๓
กว่าหนึ่งเดือนนับจากวันที่กลับจากพัทยา ชีวิตของรมิตากลับมาอยู่ในกรอบอันแสนปลอดภัยอีกครั้ง ทุกๆ วันเธอจะเดินจากบ้านซึ่งมีรั้วเล็กเชื่อมต่อกับพื้นที่โฮสเทลอันเป็นกิจการครอบครัว ทำหน้าที่ต่างผู้จัดการดูแลด้านการต้อนรับและการจองห้องพัก พ่อซึ่งเป็นอดีตผู้รับเหมาก่อสร้างมีหน้าที่ดูแลสถานที่ ส่วนพี่ชายของเธอมักอยู่พูดคุยสังสรรค์กับนักท่องเที่ยวในตอนเย็นหลังเลิกงานประจำจากบริษัทไอที เพราะเหตุนี้วันๆ รมิตาจึงไม่ได้ออกไปไหนนอกจากนัดเจอกับเพื่อนบ้างเท่านั้น
เธอไม่เคยทุกข์ร้อน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านับแต่กลับจากพัทยา...นับแต่ได้เปิดหูเปิดตายามค่ำคืน หัวใจเธอก็ร่ำร่ำอยากออกจากกรอบ เหมือนนกที่ได้กางปีกเล่นลมย่อมปรารถนาจะหลุดพ้นจากกรงไปผจญโลกดูสักครา
‘รุ้งเอ๋ย มาใจแตกเอาปูนนี้นี่นะ’
หญิงสาวสั่นศีรษะขับไล่ความคิด ก่อนเสียงโทรศัพท์มือถือจะยุติความเพ้อพกของเธอกลางคัน พรายยิ้มแต้มมุมปากทันทีที่เห็นชื่อเพื่อนสนิทบนหน้าจอ
“ปูเป้ กลับมากรุงเทพฯ แล้วหรือ” เจ้าตัวหารู้ไม่ว่ากระแสเสียงที่ถามเจือความหวังอันสดใส
“แค่ไปงานแต่งญาติที่ต่างจังหวัด ค้างคืนเดียวเอง ทำเหมือนไม่เจอกันนานเป็นเดือนไปได้” เปรมสินีกระเซ้า ก่อนเอ่ยธุระสำคัญ “เออนี่รุ้ง พรุ่งนี้โฮสเทลแกว่างไหม จองให้สักสองห้องสิ พอดีเพื่อนฉันมาจากต่างประเทศ”
“เอาเป็นห้องแบบไหนดี กี่คืน” ถามพลางเปิดโปรแกรมจองห้องพักในคอมพิวเตอร์ขึ้นมา
“แบบไหนก็ได้ แต่ถ้าได้วิวคลองก็ดีเลย สองคืนนะ”
“ห้องชายคลองสวีตว่างห้องเดียวน่ะสิ อีกห้องเป็นวิวสวนได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ๆ แกส่งค่าห้องพักมาในไลน์ฉันนะ”
“โอเค รุ้งคิดเรตพิเศษเลย”
“แล้วก็ต้องดูแลเป็นพิเศษด้วยนะยะ”
“แน่นอน เพื่อนเป้ก็เหมือนเพื่อนรุ้ง”
“ดีมากจ้ะที่รัก แล้วเดี๋ยวจะเข้าไปหา”
รมิตาอดยิ้มขันไม่ได้ คงมีแต่เปรมสินีที่เรียกเธอว่าที่รักได้ไม่ขัดเขิน และชีวิตนี้เธอคงจะไม่มีโอกาสได้เป็นที่รักของใครนอกจากเปรมสินี
หญิงสาวจองห้องพักให้เพื่อน ขณะที่พนักงานต้อนรับอีกคนกำลังรับโทรศัพท์ภายใน และพนักงานในเสื้อผ้าฝ้ายแขนกระบอกสีสันสดใสตามวันอีกคนก็กำลังต้อนรับแขกที่มาเช็กอิน
ที่ ‘บ้านชายคลองโฮสเทล’ มีพนักงานประจำผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำงานหน้าที่ต่างๆ แค่หกคนเท่านั้น เมื่อรวมกับสามพ่อลูกก็ทำให้การดูแลแขกที่เข้าพักจำนวนสิบสองห้องไม่เหลือบ่ากว่าแรง แล้วยังมีกำลังเสริมด้านเสบียงคือนางจันทร์และผู้ช่วยแม่ครัวที่คอยปรุงอาหารจากบ้านมาบริการผู้เข้าพักถึงที่โรงแรม
เมื่อรู้ว่ากำลังจะได้เจอเพื่อน รมิตาก็พลอยรื่นรมย์ขึ้นบ้างในรอบหลายวัน เธอกลับจากโฮสเทลเมื่อใกล้ห้าโมงเย็นเพื่อไปกินข้าวเย็นกับย่าที่บ้าน เพราะกว่าพ่อจะตามมาก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม พี่ชายเธอยิ่งแล้วใหญ่ บางคืนถ้าเจอนักท่องเที่ยวคุยถูกคอก็สังสรรค์กันจนดึกหรือไปต่อที่อื่นก็มี
“เย็นนี้มีอะไรกินบ้างคะคุณย่า” หลานสาวส่งเสียงนำไปก่อนตัว ร่างอวบมีเนื้อมีหนังก้าวเดินไปบนแผ่นหินที่ปูเป็นทางเดินลัดสนามหญ้า
ที่ลานปูนหลังบ้านเดี่ยวสองชั้นนั่นเองที่เป็นครัวของสมาชิกทุกคนในบ้านและโฮสเทล หญิงชราผมสีดอกเลาทั้งศีรษะเงยหน้าจากหม้อใบใหญ่มากวักมือเรียกหลานให้รีบเดินไปหา
“หิวมาสิท่า วันนี้ย่าทำหมูตุ๋น กำลังงวดได้ที่เลย” นางจันทร์ชี้ชวนแล้วจึงหันไปบอกผู้ช่วยที่อ่อนวัยกว่าสิบปี “แม่อี๊ดแน่ะ ลวกบะหมี่ให้หลานหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะป้าอี๊ด... เดี๋ยวรุ้งลวกเองค่ะคุณย่า เผื่อคุณย่ากับป้าอี๊ดด้วยนะ”
“ของป้ายังดีกว่าค่ะ เพิ่งกินกล้วยปิ้งไป ท้องตึงอยู่เลย” แม่ครัวปฏิเสธด้วยรอยยิ้มเอ็นดูมาจากหน้าอ่างล้างจาน
รมิตาลวกบะหมี่เส้นแบนสีเหลืองนวลแบ่งใส่สองชาม โรยด้วยกระเทียมเจียวและต้นหอมขึ้นฉ่ายซอย ก่อนผู้เป็นย่าจะตักหมูตุ๋นราดด้านบน
กลิ่นเครื่องเทศและซอสหอมเตะจมูก แม้จะมีพริกน้ำส้มและพริกป่นให้ปรุง แต่หญิงสาวก็ลงมือใช้ตะเกียบสาวเส้นและคีบหมูใส่ปากทันที ดวงตากลมโตพริ้มลงด้วยความชอบใจ
“ย่าเห็นรุ้งกินน้อยมาหลายวัน ว่าแล้วว่าเมนูโปรดสมัยเด็กจะต้องทำให้หลานย่าเจริญอาหารได้”
มือที่ถือตะเกียบชะงักค้าง รมิตาไม่คิดเลยว่าความหม่นหมองในใจได้เปลี่ยนแปลงตัวตนเธออย่างไร ที่สำคัญยังทำให้คนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่รักเธอไม่สบายใจ
“พ่อกับพี่เราเขาใช้งานหนักใช่ไหมล่ะ” ผู้สูงวัยคาดเดา
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณย่า” หญิงสาวตอบพลางแย้มยิ้มให้ท่านคลายใจ “รุ้งทำงานที่บ้านสบายเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
“ถ้าสบายกายก็แปลว่าหลานย่าคงมีเรื่องไม่สบายใจสิท่า ถึงได้กินข้าวเหมือนแมวดม”
“รุ้งแค่ไดเอตเฉยๆ ค่ะ คุณย่าไม่เชื่อเหรอคะ”
สีหน้าของผู้ที่ริอ่านปิดบังคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนค่อยๆ จืดเจื่อนลงเมื่อท่านโคลงศีรษะ ดวงตาฝ้าฟางทอดมองราวกับทะลุไปถึงจิตใจจนรมิตาต้องเสดันแว่น หลบตา
“กินเยอะๆ นะลูก”
ถ้อยคำปลุกปลอบอ่อนโยนอยู่เหนือความคาดหมายของหลานสาว ครั้นสบตาท่านอีกครั้งก็สบเข้ากับแววเมตตาที่เห็นอยู่เป็นนิตย์ เพียงแค่นั้นก็ทำให้รมิตาคิดได้ว่าเธอไม่เคยมีความลับกับย่า ท่านเป็นเหมือนแม่คนที่สอง แล้วเธอจะยังต้องการความเข้าใจจากใครมากไปกว่านี้
“รุ้งอยากลองหางานที่อื่นทำ คุณย่าคิดว่ายังไงคะ”
“เอ ก็ดีนะลูก ออกไปหาประสบการณ์ จะได้มาดูแลกิจการแทนพ่อเรา”
ความคิดเห็นของผู้อาวุโสจุดประกายความหวังของหญิงสาว เธอลืมตัวเขย่ามือเหี่ยวย่นจนเนื้อใต้ท้องแขนแกว่งไกว
“ใช่ไหมคะ คุณย่าก็คิดอย่างนั้นใช่ไหม”
“ถ้าคิดมากเพราะเรื่องนี้ ย่าจะช่วยพูดกับพ่อเราให้ดีไหมล่ะ”
“โอ๊ย รุ้งรักคุณย่าที่สุดเลยค่ะ” รมิตาโผกอดร่างเจ้าเนื้อ หอมแก้มชื้นเหงื่อทั้งสองข้าง เรียกเสียงหัวเราะจากผู้สูงวัย
“ทีนี้ก็กินข้าวเยอะๆ เหมือนเดิมได้แล้วนะ ย่าใจเสีย กับข้าวเหลือเยอะทุกวันจนไอ้จุดมันอ้วนเอาๆ”
หญิงสาวหัวเราะออกมาจนได้เมื่อนึกถึง ‘ไอ้จุด’ หมาพันทางเจ้าถิ่นประจำซอย คงจะดีหรอกถ้ามันแบ่งเบาน้ำหนักของเธอไปบ้างอย่างที่ย่าตัดพ้อ เพราะต่อให้เธอเบื่ออาหารอยู่หลายวัน รมิตาก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้ผ่ายผอมลงแต่อย่างใด
เอาเถอะ ก็ชีวิตที่ผ่านมาของเธอคงอยู่ดีกินดีเกินไปละมั้ง ไม่แน่ว่าถ้าได้เป็นสาวออฟฟิศอย่างเปรมสินีเมื่อไร เธออาจเหนื่อยจนไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันพักผ่อน แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้โผบิน
รมิตาหลับไปทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบนเตียงที่เปิดค้างไว้ หลังจากเธอลองเข้าเว็บไซต์หาตำแหน่งงานที่ต้องการและได้ส่งประวัติไปให้พิจารณาถึงสามที่ ทั้งหมดล้วนเป็นกิจการโรงแรมตามความสนใจ บางทีหากได้งานแล้วพ่ออาจยินยอมให้เธอออกไปทำงานอย่างเสียมิได้ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวลงมาตามกลิ่นอาหารเช่นทุกเช้า เธอรับโทรศัพท์ภายในที่วางอยู่บนโต๊ะข้างบันไดแล้วจดรายการอาหารเช้าที่พนักงานโรงแรมแจ้งความประสงค์ของผู้เข้าพักมา
“ชุดเช้าสอง ข้าวต้มหนึ่งค่ะป้าอี๊ด” เธอบอกเสียงดังฟังชัด แต่มิวายถูกขัดคอโดยผู้ที่เตรียมจะออกไปทำงาน
“นี่ไงครับย่า ลมบอกแล้วว่าอย่างยายรุ้งทำตัวสนิมสร้อยได้ไม่กี่วันก็กระโดกกระเดกเหมือนเดิม”
“ตาลมก็ ไปว่าน้อง” ย่าปราม
“ใช่ รุ้งจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของรุ้ง พี่ลมจะไปทำงานก็ไปแล้วไปลับซะเถอะ” น้องสาวโต้กลับ ทำท่าจะงับนิ้วพี่ที่ชี้เธอ
“ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้ เกรงใจย่ากันบ้าง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างเห็นขันระคนอ่อนใจ
อาทิตย์วางถาดไม้บนโต๊ะหลังนำอาหารชุดแรกไปเสิร์ฟ สองพี่น้องต่างสะบัดหน้าหนีคนละทาง คนพี่เดินย้อนออกไป
ติดเครื่องยนต์หน้าบ้าน ขณะที่น้องสาวจัดสำรับอีกชุดเตรียมยกไปที่โรงแรม
“เอ แล้วเมื่อคืนรุ้งได้ลองหางานรึยังลูก”
คำถามของย่าส่งผลให้มือกระตุก รมิตาเกือบปล่อยถาดไม้หลุดจากมือ
“งานอะไรแม่” น้ำเสียงกังวานของพ่อทำเอาลำคอลูกตีบตื้อขึ้นมา
“ยายรุ้งอยากทำงานที่อื่นดูบ้าง แม่ว่าดีนะ เด็กมันจะได้มีประสบการณ์”
รมิตาจำต้องส่งถาดไม้ให้พนักงานที่มารับอาหารพอดี เธอหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับพ่อและย่าที่นั่งบนแคร่ไม้ ครั้นเห็นพ่อหน้านิ่วคิ้วขมวดก็พลอยใจเสีย พ่อไม่เคยดุไม่เคยตีเธอก็จริง แต่คำสั่งของพ่อเด็ดขาดเสมอ บางครั้งรมิตาก็อดคิดอย่างน้อยใจไม่ได้ว่าเธอรู้สึกเหมือนตนเป็นลูกจ้างคนหนึ่งมากกว่าเป็นลูกเสียอีก
“จะไปทำงานข้างนอกทำไม ไหนจะค่ากินค่าเดินทาง ลำบากกว่าทำงานที่บ้านเราตั้งเยอะ ดูอย่างไอ้ลมสิ บ่นรถติดทุกวัน”
“แต่พี่ลมก็ไม่ได้ลาออกมาดูโฮสเทลนี่คะ พี่ลมขี้บ่นแต่ก็ยังทำ” เธอเถียงอุบอิบ
“มันไม่เหมือนกัน มันเป็นผู้ชายต้องทำงานสร้างตัว เหมือนที่พ่อสร้างให้แกนี่”
“รุ้งแค่อยากมีสังคม มีประสบการณ์มากกว่านี้”
ทั้งสองต่างอธิบายเหตุผลของตัวเอง ไม่มีใครเปิดใจฟังใครอย่างแท้จริง
“รุ้งยื่นใบสมัครไปสามสี่ที่ค่ะคุณย่า เขาจะติดต่อมาภายในหนึ่งสัปดาห์” หญิงสาวหันไปเล่าให้ย่าฟังด้วยน้ำเสียงแจ่มใสขึ้นบ้าง “รุ้งไปที่โฮสเทลก่อนนะคะ เดี๋ยวสายๆ จะมากินข้าวกับคุณย่า”
รมิตารวบรัดตัดความก่อนผละไป ทิ้งให้พ่อถอนใจหัวเสียกับท่าทีดื้อแพ่งของลูก
“ดูมันนะแม่ ยิ่งโตยิ่งพูดยาก”
“ก็จะไปพูดอะไรนักล่ะตาทิตย์ ฟังมันบ้าง”
“แม่ให้ท้ายอย่างนี้น่ะสิ” ว่าแล้วลุกจากไปอีกคน
“ดู๊ ดูนะแม่อี๊ด เป็นความผิดฉันเสียนี่” หญิงชราบ่นไม่จริงจังนักกับแม่ครัว
นับวันปัญหาระหว่างพ่อลูกดูเหมือนระเบิดเวลาลูกย่อมๆ เมื่อก่อนคนกลางที่อาวุโสที่สุดเลือกที่จะประนีประนอม กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูหลานให้อยู่ในโอวาทของพ่อเขาเพราะเห็นแก่ความสูญเสียของลูกชาย แต่จวบจนบัดนี้อาทิตย์ยังคงไม่ปล่อยวางจากความสูญเสียแม้แต่น้อย นางเห็นใจหลานที่ควรจะได้ตัดสินใจ ได้เลือกใช้ชีวิตของตัวเอง
โทรศัพท์จากเปรมสินีเมื่อเที่ยงบอกว่าเพื่อนชาวต่างชาติของเธอกำลังเดินทางมา รมิตาจึงออกจากสำนักงานเล็กๆ หลังเคาน์เตอร์ต้อนรับเพื่อรอรับแขก
‘พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทฉัน แกต้องดูแลด้วยตัวเองนะรุ้ง แล้วเดี๋ยวเลิกงานฉันจะไปรับทุกคนไปกินข้าวกัน’
ถ้อยความกำชับย้ำเตือนให้เธอยิ่งตื่นเต้น ไม่รู้เป็นเพราะจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตากับเพื่อนหรือเพราะหน้าที่ที่เพื่อนฝากฝังก็สุดรู้ เพิ่งนึกได้ว่าตนลืมถามเรื่องรถราพาหนะของแขกกับเพื่อนก็เมื่อแว่วเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มอยู่หน้ารั้ว ตามด้วยเสียงพูดคุยภาษาอังกฤษแว่วดังใกล้เข้ามา
รมิตาขยับเปิดทางให้ลูกน้องทำงานสะดวก หญิงสาวในเสื้อผ้าฝ้ายสีเหลืองสดกำลังจะเดินออกไปหมายรอแขกของเพื่อนตน ไม่ได้เงยหน้ามองหนุ่มสาวต่างชาติที่เดินสวนไป
‘บ้านชายคลองโฮสเทล’ มีลักษณะเป็นบ้านสมชื่อ ถูกปรับปรุงจากบ้านกึ่งปูนกึ่งไม้ให้ร่วมสมัยและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าขนาดย่อมที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ที่นี่ไม่มีที่จอดรถให้บริการ จักรยานยนต์ตัวถังเปลือยสองคันที่จอดชิดริมรั้วจึงเปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอม อีกด้านของสนามที่ติดคลองมีชานไม้ยกพื้นสำหรับตั้งชุดโต๊ะเก้าอี้หกชุด เป็นทั้งจุดบริการอาหารเช้าและดึกดื่นค่ำคืนโต๊ะเก้าอี้เหล่านั้นมักถูกนำมาต่อกัน นักท่องเที่ยวจากชาติต่างๆ ที่ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อนตั้งวงสรวลเสเฮฮา มีลูกชายเจ้าของสถานที่เป็นตัวตั้งตัวตี
ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น...
“ยายรุ้ง ฉันฝากแกแล้วใช่ไหม ทำไมแกทำแบบนี้” เปรมสินีส่งเสียงแหลมไปตามสาย
“เดี๋ยวปูเป้ รุ้งทำอะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“ใช่สิ แกไม่ได้ทำอะไรเลย เพื่อนฉันไปถึงแล้วเนี่ย”
“หา!”
มาถึงแล้ว...แต่นอกจากนักท่องเที่ยวที่มาฝากกระเป๋าเมื่อเช้าก่อนถึงเวลาเช็กอินก็มีแต่แก๊งมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งมาถึงนี่น่ะสิ รมิตาถึงกับต้องถามเพื่อความแน่ใจ
“เพื่อนปูเป้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาน่ะเหรอ”
“น่าจะใช่ เห็นเขาบอกว่าชอบขี่มอเตอร์ไซค์ อะไรกัน นี่แกไม่ได้มองหน้าแขกไปใครมาเลยเหรอ”
“หึ เป้ไม่ได้ส่งรูปมา รุ้งจะไปรู้ได้ไงเล่า แค่นี้ก่อนนะ”
“ย่ะ รีบไปดูแลดีๆ เลย”
รมิตารีบก้าวขึ้นบันไดขั้นเตี้ยที่ขนาบด้วยอ่างบัว เธอชะลอฝีเท้าลงเมื่อพบว่าบริเวณส่วนต้อนรับมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสามคนยืนจับกลุ่มคุยกัน ในมือของชายสองหญิงหนึ่งถือแก้วน้ำรากบัวซึ่งเป็นเวลคัมดริงก์ของที่นี่ หญิงสาวที่หันมาทางเธอมีผมตรงยาวสีบรูเน็ตต์ รูปร่างสะโอดสะอง ส่วนชายหนุ่มทั้งสองมีรูปร่างสูงโปร่ง แผ่นหลังของพวกเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ชายคนที่มีผมสั้นกว่าคุ้นตาเธออย่างไรชอบกล
“แขกของคุณปูเป้ค่ะคุณรุ้ง” กัลยา...พนักงานต้อนรับคนหนึ่งกระซิบกระซาบ
“คีย์การ์ดล่ะจ๊ะ”
หลังรับคีย์การ์ดห้องพักสองห้องจากพนักงาน รมิตาจึงเดินไปหาชาวต่างชาติที่เพิ่งมาถึง ก้อนเนื้อในอกโลดแรงขึ้นแค่เพียงเห็นต้นแขนกำยำในระยะสายตาเดียวกับระยะห่างในลิฟต์ เธอต้องดึงสายตามองใบหน้าสะสวยของนักท่องเที่ยวสาวแทน
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อรมิตา เป็นเพื่อนของปูเป้ที่จะดูแลพวกคุณ” เธอแนะนำตัวด้วยภาษาอังกฤษ “ให้เรานำกระเป๋าไปเก็บยังห้องพักให้ไหมคะ”
ก่อนจะมีใครตอบรับ ชายหนุ่มทั้งสองก็หันมามองเธอเป็นตาเดียว รมิตาแย้มยิ้มให้ชายผมยาวประบ่า หนวดเคราหนายิ่งทำให้ใบหน้าคมอย่างคนเชื้อสายลาตินอเมริกาเข้มขึ้นอีก แล้วเมื่อเลื่อนสายตาไปยังคนข้างๆ สีหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรก็แปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
รมิตาชักสายตากลับจากรอยยิ้มละลายใจ หัวใจเต้นกระตุกจนพานให้ท้องไส้ปั่นป่วน เธอต้องบีบมือเข้าหากันแน่น กัดฟันข่มความประหม่า
“ไม่เป็นไรครับ คุณนำไปที่ห้องพักก็พอ” เสียงทุ้มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาเสมอ
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก เธอเสดันแว่น ยังคงเลี่ยงสบตาสีฟ้าที่ตนใฝ่ฝันถึงอยู่เป็นเดือนๆ ขณะผายมือเชิญแขก ก่อนเดินนำพวกเขาไปยังห้องพักที่จัดเตรียม
ภายในโฮสเทลประกอบด้วยห้องพักสามประเภท ห้องพักที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ‘ชายคลองสวีต’ ซึ่งมีเพียงสองห้องเท่านั้น มีระเบียงส่วนตัวริมคลอง ส่วนห้องพักที่เหลือเป็นวิวสวนและห้องพักวิวคลองชั้นบน เมื่อไม่ต้องสบตาสีฟ้าคู่นั้น รมิตาก็พอจะประคองสติทำหน้าที่พนักงานที่ดีได้
“ห้องชายคลองสวีตของเราเหลือว่างห้องเดียวค่ะ อีกห้องฉันจองเป็นห้องวิวสวนติดกันให้” ว่าพลางทาบคีย์การ์ดกับเครื่องสแกน เธอเปิดประตูห้องสวีตเข้าไปแล้วตรงไปเปิดผ้าม่านสีขาวจากหน้าต่างขนาดเต็มบาน เผยให้เห็นระเบียงไม้ริมคลองที่มีโซฟาหวายบุนวมตั้งอยู่
“วาว บรรยากาศดีมาก”
ท่าทางตื่นตาตื่นใจของนักท่องเที่ยวสาวเรียกรอยยิ้มของเจ้าของสถานที่ให้กว้างขึ้น เธอเลือกที่จะปล่อยสายตาให้เคลื่อนตามร่างระหงเพื่อไม่ต้องสบตาใคร
“แซม...”
หัวใจรมิตากระตุกวูบทันทีที่เจ้าของเสียงหวานตรงไปกอดแขนล่ำสันด้วยท่าทางออดอ้อน เธอต้องเบือนหน้าหนี จู่ๆ ก็อึดอัดจนพานหายใจไม่ออก อยากก้าวพ้นไปจากห้องนี้ก็ติดที่ชายหญิงซึ่งยืนขวางประตู
“ได้ๆ...ฉันรู้อยู่แล้วว่าเสียงเดียวยังไงก็แพ้พวกนายสองคน” เขาตอบกลั้วหัวเราะ แล้วจึงเอ่ยคำชวนที่ทำเอาสาวไทยตื่นตกใจ “ไปเถอะรุ้ง ไหนห้องผม”
ชื่อของเธอออกมาจากปากเขาชัดเจนราวกับผู้พูดฝึกออกเสียงคำนี้นับร้อยนับพันครั้ง จากที่คิดว่าเขาควงสาวมาเย้ยกลับกลายเป็นความอ่อนไหว ผีเสื้อในท้องพากันกระพือปีกบินจนเท้าเธอคล้ายจะไม่ติดพื้น รมิตาแทรกกายผ่านร่างสูงใหญ่ออกไปยังอีกห้องหนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจลึกรวบรวมสติ ปฏิบัติต่อเขาเช่นแขกทุกคน
“ชา กาแฟบนโต๊ะและเครื่องดื่มในตู้เย็นฟรีทั้งหมดค่ะ วันต่อมาแม่บ้านจะนำน้ำเปล่าและเครื่องดื่มที่พร่องมาบริการเพิ่ม ส่วนผ้าขนหนูและไดร์เป่าผมอยู่ในตู้ใต้อ่างล้างหน้าค่ะ”
“อือฮึ” เขาพยักหน้ารับรู้ แต่คิ้วยังขมวดน้อยๆ
“อ้อ ถ้าต้องการสั่งอาหารกดหมายเลขภายในที่บอกไว้ในรายการอาหารได้นะคะ ครัวปิดหกโมงเย็น” หญิงสาวเอ่ยรัวพร้อมกับหวังให้เขาขยับหลบจากประตูเสียที
“เวลคัมดริงก์เมื่อกี้เป็นน้ำอะไรน่ะ ผมเพิ่งเคยกิน หอม...หวานดี”
กลับเป็นรมิตาที่ย่นคิ้วแปลกใจบ้าง เธอคาดไม่ถึงกับคำถาม “น้ำรากบัวค่ะ”
“โลตัส รูต...” เขาทวนคำอย่างเหลือเชื่อ “จริงหรือ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เบิกตา อ้าปากด้วยความอัศจรรย์ใจ คนมองอดยิ้มขันไม่ได้ ต่อเมื่อเขาค่อยๆ คลี่ยิ้มเช่นกัน แก้มสาวก็ร้อนซู่ขึ้นมา
“เพื่อนคุณบอกว่าเย็นนี้จะมารับพวกผมกับคุณไปกินข้าวด้วยกัน” แซมเกริ่นเชิงถาม
“ค่ะ ฉันต้องขอตัวก่อน”
เมื่อได้คำตอบที่พอใจเขาจึงไม่พยายามรั้งเธอไว้อีก ชายหนุ่มต้องสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงไม่ให้หมุนร่างอวบอิ่มมาเกี่ยวกระหวัด เต้นรำไปตามจังหวะที่เขาชักนำ ขณะเปิดทางให้เจ้าหล่อนเดินผ่านเขาออกไป
เสียงสัญญาณรอสายดังไม่ทันใจที่เต้นรัว รมิตาต้องการคำอธิบายว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไร ทำไมนักเต้นหล่อลากของเซเวนวันเดอร์สจึงเป็นเพื่อนเปรมสินีไปเสียได้ แล้วพวกเขามาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวจริงหรือ หรือว่า...
‘อึ๋ย หยุดความคิดเข้าข้างตัวเองเดี๋ยวนี้นะยายรุ้ง เขาไม่ได้ตั้งใจมาหาเธอหรอก’
รมิตาสั่นศีรษะขับไล่ความคิด คนคนเดียวที่จะให้คำตอบได้คือคนที่รับสายด้วยน้ำเสียงลากยาวยียวน
“ฮัลโหล...”
“ไม่ต้องเลยนะปูเป้ รุ้งไม่ขำด้วยหรอก ทำอะไรไม่เคยปรึกษากันเลย ถ้ารุ้งเกิดหัวใจวายจะทำยังไง”
“โอ๋ๆ แค่นี้ถึงกับหัวใจวายเลยเหรอจ๊ะยายป้า” เปรมสินีปลอบโยนกลั้วหัวเราะ
“ปูเป้ไปรู้จักมักจี่กับเขาได้ยังไง ไปล่อลวงท่าไหนเขาถึงมาพักที่นี่ แล้วผู้ชายอีกคนเป็นนักเต้นเซเวนวันเดอร์สเหมือนกันใช่ไหม รุ้งคุ้นหน้าเขา”
“โอ๊ย ทีละคำถามสิ” ปลายสายโอดครวญ “รุ้งลืมไปแล้วหรือว่าแซมเป็นเพื่อนข้างห้องฉัน ทำไมฉันจะหาโอกาสสนิทกับเขาไม่ได้ล่ะ จริงไหม ฉันไม่ได้ล่อลวงเขามาเที่ยวกรุงเทพฯ สักนิด แค่เล่าให้ฟังว่าแกมีโฮสเทลริมคลองบางกอกน้อย อีตาแซมก็แทบบึ่งรถมาแล้ว เดือดร้อนฉันเนี่ยต้องจองห้องให้”
คนฟังทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่เชื่อถือ ทั้งที่ปักใจเชื่อเพื่อนไปแล้วทั้งใจ เธอนั่งบีบเนื้อบีบตัวข้างโต๊ะประชุมเล็กภายในสำนักงาน
“ซักฟอกฉันหนำใจหรือยัง ให้ฉันลาออกจากงานไปให้แกซักเลยไหม”
“ไม่ต้องทำขึงขังกลบเกลื่อนเลย รุ้งไม่กวนแล้ว”
“แหม เดี๋ยวนี้รู้ทันเว้ย” เพื่อนสาวสัพยอก “แล้วเย็นนี้อย่าลืมแต่งตัวสวยๆ นะจ๊ะ สักทุ่มนึงจะไปรับ ฝากบอกแซมกับเพื่อนเขาด้วย”
สายตัดไปแล้ว ทว่าหัวใจรมิตาไม่ได้สงบลงเลย ยิ่งเพื่อนพูดเหมือนชายหนุ่มตั้งใจมาหาเธอ จินตนาการก็ข้ามขั้นไปไกลจนก้อนเนื้อในอกพานหวิวไหว ใจหนึ่งหวาดกลัวความผิดหวัง อีกใจก็ปรารถนาจะสนองตอบมิตรจิตมิตรใจของเขา
ตามแต่เขาจะพาเธอไปหยุดที่จุดไหน
เสียงสนทนาสลับกับเสียงหัวเราะแว่วดังจากสวนมาถึงออฟฟิศเล็กๆ หญิงสาวลุกไปแง้มม่านดูก็เห็นสองหนุ่มนักเต้นกับเพื่อนสาวยืนคุยกันอยู่ข้างจักรยานยนต์ แซมตวัดแจ็กเกตหนังสีดำมาสอดแขนเข้าไป เขาโบกมือให้เพื่อนนำไปก่อนแล้วสวมหมวกกันน็อกสีดำด้านเต็มใบ ร่างสูงใหญ่ตวัดขาคร่อมจักรยานยนต์อีกคัน ก่อนบิดเครื่องออกไป
เออหนอ จะดีสักแค่ไหนถ้าเธอได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันนั้น ตะลอนเที่ยวกับชายในฝัน มีอิสระที่จะคิดทำสิ่งใด คงเหมือนฝันเป็นจริงเชียวละ
ความคิดเห็น |
---|