2

บทที่ 2


 

เสียงออดดังขึ้น ผู้ที่เพิ่งสงบใจเก็บข้าวของต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้ง ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงเมื่อไพล่นึกถึงเพื่อนข้างห้อง

หรือเขาจะเป็นอะไรมากกว่าเดิม...ความคิดนั้นส่งผลให้เธอละมือจากกระเป๋าเสื้อผ้า รมิตาต้องเขย่งเพื่อมองผ่านตาแมวบนประตู แล้วก็ได้เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของชายหนุ่มต่างเชื้อชาติ ในมือของเขาถือถุงพลาสติกตอกย้ำความคิดก่อนหน้านี้ เธอจึงเปิดประตูอย่างลืมความเขินอายเป็นปลิดทิ้ง

“ผมลืมจ่ายเงินคุณ” เขาบอกกระแสเสียงสุภาพพร้อมกับชูถุงในมือ

แต่...ไม่ใช่ถุงยา นั่นมันถุงโจ๊กต่างหาก!

“และขอยืมจานได้ไหม”

หญิงสาวอ้าปากหวอ ก่อนจะเตือนสติตัวเองว่าแค่จาน...แค่คนเดือดร้อนเพราะไม่มีจานกินข้าวน่า รมิตาสูดหายใจลึกแล้วจึงผละไปหยิบชามกระเบื้องและช้อนอีกคัน

ทว่าแทนที่จะรับของไป ชายหนุ่มกลับยื่นมือมาพร้อมทั้งแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

“ผม...แซม”

รมิตายื่นมือออกไปสัมผัสมือหนาอย่างเผลอไผล เธอกระแอมก่อนแนะนำตัวเสียงแหบพร่าอย่างน่าอาย

“ระ...รุ้งค่ะ”

“ลุง”

“รุ้ง”

“รุ่ง?”

“รุ้ง”

เดี๋ยวนะ นี่เธอทำบ้าอะไร มันใช่เรื่องสำคัญไหมกับการที่เขาออกเสียงชื่อเธอว่าอย่างไร ยายรุ้งเอ๋ย

“รุ้ง...”

ใช่ นี่แหละชัดที่สุด แต่มันเป็นเสียงของเพื่อนเธอนี่สิ!

รมิตารีบชักมือกลับด้วยความตกใจ แต่ยังช้ากว่าสายตาของเปรมสินี เจ้าหล่อนทำท่าจะหันไปโวยชายหนุ่มที่ถือวิสาสะจับมือเพื่อน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหายใจเข้าลึกด้วยความตะลึงงันทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร

“คุณ” เอ่ยได้แค่นั้นก็รีบเขย่าแขนถามเพื่อน “แก ใช่นักเต้นที่เซเวนวันเดอร์สไหม ใช่ไหมแก”

“อืม ใช่มั้ง”

เปรมสินีกรีดร้องในลำคอพลางกระทืบเท้าเร่า ก่อนหันกลับไปถามชายหนุ่มด้วยเสียงสองซึ่งหวานเป็นพิเศษ “มีอะไรให้พวกเราช่วยหรือเปล่าคะ”

“อ้อ ผมมายืมจานของเธอครับ แล้วก็จะถามเรื่องยา” เขาตอบโดยไม่ละสายตาจากสุภาพสตรีที่ตนเอ่ยถึง

คนกลางมองเพื่อนและชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสลับไปมา พลันความคิดบางอย่างก็สว่างวาบ “อ๋อ เข้ามาก่อนสิคะ เข้ามาๆ”

เจ้าของห้องเปิดประตูเชื้อเชิญแล้วยังลากแขนเพื่อนมาด้วย ได้ผล คนที่บอกว่ามีธุระจะคุยกับรมิตาก้าวตามเข้ามา เห็นดังนั้นเปรมสินีจึงหนีสองคนเข้าห้องนอน

รมิตาลำบากใจกับความพยายามของเพื่อน ขณะเดียวกันก็นึกละอายที่ทำเหมือนเธอกำลังทอดสะพานให้เขาเต็มที่ มิหนำซ้ำเขายังทำไม่รู้ไม่ชี้ข้ามมา

“ผมคิดว่าผมควรกินนี่เสียที ก่อนที่จะกินยา ใช่ไหม” เขาเลิกคิ้วถามพลางวางถุงบนโต๊ะ

“คุณจะกินที่นี่เหรอ”

“ถ้าเจ้าของห้องไม่มีปัญหา” ว่าพลางยักไหล่อย่างไม่มากเรื่อง

แน่สิ เจ้าของห้องหนีหายเข้าห้องนอนไปแล้ว รมิตาวางชามบนโต๊ะ ต่อเมื่อเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดกับการแกะยาง

มัดถุง เธอจึงยื่นมือออกไปอย่างลังเล

“ขอบคุณครับ ผมไม่เคยแกะมันได้เลย” เอ่ยพร้อมกับส่งถุงให้อย่างยอมแพ้ “มือของคุณหายเจ็บแล้วหรือ ไปโดนอะไรมา”

ถุงโจ๊กแทบหลุดจากมือเดี๋ยวนั้น แค่สายตาที่จับจ้องมือของเธอ รมิตาก็พลอยรู้สึกถึงสัมผัสลูบไล้จากปลายนิ้วขึ้นมา

“หะ...หายแล้วค่ะ” ตอบเสียงสั่น แล้วยังเทโจ๊กด้วยมืออันสั่นเทา

ร่างสูงเลื่อนเก้าอี้นั่งราวกับที่นี่เป็นห้องเขาเอง เขาละเลียดชิมโจ๊ก สีหน้าท่าทางบอกว่าไม่ถูกปากนัก แต่ก็ยังฝืนกินจนคนแอบมองจากหลังเคาน์เตอร์ครัวเห็นใจ

หญิงสาวรินน้ำให้เพราะเห็นเขาถือถุงยามาด้วย รมิตาหยิบยาแต่ละชนิดออกมาพร้อมกับเขียนวิธีใช้เป็นภาษาอังกฤษตามที่เภสัชกรแนะนำลงไป

ชายหนุ่มหยิบไปดูและถามย้ำกับเธอ “ยานี้กับยานี้ไม่ควรกินยกเว้นจำเป็น เช่นอะไรครับ”

“ก็...ถ้าคุณไม่ได้ถ่ายหนักมากหรือคลื่นไส้เวลามีธุระที่ต้องทำ เช่น เอ่อ...ไปซ้อมหรือแสดง ก็ทนถ่ายท้องดีกว่า”

“แปลว่าผมควรกินแต่เกลือแร่”

“ค่ะ”

“คุณพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก แล้วยังใจดีมาก”

เขาเปลี่ยนมาชมเธอดื้อๆ เสียอย่างนั้น ปรากฏสีระเรื่อแต้มแก้มอิ่มและรอยตระหนกในดวงตา

“แต่คุณดูขี้อายและเจ้าอารมณ์ คุณไม่ชอบเต้นนักกระมัง”

“เปล่า”

“จริงหรือ” เขาย้อนถามอย่างเหลือเชื่อ “ผมพูดผิดเรื่องไหน”

“ทุกเรื่องมั้งคะ”

รมิตาลืมตัวมองค้อน แต่ให้ตายสิ! ท่าทางที่เขาวางแขนบนโต๊ะ ใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะยามพูดคุยนั้นเซ็กซี่เป็นบ้า ขืนนั่งอยู่ตรงนี้อีกพัก เธอคงหลอมละลายคาเก้าอี้เหมือนคืนนั้นแน่ๆ

“เดี๋ยวผมเอากลับไปล้างที่ห้องเอง” เขาชิงท้วงขึ้นเมื่อหญิงสาวทำท่าจะเอื้อมมือมาเลื่อนจาน

“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรากำลังจะกลับแล้ว”

“คุณไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ” แซมถามซ้ำราวกับไม่เข้าใจ ก่อนจะนึกได้ “จริงสิ คุณเพิ่งบอกว่ามาเที่ยว เสียดาย...ผมคิดว่ากำลังจะมีเพื่อนใหม่แล้วเชียว”

ใช่ น่าเสียดาย หัวใจสาวพลอยฟีบแบนอีกครั้ง ตรงกันข้ามกับคนที่บอกว่าเสียดายแต่ยังคงแย้มยิ้มบาง ร่างสูงลุกยืนอย่างพร้อมผละไป

“ผมพูดจริงนะ อยากให้คุณอยู่ต่อ” เขาเอ่ยย้ำกับคนที่ตามมาส่งห่างๆ

รมิตาฝืนยิ้ม ริมฝีปากอิ่มสั่นน้อยๆ ตามความหวั่นไหว ยิ่งเห็นสีหน้าชายหนุ่มขรึมลงเหมือนตอนปวดท้องก่อนหน้านี้ เธอก็ไม่รู้จะคิดหาคำใดแทนการบอกลา นอกจาก...

“หายไวๆ นะคะ”

หญิงสาวงับประตูปิดโดยเลี่ยงสบตาอีกฝ่าย ไม่ต้องรอให้เขาหัวเราะหรือใครบอกก็รู้ ประโยคเมื่อครู่นี้น่าขันน้อยไปเมื่อไร แม้แต่เธอยังอยากหัวเราะเยาะตัวเองเลย

 

“แก๊ แกต้องเล่ามาเดี๋ยวนี้นะว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่งั้นอย่าหวังว่าจะได้กลับบ้าน”

ทันทีที่แขกกลับไป เปรมสินีก็ปรี่ออกมาจากห้องราวลูกกระสุนมีชีวิต ไหนจะคำถามที่พุ่งตรงเหมือนห่ากระสุนนั่นอีก

“เขาอยู่ห้องไหน แกไปรู้จักมักจี่กับเขาได้ยังไง แล้วสนิทกันถึงขั้นไหนแล้วแก”

“เบาๆ สิปูเป้ เขาอยู่ห้องติดกัน”

“โอ๊ย นี่ฉันพลาดอะไรไป มีของดีอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้”

เปรมสินียังไม่เลิกเขย่ามือสองข้างของเพื่อน น้อยครั้งที่ใครจะได้เห็นสาวมั่นแสดงอาการกรี๊ดกร๊าดหลงใหลได้ปลื้ม

ใครสักคนเช่นนี้ ถ้าไม่ติดว่ากลัวคนข้างห้องได้ยิน รมิตาคงจับมือกรี๊ดกับเพื่อนให้หายแน่นอกสักที

“อย่ามาทำเป็นอุบนะ ปกติแกออกจะพูดมาก ทีเรื่องนี้เล่านิดเดียว” หญิงสาวชี้นิ้วพลางหรี่ตามองเพื่อน ยิ่งคนพูดมากไม่เคยบอกเล่าให้รับรู้มาก่อน เธอก็ยิ่งจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน และเมื่อเพื่อนเปิดปากเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่กลับไปที่เซเวนวันเดอร์สเมื่อวาน จนกระทั่งถึงตอนที่เธอมาพบทั้งสองคนหน้าห้องพักให้ฟัง จากที่แค่ตั้งธงไว้ เปรมสินีก็ฟันธงทันที “เขาจีบแก รุ้ง! เขาสนใจแกแน่ๆ”

“ไม่ต้องเข้าข้างเพื่อนขนาดนี้ก็ได้ รุ้งรู้หรอกว่าปูเป้ชอบเข้าข้าง”

“บ้า นี่ฉันพูดจากตาเห็นเลยนะ เขามองแกตาเป็นมัน แถมยังหาเรื่องชวนคุยอีกต่างหาก แล้วตอนจะกลับ ท่าทางเขาอาลัยอาวรณ์ อยากให้รุ้งอยู่ที่นี่จะตาย”

“นี่แอบดูเหรอ” รมิตาถามเสียงหลง

“ไม่ได้แอบเล้ย ประตูห้องก็เปิดไว้ แกสองคนนั่นแหละที่ไม่สนใจใคร” เปรมสินีตวัดตาค้อนก่อนยืนยันความคิดตัวเอง “คิดดูสิ ถ้าเขาไม่สนใจแกจะมาทักต่อหน้าเพื่อนๆ เขาเหรอ จำได้ด้วยว่าแกคือผู้โชคดีคนนั้น ใส่ใจถึงขนาดรู้ว่ามือเจ็บ แทนที่จะห่วงว่าตัวเองทอดสะพานให้เขา เขานั่นแหละทอดสะพานคอนกรีตเสริมใยเหล็กให้ แกยังไม่รู้อีก”

“เขาอาจจะเป็นคนไนซ์ก็ได้ เขาก็พูดคุยยิ้มแย้มกับสาวที่สระว่ายน้ำแบบนี้แหละ”

“ถ้าแกคิดอย่างนั้นแล้วมีความสุข สบายใจ ชีวิตดีขึ้นก็ตามใจ ฉันจะคิดของฉันแบบนี้”

คำพูดของเพื่อนกระทบใจรมิตาเข้าอย่างจัง แต่ไม่วายแย้งออกมาอุบอิบ “ไม่ใช่ว่ารุ้งไม่อยากเชื่อเป้นะ แต่มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะชอบรุ้งนี่นา”

“แค่เพราะว่าแกไม่ใช่สเปกหนุ่มไทย ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช่สเปกของผู้ชายทั้งโลกนี่ยะ ผิวสีน้ำผึ้ง หุ่นนาฬิกาทราย อกเป็นอก เอวเป็นเอว มีเนื้อมีหนังเซียะจะตาย แม่เซเลน่า โกเมซ”

คำเปรียบเปรยของเพื่อนเรียกรอยยิ้มขบขันกระจ่างบนใบหน้าอิ่ม ประโยคยาวๆ นั้นสร้างความมั่นใจให้รมิตามากขึ้น ก่อนความคิดและความห่วงใยจะประหวัดนึกถึงเพื่อนแทนเรื่องของตัวเอง

“แล้วพี่เอเป็นไงบ้าง”

“ฮึ! ไม่เห็นเป็นไรเลย” ตอบทั้งย่นจมูกอย่างปั้นปึ่ง “หมอให้นอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายเท่านั้นแหละ”

“อ้าว ยังไม่ดีกันอีกเหรอ แล้วแกมาแบบนี้ ใครเฝ้าพี่เอล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก รุ้งก็รู้ว่านอกจากฉันกับพี่เอจะเป็นคู่หมายกันยังศีลเสมอกัน เดี๋ยวถึงเวลาก็ดีเองละน่า”

คนเป็นห่วงหัวเราะแกนๆ เธอไม่เข้าใจความรักของเปรมสินีเท่าไร หรือจะว่าไปก็ไม่เคยเข้าใจหรือมีประสบการณ์ความรักเลย

บ่ายวันนั้น ระหว่างยืนรอลิฟต์เพื่อไปจากที่นี่ รมิตาอดทอดตามองไปทางห้องพักไม่ได้ ประตูห้องติดกันสุดระเบียงทางเดินปิดสนิททั้งสองบาน ถ้าจะมีครั้งใดที่เธอมีประสบการณ์เฉียดใกล้ความรักที่สุด คงเป็นช่วงเวลาสองวันนี้...กับนักเต้นเปลื้องผ้าสุดฮอตกระมัง

 

แม้เซเวนวันเดอร์สจะมีการแสดงทุกคืน แต่นักแสดงหลักจะขึ้นแสดงเฉพาะคืนวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น นอกจากซ้อมและคิดท่าใหม่ๆ หนึ่งในนักแสดงหลักและนักออกแบบท่าเต้นอย่างแซมก็ใช้ชีวิตเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป เขามักขี่จักรยานยนต์คาเฟเรซเซอร์ไปที่ต่างๆ เว้นแต่วันนี้ที่คนป่วยถือโอกาสพักผ่อน อาการปวดท้องทุเลาลงแล้วก็จริง แต่เขาอ่อนเพลียอยู่บ้างจนไม่ได้ไปยิมอย่างเคย

เสียงออดหน้าประตูปลุกคนงัวเงียให้ตื่นเต็มตา ครั้นเห็นเป็นเพื่อนสนิทอดีตรูมเมต ชายหนุ่มจึงปลดล็อกและผละไปโดยไม่เชื้อเชิญ ร่างสูงหย่อนกายบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน

“ไก่ทอดกับยาตามที่สั่ง กลับจากยิมก็รีบแวะซื้อให้นายเลยเนี่ย”

“ขอบใจ แต่หายแล้วว่ะ” เขาตอบแกนๆ

แซมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าโทร. ไปฝากโจชัวเพื่อนสนิทซื้อยาแต่เช้า กระทั่งปวดท้องหนักขึ้นจึงตั้งใจจะออกไปซื้อยาด้วยตัวเอง แต่เจอคนใจดีมีน้ำใจไปซื้อหยูกยาอาหารให้เสียก่อน

มุมปากซึ่งล้อมรอบด้วยหนวดเคราบางกระตุกยิ้ม ตรงข้ามกับหัวคิ้วซึ่งขมวดน้อยๆ เมื่อหวนนึกถึงหญิงสาวท่าทางตื่นตระหนกทุกครั้งที่เขาเฉียดใกล้ แต่เขามองเห็นบางสิ่งลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของเธอ มันฉายแววใคร่รู้ ท้าทายให้เขาแสดงท่วงท่าลีลาออกไปมากกว่านั้น กระตุ้นให้เขาพยายามเพื่อให้ได้เห็นแววตาหลงใหล ประทับใจ แต่นอกจากคำพูดว่าเธอประทับใจ เขาก็ไม่ได้เห็นแววตาเช่นนั้นจากเธออยู่ดี

บ้าแท้ๆ แซมไม่รู้ว่าเพราะดวงตาคู่นั้นทำให้เขาสนใจเธอ หรือเพราะรูปร่างหน้าตาของเจ้าหล่อนถูกตาต้องใจเขากันแน่ แต่เมื่อรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันก็ก่อเกิดเป็นแรงดึงดูดประหลาด เขาไม่ได้ต้องการสานสัมพันธ์กับใครเช่นนี้มานาน นับแต่เลิกกับคนรักที่คบกันนานถึงหกปี

“เป็นไรของนายวะเพื่อน”

เสียงห้าวลึกดังขึ้นใกล้ๆ ครั้นหันมองก็เห็นชายหนุ่มผมยาวประบ่า มีรอยสักบนต้นแขนข้างหนึ่งนั่งกระดกเบียร์อยู่บนโซฟา ไม่รู้โจชัวนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร

“ว่าไงนะ”

“ฉันถามว่านายลงไปซื้อยาเองเหรอ เห็นถุงยาบนเคาน์เตอร์ครัว”

“อ้อ ใช่ ไม่เชิง”

“อะไรของนายวะ” โจชัวเอ่ยกลั้วหัวเราะพลางยกมือยีผมตัวเอง

“ฉันเจอหล่อน ผู้โชคดีคืนวันเสาร์ เธออยู่ห้องข้างๆ นี่เอง”

คนฟังถึงกับสำลักเบียร์ก่อนสบถออกมาอย่างเหลือเชื่อ เมื่อวานนี้ก็ทีหนึ่งแล้วที่เพื่อนเขากระโดดลงจากเวทีไปหาเธอคนนั้น แต่นอกจากการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสของเจ้าหล่อนแล้ว เขาก็จำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้

“สวยเหรอวะ ท่าทางนายดูสนใจ”

“อืม”

“จีบเลยสิ รออะไร” โจชัวยุส่ง

“เขาแค่มาเที่ยว ป่านนี้กลับไปแล้ว” เอ่ยพลางยักไหล่เหมือนไม่ยี่หระ ทว่าเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากเพื่อน

“โถๆๆ ไอ้น้องชาย ที่นอนซมนี่เพราะท้องเสียหรือสาวเมินกันแน่”

แซมขว้างหมอนใส่คนล้อเลียนอย่างแม่นยำ ก่อนจะเดินหนีเข้าห้องนอน กะว่านอนสักตื่นจะออกไปว่ายน้ำทะเลตอนเย็น

“แล้วไง พรุ่งนี้จะไปขี่รถไหม” โจชัวตามมาถาม ขณะที่เจ้าของห้องถอดเสื้อกล้ามออกทางศีรษะและกำลังจะถอดกางเกง

“ไป”

“งั้นเจอกันเวลาเดิม ฉันกลับละ”

แซมยกมือแทนการบอกลา ไม่นานก็แว่วเสียงกุกกักจากนอกห้องนอน ร่างกำยำซึ่งสวมเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวสอดตัวใต้ผ้าห่ม หลับตาหนีแสงจ้าแม้มีผ้าม่านพรางตา

 

แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลาลับขอบฟ้า ขณะที่แสงสีของเมืองพัทยาสว่างไสวขึ้น ร้านรวงต่างๆ ตั้งแต่ร้านขายอาหารตามสั่งไปจนถึงผับบาร์แข่งกันดึงดูดลูกค้าด้วยแสงไฟและเสียงเพลง ช่วยให้นักท่องเที่ยวหรือคนที่เดินทางมาจากต่างบ้านต่างเมืองหายเหงา หรือบางครั้งก็มีคนมาชวนพูดคุยตรงๆ ก็มี

นับแต่ย้ายมาอยู่เมืองไทยได้หกเดือน แซมคุ้นเคยกับการเดินทางและวิถีชีวิตผู้คนที่พัทยา เขาไม่สนใจว่าใครจะขนานนามเมืองนี้ว่าอย่างไร เมื่อชีวิตต้องเป็นไป ทั้งเขาและหลายคนที่ทำงานกลางคืนก็เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตหรือความฝันตัวเองทั้งนั้น

แต่แม้จะรู้จักถนนหนทางเมืองพัทยามากขึ้น เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับบริเวณหาดจอมเทียนเท่าไร ที่นี่เงียบสงบกว่าย่านพัทยาเหนือที่เขาทำงานและเคยอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมเดียวกับโจชัว แต่เพราะอีกฝ่ายมีคนรัก เขาจึงตัดสินใจย้ายออกมาเพื่อความเป็นส่วนตัว

ชายหนุ่มใช้เวลายามเย็นวันหยุดของตนเดินสำรวจร้านค้าใกล้ที่พัก เมื่อเห็นร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุดซึ่งห่างจากคอนโดมิเนียมร่วมสองร้อยเมตรก็ประหวัดนึกถึงผู้หญิงท่าทางซื่อๆ ทว่าใจดี เมื่อเย็นนี้เองที่เขาออกไปนอกระเบียงห้องพักเพื่อเงี่ยหูฟังว่าคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศห้องข้างๆ ยังทำงานอยู่หรือไม่ เขาจึงแน่ใจว่าเธอกับเพื่อนคงกลับไปแล้วจริงๆ

แซมแวะฝากท้องมื้อเย็นที่ไอริชผับใต้ตึกแถวแห่งหนึ่ง ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำ เพิ่มความมีชีวิตชีวาด้วยทิวธงชาติยุโรปต่างๆ สลับด้วยธงใบโคลเวอร์แขวนบนเพดาน เขาสั่งเบียร์กินเนสส์กับสเต๊กเนื้อเบอร์เกอร์ มื้อเย็นเคล้าเสียงเพลงจากลำโพงบนเสายืดออกไปนานกว่าปกติ ยิ่งดึกลูกค้าก็หนาตาขึ้นเรื่อยๆ

“นั่งด้วยคนได้ไหมคะ”

“ครับ ตามสบาย” ผู้ที่ถูกรบกวนเวลาพักผ่อนตอบง่ายๆ แล้วจึงเพิ่งสังเกตว่าคุ้นหน้าหญิงสาวผมบลอนด์ที่นั่งลงตรงข้าม

“สาวไทยคนเมื่อเช้าไม่ได้มาด้วยหรือ”

ชายหนุ่มถึงบางอ้อ เขาพบเจ้าหล่อนที่สระว่ายน้ำคอนโดมิเนียมเช้านี้นั่นเอง ลืมชื่อเธอไปแล้วด้วยซ้ำ จำได้เลาๆ ว่าเธอจะเดินทางไปกัมพูชาสัปดาห์หน้า

“เปล่าครับ” ปฏิเสธพร้อมยิ้มบาง

เขาไม่ได้ขยายความมากกว่านั้น และเธอก็ไม่ได้ซักไซ้ หญิงสาวสั่งเบียร์ดำเช่นกัน ก่อนเสชวนคุยเรื่องอื่น

“ตกลงพรุ่งนี้ฉันจะไปเกาะล้านตามที่คุณแนะนำ”

“ดีครับ หวังว่าคุณจะชอบ”

นักท่องเที่ยวสาวเลิกคิ้ว เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็มองออกว่าเธอต้องการคำตอบใด ทุกการกระทำของเจ้าหล่อนบ่งบอกความรู้สึกชัดเจนตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรกก็ว่าได้

“เสียดาย พรุ่งนี้ผมนัดเพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว” เขาเอ่ยตามมารยาท ไม่ให้สุภาพสตรีต้องอาย

“ไปไหนคะ”

“ระยอง”

“มีอะไรน่าสนใจ”

“อืม ไม่รู้ซี ผมก็ไม่เคยไป” เขาตอบกลั้วหัวเราะ ก่อนยกเบียร์ขึ้นจิบ “คุณมาจากไหน”

คำถามเปลี่ยนเรื่องเช่นนั้นดับความหวังของหญิงสาวที่จะชวนเขาไปเที่ยวด้วยกัน แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับคนที่มาจากวัฒนธรรมตะวันตกที่ทุกคนพร้อมก้าวต่อไป ไม่เสียดายที่ถูกปฏิเสธหรือเก็บมาติดใจ

“ออสเตรเลียค่ะ คุณล่ะ”

“สหรัฐฯ ครับ”

“เมืองอะไร ฉันมีแพลนจะเดินทางไปปีหน้าพอดี” เธอถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ผมเคยอยู่แคลิฟอร์เนีย”

บทสนทนาไหลลื่นไปเหมือนสายน้ำเมื่อมีสถานที่ท่องเที่ยวเป็นหัวข้อสนทนา แซมสั่งเบียร์เหยือกที่สอง ก่อนที่วงดนตรีสดจะขึ้นแสดง วูบหนึ่งนั้นเขาอดคิดไม่ได้ว่าจะดีแค่ไหนกันเชียวถ้าสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาขณะนี้เป็นสาวไทยใจดีคนนั้น

เออนะ ถ้าโอกาสนั้นมาถึงจริงๆ แซมจะทำตามที่โจชัวแนะนำสักครั้ง เขาจะไม่รอช้าที่จะบอกความรู้สึกให้เธอได้รับรู้ เพราะถ้าไม่ลองคบกันจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้ากันได้หรือไม่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น