้าจะเอื้อมมือมาปิดปาก ส่งเสียงเป็นภาษาฝรั่งเศสรัวเร็วจนจับความไม่ได้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยร่างท้วมที่ยืนอยู่
พนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นมองมาที่เธอยิ้มๆ แล้วปล่อยให้ชายหนุ่มปริศนาอุ้มเธอลอยขึ้นจากพื้นราวกับเธอเป็นตุ๊กตายัดนุ่นตัวหนึ่งเท่านั้น
ไม่ว่าหญิงสาวจะร้องให้ใครช่วย แต่ไม่มีใครนำพาเลย
อากาศเย็นสดชื่นด้านนอกสถานีรถไฟใต้ดินลอยมาปะทะใบหน้าของลลนาได้เพียงอึดใจ แล้วรถยนต์สีดำสนิทก็จอดพรืดที่ทางเท้าทันทีที่เธอถูกอุ้มขึ้นมาถึงริมถนน
แม้ลลนาจะดิ้นจนสุดแรงแต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มร่างบึกบึนดันเธอเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็กระโจนขึ้นรถตามหลังเธอด้วยความว่องไว
“ขอโทษที่ต้องทำอย่างนี้กับเธอนะสาวน้อย”
เสียงห้าวสำเนียงแบบคนอเมริกันดังขึ้นอีกครั้งที่ข้างหู พร้อมกับมือใหญ่ที่คาดผ้าปิดตาสีดำลงมา แล้วรถยนต์ก็แล่นออกไปจากตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว
พร้อมกับโลกของเธอที่มืดลงทันที
“คุณจะพาฉันไปไหน ฉันเป็นนักท่องเที่ยว จะมาลักพาตัวกันแบบนี้ไม่ได้นะ”
คราวนี้หญิงสาวไม่ได้ยินเสียงห้าวเอ่ยอะไรออกมาอีก มีเพียงเสียงรถวิ่งกับความมืดมิด
ลลนาเกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ มือเล็กควานเปะปะไปตามประตูรถและขอบกระจก พลันนั้นเอง หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงปุ่มเล็กๆ ตรงมือจับ
เพียงแค่เปิดล็อกตรงนี้ และเปิดประตูออกไป เธอก็จะเป็นอิสระสินะ
ว่าแต่...
นี่เธอคิดจะกระโดดลงไปจากรถยนต์ที่กำลังวิ่งทั้งๆ ที่ถูกปิดตาอยู่อย่างนี้จริงๆ หรือ
“ไม่มีประโยชน์หรอกสาวน้อย นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย คุณจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียเปล่าๆ” เสียงห้าวดังยั่วเย้าอยู่ไม่ห่าง พร้อมกับมือหนาภายใต้ถุงมือที่เลื่อนมากระตุกมือเธอให้ห่างออกจากประตูรถ “และผมจะไม่มีวันยอมให้คุณทำอย่างนั้นแน่ๆ”
“คุณจะพาฉันไปไหน” ลลนาถามซ้ำ ยอมวางมือไว้บนตักของตนเอง โดยไม่หวนกลับไปวุ่นวายกับประตูรถอีกต่อไป
“ผมยังให้คำตอบคุณตอนนี้ไม่ได้ แต่ผมรับประกันได้ว่าคุณจะปลอดภัยตลอดการเดินทาง”
“แต่ฉันไม่อยากเดินทางไปไหนนี่ ฉันแค่อยากไปพบกับเพื่อนๆ ของฉัน ตอนนี้เพื่อนๆ ต้องกำลังรอฉันอยู่ และคงเป็นห่วงฉันมากแน่ๆ”
“คุณมีทางเลือกไม่มากนักหรอก”
“ก็จริงของคุณ คงไม่มีโจรลักพาตัวที่ไหนจะเสนอทางเลือกสวยหรูให้เหยื่อที่ถูกจับหรอก”
“ผมไม่ใช่โจรลักพาตัว ไม่ได้เรียกค่าไถ่แน่ๆ คุณสบายใจได้ แล้วอีกอย่าง ครอบครัวของคุณก็ไม่ได้มีเงินมากมายอะไรไม่ใช่เหรอ แล้วผมจะเรียกค่าไถ่คุณเพื่ออะไร”
“ถ้าไม่ได้ต้องการเงิน แล้วคุณต้องการอะไร อย่าบอกนะว่า...คุณต้องการแค่ร่างกายของฉัน ไม่นะ”
ลลนาเริ่มแตกตื่นอีกครั้ง แม้ชายหนุ่มจะหล่อเหลาน่ากิน แต่เรื่องแบบนี้ มันต้องเริ่มจากความรักไม่ใช่หรือ ไม่ใช่แค่ถูกใจก็สานสัมพันธ์ในแนวราบกันได้โดยไม่เลือกหน้าเสียหน่อย เธอไม่ใช่ผู้หญิงสมัยใหม่ขนาดนั้นนะ
“นั่นยิ่งห่างไกลความจริงหนักเข้าไปอีก”
ชายหนุ่มบอกเสียงกลั้วหัวเราะ ขัดขวางจินตนาการสิบแปดบวกของเธออย่างไม่ไหน้ากันสักนิด
“แล้วตกลงมันเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยนะ ทำไมถึงไม่เป็นคนอื่น”
“เพราะงานนี้ เป็นคนอื่นไม่ได้ไง ต้องเป็น ‘คุณ’ เท่านั้น” อีกฝ่ายเน้น
“งานอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้ คุณแค่เลิกถาม แล้วนั่งเฉยๆ ก็พอ”
ลลนานั่งอึดอัดอยู่เพียงไม่นาน ในที่สุดรถยนต์ก็จอดสนิท หญิงสาวถูกพาลงจากรถทั้งๆ ที่ยังสวมผ้าปิดตา โดยมีชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ คอยลากกึ่งจูงให้เดินไปตามทาง
จากความรู้สึก ลลนาเหมือนถูกพาเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่ง อาจจะต้องผ่านจุดตรวจสอบอาวุธสองหรือสามครั้ง ก่อนจะที่พาเธอเดินไปตามทางที่ทอดยาว แล้วหยุดยืนรอ เธอได้ยินเสียงสัญญาณคล้ายลิฟต์ จากนั้นชายหนุ่มก็ดันหลังให้เธอก้าวไปด้านหน้า
ใช่แล้ว...เขากำลังพาเธอลงลิฟต์ คำนวณจากเวลา น่าจะหลายชั้นเสียด้วย อย่าบอกนะว่าเธอกำลังจะถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินอันแสนมืดมิด
“ผมไม่ได้พาคุณมาขังในห้องใต้ดินหรอกนะ” เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ คล้ายกับอ่านความคิดเธอออก
“ไม่ใช่ก็คงใกล้เคียงละน่า” เธอเถียง
นึกโมโหเล็กน้อยที่อีกฝ่ายจับสังเกตได้
“เดี๋ยวดูเอาเองก็แล้วกัน”
เขาบอกพร้อมๆ กับรั้งเธอให้ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และคราวนี้ลลนาก็ถูกพาเดินไปตามทางที่สลับซับซ้อนอย่างกับเขาวงกต จนหญิงสาวคร้านที่จะสนใจอีกต่อไปว่าจะต้องเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้ายอีกกี่ครั้ง และปลายทางนั้นจะไปสิ้นสุดที่ใด
“ถึงแล้ว” เมื่อสิ้นเสียง ผ้าปิดตาถูกเปิดออก
แสงสว่าง...เป็นอย่างแรกที่ลลนาสัมผัสได้ จากนั้นภาพห้องประชุมสีขาวกว้างขวางก็ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตา
ภายในห้องมีคนอยู่เพียงสี่คน ซึ่งถ้าเทียบปริมาณคนกับขนาดของห้องแล้ว เรียกได้ว่าห้องนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ ทุกคนนั่งล้อมรอบโต๊ะรูปครึ่งวงกลม ด้านหลังห้องเต็มไปด้วยกระดานแบบใส ซึ่งจดข้อมูลสารพัดอย่างไว้เต็มพรืด
ลลนาค่อยๆ กวาดตามองจากทางด้านซ้ายมือของตนเอง
คนแรกที่นั่งอยู่เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตราวกับตากวาง ผมดำขลับ คะเนอายุน่าจะอยู่ราวๆ สิบหกถึงสิบเจ็ดปี เมื่อสบตากัน อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างพร้อมโบกมือให้ด้วยความเป็นมิตร
ถัดมาเป็นเด็กหนุ่มดวงตาเรียวเล็ก ผิวขาวจัด อายุน่าจะไม่ห่างจากเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ มากนัก เด็กหนุ่มส่งยิ้มอายๆ มาให้เมื่อเห็นว่าเธอมอง ก่อนจะก้มหน้าลงเขียนอะไรบนสมุดโน้ตของเขาต่อไป
และเมื่อหญิงสาวมองเห็นชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ถัดไปก็ต้องประหลาดใจ เพราะเขามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับผู้ชายคนที่พาตัวเธอมายังสถานที่แห่งนี้ราวกับเป็นคนคนเดียวกัน จะต่างกันก็เพียงคนที่นั่งอยู่ไม่ได้สวมเสื้อโค้ดเท่านั้น เขามองมายังเธอด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ริมฝีปากเม้มแน่น และสายตาว่างเปล่า
ไม่สิ ดวงตาคู่นั้นฉายแววดูแคลนอยู่ในทีต่างหาก
ลลนาพิจารณาเขาจนพอใจ ก่อนจะหันกลับไปมองผู้ชายหน้าเหมือนกันอีกคนที่ยืนประกบอยู่ด้านหลัง ซึ่งคนถูกมองก็กระตุกยิ้มขัน และขยิบตาล้อเลียนให้ ก่อนกระซิบบอกเบาๆ
“ฝาแฝดไง ไม่เห็นต้องตกใจอะไรขนาดนั้น เดินเข้าไปสิสาวน้อย”
ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เพื่อขยับเก้าอี้ให้พวกเธอซึ่งมาใหม่นั่ง แม้กิริยาจะเหมือนมีน้ำใจ แต่น้ำเสียงกลับตรงกันข้าม เพราะเขาเอ่ยเสียงขุ่นไม่เบานัก
“นายมาช้านะแอลวัน”
“ก็เธอตื่นสาย” ชายหนุ่มด้านหลังซึ่งถูกเรียกว่าแอลวันบุ้ยบ้ายมาทางลลนา “กว่าเธอจะออกมาจากโรงแรมก็เกือบบ่ายสองแล้ว ความผิดของเธอล้วนๆ”
หญิงสาวอ้าปากค้างกับข้อหาที่เพิ่งถูกยัดเยียดให้
นี่คนที่ถูกลักพาตัวมา สมควรที่จะถูกตำหนิว่าตื่นสายแบบนี้หรือ รู้อย่างนี้ตื่นซักบ่ายสามน่าจะดี
ยังไม่ทันจะได้โต้ตอบอะไร ก็ถูกแอลวันดันไปนั่งลงตรงที่ว่างข้างฝาแฝดของเขาแบบงงๆ แล้วเขาก็ทรุดนั่งขนาบเธอไว้อีกทีหนึ่ง
รอเพียงชั่วอึดใจ ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับชายสูงวัยที่ก้าวเข้ามาในห้อง ลลนามองคนมาใหม่ด้วยอาการตกตะลึง เพราะเขาดูคล้ายใครบางคนที่เธอเคยรู้จักมากเหลือเกิน
ใครบางคนที่เธอเคยพบเจอมาก่อนในวัยเด็ก
ใครบางคนที่ล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับความสามารถพิเศษของเธอ
และเมื่อได้สบสายตา...ความทรงจำในอดีตก็ย้อนกลับมา
‘แม่จ๋า ทำไมหนูต้องมาที่นี่ด้วยล่ะจ๊ะ’ เด็กหญิงอายุห้าขวบเอ่ยถามมารดาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
มารดายิ้ม ‘มาเรียนพิเศษไงนาน่า’
‘แต่หนูไม่อยากเรียนพิเศษ หนูอยากอยู่บ้าน เล่นตุ๊กตา ดูการ์ตูนมากกว่า หนูไม่อยากมาที่นี่’
‘ไม่เอาน่า อย่าดื้อสิ เราน่ะไม่เหมือนเด็กคนอื่นนะ รู้มั้ย จะเอาแต่เล่นตุ๊กตา ดูการ์ตูนได้ยังไง’
มารดาบอกเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ดวงตายังคงความอ่อนโยนและภาคภูมิใจ ก่อนย้ำชัด
‘นาน่าของแม่ไม่เหมือนเด็กธรรมดาพวกนั้น จำเอาไว้’
‘ไม่เหมือนเด็กอื่น ไม่เหมือนยังไงจ๊ะแม่’
ลลนาจำได้ว่ามารดายังไม่ทันได้ตอบ ฝรั่งผมทองท่าทางใจดีที่นั่งอยู่ในห้องก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ซึ่งทำให้เด็กน้อยอย่างเธอต้องแหงนหน้ามองจนคอตั้งบ่า เขาค่อยๆ ก้าวมาหาเธออย่างช้าๆ มองเธอด้วยสายตาเปี่ยมเมตตา ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน
‘ให้ลุงอธิบายให้หนูฟังดีไหม ว่าเพราะอะไร แม่ของหนูถึงต้องพาหนูมาเรียนพิเศษที่นี่’
เด็กน้อยครุ่นคิด ก่อนจะตอบเสียงเบา
‘เพราะหนูไม่เหมือนคนอื่นเหรอคะ เพราะหนูแตกต่าง อย่างที่แม่เพิ่งบอกใช่มั้ย’
ลุงฝรั่งยื่นมือมาลูบศีรษะเธอเบาๆ แล้วจึงทรุดตัวลงนั่งอยู่ในระดับเดียวกับเธอ
‘หนูไม่ได้แตกต่างจากเด็กคนอื่นหรอกสาวน้อย หนูแค่พิเศษกว่าเท่านั้น’
‘พิเศษเหรอคะ’
‘ใช่จ้ะ ความสามารถของหนู...พิเศษกว่าทุกคน’
และตอนนี้...ลุงฝรั่งคนนั้นกำลังก้าวเข้ามาในห้องประชุมด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูอบอุ่นและมีเมตตาไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เธอเห็น
เขาสวมสูทแบบลำลองสีน้ำเงินเข้ม ติดเข็มกลัดรูปเครื่องบินลำเล็กที่หน้าอกเสื้อ ผมสีทองอ่อนเริ่มมีสีขาวแซมประปราย โดยเฉพาะตรงจอนผม ริ้วรอยรอบดวงตาของเขามีมากขึ้นเล็กน้อย แต่กระนั้นรูปร่างของเขาก็ยังดูบึกบึนแข็งแรงอย่างคนที่ดูแลตัวเองสม่ำเสมอ
ความตื่นกลัวในคราแรกที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ มลายหายไปจนแทบหมดสิ้นเมื่อลลนาได้สบตาเขา มันเป็นความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นเหมือนทุกครั้งที่ได้พบคนคนนี้
คนที่ครั้งหนึ่งลลนาเคยเรียกว่า...ครู
เขายืนเด่นตรงหน้าโต๊ะรูปครึ่งวงกลม ก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีเด็กๆ สวัสดีสองหนุ่มฝาแฝด พวกเธอคงได้พบเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเราแล้วสินะ” ชายสูงวัยผายมือมาที่เธอ
เด็กๆ และ ฝาแฝดคนหนึ่ง หันมามองลลนาแล้วยิ้มให้ จะมีเพียงฝาแฝดหนุ่มหน้าบึ้งคนที่เหลือเท่านั้นที่ทำเพียงมอง แต่ไร้รอยยิ้ม
“แนะนำตัวกันหรือยังล่ะ”
“ยังค่ะ” เด็กสาวตอบ
“ถ้าอย่างนั้นเริ่มจากการแนะนำตัวก่อนก็แล้วกันนะ สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่นั่งอยู่ริมสุดคือ เจ เธอเป็นคนไทย อายุสิบหกปี นั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่เราเปิดเผยได้เกี่ยวกับเธอ ส่วนหนุ่มน้อยคนต่อมาคือ บี เพิ่งอายุครบสิบเจ็ดปีเมื่อไม่นานนี้ เป็นหนุ่มเกาหลี”
“เจ กับ บี” ลลนาทวน
ชายสูงวัยพยักหน้า “ใช่ ไม่ต้องแปลกใจ ที่นี่ เราจะเรียกกันด้วยตัวย่อเท่านั้น ไม่มีการเรียกชื่อจริงกัน”
“หรือจะเรียกว่าเราไม่รู้ชื่อจริงของกันและกันนั่นแหละค่ะ รู้แค่อักษรย่อ” สาวน้อยที่ใช้ตัวย่อว่าเจบอกมาจากบริเวณที่นั่งอยู่
“ส่วนฝาแฝดสองคนนั่น ชื่อแอล เวลาอยู่ที่นี่เราจะเรียก แอลวัน กับแอลทู เพื่อป้องกันความสับสน แต่ถ้าออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอก จะเรียกแค่แอลเฉยๆ”
“ปฏิบัติภารกิจเหรอคะ ไม่ดีมั้งคะ”
ลลนาถามพลางลอบกลืนน้ำลาย ก็ผู้หญิงตัวเล็ก ผอมบาง อ่อนแอ ปวกเปียก แถมยังจัดได้ว่าเป็นคนเฉื่อยอย่างเธอ จะออกปฏิบัติภารกิจอะไรกับเขาได้
แอลวันหันมายิ้มให้กำลังใจ “ไม่ต้องกังวลไปนะ งานของคุณอยู่แต่ในตึกนี้แหละ ไม่ต้องออกไปผจญภัยอะไรที่ไหนหรอก เรื่องเสี่ยงอันตรายข้างนอกเป็นหน้าที่ของผมกับคู่แฝดเท่านั้น”
“ใช่แล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว” ชายสูงวัยกล่าวพร้อมขยิบตาให้ แล้วแนะนำตัวเองบ้าง “ฉันชื่อแวน เชอร์ชิล เธอจะเรียกฉันว่าวีก็ได้ ฉันเองก็อยากมีชื่อย่อแบบพวกเธอเหมือนกัน”
ลลนามั่นใจว่า เขาไม่ได้ชื่อแวน เชอร์ชิล อย่างที่เพิ่งบอกแน่ๆ
อย่างน้อยเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เขาก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้
“ส่วนเธอ...จะถูกเรียกว่า...เอ็น”
ชายหนุ่มหน้าบึ้งไร้รอยยิ้มที่นั่งข้างเธอขยับตัวอย่างอึดอัด ก่อนจะโยนคำถามใส่เชอร์ชิลตรงๆ
“แล้วตกลงคุณจะบอกพวกเราได้หรือยัง ว่าทำไมแอลวันถึงต้องไปเชิญตัวผู้หญิงคนนี้มาที่นี่ด้วย ไหนคุณบอกว่าภารกิจนี้สำคัญมากและเป็นความลับสุดยอด”
ด้วยคำพูด น้ำเสียง และท่าทางยกไหล่ขึ้นน้อยๆ เวลาพูด ลลนาสามารถเชื่อมโยงได้ทันทีว่า ผู้ชายหน้าบึ้งที่ใช้ชื่อว่าแอลทู เขี่ยเธอออกไปจากคำว่า สำคัญและลับสุดยอดตั้งแต่แรก พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ เขาเห็นว่าเธอไม่มีความสามารถพอที่จะปฏิบัติภารกิจที่ ‘สำคัญ’ และ ‘ลับสุดยอด’ ได้
ลลนายังจำสายตาที่เขามองเธอครั้งแรกที่เหยียบย่างเข้ามาในห้องประชุมแห่งนี้เมื่อสิบห้านาทีก่อนได้แม่นยำ สายตาที่ฉายแววประเมินอย่างปิดไม่มิด เขากวาดตามองเธออย่างสำรวจตรวจตรา
ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเมื่อเห็นเสื้อสเวตเตอร์สีขาวนวลที่เธอสวม หลังจากนั้นจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นกระโปรงสั้นสีน้ำตาล ก่อนจะอ้าปากเล็กน้อยเมื่อเห็นถุงน่องตาข่ายสีดำและรองเท้าบู๊ทยาวเลยเข่าของเธอ จบลงด้วยอาการถอนใจหนักๆ สั้นๆ แล้วเบี่ยงสายตาไปทางอื่น
และตอนนี้เขากำลังใช้การประเมินครั้งแรกนั้นตัดสินความสามารถของเธอจากรูปลักษณ์ภายนอก
เชอร์ชิลยิ้มอ่อนโยน “อย่าเพิ่งดูถูกเธอสิแอลทู ฉันรับรองว่าเธอมีดีกว่าที่นายคิด”
“ผมกำลังภาวนาให้เป็นเช่นนั้น”
ลลนาหันไปขึงตาใส่คนช่างภาวนา แล้วจึงลุกขึ้นยืน พูดเสียงดังฟังชัด
“ขอโทษนะคะ ก่อนที่พวกคุณจะประเมินว่าฉันสามารถเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจสำคัญและลับสุดยอดครั้งนี้ได้หรือไม่ ฉันขอบอกข้อเท็จจริงบางอย่างที่พวกคุณควรรู้ก่อนค่ะ”
เชอร์ชิลยิ้มกว้าง ดวงตาพราวระยับ เอ่ยอนุญาตง่ายๆ
“ว่ามาสิ”
“ข้อหนึ่ง ฉันยังไม่รู้ว่าภารกิจนี้คืออะไร ข้อสอง ที่นี่คือที่ไหน พวกคุณลักพาตัวฉันมานะคะ ลืมแล้วหรือ อย่าทำเหมือนฉันเป็นส่วนหนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมสิคะ ฉันเป็นผู้เสียหายนะ ข้อสาม ฉันยังไม่ได้ตกลงว่าจะเข้าร่วมภารกิจด้วยสักหน่อย กรุณาอย่าตีขลุม คิดเองเออเองกันแบบนี้”
เชอร์ชิลมองเธอด้วยสายตาที่ลลนาเคยคุ้น เหมือนเขายังคงเป็นคุณครูใจดีของเธอเมื่อยี่สิบปีก่อน และกำลังสอนหนังสือให้ลูกศิษย์ตัวน้อย
“ฉันขอตอบเธอทีละข้อก็แล้วกัน ข้อแรก ภารกิจนี้คือภารกิจลับจากอินเตอร์โปล ซึ่งขอร้องให้ทางเราขัดขวางการโจรกรรมภาพเขียนจากพิพิธภัณฑ์ชื่อดังที่กำลังเป็นข่าว”
ลลนาตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินภารกิจจากเชอร์ชิล เพราะมันคือข่าวที่เพื่อนๆ แก๊งนางฟ้ากับชาร์ลีของเธอเพิ่งคุยเมื่อวานนี้เอง หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจ แล้วฟังต่อ
“ข้อสอง ที่นี่คือศูนย์บัญชาการลับขององค์กรสายลับอิสระที่ไม่ขึ้นกับใคร เราทำงานของเราเพื่อสนับสนุนงานของอินเตอร์โปลเป็นหลัก แต่หากมีหน่วยงานรัฐของประเทศอื่นๆ ร้องขอ เราก็พร้อมจะร่วมมือ”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ในหัวมีแต่เสียงวิ้งๆ ตั้งแต่ได้ยินคำว่าสายลับแล้ว ส่วนคำว่าอินเตอร์โปลก็ทำเอาเธอหูดับไปเสียเฉยๆ
ก็คนที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายแถมยังติดจะเชื่องช้าไม่ทันโลกอย่างเธอ จะก้าวไปสู่โลกของสายลับได้อย่างไร เชื่อเถอะว่าเธอจะต้องโดนจับได้ และอาจจะถูกยิงตายตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มทำภารกิจอะไรแน่ๆ
“ข้อสาม เธอไม่จำเป็นต้องรับปากหรือตกลงว่าจะร่วมทำภารกิจนี้กับพวกเราก็ได้ ฉันเองก็ไม่ได้บังคับอะไร”
ลลนากำลังจะปฏิเสธโดยไม่ลังเลสักนิด แต่ประโยคถัดมาของเชอร์ชิลก็ทำเอาหญิงสาวเย็นเยียบไปทั้งตัว
“แต่เธอจะได้รับการปล่อยตัวกลับไปก็ต่อเมื่อ ‘งาน’ ของเธอเสร็จแล้วเท่านั้น”
หญิงสาวอ้าปากค้าง มองหน้าชายสูงวัยซึ่งเคยเป็นครูของเธออย่างไม่เชื่อสายตา นึกไม่ถึงว่าคุณครูใจดีในอดีตจะมีวิธีหลอกล่อใหทำงานได้น่าเกลียดถึงเพียงนี้
ความคิดเห็น |
---|