1

บทที่ 1


 

กว่าก๊วนเพื่อนสนิทจะมาถึงคอนโดมิเนียมริมหาดจอมเทียนก็ล่วงเลยข้ามวันใหม่ ห้องชุดนี้เป็นของครอบครัวเปรมสินี ประกอบด้วยห้องนั่งเล่น ห้องครัว และสองห้องนอน มีระเบียงกว้างที่มองออกไปเห็นทะเลไกลสุดสายตา

หนุ่มสาวซื้อขนมและเครื่องดื่มจากร้านสะดวกซื้อมากินต่อที่ห้องพัก ยังไม่เลิกซักไซ้ความรู้สึกของผู้โชคดีประจำค่ำคืนนี้พร้อมกับเปิดคลิปที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือไปพลาง

“เนี่ยๆ ชอตนี้ไม่โดนจริงๆ เหรอยะ แกอย่ามาปิดพวกเรานะยายรุ้ง!”

ชอตที่กรรชัยว่าคือตอนนักเต้นหนุ่มวาดแขนโอบกอดเธอไว้และโน้มใบหน้าลงมา ในมุมกล้องนั้นเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอ เหมือนเขากำลังซุกไซ้ลำคอ

“ไม่โด๊น สาบานได้ ดูสิ คอรุ้งก็เหมือนเดิม”

รมิตาเชิดหน้าอวดลำคอระหง ถึงอย่างนั้นความสนใจของเพื่อนก็หันเหไปที่ชอตต่อไป

“ตอนเขาอุ้มแกรู้สึกยังไงบ้าง”

“เสียว...”

“เฮ้ย!” สองเพื่อนซี้ประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน

คนที่พูดจากำกวมรีบแก้ตัวพัลวัน “หมายถึงกลัวตกไงเล่า พวกแกนี่ ไม่เคยมีใครมาอุ้มรุ้งตั้งแต่ห้าขวบแล้วมั้ง ก็ต้องเสียว เอ๊ย! กลัวและตกใจสิ”

“อิจฉาแกว่ะ”

“เออ ได้สักครั้งจะตั้งใจทำงาน”

ไม่มีใครสนใจคำพูดเธออยู่ดี หญิงสาวมองค้อนเพื่อนๆ ที่ทำท่าราวตกอยู่ในห้วงฝัน ทั้งที่เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการตื่นจากฝันดีไม่กี่ชั่วโมงก่อนน่าเสียดายมากกว่าไม่เคยฝันเสียอีก เพราะมันตอกย้ำว่าชีวิตจริงกับความฝันนั้นต่างกัน

รมิตาถอนหายใจเบาๆ แต่ครั้นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมไม่พบโทรศัพท์มือถือของตน หัวใจก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที

“มือถือรุ้งหาย!”

ถ้อยความนั้นปลุกเพื่อนจากภวังค์ กรรชัยและเปรมสินีหรี่ตามองคนขี้ลืมอย่างไม่เชื่อเสียทีเดียว

“หาดีแล้วเหรอ”

“ดูในกระเป๋าหรือยัง”

“รุ้งจำได้ว่าเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมจริงๆ นะ” ยืนยันพลางค้นหาในกระเป๋าไหมพรมสีสดใสเพื่อความแน่ใจ “ในนี้ไม่มีจริงด้วย โฮ รุ้งเพิ่งผ่อนได้สามเดือนเอง ทำไมซวยอย่างนี้เนี่ย”

“ใจเย็นๆ ลองโทร. เข้าเครื่องแกแป๊บ”

เปรมสินีต่อสายพร้อมกับเปิดลำโพงให้ได้ยินทั่วกัน สัญญาณรอสายดังอยู่นานแต่ไม่มีคนรับ เจ้าของหมายเลขก็ยิ่งหน้าเสียขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมีเสียงตอบรับมา

“ฮัลโหล ไม่ทราบว่าที่นั่นที่ไหนคะ พอดีเพื่อนฉันทำมือถือตกไว้”

“เซเวนวันเดอร์สครับ เราพบโทรศัพท์ตกอยู่ข้างเก้าอี้คุณลูกค้า ถ้ายังไงรบกวนมารับเครื่องพรุ่งนี้เย็นนะครับ”

“ไปเอาตอนนี้ไม่ได้หรือคะ” รมิตาเอ่ยแทรกอย่างร้อนใจ ก่อนจะถูกเพื่อนตีเผียะลงบนท่อนแขน

“ไม่เป็นไรค่ะน้อง เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกพี่เข้าไปสักห้าโมงนะคะ” เปรมสินีแก้แทนพลางขึงตาปรามคนใจร้อน

พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้...รมิตาทำใจ เกือบแล้วไหมล่ะ เกือบต้องเสียโทรศัพท์เพื่อฟาดเคราะห์เพราะใช้แต้มบุญหมดไปกับช่วงปุบปับรับโชคเสียแล้ว ยายรุ้งเอ๋ย

 

ทว่าทุกอย่างต้องผิดแผนไปหมด เมื่อบ่ายวันต่อมาหญิงสาวสองคนซึ่งนอนด้วยกันถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์ เปรมสินีงัวเงียรับสาย ก่อนจะตื่นเต็มตาแล้วเขย่าปลุกคนข้างกาย

“แก พี่เอประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”

รมิตาผุดลุกนั่งทันทีที่ได้ยินดังนั้น เธอกุมมือเย็นชืดของเพื่อนพร้อมกับปลอบประโลม “ทำใจดีๆ นะปูเป้ พี่เอปลอดภัยแล้วใช่ไหม รุ้งไปปลุกกันก่อนนะ”

เมื่อเปรมสินีพยักหน้า หญิงสาวจึงลุกไปปลุกกรรชัยยังห้องติดกันและเล่าเรื่องราวที่ได้รับรู้ อีกฝ่ายหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน

“อาบน้ำเร็วเข้า เดี๋ยวรุ้งเก็บกระเป๋าตัวเองกับของเป้รอ”

“แกจะกลับได้ไง แล้วโทรศัพท์มือถือล่ะ”

คำพูดของเพื่อนชายส่งผลให้คนรักเพื่อนเสียดายของจนถึงกับงันไป กลับเป็นชายหนุ่มที่ตัดสินใจแทนพลางตวัดผ้าห่มออกจากกาย

“เอาอย่างนี้ แกรออยู่นี่แหละ ฉันจะไปเป็นเพื่อนปูเป้แล้วตีรถกลับมารับแก”

แม้จะเกรงใจเพื่อน แต่รมิตาคิดหาทางออกดีกว่านั้นไม่ได้ เธอจำต้องยอมรับแล้วผละไปช่วยเปรมสินีเก็บเสื้อผ้าข้าวของต่างๆ แล้วยังค้นหาขนมนมเนยในตู้เย็นใส่ถุงให้เพื่อนไปกินบนรถ

“ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปด้วย แกก็ใจเย็นๆ นะปูเป้”

เปรมสินีพยักหน้าพลางบีบกระชับมือเพื่อน ใครจะไปโกรธเพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ได้เดินทางกลับพร้อมกัน เท่าที่เกิดเรื่องต่างๆ มากมายนี้ก็เพราะเธอเลือกหนีปัญหา ประชดประชันคนรักแทนที่จะหันหน้าพูดจากัน

คล้อยหลังเพื่อนสองคนที่ออกไปแล้ว รมิตาเพิ่งสังเกตว่าห้องชุดที่พวกตนมาพักอาศัยคืนหนึ่งรกขึ้นขนาดไหน มีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่ากรรชัยจะตีรถมารับ เธอจึงลงมือเก็บกวาดฆ่าเวลา ก่อนจะหิ้วถุงขยะออกไปทิ้งในช่องข้างบันไดหนีไฟโดยลืมว่าตนยังคงอยู่ในชุดนอนลายการ์ตูน มีผ้าปิดตาคาดบนศีรษะ

หญิงสาวเปิดประตูกลับเข้าห้องพร้อมกับที่ประตูห้องติดกันเปิดออกมา เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาสวมชุดแส็กสีส้มลายจุดขนาดใหญ่สีขาว เข้าคู่กับสร้อยพร้อมจี้ม้าน้ำสีรุ้ง รมิตาสวมแว่นสายตากรอบพลาสติกใสแทนคอนแทกต์เลนส์ที่ทำให้ระคายเคือง เสร็จแล้วจึงอุ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินรองท้องพลางคำนวณเวลาที่กรรชัยจะมารับตน

สี่โมงแล้ว ป่านนี้เพื่อนทั้งสองน่าจะเดินทางถึงที่หมายและคงต้องรออีกร่วมสามชั่วโมงกว่ากรรชัยจะตีรถมาถึงพัทยา ถ้ารออีกฝ่ายพาเธอไปเซเวนวันเดอร์สคงเสียเวลาไปกันใหญ่ ความคิดนั้นทำให้รมิตาตัดสินใจไปรับโทรศัพท์มือถือที่สถานบันเทิงด้วยตัวเอง โดยโดยสารจักรยานยนต์รับจ้างปากซอยที่พักไปยังคลับซึ่งตั้งอยู่ที่พัทยาเหนือ

คนขับรถรับจ้างยิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อส่งหญิงสาวลงหน้าสถานบันเทิงสำหรับผู้หญิง ความหวาดหวั่นแบบแปลกๆ จู่โจมรมิตาไม่ต่างจากตอนมาที่นี่ครั้งแรก เธอห้ามใจไม่หันมองไปทางป้ายนักเต้นหนุ่มทั้งเจ็ด สูดหายใจลึกแล้วกัดฟันเดินฝ่าไอแดดเข้าไปในตัวอาคาร บริเวณจำหน่ายบัตรกลับไร้พนักงาน

หรือเธอจะมาเร็วไป...ก็แค่สิบนาทีเท่านั้น แว่วเสียงเพลงดังออกมาจากหลังประตูบานหนาบ่งบอกว่าพนักงานคงจัดเตรียมการแสดงอยู่ข้างใน หญิงสาวเคาะประตูแต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ข้างใน เธอค่อยๆ ผลักประตูก่อนแทรกกายเข้าไปพบบรรยากาศคุ้นเคยที่ยังสดใหม่ในความทรงจำ ภายในนั้นมืดสลัว เว้นแต่บนเวทีที่แสงสปอตไลต์สีนวลตาสาดส่องให้เห็นชายหนุ่มชาวต่างชาติมากกว่าเจ็ดคน บ้างกำลังซ้อม บ้างนั่งเหยียดขาคุยกัน

อารามตกตะลึง รมิตาปล่อยบานประตูงับปิดดังพอที่สายตาหลายคู่หันมองเธอเป็นจุดเดียว ก่อนที่สุ้มเสียงไม่พอใจของใครคนหนึ่งจะเรียกพนักงานให้พาผู้บุกรุกออกไป ผู้ที่จบจากวิทยาลัยนานาชาติเข้าใจความหมายแล้วยิ่งกลัวตัวสั่น เมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนกระโดดลงเวทีตรงมาหาตนก็พานก้าวขาไม่ออกไปกันใหญ่

ทว่า...

“เฮ้” เขาทักพร้อมรอยยิ้มในดวงตา “ผมจำคุณได้ ผู้โชคดีเมื่อคืน”

ใช่! เธอก็จำเขาได้ ผู้ชายที่มีรอยยิ้มแต้มนัยน์ตาและริมฝีปาก แม้แต่ตอนเขาเต้นด้วยท่วงท่าเสมือนดิ้นเร่าทุรนทุรายแทบเท้าเธอเมื่อคืน ดวงตาเปล่งประกายก็ไม่ได้ละจากใบหน้าเธอไปไหน รมิตาขนลุกซู่ไปทั้งกาย เธอเสหลบตาเขาพลางดันแว่นสายตา

“คุณ เข้ามาไม่ได้นะ ออกไปๆ”

พนักงานคนหนึ่งรีบตรงมาฉุดรั้งผู้บุกรุก หญิงสาวสะดุ้งตกใจ เธอพยายามดึงแขนออก ยังไม่ทันบอกเหตุผลที่ต้องมาที่นี่ เสียงทุ้มก็ท้วงขึ้นพร้อมกับฉวยต้นแขนอีกข้างของเธอ

“ระวังหน่อย หล่อนมือเจ็บ”

ถ้อยคำและน้ำเสียงตำหนิส่งผลให้พนักงานปล่อยแขนเธอทันที รมิตามองมือที่ได้รับอิสระของตัวเอง แผลถลอกจากการหกล้มยังคงทิ้งร่องรอยไว้ ก่อนจะช้อนตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาตื่นตะลึง เธอไม่คิดเลยว่าเขาสัมผัสมันได้ตั้งแต่เมื่อคืน

สายลมอุ่นๆ ในใจยามนี้พัดมาได้อย่างไร เธอรู้แต่มันมีที่มาจากผู้ชายคนนี้ ไม่ต่างจากที่เขาเป็นต้นเหตุก่อเกิดพายุคลั่งปั่นป่วนช่องท้องของเธอเมื่อคืน

ไม่ๆๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ดีต่อชีวิตเธอทั้งนั้น ร่างอวบรีบหันไปหาพนักงานคนไทย เธอแจ้งจุดประสงค์ที่มาที่นี่รัวเร็วจนลิ้นพันกัน อย่างไรก็ต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเผลอใจใฝ่ฝันในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง

“รุ้งมาเอามือถือโทรศัพท์ค่ะ เมื่อ...เมื่อคืนมีน้องพนักงานเก็บไว้ให้”

“อ้อ ครับๆ เชิญทางนี้”

ชายฉกรรจ์ผายมือเชิญเธอไปจากตรงนั้นด้วยท่าทางอารีอารอบกว่าเดิม รมิตาเดินดุ่มตามเขาไป บังคับตัวเองไม่ให้มองกลับไปข้างหลังอีก เธอจึงไม่ได้เห็นแววตาไม่สบอารมณ์ระคนขบขันทอดมองตาม

 

หลังกลับมาถึงห้องพัก หญิงสาวก็ชาร์จแบตเตอรี่และเปิดเครื่องทันที มีสายที่ไม่ได้รับและข้อความจำนวนมาก แต่สายล่าสุดที่โทร. เข้ามาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนคือหมายเลขของกรรชัย เธอรีบโทร. กลับไปเพราะคิดว่าเพื่อนอาจใกล้มาถึง แต่ก็ผิดคาด

“โอ๊ย ยายรุ้ง กำลังคิดอยู่เลยว่าจะติดต่อแกยังไง”

“ทำไม เกิดอะไรขึ้นเหรอ” เสียงถามตื่นตระหนกไม่น้อยกว่ากัน

“ฉันไปรับแกไม่ได้แล้วน่ะสิ ยายเป้ดูแลรถประสาอะไรของนางก็ไม่รู้ ปล่อยให้น้ำในหม้อน้ำแห้งได้ ฉันกำลังตีรถไปรับแก ควันโขมงกลางมอเตอร์เวย์เลยจ้า นี่รถลากเพิ่งมาถึงเนี่ยแก”

“อ้าว แล้วกันกลับยังไง”

“อาศัยนั่งมากับรถลากน่ะสิ แต่แกไม่ต้องห่วงนะ ฉันโทร. บอกที่บ้านแกให้แล้วว่าเราค้างกันต่ออีกคืน ยายปูเป้ก็บอกว่าจะรับผิดชอบด้วยการลางานไปรับแกพรุ่งนี้”

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวรุ้งกลับเอง” รมิตาปฏิเสธประสาคนขี้เกรงใจ

ไหนจะต้องลางาน ไหนจะเรื่องคนรัก เธอไม่รบกวนเปรมสินีหรอก รถตู้ประจำทางจากพัทยาเข้ากรุงเทพฯ มีออกถมไป ให้กลับตอนนี้ก็ได้

“ไม่รู้เว้ย แกไปเคลียร์กับปูเป้เอง แต่ห้ามกลับตอนนี้เด็ดขาดนะยะ ที่บ้านแกได้รู้ว่าฉันโกหกพอดี”

รมิตาจำต้องรับคำเพื่อน ครั้นมองออกไปเห็นฟ้ามืดภายนอกก็ชักหวั่น เธอยังไม่แกร่งกล้าขนาดไปไหนมาไหนลำพังยามค่ำคืนในเมืองที่ไม่คุ้นเคย ชีวิตตลอดยี่สิบหกปีที่ผ่านมาจะเรียกว่าเติบโตมาแบบไข่ในหินก็ว่าได้ จะไปไหนมาไหนก็มีพ่อและพี่เทียวรับเทียวส่ง ครั้นสำเร็จการศึกษาผ่านพ้นรั้วมหาวิทยาลัยแล้วโลกก็กลับเล็กลงเหลือเพียงรั้วบ้าน เธอดูแลโฮสเทลริมคลองบางกอกน้อยซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว เมื่อบ้านและที่ทำงานอยู่ในบริเวณเดียวกัน วันๆ รมิตาจึงแทบไม่ได้ไปไหน

นึกถึงครอบครัวแล้วหญิงสาวจึงต่อสายไปยังหมายเลขโทรศัพท์บ้าน นับว่าโชคยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อผู้ที่รับสายคือย่า สมาชิกผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เหลือในครอบครัวนับแต่แม่ของเธอเสียชีวิตยี่สิบปีก่อน

“คุณย่า รุ้งเองนะคะ”

“แม่รุ้ง กินอะไรหรือยังล่ะนั่น”

รมิตาหัวเราะออกมาครั้งแรกในรอบวันเมื่อได้ยินคำทักทายติดปากของย่า แม่ครัวที่ห่วงปากท้องทุกคนเสมอ และเพราะเติบโตมาด้วยปลายจวักของย่า เธอจึงมีหุ่นอวบอั๋นเกินมาตรฐานความงามของสังคม

“ยังเลยค่ะ รุ้งโทร. มาบอกทุกคนว่าไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้สายๆ เที่ยงๆ รุ้งก็กลับแล้วนะคะ”

“จ้ะ ย่าจะบอกพ่อกับพี่เราให้นะ”

“ขอบคุณนะคะ แล้ววันนี้คุณย่าทำอะไรกินคะนี่” ถามพลางนอนหงายเหยียดยาวบนโซฟา

“น้ำพริกลงเรือลูก”

“โหย รุ้งอยากกิน มีไข่เค็มด้วยใช่ไหมคะ”

“แน่นอน ย่าแอบแบ่งน้ำพริกเก็บไว้ให้รุ้ง ไม่ต้องกลัวใครแย่งนะลูก” หญิงชราเอ่ยกระซิบกระซาบ เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากหลานสาว

“รุ้งจะหาซื้อกะปิกับกุ้งแห้งกลับไปฝากนะคะ”

“แหม ดีๆ ได้อีกหลายเมนูเลยนะนั่น”

บทสนทนาระหว่างย่าหลานหนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกิน จนกระทั่งแว่วเสียงพ่อลอดเข้ามา รมิตาจึงอ้างว่าจะออกไปกินข้าวกับเพื่อนๆ และขอตัววางสาย เธอยังไม่พร้อมให้พ่อซักฟอกตอนนี้ หรือตราบใดที่ไม่อาจสลัดภาพเหตุการณ์เมื่อคืนออกไปจากใจ

หญิงสาวไม่อยากแม้แต่ขยับกายลุกไปหาของกินดังที่บอกผู้สูงวัย เธอนอนแผ่หลาลืมตาคว้างอยู่บนโซฟา ยิ่งพยายามค้นหาต้นตอความเหนื่อยใจขณะนี้ ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งล้อมกรอบด้วยหนวดเคราสั้นน่าสัมผัสก็ปรากฏขึ้นมา เธอหลงรูปหรือตกหลุมรักเขากันแน่นะ แล้วจะอนุมานความรู้สึกตอนนี้ว่าอกหักได้หรือไม่

รมิตาไม่รู้จะหันหน้าปรึกษาใคร เมื่อเพื่อนสาวที่สนิทที่สุดก็กำลังเผชิญปัญหาความรักเช่นกัน แวบหนึ่งที่ความคิดบ้าบิ่นแวบผ่านเข้ามา เธอท้าทายโชคชะตาว่าถ้าส่งเขามาพูดคุยกับเธออีกครั้งเหมือนเย็นวันนี้ เธอจะให้โอกาสตัวเองได้พูดคุยกับเขา อย่างน้อยก็ได้ขอบคุณในการแสดงอันสุดแสนประทับใจที่เธอไม่มีวันลืม

 

เมื่อไม่อาจปฏิเสธเปรมสินีไม่ให้มารับ เช้าวันต่อมารมิตาจึงตื่นลงไปเดินเล่นทิ้งทวนที่ชายหาดเพื่อรอเพื่อน เช้าวันธรรมดาเช่นนี้บนหาดมีผู้คนบางตา ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พักละแวกนี้ออกมาเดินทอดน่อง ส่วนเธอก็เดินไปบนหาดทรายยวบหยุ่นจนได้เหงื่อ ครั้นแดดเริ่มแรงจึงเดินกลับคอนโดมิเนียม

เสื้อยืดมัดย้อมสีสันสดใสชื้นเหงื่อ แม้จะแน่ใจว่าตนไม่มีกลิ่นตัว แต่หญิงสาวก็ไม่วายทำตัวลีบเล็กที่สุดเมื่อมีคนตามเข้ามาในลิฟต์ ก่อนจะพรูลมหายใจยาวออกมาเมื่ออีกฝ่ายออกไปก่อน กระทั่งถึงชั้นสิบแปดที่หมาย ประตูลิฟต์เปิดออกแต่เธอไม่ทันก้าวออกไป ร่างกายก็ถูกสาปเป็นหินเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตู

เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงจ็อกเกอร์สีเทา แม้ไม่ได้เซตผม รมิตาก็จดจำใบหน้าที่หลอกหลอนเธอตลอดสองวันนี้ได้ขึ้นใจ คราวนี้ดวงตาสีฟ้าอ่อนไม่ได้เจือรอยแย้มหัว แต่กลับเบิกกว้างไม่ต่างจากเธอ

ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงอีกครั้ง ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ เขากดปุ่มด้านนอกแล้วแทรกกายเข้ามาอย่างรวดเร็ว...ราวกับสเตปเต้นรำ

โชคชะตาหรือแก๊งสามช่า! ทำไมถึงได้เล่นตลกกับเธอแบบนี้...หรือนี่คือผลพวงของการท้าทายโชคชะตา รมิตาไม่รู้ว่าควรกรีดร้องดีใจหรือร้องไห้ให้แก่ความไม่เอาไหนของตัวเองดี ยิ่งเขายืนอยู่ข้างๆ ในลิฟต์ตัวเดียวกันเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาสูงกว่าเธอราวหนึ่งฟุต...ราวหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ไหนจะมัดกล้ามเนื้อบนบ่า หัวไหล่ และต้นแขนนั่น เธอจะเอาสติที่ไหนพูดจาได้อีก

“มีร้านขายยาใกล้ๆ แถวนี้ไหมครับ”

เอ๋...หญิงสาวเผลอนิ่วหน้าเอียงคอมองเจ้าของคำถามเล็กน้อย แล้วก็ได้เห็นสีหน้าเข้าใจระคนเสียดาย

“คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยช้า ชัดถ้อยชัดคำ

รมิตาพยักหน้าหงึก เธอเลียริมฝีปากพร้อมกับกระแอม ถึงกระนั้นเสียงที่ผ่านลำคอออกมาก็กระเส่าจนเธออยากกัดลิ้นตายนัก

“นะ...ในร้านสะดวกซื้อ...มีเคาน์เตอร์ขายยาค่ะ”

“คุณพูดภาษาอังกฤษได้ งั้นไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”

คำชวนง่ายๆ สร้างความตกตะลึงแก่หญิงสาว แล้วยังยิ้มอ่อนที่ระบายบนใบหน้าหล่อเหลาราวนายแบบนั่นอีก แม้จะคิดว่าพนักงานที่เคาน์เตอร์จำหน่ายยาคงสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่นี่คือโอกาสที่เธอวาดฝันไว้ไม่ใช่หรือไร

รมิตาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นล่างสุด เธอก็เดินตามเขาออกมาแต่โดยดี ทว่าจู่ๆ ร่างสูงกลับหยุดเดินกะทันหัน

“ขอโทษครับ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็หมุนตัวและก้าวเดินไปยังทางออกสู่สระว่ายน้ำของคอนโดมิเนียม เขาหายเข้าไปทางที่มีป้ายสัญลักษณ์ห้องน้ำ รมิตานึกรู้เหตุผลที่เขาต้องการไปร้านขายยาขึ้นมาทันที

แม้จะห่างไกลจากสถานะคนรู้จัก หญิงสาวก็เลือกที่จะยืนรออีกฝ่ายหน้าห้องน้ำ แต่ไม่รู้เธอคิดถูกหรือผิด เมื่อเขามีสีหน้าแปลกใจที่เห็นเธอ

“เอ่อ ฉัน...จะไปซื้อยาให้ คุณท้องเสียหรือคลื่นไส้อาเจียนด้วยไหมคะ”

“ใช่ ท้องเสีย คลื่นไส้แต่ไม่อาเจียน แต่...”

“งั้นรออยู่แถวนี้นะคะ”

นี่แหละสิ่งที่ทำให้หัวใจสาวเบิกบาน เธอรีบผละไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะได้ช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะกับคนที่ปลื้มด้วยแล้ว เท่านี้ก็ทำให้ก้อนเนื้อในอกพองโต

 

ร่างอวบกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่คอนโดมิเนียมหลังได้ของที่ต้องการครบและเกินมาอย่างหนึ่ง แต่ภายในโถงรับรองกลับไร้เงาชายหนุ่ม เธอเดินอ้อมไปตามทางสู่สระว่ายน้ำเพราะคิดว่าเขาอาจไปเข้าห้องน้ำ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับคนที่ตนตามหาซึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนเก้าอี้นอนริมสระ เบื้องหน้าเขามีเงือกสาวผมบลอนด์ลอยคอเกาะขอบสระพูดคุยยิ้มเยื้อนทอดไมตรี

รมิตาก้าวขาไม่ออกเสียอย่างนั้น ได้แต่เกาะกระจกมองทั้งคู่ด้วยความชื่นชมระคนอิจฉา ช่างสวยหล่อสมกันราวกับคู่รักฮอลลีวูด

หญิงสาวกำลังคิดว่าจะขัดพวกเขาอย่างไร สายตาของสาวต่างชาติก็แลเลยมาที่เธอ ตามด้วยสายตาอีกคู่ของชายหนุ่มที่หันมา ใบหน้าคนป่วยกระจ่างใสด้วยรอยยิ้มทั้งปากและตา เขาเอ่ยบางอย่างกับสตรีผู้นั้นก่อนเดินกลับเข้ามาหาเธอข้างใน

“วาว...ขอบคุณคุณมาก” เอ่ยพลางฉวยถุงทั้งหมดไปจากมือเธอ

ชั่วปลายนิ้วสัมผัสกัน รมิตาสะดุ้งราวถูกไฟชอร์ต ยังโชคดีที่เขามัวแต่สนใจถุงโจ๊กที่เธอซื้อมาจนไม่ทันสังเกตเห็นปฏิกิริยาอ่อนหัดของเธอ

“นี่อะไรครับ” ถามไปเดินไป

“โจ๊กค่ะ”

“ของคุณหรือ”

หญิงสาวสั่นศีรษะ ต่อเมื่อนึกได้ว่าตนทำเกินหน้าที่ก็ให้อับอาย เธอเสดันแว่นที่ตกลงมาที่ปลายจมูกกลับขึ้นไป

“คนไทยใจดีอย่างนี้ทุกคนสินะ ขอบคุณนะครับ”

อ้าว เป็นงั้นไป...ใบหน้าอิ่มเหลอหลาเพราะการรวบรัดตัดความของเขา ก่อนจะยิ้มแห้งรับคำพูดนั้นไปตามเรื่องตามราว

“คุณอยู่ชั้นสิบแปดใช่ไหม ห้องอะไร บางทีเราอาจเป็นเพื่อนบ้านกัน” เขาถามพลางกดลิฟต์

“ไม่ใช่ห้องของฉันหรอกค่ะ ของเพื่อน เรามาเที่ยวกัน”

นึกถึง ‘สถานที่’ ที่ไปเที่ยวแล้วใบหน้าก็ร้อนซู่ขึ้นมา ดีที่เขาไม่ถามว่าเธอไปไหนมาบ้าง เพราะทริปนี้พวกเธอมีเป้าหมายอยู่ที่เซเวนวันเดอร์สที่เดียว

“ครับ?”

“คะ” รมิตาขานเสียงสูง

โอ ไม่นะ เธอคงไม่ได้เอ่ยชื่อสถานที่นั้นออกมาตามความคิดใช่ไหม

“คุณพูดถึงเซเวนวันเดอร์ส” เขาเอ่ย แววตาแพรวพราว “ดีใจที่ได้ยินคุณเอ่ยถึง ผมคิดว่าคุณไม่ประทับใจที่ต้องขึ้นเวทีเสียอีก”

“ไม่ ไม่ค่ะ ฉันประทับใจมาก” คนร้อนตัวแก้ตัวทันควัน

เสียงหัวเราะในลำคอของเขาสะท้อนกังวานในลิฟต์ รมิตาอยากมุดแผ่นดินหนีนัก อยากร้องไห้ให้แก่ความงี่เง่าของตัวเอง ดังนั้นทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก หญิงสาวยอมเสียมารยาทก้าวเร็วออกจากลิฟต์ก่อนที่ประตูจะเลื่อนเปิดสุดเสียอีก

“เฮ้...เฮ้คุณ”

เสียงฝีเท้าตึงตังยิ่งทำให้รมิตาลนลานกดรหัสผิดๆ ถูกๆ กระทั่งเสียงฝีเท้านั้นหยุดอยู่ข้างหลัง แต่เธอไม่กล้าแม้แต่หันไปเผชิญหน้าให้ได้อาย

“นี่ห้องคุณเหรอ ผมอยู่ห้องติดกันนี่เอง”

แทนการตอบคำถาม หญิงสาวผลักประตูเข้าไปพร้อมกับงับปิดในเสี้ยววินาที ร่างอวบทิ้งกายพิงบานประตูพร้อมด้วยหัวใจซึ่งเต้นโครมคราม

น่ากลัวเกินไป จะทำอย่างไรถ้าเธอตีขลุมเข้าข้างตัวเองว่าความบังเอิญนี้เกิดจากพรหมลิขิต จะห้ามความคิดว่าเขาสนใจเธอได้อย่างไร เมื่อเหตุการณ์เมื่อวานและตอนนี้ตอกย้ำว่าเป็นเขาที่เป็นฝ่ายก้าวเข้ามาในชีวิตเธอ ช่วงเวลาที่ความหวังจุดประกายในใจ ความหวาดกลัวต่อความผิดหวังก็ผุดพรายในเวลาเดียวกัน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น