0

บทนำ


บทนำ

 

บรรยากาศยามค่ำคืนในเมืองพัทยาสว่างไสวด้วยแสงสีจากป้ายไฟร้านรวงต่างๆ ปลุกเร้าด้วยเสียงดนตรีที่ดังออกมาจากผับบาร์ซึ่งเรียงรายติดกัน เสียงนั้นดังเข้ามาถึงในรถยนต์ที่เปรมสินีกำลังขับ มีกรรชัยซึ่งนั่งเบาะหน้าเคียงคู่ช่วยมองหาที่หมายปลายทาง

“รุ้ง แกช่วยมองหาทีสิยะ” ชายหนุ่มดันแว่นสายตาพลางหันไปมองค้อนเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกัน

“โธ่กัน รุ้งก็ใส่คอนแทกต์เลนส์นะ ไม่ต่างกันหรอก แถมยังลืมเอาน้ำตาเทียมมา เคืองตามากเลยนี่”

“พอเลยๆ อย่ามาสวมวิญญาณป้าแก่ขี้บ่นนะยะ เสียบรรยากาศ”

รมิตายิ้มแห้ง เธอมักถูกเพื่อนกระเซ้าถึงนิสัยขี้บ่น จู้จี้จุกจิกของตนจนชินเสียแล้ว คิดจะแก้ไขปรับปรุงก็ไม่หาย เธอปลอบใจตัวเองว่านั่นคือเครื่องยืนยันว่าเธอสนิทกับคนคนนั้นจริงๆ จึงได้พูดมากเท่านั้นเอง

“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว นั่นไง ป้าย ‘7 wonders’ สีชมพู พวกแก๊” เปรมสินีบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพร้อมกับตบไฟเลี้ยว

หัวใจรมิตาเต้นเร็วตามจังหวะไฟเลี้ยวเมื่อแลเลยไปเห็นป้ายไฟตัวอักษรบอกชื่อสถานที่ที่เป็นเสมือนคลับสำหรับผู้หญิง เพิ่งเปิดได้ไม่กี่เดือน ‘เซเวนวันเดอร์ส’ ก็มีชื่อเสียงกระฉ่อนจากคลิปชายหนุ่มนักเต้นเปลื้องผ้าต่อหน้าหญิงสาวผู้โชคดีที่ได้ขึ้นไปบนเวที คลิปที่เผยแพร่ต่อๆ กันบนโซเชียลมีเดียนี้ไม่รอดสายตาพวกเธอเช่นกัน

อาคารสูงสองชั้นราวกับยกรูปแบบการก่อสร้างและตกแต่งมาจากสถานบันเทิงในลาสเวกัส ด้านหน้ามีป้ายไฟขนาดใหญ่ราวป้ายบิลบอร์ดแสดงรูปนักเต้นประจำคลับ ชายหนุ่มชาวต่างชาติทั้งเจ็ดคนสวมใส่เพียงกางเกงยีน อวดเรือนร่างแข็งแกร่งของบุรุษเพศ พวกเขามีหน้าตาหล่อเหลาราวนักแสดงหรือนายแบบ หล่อกว่าที่รมิตาคาดเดาจากคลิปซึ่งถูกถ่ายระยะไกล เธอเพิ่งเข้าใจที่มาของชื่อคลับ ‘สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ด’ ก็ตอนนี้

เสียงพูดคุยของเพื่อนสองคนเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ รมิตาได้แต่เดินตามทั้งสองโดยไม่อาจละสายตาจากบิลบอร์ดยักษ์ หรือจะว่าให้ถูกคือเธอหลงใหลในความหล่อเหลาของชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง ใบหน้าของเขาคมสัน ล้อมกรอบด้วยหนวดเคราบางๆ รับกับทรงผมที่ไล่จากสั้นหลังกกหูจนยาวพอจัดทรงด้วยเจล โคนผมและหนวดเคราของเขามีสีเข้มกว่าปลายผมซึ่งเป็นสีบลอนด์ทอง ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นดูเป็นมิตรและเย้ายวนอยู่ในที

“เหวอ...”

เพราะมัวแต่หลงรูปชายหนุ่ม รมิตาเหลือบเห็นขั้นบันไดหน้าทางเข้าเมื่อสายไปเสียแล้ว ร่างอวบสะดุดล้มจับกบให้อับอายสายตาประชาชีทั้งสาวไทยและเทศ

“ยายรุ้ง!”

“นังรุ้ง!”

สองเสียงประสานขึ้นพร้อมกันด้วยความตกอกตกใจ คนเจ็บโบกมือกำลังจะปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ทว่าเสียงหัวเราะจากเพื่อนก็ตามมาเสียก่อน

“เขามีแต่เดินพรมแดง เพื่อนฉันสะดุดพรมแดงซะงั้น” เปรมสินีเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“มัวแต่ตะลึงความหล่อฝอละสิ” กรรชัยกระเซ้า แต่ก็ช่วยฉุดหญิงสาวขึ้นมา

รมิตารีบลุกขึ้นปัดมือกับกางเกงเลกกิงสีเขียว ไม่ได้สนใจรอยขาดบนเข่าและความเจ็บแสบที่ฝ่ามือ แต่เป็นสายตาผู้คนต่างหากที่ทำให้เธอยิ้มแหยออกมา

หญิงสาวหารู้ไม่ว่านอกจากคนเหล่านั้นจะหันมาสนใจที่เธอหกล้มแล้ว พวกเขายังกลั้นยิ้มขบขันการแต่งกายของเธอซึ่งสวมเสื้อกล้ามตัวยาวสีเหลือง ทับด้วยเสื้อคลุมสีชมพูและกางเกงเลกกิงสีเขียว เธอไม่ได้ยินเสียงซุบซิบของนักท่องเที่ยวชาวไทยเพราะเดินตามเปรมสินีซึ่งยื่นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ในโทรศัพท์มือถือให้พนักงานสแกนก่อนเข้าไป

เซเวนวันเดอร์สมีกฎเกณฑ์การเข้าชมต่างจากสถานบันเทิงแห่งอื่นตรงที่ลูกค้าจะต้องสำรองที่นั่งผ่านเว็บไซต์ทางการหรือเอเจนซี ราคาบัตรแพงเท่าไร ที่นั่งก็ใกล้เวทีมากขึ้น ภายในจำหน่ายแต่เครื่องดื่มเท่านั้น ที่สำคัญ...ที่นี่ไม่ต้อนรับผู้ชาย เว้นแต่ชายใจหญิงที่พนักงานสงวนสิทธิ์พิจารณาอนุญาตให้เข้ามา

“ดีจังเลยนะ ผู้ชายไปเที่ยวอาบอบนวดได้ ผู้หญิงก็มีที่เที่ยวบ้างเหมือนกัน”

“แกจะออฟฝอเหรอนังปูเป้” เพื่อนชายทำท่าตกอกตกใจ

“ไอ้บ้า ที่นี่เขาห้ามออฟย่ะ แค่ดูฟินๆ” เปรมสินีค้อนปะหลับปะเหลือก “ว่าก็ว่าเหอะ เขาคงอิมพอร์ตนักเต้นหล่อล่ำมาแพง”

รมิตาได้แต่เป็นฝ่ายฟังพร้อมกับรู้สึกว่าโลกของเธอช่างแคบเหลือเกิน ถ้าไม่บอกที่บ้านว่ามาเที่ยวกับเปรมสินีเพราะอีกฝ่ายทะเลาะกับคนรัก เธอคงไม่ได้มาเฉียดใกล้สถานที่แบบนี้แน่

หัวใจสาวโลดแรงเมื่อก้าวผ่านประตูบานใหญ่กว่าประตูโรงภาพยนตร์เข้าไปข้างใน พนักงานเดินนำพวกเธอไปยังที่นั่งที่อยู่แถวสองจากเวทียกพื้นซึ่งเป็นเพียงจุดเดียวที่มีแสงสปอตไลต์ส่องสว่าง แต่เท่านี้ก็ใกล้เสียจนเวทีดูใหญ่ พร้อมกับที่เธอรู้สึกตัวเล็กลง

“เขาบอกว่าข้างเก้าอี้จะมีหมายเลขที่สุ่มจับฉลากแล้วได้ขึ้นไปให้หนุ่มๆ เต้นยั่ว มีจริงๆ ด้วยอะ” กรรชัยเอ่ยอย่างตื่นเต้น

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่รมิตาเพิ่งรู้ เธอก้มมองสติกเกอร์หมายเลขสามสิบหกซึ่งติดกับขอบเบาะที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะแย้งขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

“แต่เขาคงเตี๊ยมไว้แล้วหรือเปล่าแก แบบว่า...จัดฉาก”

“ต๊าย! นังรุ้ง แกอย่ามาทำลายความฝันฉันนะยะ” เพื่อนชายลากเสียงรับไม่ได้

“ใช่ รุ้ง อย่าไปดับฝันนางเลย แค่มองไปรอบตัวนี่ความฝันนางก็ริบหรี่แล้ว” เปรมสินีสัพยอกเพื่อน

ทว่าใช่แต่กรรชัยที่ถูกดับฝันเมื่อมองไปรอบตัว รมิตามองตามสายตาของเพื่อนก็เห็นนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาจนเกือบเต็มทุกที่นั่ง ถ้าไม่มีการจัดฉาก ในจำนวนหลายร้อยคนนี้จะมีผู้โชคดีคนเดียวเท่านั้น ความเสียดายพัดผ่านหัวใจสาวให้รู้สึกห่อเหี่ยวแปลกๆ ทั้งที่เธอควรจะโล่งใจว่าดีกว่ามีคลิปหลุดออกไปให้พ่อกับพี่ชายเล่นงานตน

 

ไฟบนเวทีดับพรึ่บพร้อมกับเสียงดนตรีดังขึ้นบอกว่าช่วงเวลาของการแสดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ก่อนที่ไฟสปอตไลต์ทุกดวงจะส่องสว่างกลางเวที ปรากฏร่างของชายหนุ่มต่างชาติทั้งเจ็ดคนในเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีน พวกเขาเต้นด้วยท่วงท่าแข็งแรงตามจังหวะเพลงเร่งเร้านานกว่าสิบนาที และทันทีที่เพลงแรกสิ้นสุดลง ชายรูปร่างกำยำทุกคนก็พร้อมใจกระชากเสื้อออกจากร่างกาย

เสียงกรีดร้องชอบใจดังสนั่นจากผู้ชมเบื้องล่าง แต่หูของรมิตาอื้ออึงตั้งแต่ก่อนหน้านี้ด้วยเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำ เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการเต้นอย่างพร้อมเพรียงของพวกเขา บ่งบอกถึงความสามารถและการฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี แล้วยังละลานตาเมื่อเห็นซิกซ์แพ็กที่เรียงกันสลอนต่อหน้า เธอจะไม่แปลกใจเลยถ้าตนเลือดกำเดาไหลออกมาอย่างในการ์ตูน

นักเต้นหนุ่มโบกไม้โบกมือทักทายผู้ชม ก่อนที่เพลงต่อไปจะเริ่มขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง คราวนี้พวกเขาแบ่งออกเป็นสองทีมและเต้นดวลกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงรองเท้ากระทบเวทียามพวกเขากระโดดเขย่าก้อนเนื้อในอกรมิตาให้แกว่งไกวตลอดยี่สิบนาทีของโชว์ชุดนั้น

แค่เพียงเป็นผู้ชม เธอยังหอบเหนื่อยราวกับวิ่งระยะไกล ตรงข้ามกับสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของชายหนุ่มเท้าไฟบนเวที แต่ไม่ทันมองหาต้นเหตุที่ทำให้เธอสะดุดล้มคะมำเพราะมัวแต่หลงรูปของเขา แสงไฟก็ดับลงอีกครั้งหนึ่ง

“อ้าว จบแล้วเหรอ”

ใครหลายคนร้องถามอย่างเสียดาย รวมทั้งกรรชัยเช่นกัน แต่ทันใดนั้นสปอตไลต์หลายดวงก็สาดไปยังมุมต่างๆ บริเวณที่นั่งของผู้ชม บนทางเดินห่างจากพวกเธอไปสามที่นั่งปรากฏร่างของชายหนุ่มตรงกลางป้ายบิลบอร์ดข้างนอกนั่น รมิตาเบิกตาโพลง ชั่วแวบที่สายตาคู่นั้นสานสบ เธอก็ได้รู้ว่ายังมีสิ่งหนึ่งเต้นเก่งกว่าผู้ชายเหล่านี้

หัวใจเธออย่างไรล่ะ!

การแสดงชุดต่อมาเริ่มต้นขึ้นเมื่อนักเต้นทั้งเจ็ดวิ่งกลับขึ้นไปบนเวที พวกเขาลากเลื้อยแขนขาตามจังหวะดนตรีแช่มช้า ก่อนดนตรีจะปลุกเร้าขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดเต้นโดยไม่หยุดพักนานกว่ายี่สิบนาที แล้วเมื่อการแสดงจบลง ชายหนุ่มก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดานพลางหอบน้อยๆ พวกเขาโบกมือและค้อมกายขอบคุณผู้ชม บ้างส่งจูบหรือเล่นหูเล่นตา ก่อนจะพากัน

กลับไปหลังเวที

“เป้! เห็นหนุ่มตี๋ขยิบตาให้ฉันไหมแก๊”

“บ้า เขาขยิบให้ฉันต่างหาก” เปรมสินีไม่ยอมลงให้เพื่อน

“ไม่จริ๊ง ฉันจะเช็กอินฟ้องแฟนแก”

“เชิญเลย จะได้รู้ซะบ้างว่าฉันก็มีที่ไป”

“ไม่ได้นะ!” คนกลางรีบห้ามหน้าตาตื่น “รุ้งว่าอย่าเช็กอินดีกว่า ถ้าที่บ้านปูเป้หรือรุ้งรู้จะไม่สบายใจเปล่าๆ เป้ไม่ต้องประชดพี่เอ ป่านนี้พี่เอก็คงกระวนกระวายแย่แล้วละ เมื่อเย็นยังไลน์มาหารุ้งเลย รุ้งบอกว่าจะดูแลเป้อย่างดี”

“แหม ยายรุ้ง แกกลัวพ่อกับพี่ชายประกาศเคอร์ฟิวสิท่า”

“ก็นิดนึงน่า ไม่มีรุ้งใครจะขับรถให้เวลาพวกแกดื่มล่ะ”

คนสำคัญตัวให้เหตุผลที่กรรชัยเถียงไม่ออก ส่วนเปรมสินีก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาไล่ดูข้อความ กระทั่งไฟบนเวทีสว่างขึ้นอีกครั้ง สปอตไลต์ดวงใหญ่ส่องจับยังเก้าอี้สเตนเลสตัวเดียวกลางเวที เพียงเท่านั้นก็เรียกเสียงกรีดร้องจากผู้ชมที่เฝ้ารอเวลานี้

พิธีกรกระตุ้นผู้ชมด้วยภาษาอังกฤษขณะหน้าจอแอลอีดีขนาดใหญ่กำลังสุ่มหมายเลขผู้ที่จะได้ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้น สปอตไลต์หลายดวงสาดส่องไปมาเร้าอารมณ์นักท่องเที่ยวทุกคนให้ยิ่งตื่นเต้น ก่อนแสงจ้านั้นจะหยุดที่รมิตา!

‘๓๖’

ตัวเลขบนหน้าจอระบุที่นั่งของรมิตา หญิงสาวเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของการตกเป็นเป้าสายตาของคนหลายร้อยก็ตอนนี้ มีทั้งเสียงแสดงความยินดีและเสียงผู้คนเร่งเร้าให้ขึ้นไป

“กรี๊ด! ไปเร็วยายรุ้ง”

เพื่อนสองคนทั้งผลักทั้งดันพร้อมกับพนักงานที่มาเชิญเธอขึ้นเวที

“สักครั้งในชีวิตน่า ชะนีโต๊ะติดกันมองแกอย่างกับจะกินหัว อย่าทำให้พวกฉันผิดหวังสิยะ” กรรชัยกระซิบกระซาบขณะเดินขนาบมาส่งเพื่อนถึงบันไดข้างเวที

นั่นสินะ สักครั้งในชีวิต...ใช่ว่าชีวิตเธอจะมีโอกาสแบบนี้พุ่งชนบ่อยๆ เสียเมื่อไร รมิตาปลุกปลอบตัวเองพร้อมกับก้าวขึ้นเวทีด้วยขาสั่นพั่บๆ เธอห้ามใจไม่มองลงไปข้างล่าง แม้แว่วเสียงเป่าปากและตะโกนเชียร์จากเพื่อนทั้งสองคน

ภาพบนหน้าจอแอลอีดีดับลงแล้ว เหลือเพียงแสงสว่างจากสปอตไลต์ดวงใหญ่กลางเวทีเท่านั้น เงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งเดินออกมาจากความมืด ใกล้เข้ามาจนเธอได้ยินเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้น ก่อนเขาคนนั้นจะหยุดยืนใต้แสงสว่างเดียวกันกับเธอ

เสียงโห่ร้องเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล รมิตาหูอื้อ ตาลาย เมื่อชายในอุดมคติยืนอยู่ต่อหน้า หนำซ้ำเขายังคว้ามือข้างที่ถลอกเพราะหกล้มไปจุมพิตหลังมือ ไอร้อนแล่นปลาบไปถึงหัวใจ หญิงสาวชาไปทั้งร่าง เธอเหมือนดินเหนียวอ่อนปวกเปียกตามแต่เขาจะปั้น จะจับมือเธอไปลูบไล้ส่วนใด

เสื้อยืดสีขาวถูกถอดเหวี่ยงทิ้งข้างเก้าอี้ คนที่เพิ่งเคยเห็นหนุ่มหล่อลากแก้ผ้า เอ๊ย! เปลื้องผ้าต่อหน้าถึงกับอ้าปากค้าง เบิกตาโตอย่างตกตะลึง ไม่รู้ตาฝาดหรือตาพร่าเลือนเกินไปเธอจึงเห็นเขายิ้มมุมปาก ก่อนชายหนุ่มจะก้าวถอยไปนอนคว่ำกับพื้นเวที ร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวราวเกลียวคลื่น ก่อนจะพลิกมาแอ่นหยัดสะโพกต่อหน้าหล่อน ให้ตายสิ! ทำไมต้องพกข้าวหลามมาทำงาน!

“เหวอ”

ราวกับกล้ามเนื้อทุกส่วนสัดของเขาติดสปริง รมิตาอุทานตกใจเมื่อนักเต้นหนุ่มกระเด้งตัวลุกมาเท้าแขนสองข้างกับพนักเก้าอี้ที่เธอนั่งแล้วเริ่มเคลื่อนกายจากส่วนบนไปล่าง เธอรีบหดขาอย่างกลัวว่าร่างกายของตนจะทำเขาสึกหรอ ทว่ากลับเป็นชายหนุ่มที่ขยับขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก ส่ายสะโพกร่อนไปมาแถวหน้าท้องที่แขม่วเกร็งจนแทบเป็นตะคริว ดวงตาเบิกกว้างของหญิงสาวถูกตรึงด้วยแววตายั่วยวนเจือรอยยิ้มหัวของเขา ก่อนชายหนุ่มจะค่อยๆ โน้มกาย วาดแขนสองข้างไปประสานกันบนพนักเก้าอี้ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มมาใกล้ แม้ไม่ได้สัมผัสโดยตรง แต่แค่ลมหายใจอุ่นจัดปัดและเป่าข้างหูเธอ รมิตาก็แทบหลอมละลายกลายเป็นอากาศเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ขอโทษนะครับ”

เอ๋...ทันทีที่งุนงงว่าเขาขอโทษเธอเรื่องอะไร ทันใดนั้นเอง มือหนาก็ลากไล้ตั้งแต่ต้นแขนไปจนถึงมือที่จิกเกร็งขอบเก้าอี้ไว้แน่น เขาปลดมือเธอง่ายดายก่อนจะชะงักเล็กน้อย หญิงสาวกัดริมฝีปากเมื่อปลายนิ้วเขาปัดผ่านแผลถลอกกลางฝ่ามือ เป็นความแสบปนความซ่านสยิวอย่างที่รมิตาไม่เคยสัมผัส และโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงก็ฉุดเธอลุกยืนพร้อมกับจับมือเธอไปโอบรอบลำคอของเขา มือหนายกต้นขาสองข้างของเธอเกี่ยวกระหวัดเอวสอบ แล้วสปอตไลต์ก็พลันดับลง

เสียงกรีดร้องชอบใจจากผู้ชมเบื้องล่างไม่อาจกลบเสียงลมหายใจของคนใกล้ตัว เขาวางเธอลงแล้วแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ ราวกับรู้ว่าแข้งขาเธอสั่นเพียงใด รมิตากวาดตามองถ้วนทั่วใบหน้าชายในความมืดพร้อมกับอ้าปากหอบหายใจน้อยๆ กระทั่งพนักงานวิ่งขึ้นเวทีมาพาเธอกลับไปที่โต๊ะดังเดิม

“แก๊!”

“กรี๊ด!”

รมิตาถูกเพื่อนสนิทสองคนรุมทึ้งเขย่าเนื้อตัว แต่นาทีนี้ไม่มีสิ่งใดจะเรียกสติหญิงสาวกลับมาจากเวทีได้เลย


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น