2

บทที่ 1



 

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย ใครก็ได้...”

 

 

“ท่านผู้โดยสารคะ ขณะนี้ประตูเครื่องได้ถูกปิดแล้วนะคะ ขอให้ท่านผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่ เก็บกระเป๋าสัมภาระเข้าที่ และรัดเข็มขัดนิรภัยค่ะ”

เสียงประกาศจากหัวหน้าลูกเรือดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเที่ยวบินพร้อมที่ออกเดินทางแล้ว  ลลนาเดินไปยังประตูเครื่องในตำแหน่งที่ตนรับผิดชอบทันที เมื่อได้ยินคำสั่งให้เปลี่ยนโหมดประตูเครื่องบิน

 มือเรียวเปิดฝาพลาสติกที่ครอบขึ้น ก่อนจะดันแท่งเหล็กสีแดงไปทางซ้ายเพื่อเปลี่ยนโหมดของประตูจากแมนนวลให้เป็นออโตเมติก แล้วจึงหันไปชูนิ้วหัวแม่มือให้กับเพื่อนที่ประจำอยู่ที่ประตูฝั่งตรงข้าม เป็นสัญญาณว่าได้เปลี่ยนโหมดของประตูเรียบร้อยแล้ว

หลังจากรอรับโทรศัพท์จากหัวหน้าลูกเรือซึ่งเรียกกันว่า ออล คอลล์ (all call) เป็นการยืนยันขั้นสุดท้ายว่าประตูที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ได้รับการเปลี่ยนโหมดจริง ลลนาจึงเดินไปด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งมีลูกเรืออีกสามคนยืนคุยกันอยู่ในแกลลี หรือที่ภาษาปากเรียกกันว่าครัว

หนังสือพิมพ์หัวต่างประเทศฉบับหนึ่งเปิดหราอยู่บนเคาน์เตอร์สีเงิน มีวีณาหรือพี่ดาวซึ่งเป็นหัวหน้าลูกเรือในชั้นประหยัดกำลังคุยถึงหัวข้อข่าวอย่างออกรส

“พี่ว่างานนี้คงจับคนร้ายไม่ได้อีกตามเคย แปลกจังเลยนะ เข้าไปขโมยได้ยังไง ทั้งๆ ที่ระบบรักษาความปลอดภัยของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ออกจะเข้มงวดซะขนาดนั้น”

“แล้วพี่ดาวจำข่าวเดือนที่แล้วได้รึเปล่า ภาพเขียนหายไปคล้ายๆ แบบนี้เลย แต่เกิดเรื่องที่เยอรมัน ปินเห็นข่าวตอนที่กำลังชอปปิงอยู่  เป็นข่าวใหญ่ของที่นั่นเลยนะ”

ปนิตาบอกพร้อมกับหยิบลิปกลอสสีชมพูของบ็อบบี้บราวน์ที่เพิ่งซื้อมาใหม่จากดิวตี้ฟรี ชอปหรือร้านสินค้าปลอดภาษีก่อนขึ้นเครื่องมาเติมปาก

“พี่คิดว่าอาจจะเป็นคนร้ายคนเดียวกันนะ เพราะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้ติดตาม เหมือนรายแรกเป๊ะเลย”

วีณาตั้งข้อสังเกตพลางเขียนรายชื่อของผู้โดยสารที่สั่งอาหารพิเศษลงไปบนถาดอาหารซึ่งสอดเรียงอยู่ในรถเข็น เพื่อป้องกันการสับสนเวลาให้บริการ

“ใช่ๆ ปินก็คิดว่าต้องเป็นคนร้ายคนเดียวกันแน่ๆ”

หญิงสาวผมบ็อบยาวประบ่าพยักหน้ารับ เก็บลิปกลอสใส่คืนลงในกระเป๋าเครื่องสำอางปราด้าสีชมพูสดใสที่เพิ่งถอยมาจากอังกฤษเมื่อตอนไปทำงานไฟล์ตที่แล้ว

“แล้วปินก็คิดว่าตำรวจคงทำอะไรไม่ได้เหมือนเคย”

“แต่คดีขโมยภาพเขียนข้ามชาติแบบนี้ ต้องตกอยู่ในมืออินเตอร์โปลหรือตำรวจสากลรึเปล่า เค้าว่ากันว่าทำงานมีประสิทธิภาพไม่ใช่เหรอ”

อินเตอร์โปลที่ถูกกล่าวถึงคือหน่วยงานตำรวจสากล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จะให้ความช่วยเหลือในการประสานงานเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ 

ปนิตาส่ายหน้ายิ้มๆ

“ปินก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ดาว ไม่เคยเจอกับตัวสักที”

“จะเจอได้ยังไงล่ะปิน คดีขโมยภาพเขียนล้ำค่าจากพิพิธภัณฑ์นะ ไม่ใช่ขโมยลิปกลอส คนธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่มีวันที่จะต้องเข้าไปพัวพันกับคดีลึกลับซับซ้อนขนาดนั้นหรอก เป็นคดีผู้โดยสารขโมยเบียร์กับไวน์ขวดใหญ่ที่เสิร์ฟกลับบ้านก็ว่าไปอย่าง”

“ผู้โดยสารไม่ค่อยขโมยหรอก ปินว่าพวกเรานั่นแหละที่เอาใส่กระเป๋ากลับบ้านไปดื่มเองต่างหาก” เมื่อพูดจบปนิตาก็หัวเราะคิกคัก

“พูดอย่างนี้ได้ยังไง เดี๋ยวเถอะ เครื่องแบบพนักงานกับปีกบนอกเสื้อยังค้ำคออยู่นะ ยังไงก็รักษาภาพพจน์ของบริษัทด้วย”

วีณาดุไม่จริงจังนัก ส่วนคนโดนดุก็ทำเพียงยิ้มอ่อน ไม่ถือสาอะไร

ลลนาฟังเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนคุยกันแล้วก็ได้แต่มอง พลางหยิบถุงใส่รองเท้าส้นเตี้ยขึ้นมาเปลี่ยนโดยไม่ได้ออกความเห็นอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะเธอไม่เคยสนใจข่าวพวกนี้อยู่แล้ว ทั้งเรื่องขโมยภาพเขียนหรือขโมยไวน์

ขนาดเรื่องราวรอบตัวเธอยังไม่ค่อยจะสนใจ นับประสาอะไรกับข่าวที่ไกลตัวขนาดนี้

สำหรับลลนา...ชีวิตที่ผ่านไปวันๆ ของเธอมันช่างแสนจะเรียบง่าย ไม่หวือหวา และห่างไกลคำว่าตื่นเต้นอยู่มากมายหลายขุม จนเพื่อนร่วมงานบางคนเคยเอาไปพูดลับหลังเสียด้วยซ้ำว่าเธอเป็นคน...เฉื่อย

แต่หญิงสาวก็ไม่สนใจอีกนั่นแหละ อยากพูดอะไรก็พูดไป ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย

ลลนาค่อยๆ เก็บถุงรองเท้าส้นสูงลงในกระเป๋าเดินทางสีดำทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งวางสอดอยู่ด้านหลังเก้าอี้ผู้โดยสารแถวสุดท้าย ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมตัวปฏิบัติหน้าที่ของตนเองต่อไป

การเป็นคนทำอะไรเชื่องช้า เนิบนาบอาจจะถูกทำให้มองว่าเฉื่อยได้ ตรงจุดนี้เธอไม่เถียง เพียงแต่ลลนาไม่เข้าใจว่าการไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น หรือไม่เต้นไปตามคำพูดของใครๆ นั้นผิดตรงไหน อาจเป็นเพราะอย่างนี้กระมัง ทำให้วีณาถึงกับฟันธงด้วยความมั่นใจว่าเธอเกิดมาผิดยุค และควรจะย้อนเวลากลับไปเกิดในช่วงที่บ้านเมืองสงบสุข ไร้การแก่งแย่งแข่งขันน่าจะดีกว่า

โชคดีที่ไฟล์ตนี้ลลนาได้มาบินกับเพื่อนสนิทที่ร่วมฝึกบินมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มทำงาน และทุกคนก็รู้จักนิสัยของเธอดีว่าเป็นคนอย่างไร ทำให้หญิงสาวผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่

เพื่อนสนิทของลลนาในสายการบินนี้มีด้วยกันสามคน หรือที่ใครๆ ชอบเรียกพวกเธอว่าแก๊งนางฟ้ากับชาร์ลี เพราะในคลาสที่ฝึกการเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเมื่อห้าปีที่แล้ว มีคนไทยทั้งหมดสี่คน เป็นผู้หญิงสามคนคือลลนา ปนิตาและวีณา จึงคล้ายกับสามสาวนางฟ้าของหนังฮอลิวูดเรื่องชาร์ลีแองเจิลหรือนางฟ้ากับชาร์ลีในชื่อภาษาไทย ส่วนผู้ชายมีแค่เพียงคนเดียวคือ เชี่ยวชาญ ทำให้ผู้ชายหนึ่งเดียวนั้นจึงถูกเรียกว่า ชาร์ล แทนที่จะเป็นชาญโดยอัตโนมัติ 

นานแล้วที่แก๊งนางฟ้ากับชาร์ลีไม่ได้ออกปฏิบัติหน้าที่อย่างพร้อมเพรียงบนเที่ยวบินเดียวกัน มิหนำซ้ำคราวนี้พวกเธอยังได้เลโอเวอร์หรือการพักค้างคืนถึงสองคืนแบบนี้ ไม่สนุกวันนี้ก็ไม่รู้จะไปสนุกวันไหน

หลังจากเครื่องแตะรันเวย์ที่ฝรั่งเศสแล้วพวกเธอคงฉลองกันยาว

ลลนาลืมตาขึ้นเมื่อเวลาบ่ายโมงกว่า หลังจากการสังสรรค์กับเพื่อนๆ ผ่านพ้นไป ศีรษะของเธอปวดหนึบด้วยฤทธิ์ไวน์แดงเกรดต่ำที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ต  

ในห้องพักของหญิงสาวยังมืดมิดเพราะม่านหนาหนักของโรงแรมห้าดาวแห่งนี้ทำหน้าที่บังแสงได้เป็นอย่างดี เธอเหลือบตาเห็นแสงไฟสีส้มกระพริบถี่ๆ อยู่ที่โทรศัพท์ เป็นสัญญาณว่ามีคนฝากข้อความเอาไว้ให้

หญิงสาวยกหูขึ้น กดเลขตัวเดียวที่จะพาเธอไปยังกล่องข้อความ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อข้อความเหล่านั้นมีถึงหกข้อความ และมาจากเหล่าบรรดาเพื่อนแก๊งนางฟ้ากับชาร์ลีของเธอทั้งสิ้น

ดูเหมือนไวน์แดงขวดนั้นจะเล่นงานเธอเพียงคนเดียวสินะ

“ตื่นได้แล้วนาน่า เรากำลังจะออกไปชอปปิงกันแล้วนะ ห้างจวนจะเปิดอยู่แล้ว เดี๋ยวไม่ทัน”

นั่นเป็นข้อความแรกจากปนิตาขาช้อปมือวางอันดับหนึ่งตลอดกาล

“นาน่า จะนอนไปถึงไหน พี่หิวแล้วนะ พวกเราตกลงกันว่าจะออกไปทานข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยเดินเล่น รีบๆด้วย ให้คนอื่นรอมันไม่ดี แล้วพี่ก็ไม่อยากทานข้าวผิดเวลาด้วย รู้มั้ยว่าการกินข้าวไม่ตรงเวลาเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงเลยล่ะ...”

ข้อความจากวีณาถูกตัดไปก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบเพราะเกินกำหนดเวลา

“เฮ้ย เร็วๆ สิวะ ให้ไวเลยนะ รออยู่”

และนั่นเป็นอีกหนึ่งข้อความจากเชี่ยวชาญ

ลลนาไล่ฟังมาจนถึงข้อความสุดท้ายที่เพื่อนๆ เลิกตามปลุกเธอแล้ว แต่ทิ้งชื่อร้านอาหารจีนแบบติ่มซำยอดนิยมของบรรดาลูกเรือในย่านชอปปิงเอาไว้ให้เธอแทน

“ตื่นแล้วตามมานะ”

ปนิตาทิ้งท้ายไว้สั้นๆ คล้ายกับไม่อยากเสียเวลาในการชอปปิงเพื่อรอเธออีกต่อไป

หญิงสาวรีบแต่งตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ แต่กว่าจะอาบน้ำ สระผม และแต่งหน้า ก็ยังกินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง

ลลนาขึ้นรถไฟใต้ดินมุ่งสู่ถนนสายแฟชั่นที่ใครๆ ต้องมาเยี่ยมเยือนหากมาถึงฝรั่งเศส หญิงสาวเลือกตู้รถไฟที่มีแต่หญิงชรากับกลุ่มแม่บ้านวัยกลางคน เพราะอย่างน้อยก็รู้สึกปลอดภัย เพราะปัจจุบันนี้อาชญากรรมจี้ ปล้น กระชากกระเป๋าในฝรั่งเศสเกิดขึ้นบ่อยจนเป็นเรื่องเคยชินสำหรับคนที่นี่ไปเสียแล้ว

แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างลลนาซึ่งนานๆ มาที ให้ทำอย่างไรก็ไม่คุ้นชิน

ลลนาพิงตัวเองกับประตูรถด้านหนึ่ง หันกระเป๋าสะพายมาไว้กับตัวทางด้านหน้าเพื่อไม่ให้ล่อตาล่อใจนักล้วงกระเป๋าที่อาจแฝงมาในคราบเด็กวัยรุ่น

ระหว่างที่รถไฟกำลังแล่นอยู่นั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ เธอ เขาน่าจะมาจากตู้รถอื่น หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาเดินมาจากหัวขบวนหรือท้ายขบวน รู้ตัวอีกที ร่างสูงใหญ่ก็มายืนประจันหน้าเสียแล้ว

ลลนาขยับตัวอย่างอึดอัด เหลือบมองเขาด้วยดวงตาฉายแววคมดุปรามอยู่ในที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้เธอมากไปกว่านี้

แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจในสิ่งที่เธอกำลังสื่อสารสักนิด

ชายหนุ่มในเสื้อโค้ดตัวยาวสีดำส่งยิ้มน้อยๆ มาให้อย่างเป็นมิตร ทำคล้ายว่ารู้จักเธอมาก่อน จนลลนาต้องพยายามนึกทบทวน

เอ...หรือเขาอาจจะเป็นผู้โดยสารของเธอบนเที่ยวบินเมื่อวานนี้

ร่างสูงใหญ่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรสืบเท้าเข้ามาใกล้เธออีกนิด ยิ้มกว้างขึ้นอีกหน่อย ส่งให้ใบหน้าคมเข้มดูน่าสนใจขึ้นเล็กน้อย ชั่วอึดใจที่ลลนาเผลอสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตา คนถูกสำรวจก็ยิ้มกว้างขึ้นทันทีที่ดวงตาสานสบ

เขาต้องเป็นผู้โดยสารของเธอมาก่อนแน่ๆ

ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ การบริการจบบนเที่ยวบินแล้ว ไม่มีนอกรอบ     

หลายครั้งที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต้องตอบคำถามของผู้โดยสารหลังจากที่ปฏิบัติหน้าที่เสร็จแล้ว บางครั้งก็เป็นคำถามยิบย่อยเกี่ยวกับจุดจอดรถแท็กซี่ของสนามบิน สถานที่เที่ยวกลางคืนที่มีผู้หญิงสวยที่สุด หรือแม้กระทั่งจะหาซื้อตั๋วรถไฟเข้าเมืองได้ที่ไหน และอีกสารพันปัญหาจากผู้โดยสารเกี่ยวกับประเทศปลายทาง ทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งจะบินไปประเทศนั้นๆ เป็นครั้งแรกเช่นกัน

ลลนารีบลงจากรถไฟใต้ดิน แกล้งทำไม่สนใจเสียงเรียก พยายามเดินหนี ทว่าชายหนุ่มร่างสูงในโค้ดสีดำก็ยังก้าวตามมาติดๆ

และยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าประชิดตัว

จะว่าเธอสวยจนอีกฝ่ายอดใจไม่ไหว ต้องเข้ามาทำความรู้จักก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายจัดได้ว่าคมเข้มบาดใจไร้ที่ติ หล่อแบบงานดีมีคุณภาพ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มก็ดูเงางามนุ่มสลวย แถมยังรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนราวกับหลุดมาจากโฆษณากางเกงชั้นใน

ผู้ชายครบเครื่องแบบนี้ น่าจะหาสาวๆ สวยๆ ได้มากมาย ไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ตามผู้หญิงเอเชียหน้าตาธรรมดา แถมยังตัวเล็กราวกับหมากระเป๋าอย่างเธอเลยสักนิด

ท่าจะไม่ดีแน่ๆ

หญิงสาวเท้าเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งเพื่อไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูด มือหนาซึ่งสวมถุงมือหนังก็เอื้อมมาคว้าต้นแขนเธอเอาไว้แน่น กระชากกลับไม่เบานักจนเธอเซไปปะทะกับอกแกร่งของเขา

“โอ๊ะ!”

“ผมขอโทษสาวน้อย”

ขอโทษ...เขาขอโทษทำไม...

แถมยังมาเรียกเธอว่าสาวน้อยอีก...

หรือเขาจะเป็นพวกชอบเด็ก...เขาตั้งใจจะทำมิดีมิร้ายเธอเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเด็กใช่ไหม...

หญิงสาวพยายามคิดหาทางที่จะเอาตัวรอด แต่สมองของเธอยังตื้อจากฤทธิ์ไวน์แดงของเมื่อคืนนี้ นอกจากนั้นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของลลนาแทบจะติดลบ ทั้งหมดที่หญิงสาวรู้มีเพียงวิธีการเอาตัวรอดจากเครื่องบินในสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น

ใช่...เธอรู้ดีว่าจะทำอย่างไรถึงจะปลอดภัยที่สุดหากเครื่องบินจำต้องลงจอดฉุกเฉินบนบก ประตูโดยสารใดบ้างของเครื่องบินที่จะห้ามเปิดใช้หากการจอดฉุกเฉินนั้นเกิดขึ้นในมหาสมุทร และเธอควรจะนั่งในท่าไหนเพื่อลดแรงกระแทกที่อาจจะเกิดขึ้น

แต่วิธีเอาตัวรอดจากผู้ชายรูปหล่อตัวโตๆ ที่กำลังจะทำร้ายเธอในระยะประชิดตัวแบบนี้ ลลนาไม่เคยรู้มาก่อน

เดี๋ยวนะ...

จำได้ว่าเธอเคยอบรมวิธีป้องกันตัวเมื่อถูกจู่โจมในระยะประชิดจากผู้ก่อการร้ายมาก่อนไม่ใช่หรือ มันเริ่มจากตรงไหนนะ สอดมือเข้าไประหว่างแขนของเธอกับเขาใช่ไหม จากนั้นค่อยออกแรงบิด

แต่เอ...แล้วต้องสอดมือซ้ายหรือขวากันแน่ แล้วเธอควรจะบิดมือเขาไปทางไหน ตามเข็มนาฬิกาหรือในทางตรงกันข้าม เธอเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว

เป็นครั้งแรกที่ลลนาหงุดหงิดที่ตัวเองเอาแต่นั่งเหม่อในวันฝึกจนไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

ในที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจใช้มือขวากระชากที่ข้อมือใหญ่ให้หลุดออก หวังจะให้คนตัวโตเจ็บจนต้องยอมจำนน แต่อีกฝ่ายกลับไวกว่า เขาบิดแขนเพียงนิดเดียว มือเรียวของเธอก็ถูกกุมไว้ทั้งสองข้าง

“ไม่มีประโยชน์หรอกสาวน้อย วิธีที่เธอกำลังจะใช้มันพื้นฐานเกินไปหน่อย เขาใช้สำหรับพวกฝึกหัดเท่านั้นแหละ จะเอามาใช้จริงๆ ไม่ค่อยได้ผลหรอก เธอคิดหรือว่าคนอื่นเขาไม่เคยฝึกภาคปฏิบัติสำหรับรับมือกับคนร้ายแบบนี้มาเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกผู้ก่อการร้าย” ชายหนุ่มกระซิบขำๆ ที่ข้างหู

แล้วจะให้ทำยังไงเล่า

หญิงสาวเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายเธอก็ใช้วิธีเอาตัวรอดขั้นสุดท้ายที่พอจะคิดออก

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น