2

หมอก


2

หมอก

“เฮ้ยๆ หมอก ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ของลุงมึงปิดกี่โมงน่ะ”

“เอ่อ...สองทุ่มพี่ ทำไมเหรอ มี’ไรป่าว?”

“ไฟท้ายเสียว่ะ มันกะพริบๆ แล้วก็ดับไปเลยเนี่ย”

“ไหนๆ พี่ ผมดูให้ก่อนไหม”

“เฮ้ย! มึงซ่อมเป็นด้วยเหรอวะหมอก”

“ผมจบช่างอิเล็กฯมานะเว้ยพี่ อะไรใช้ไฟฟ้าผมซ่อมได้น่ะ มา ผมดูให้ก่อนได้”

ผมผุดลุกจากม้านั่งเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของผมก่อน เปิดฝาที่นั่งหยิบชุดไขควงประแจเล็กๆ ที่พกไว้ แล้วเดินตรงไปที่รถของพี่เฟือง เพื่อนร่วมวินมอเตอร์ไซค์ปากซอย นั่งลงไขสกรูฝาครอบไฟออกอย่างคล่องแคล่ว

“เออ มึงหน่วยก้านดีนี่หว่า ดูคล่องเชียว”

พี่เฟืองที่ยืนมองข้างๆ ชม ระหว่างที่ผมบิดเอาหลอดไฟที่ไม่ติดออกจากขั้วเบ้าของมัน ผมหยิบมันออกมาส่องดูว่าหลอดขาดไหม มันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่จะเช็กเป็นอันดับแรกเวลาไฟไม่ติด

“ก็บอกแล้วไงพี่ ว่าผมเรียนจบช่างอิเล็กฯปวช.มานะเว้ย เรื่องแค่นี้สบายมากพี่”

หลอดไม่ขาดแฮะ ถึงจะดูเก่า แต่ผมแน่ใจว่ามันไม่ได้ขาด ผมแหย่ไขควงที่มีไดโอดเช็กไฟลงไปจ่อที่ขั้วเบ้าของหลอดไฟท้าย เช็กว่ามีไฟเข้ามาไหม

“แล้วมึงมาทำงานเป็นวินมอเตอร์ไซค์ทำไมวะ แบบนี้เปิดร้านรับซ่อมก็ได้ เป็นช่างตามโรงงานก็ได้นี่หว่ามึง”

ไดโอดบนไขควงไม่ติดไฟ ผมทดลองอีกทีก็ยังไม่ติด ปัญหาคงมาจากสายไฟข้างใน ไม่ก็ตัวจ่ายไฟมาที่เบ้าไฟท้ายนี้นั่นละที่มีปัญหา ผมเก็บไขควงลงซองอุปกรณ์น้อยๆ ของผม หันไปหาพี่เฟือง

“งานตามโรงงานมันจ่ายน้อยน่ะพี่ ขี่วินได้เยอะกว่าเถอะ เปิดร้านก็ไม่ไหว ไม่มีทุนจะเปิดหรอก เออ แล้วรถพี่อะ ถ้าไม่สายไฟเสียก็ตัวจ่ายไฟข้างในแหละที่มีปัญหา ต้องไปที่ร้านดีกว่าพี่ ตรงนี้อุปกรณ์ผมไม่พอ ทำให้ไม่ได้หรอก”

“เออ งั้นเดี๋ยวพี่ไปเลยดีกว่า ลุงเอ็งอยู่ร้านซ่อมอยู่แล้วใช่ไหม ให้ลุงเอ็งซ่อมแล้วกัน”

ไวเท่าปากว่า พี่เฟืองลุกไปหยิบหมวกกันน็อก

“อ้าว! แล้ววินอะพี่ คิวพี่ด้วยเนี่ย ไม่วิ่งแล้วเหรอวันนี้”

นี่เพิ่งจะสี่โมงเย็นเอง กว่าวินจะเลิกก็นู่นสองทุ่ม แล้วช่วงเวลาคนเลิกงาน คือเวลาที่งานเข้าวินเยอะสุด จะทำเงินไม่ทำเงิน จะมีกินไม่มีกิน มันก็ช่วงเวลานี้นั่นแหละ

“ไม่อยากขี่แบบไม่มีไฟท้ายตอนมืดๆ ว่ะ เดี๋ยวต้องไปรับครูอัยเขาด้วย มันอันตราย”

ท้ายประโยคมีแววกึ่งโว กึ่งเขิน จะเอายังไงกันวะพี่เฟืองนี่ จะอวดหรือจะเขิน ผมพ่นลมออกจมูกอย่างคนหมั่นไส้ ตั้งแต่มีแฟนนี่ ไอ้พี่เฟืองไม่ยอมปล่อยโอกาสอวดแฟนให้ผ่านไปเปล่าๆ สักครั้ง ขอให้มีช่องเหอะ พี่แกจะต้องขออวดสักนิด

แต่ก็นะ คนมันกำลังมีความรัก

“เออ หมั่นไส้คนมีความรักเว้ย”

ปากพูดอย่างนั้น แต่ผมก็ยิ้มตอบให้พี่เขา

“เขาเรียก in love เว้ย”

ไอ้พี่เฟืองออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างชัดใส่หน้าผม จนแทบอยากจะลุกขึ้นถีบเบาๆ ให้มอเตอร์ไซค์เขาล้มซะให้จบๆ เรื่องไป อยากรู้นักว่าตอนเจ็บพี่เฟืองจะร้องเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงชัดๆ ด้วยไหม

“แหม่ ตั้งแต่มีแฟนเป็นครูสอนภาษาอังกฤษนี่ พัฒนานะพี่นะ”

“เขาเรียก develop เว้ยไอ้หมอก เออ มึงวิ่งคิวแทนกูแล้วกันเดี๋ยวกูบอกหัวหน้าวินไว้ให้” พี่เฟืองสตาร์ทเครื่องรถ ใส่หมวกกันน็อก ติดสายรัดใต้คางพลางปรับกระจกมองหลังอีกที “ซ่อมไฟเสร็จแล้วพี่จะไปรับครูอัยเขาเลย แล้วค่อยเจอกันพรุ่งนี้นะมึง”

“เออ โชคดีพี่ ขอบคุณนะ”

ผมยกมือไหว้เขาลวกทีหนึ่ง พี่เฟืองโบกมือแล้วบิดมอเตอร์ไซค์ออกไปจากวิน วันนี้ผมวิ่งควบสองคิวสินะ ของผมกับของพี่เฟือง วันทำงานด้วย หนักหน่อยแต่ก็ได้ตังค์ เอาวะ สู้เว้ยไอ้หมอก

“หมอกๆ คิวมึงแล้วน่ะ”

หัวหน้าวินตะโกนเรียกผม

“ครับๆ พี่”

ผมรีบวิ่งกลับไปที่รถ พลางหยิบหมวกกันน็อกมาใส่ และยื่นอีกอันหนึ่งให้กับผู้โดยสาร

“ไปไหนครับคุณ”

“เอ่อ...ต้องใส่ด้วยเหรอคะ”

เธอไม่ยอมตอบว่าจะไปไหน แต่มองหมวกกันน็อกที่ผมยื่นให้ด้วยสายตากึ่งรังเกียจ กึ่งถาม ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจมัน ผมชินแล้ว

“ใส่เถอะครับ ปลอดภัย เดี๋ยวนี้ตำรวจเขากวดขันด้วยครับ”

“เข้าซอยเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่น่ามีตำรวจหรอก” น้ำเสียงของเธอแข็งขึ้นนิดนึง เป็นสัญญาณที่บอกว่าผมควรหยุดได้แล้ว ทำหน้าที่ของตัวเองไปจะดีกว่า

“เอ่อ...ก็ได้ครับ แล้วแต่คุณผู้โดยสารเลย”

ผมเอาหมวกกลับมาคล้องไว้ที่เดิม ความปลอดภัยของตัวเขา เลือกเอาเองตามสบาย

“อ้ะ ไปไหนครับ” ผมถามอีกครั้ง

“ไปคอนโด บ้านกลางซอย ค่ะ”

“สามสิบบาทครับ ขึ้นมาได้เลย”

แล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป

ไม่ใช่งานที่รัก

แต่ก็เป็นงานที่เลี้ยงชีวิต

 

เริ่มต้นเรื่องตัวเองยังไงดีล่ะ

ผมชื่อหมอก เป็นวินมอเตอร์ไซค์

บางครั้งผมก็ถามตัวเองเหมือนที่พี่เฟืองถามนั่นละ ทำไมผมถึงได้มาขับวินมอเตอร์ไซค์ ผมเรียนจบนะ ไม่ใช่ทิ้งโรงเรียนออกมากลางคัน ผมเรียนจบช่างอิเล็กทรอนิกส์ ชั้นปวช.จากวิทยาลัยเทคนิคแถวบ้านนั่นแหละ เรียนจบด้วยผลการเรียนดีเสียด้วย ดังนั้นผมไม่ใช่เด็กเกเรหรอก

ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว...

ที่จริงพ่อแม่อยากให้เรียนชั้นปวส.ต่อ แต่ผมดื้อเองละ อยากตามแฟนมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนนั้นแฟนผมเรียนสายสามัญ จบชั้นม.6 ก็จะเข้ามาเรียนที่ราม เธอบอกผมว่า ให้เลือกระหว่างเลิกกัน หรือตามเธอมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่บอกก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมเลือกอะไร ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่าไม่เชิงเสียทีเดียวที่ผมไม่ใช่เด็กเกเร

ดีว่าผมมีลุง ที่เป็นพี่ชายของแม่ เปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่แถวๆ สะพานควาย ผมเลยได้อาศัยอยู่กับลุงแกนี่แหละ ตอนแรกเข้ามากรุงเทพฯก็กะว่าจะหางานทำ แล้วก็อยู่กับแฟน แต่ปัญหาคือไอ้วุฒิปวช.ของผมเนี่ย มันหางานในกรุงเทพฯยากเสียเหลือเกิน หรือถ้าได้ ก็เป็นงานที่จ่ายน้อยจนแทบจะถามกันเลยว่านี่เงินเดือนหรือเงินทอน

สุดท้าย ลุงผมก็ให้ยืมมอเตอร์ไซค์ของแก แล้วฝากฝังให้ผมเข้าวินผ่านพี่เฟืองที่เป็นคนรู้จักของลุงนี่แหละ ผมถึงได้เริ่มต้นชีวิตวินมอเตอร์ไซค์ย่านถนนพหลโยธิน อย่านึกดูถูกไปนะคุณ ถ้าขยันๆ หยุดน้อยๆ ทำรอบดีๆ บางทีเงินเยอะกว่าพนักงานกินเงินเดือนเสียอีก

ผมทำงานเป็นวินมอเตอร์ไซค์เก็บเงินไป บางส่วนก็แบ่งช่วยส่งแฟนเรียนด้วย เขาเองก็ทำงานเหมือนกัน แล้วก็มีเงินจากที่บ้านส่งมาให้เขาเรียนด้วย แต่ชีวิตความเป็นอยู่ในกรุงเทพฯมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เงินที่ได้มันไม่ค่อยจะพอเท่าไหร่ ถึงแม้เธอจะไม่เอ่ยปากขอแต่ผมก็พร้อมจะให้นะ แฟนผมนี่ ผมก็ต้องรับผิดชอบเธอสิ

จนกระทั่งผ่านไปสี่ปี ผมจับได้ว่าเธอมีคนอื่น ก็ไอ้เพื่อนนักศึกษาที่เรียนด้วยกันนั่นแหละ ความสัมพันธ์ของเราสองคนถึงได้จบลง

“ทำไมทำกับเราแบบนี้อะเฟิร์น”

ถ้าย้อนกลับไปได้…ผมจะไม่ถามเธอแบบนั้น

“เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ”

สงสัยเหมือนกันนะว่า การไปมีอะไรกับคนอื่นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นยังไงเหรอ มันทำได้ด้วยเหรอ

“แล้วนี่เฟิร์นจะเอายังไง”

ที่จริงผมหมายถึงว่า จะเอาไงกับความสัมพันธ์ของผมกับเธอ เพราะตอนนี้ห้องที่เธอเช่า ผมช่วยออกค่าเช่าให้ครึ่งนึง ผมมานอนบ้างบางคืนเท่านั้น เพราะที่หอนี้กับวินมันไกลกัน ผมทำงานเลิกสองทุ่ม แล้วก็เริ่มออกวิ่งวินแต่เช้า ให้มาค้างกับเธอทุกคืน มันก็ไม่สะดวกทำงาน

“เรา...เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ”

ผมว่าเธอตอบไม่ตรงกับที่ผมถามนะ ผมถามว่า จะเอายังไง ไม่ได้ถามหาคำขอโทษ

“ไม่ต้องขอโทษแล้วเว้ย เฟิร์นขอโทษแล้ว เราถามว่าจะเอายังไง”

“เราเลือกได้ด้วยเหรอหมอก” เธอถาม แทนคำตอบผมพยักหน้า

“เราขอเลือกไปกับเขาได้ไหม”

และนั่นคือสิ่งที่เธอตัดสินใจ

ผมพยักหน้าอีกที

วางกุญแจห้องทิ้งไว้ตรงนั้น

แล้วเดินออกมาโดยไม่หันกลับไปดูอีกที

ผมหมายถึงทั้งเดินออกจากประตูหอ และเดินออกจากความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเฟิร์น เราเริ่มต้นชีวิตในกรุงเทพฯด้วยการมีกันและกัน แต่ตั้งแต่วินาทีนั้น ผมเหลือแค่ตัวผมคนเดียวเมืองใหญ่แห่งนี้ สิ่งที่ผมต้องคิดถัดไปคือ จะเอายังไงกับชีวิตดี ในเมื่อเฟิร์นเลือกทางของเธอแล้ว ผมก็ต้องตัดสินใจเลือกทางของผมเช่นกัน

ผมเข้ามากรุงเทพฯก็เพราะเฟิร์น ตอนนี้เหตุผลในการอยู่กรุงเทพฯของผมก็ไม่เลือกผมเสียแล้ว หรือผมควรจะกลับบ้านที่ชุมพรดีไหม เงินเก็บก็พอมีอยู่บ้างแล้ว กลับไปลงทุนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ก็คงพอไหว...

แต่ใจหนึ่งก็เสียดายโอกาสดีๆ ในกรุงเทพฯนะ งานวินมอเตอร์ไซค์ถึงเหนื่อยแต่ก็รายได้ไม่แย่มากนัก กว่าจะเข้าได้ก็ใช่ว่าง่ายด้วย อยู่กรุงเทพฯผมยังเก็บเงินได้ ส่งเงินกลับบ้านให้พ่อให้แม่ได้ด้วย

ตอนนั้นผมยังตัดสินใจอะไรไม่ได้สักอย่าง

แต่ผมรู้ว่า ยังไงก็ต้องกลับบ้านก่อน

ถ้าใจเรายังไม่รู้จะไปทางไหน

อย่างน้อยพาตัวเรากลับไปที่ที่เราอุ่นใจก่อนก็แล้วกัน

“ก็อยู่มันต่อที่นี่แหละ”

ลุงผมเป็นคนตัดสินใจให้หลังจากผมเล่าจบ ที่จริงก็กะว่าจะไม่เล่าให้ใครฟังหรอกนะ แต่หน้ามันคงซึมอย่างเห็นได้ชัด จนลุงต้องลากผมมานั่งคุยกัน โดยในมือมีเบียร์คนละกระป๋อง และยำปลากระป๋องหนึ่งจานที่อาทำให้ ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ลุงกับอาฟัง ก็ไม่ได้ร้องไห้หรอกนะตอนเล่า ที่จริงคิดเหมือนกันว่า ถ้าร้องสักนิดมันคงจะดีขึ้น แต่แปลกดี เค้นเท่าไหร่ เบ่งเท่าไหร่ น้ำตามันก็ไม่ไหล

“ได้เหรอลุง” ผมถาม

“ได้สิวะ ลุงก็อยู่กับอาสองคน ลูกก็ไม่มี เอ็งอยู่นี่ วิ่งวินมอเตอร์ไซค์ไป วันไหนว่างๆ ก็ช่วงลุงกับอาดูร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ไปด้วยก็ได้นี่หว่า บ้านลุงก็ไม่ได้คับแคบเสียหน่อย หรือถ้าเบื่อจะวิ่งวินแล้วจะหันมาทำร้านเต็มเวลาก็ได้”

ผมนิ่ง ไอ้ทีลุงพูดมามันก็ดีนะ แต่...

“กลับบ้านไป เอ็งจะไปทำอะไร” อาเป็นคนถามผมต่อ

“ไม่รู้ดิอา ค้าขายมั้ง เงินเก็บก็พอมีอยู่บ้าง”

“แล้วไม่คิดจะเรียนหนังสือหนังหาต่อหรือไงเรา?”

“ผมทิ้งการเรียนไปตั้งแต่เข้ากรุงเทพฯแล้วอา นี่ก็สี่ปีเข้าไปแล้ว กลับไปเรียนก็ต้องไปเรียนรวมกับเด็กๆ มันน่ะ”

“อาไม่ได้ถามว่าทิ้งการเรียนมากี่ปี ไม่ได้ถามว่าถ้ากลับไปเรียนกับเด็กๆ เอ็งจะรู้สึกยังไงเสียหน่อย อาถามเอ็งว่า ไม่คิดจะกลับไปเรียนบ้างเหรอ อยากกลับไปเรียนไหม”

ผมนิ่งชั่วครู่...เออนั่นน่ะสิ

ที่ผ่านมาสี่ปี ผมคิดแค่เรื่องของผมกับเฟิร์น

ผมไม่เคยคิดเรื่องของ ตัวผมเองคนเดียว เลยสักครั้ง

“อยากมั้งอา ยังไม่รู้อะ คิดอะไรไม่ออก หัวมันตื้อๆ”

ผมกระดกเบียร์ลงคอต่ออีกหนึ่งอึก

“ถ้ายังคิดไม่ออก ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจอะไร”

อาตบบ่าผมหนักๆ หนึ่งที

“ไปอาบน้ำอาบท่าเสียเถอะ จะกินอะไรอีกไหม เดี๋ยวอาอุ่นพะโล้ให้เอาไหม”

ผมส่ายหน้า ยำปลากระป๋องหนึ่งจานเมื่อกี้นี้ บวกกับความอุ่นใจที่ลุงกับอาป้อนให้ระหว่างที่เล่า มันทำให้ผมอิ่มแบบตื้อๆ พอแล้ว

ผมลุกจากนอกชานบ้านไปผลัดผ้าออก นุ่งผ้าขาวม้าเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพาดบ่าเตรียมไปอาบน้ำ ก็ให้ต้องเดินผ่านโต๊ะในห้องนอน บนนั้น มีรูปผมกับเฟิร์น

ผมวางมันคว่ำลงไปกับโต๊ะ

ไว้ค่อยหารูปอื่นมาใส่แทนแล้วกัน

รูปผมกับแม่...ไม่ก็ผมกับลุงและอาดีกว่า

ไม่รู้ว่าเพราะอิ่มท้อง

เพราะเบียร์ที่ทำให้กรึ่มๆ

หรือเพราะฝนตกอากาศเย็นๆ กันแน่

แต่คืนนั้นผมหลับสนิท เหมือนไม่ใช่คนอกหักเลย

ผมตื่นเช้ามาอีกที พร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกรอบที่สาม อารามที่ว่าตื่นสาย สติสตังก็เลยไม่ได้อยู่กับเนื้อตัว รีบกระวีกระวาดอาบน้ำ แต่งตัว ใส่หมวกกันน็อกแล้วก็ขี่รถออกไปที่วินเลย ดีที่ว่าเข้าวินไม่สายนะ ยังทันเช็กชื่อ

จวบจนผมส่งผู้โดยสารช่วงเช้าไปได้เกือบสิบรายแล้วนั่นละ ผมถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า นี่ผมมาทำงานโดยความเคยชินล้วนๆ เลยนะเนี่ย เมื่อคืนนี้ยังลังเลอยู่เลยว่าจะเอายังไง กลับชุมพรดีไหม หรือว่าอยู่ที่กรุงเทพฯต่อ ปรากฏว่าความเคยชินเป็นตัวช่วยตัดสินใจให้ผมเสร็จสรรพในเช้าวันนี้...ไม่สิ ต้องบอกว่าสายๆ วันนี้มากกว่า

“น้องๆ ไปตึกสำนักงาน xx”

ผู้โดยสารรายใหม่เดิมเข้ามาหาผม

“ยี่สิบบาทครับพี่”

ผมบอกราคา เขาพยักหน้า

ผมมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกมองหลัง ระหว่างที่สตาร์ทรถ

ผมว่าผมไม่ได้ยิ้มให้ตัวเองหรอกนะ แต่รู้สึกได้ถึงมุมปากที่กระดกนิดๆ

สวัสดี หมอกคนใหม่

และความตั้งใจใหม่ๆ ในเมืองเดิมๆ

แล้วผมก็ออกรถไปส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมาย

 

เรื่องราวในเช้าวันนั้นผ่านมาได้ ปีกว่าๆ แล้ว

ผมผ่านช่วงเจ็บมาได้อย่างสบายดี ถือว่ารอดตาย ได้ข่าวว่าเฟิร์นท้องกับผู้ชายคนนั้นแต่ไม่ได้แต่งงานกัน ผมไม่รู้ด้วยว่าเขาทำยังไงกับลูก เก็บไว้หรือเอาออก ผมเป็นคนที่ตัดแล้วตัดขาด ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงหรือใจร้ายหรอกนะ แต่ผมคิดว่าการที่จะยังไปวนเวียนในชีวิตเขา มันไม่ดีทั้งกับผม กับเขา และกับคนที่เขาเลือกด้วย

ต่างคนต่างอยู่นั่นละ ทำนองนั้น

ผมมีงานที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องผม

มีครอบครัวที่ดี เท่านี้ผมก็พอใจแล้ว

ส่วนเรื่องคนรักใหม่ ผมยังไม่ได้คิดขนาดนั้น

“เอ่อ...ไปคอนโดบ้างกลางซอยครับ”

ระหว่างที่ความคิดของผมกำลังท่องไปมาอยู่ในความหลัง เสียงเล็กๆ ของผู้โดยสารคนนี้ดึงผมกลับมาอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงตรงหน้า

“เอ่อ...สามสิบบาทครับ”

ผมบอกอย่างอัตโนมัติ เขาพยักหน้า

“นี่ ขอหมวกกันน็อกด้วยครับ”

เขาชี้มาทางหมวกที่แขวนไว้สำหรับผู้โดยสาร

“… …” ผมอึ้งๆ

“ขอหมวกกันน็อกด้วยครับ...ไม่ได้เหรอ”

เขาขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม ผมยิ้มพลางส่ายหน้าและหยิบมันส่งให้เขา

“เอ่อ เปล่าครับ ได้อยู่แล้วสิ ผมเตรียมไว้ให้ผู้โดยสารใช้อยู่แล้ว แต่แค่แปลกใจน่ะครับ”

เขารับไปใส่ ติดล็อกใต้คางพลางปรับสายให้กระชับ โอ้โห! ผู้โดยสารผมหลายคนก็ยอมใส่หมวกกันน็อกนะ แต่ไม่เคยเห็นใครบรรจงใส่ตามขั้นตอนทุกอย่างแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ

“แปลกใจเรื่องอะไรล่ะ” เขาถาม

“ก็ปกติไม่ค่อยเจอผู้โดยสารขอหมวกกันน็อกใส่เองน่ะครับ มีแต่ผมต้องขอร้องกึ่งบังคับให้เขาใส่”

“อ้าว! ความปลอดภัยส่วนตัวนี่คุณ ผมกลัวนะ ยิ่งไม่เคยขึ้นมอเตอร์ไซค์มาก่อนด้วยยิ่งกลัว”

ผมกำลังจะสตาร์ทรถอยู่แล้ว พอดีได้ยินประโยคที่ว่า “ไม่เคยขึ้นมอเตอร์ไซค์มาก่อน” ทำให้ผมต้องชะงักเท้าที่จะเหยียบคันสตาร์ท แล้วหันไปมองคุณผู้โดยสารคนนี้อีกครั้ง

“นี่ไม่เคยขึ้นรถมอเตอร์ไซค์มาก่อนเลยเหรอครับ”

แทนคำตอบ เขาพยักหน้า เวรกรรม! นี่ผมเปิดซิงมอเตอร์ไซค์ให้เขาเหรอเนี่ย

“งั้นผมก็คือคนขี่มอเตอร์ไซค์คนแรกของคุณ?”

เขาพยักหน้าอีก

“ถามอีกทีนะ นี่ผมเป็นคนแรกที่คุณซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ใช่ไหมเนี่ย”

เขาพยักหน้าอีกรอบ จนหมวกบนหัวดูคลอนๆ ไปหน่อย จนผมต้องกลั้นขำ

“โอเค เอางี้นะ” ผมกางขาตั้งรถ จอดพักไว้ก่อน

“เดี๋ยวผมแนะนำก่อน คุณจะได้ไม่กลัวมากนัก ดีไหม”

เขาพยักหน้า หมวกคลอนอีกรอบ ครั้งนี้ตลกกว่าครั้งที่แล้วอีก ผมแทบจะต้องหยิกตัวเองเพื่อกลั้นไม่ให้หัวเราะ

“เอานี่ ตรงนี้คือที่เหยียบพักเท้า ตอนขึ้นมานั่ง ก็วางเท้าไว้ตรงนี้ เข้าใจนะ” ผมชี้ที่ที่วางเท้าของผู้โดยสาร เขาก้มมองพลางพยักหน้า

“แล้วก็ตรงนี้” ผมชี้ไปที่คันจับด้านหลังเบาะ

“เอาไว้จับเวลาซ้อนท้าย จะได้นั่งได้มั่นคง”

เขาพยักหน้า “แล้วอีกมือนึงอ้ะ”

“เอ่อ...อะไรนะ!” ผมงงที่เขาถาม อีกมือนึง? อะไร

“ก็มือนึงจับไว้ด้านหลัง อีกมือหนึ่งอ้ะ ให้ไปวางตรงไหน ให้จับอะไร” เขาถามสีหน้าพาซื่อ โอย! เวรกรรมอะไรของไอ้หมอกวะเนี่ย ต้องมาเจอผู้โดยสารคนนี้เนี่ย

“อีกมือก็...วางไว้บนหน้าขาก็ได้คุณ”

ผมตอบส่งๆ ไปงั้นแหละ ใครมันจะไปรู้วะคุณว่าต้องวางตรงไหน มือตัวเองก็ตัดสินใจเองดิวะ

“งั้นแบบนี้ มันไม่ตรงตามหลักฟิสิกส์นะ จะนั่งแล้วมั่นคงได้ไง”

เขาเถียงพลางขมวดคิ้วใส่ผม ฟิสิกส์อะไรวะ...ไม่เข้าใจ ผมเลยขมวดคิ้วใส่กลับไปใส่เขา แทนคำตอบ

“อ้าว! ก็ถ้าผมนั่งแล้วคุณเบรกผมก็พุ่งไปข้างหน้า มือที่จับอยู่ด้านหลังมันก็ช่วยรั้งไว้ถูกไหม แต่ถ้าตอนออกตัวหรือเร่งความเร็ว ผมก็จะหงายหลัง มือผมอยู่ไปด้านหลังมันจะช่วยรั้งผมได้ไง มือผมมันต้องจับอะไรข้างหน้าไว้ดิ มันถึงจะช่วยรั้งไว้ไม่ให้ผมหงายหลัง”

พ่อคุณผู้โดยสารอธิบายเสียเหยียดยาว ผมฟังไม่ทันตั้งแต่เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าแล้ว มิไยเรื่องจะหงายหลังไปหรอก จับใจความอะไรไม่ได้สักอย่างเลย ฟิสิกส์บ้าบออะไร ผมเรียนปวช.นะเว้ยคุณ

“คือคุณจะหาที่เกาะด้านหน้าใช่ไหม”

ผมพยายามสรุปใจความสำคัญ ดีนะที่พอจะฟังประโยคท้ายๆ ทัน

เขาพยักหน้า

“ผมเกาะเอวนายได้ปะ?”

“เกาะเอวผมเหรอ ไม่ได้ดิ ผมบ้าจี้ ถ้าคุณเกาะเอวผมเนี่ยนะ ไม่ได้หงายหลังหรอก แต่คว่ำมันตั้งแต่ตอนออกรถเลยเนี่ยแหละ ผมบ้าจี้เว้ย” เรื่องอะไรจะให้เขามาเกาะเอว ขนาดผู้โดยสารสาวๆ สวยๆ หรือแฟนเก่าผม ยังไม่มีใครเคยได้สิทธิ์เกาะเอวผมเลย ผมบ้าจี้จริงๆ

เขานิ้วหน้าใส่ ไอ้คิ้วที่ว่าขมวดตอนแรก ยิ่งขมวดหนักกว่าเดิมอีก โอ้โห! คนเรามันจะมีความสามารถหน้านิ่วคิ้วขมวดอะไรได้ขนาดนี้วะเนี่ย

“เอ่อ...เอางี้นะ นายเกาะไหล่ผมแทนโอเคไหม”

ผมเสนอทางออกกลางๆ ให้ คิ้วเขายังคงขมวดอยู่

“มันไม่มั่นคงพอนะ ผมว่า”

เขาออกความเห็น ผมเริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆ เย็นไว้ไอ้หมอก นี่ผู้โดยสาร

“อ้ะ งั้นเอางี้แล้วกัน ขึ้นรถมา”

ผมขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ก่อน เอาขาตั้งขึ้น เขาค่อยๆ ขึ้นรถตามมา ผมเอามือขวาผมจับมือขวาเขา ผ่านข้างตัวผมช้อนใต้รักแร้ขึ้นมาเกาะคล้องไหล่ผมไว้

“แบบนี้โอเคไหม รับรองว่าแน่นหนา มั่นคงแน่ๆ”

ผมหันไปถามเขา พยายามกลั้นความประชดไว้ในใจ ไม่ให้ออกไปทางน้ำเสียง...ซึ่งยากพอควรว่ะ

“แบบนี้ถ้าผมหงายหลังไป นายก็จะหงายหลังไปด้วยอะดิ ตามหลักฟิสิกส์อ้ะ”

เขายังไม่วายมีปัญหา ไอ้ฟิสิกส์ห่าอะไรนี่เข้าใจยากฉิบหาย นี่ถ้าเยอะสิ่งกว่านี้ผมจะเรียกเขาว่าไอ้หนูเจ้าปัญหาแล้วนะ คนอะไรวะ กะอีแค่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์นี่ ถามเยอะยังกับอุปัชฌาย์ขานนาค โว้ยยย

“เหอะน่า เชื่อผมสิ ผมแข็งแรงพอ ผมดึงคุณไว้ไม่ให้หงายหลังได้น่ะ พอขึ้นมาบนรถผมแล้ว ความปลอดภัยของคุณผมรับผิดชอบเองน่ะ เชื่อเหอะ” ผมสตาร์ทรถเตรียมตัวออก รีบๆ ไปส่งให้เสร็จๆ จะได้จบๆ ไป ไอ้คุณผู้โดยสารบ้าฟิสิกส์

ไม่เคยคุ้นหน้ามาก่อนเลยด้วย

หวังว่าคงจะเจอกันเที่ยวเดียวไม่เจอกันอีกเลยนะ

เออ...งั้นเช็กดูก่อนดีกว่า เผื่อว่าจะต้องเจอกันอีกเรื่อยๆ จะได้เลี่ยงๆ

“ว่าแต่...คุณเพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดบ้านกลางซอยเหรอครับ”

ผมหันไปถามเขาก่อนออกรถ

“ทำไมถามผมงั้นอ้ะ”

โอยยย เว้ยยย ทำไมต้องตอบคำถามด้วยการถามคำถามย้อนวะเนี่ย

“ก็ผมขี่วินที่นี่มาหลายปีนะ ส่งคนที่คอนโดนั้นก็หลายคน แต่คุณหน้าใหม่อ้ะ แสดงว่าเพิ่งย้ายเข้ามา”

“อ๋อ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ได้เพิ่งย้ายมาหรอกครับ ผมมาหาแฟนผมน่ะ แฟนผมพักที่คอนโดนี้”

“อ๋อ! เข้าใจละ อ้ะ จับแน่นๆ ผมออกรถล่ะนะ”

มาหาแฟนนน เก๊ตละ เออ เดี๋ยวคงเลิกกันสักวันแหละ ทำตัวเจ้าปัญหาแบบนี้ ไม่มีผู้หญิงที่ไหนทนผู้ชายชี้เซ้าซี้หรอก อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวนะ

“ขี่ช้าๆ นะ ผมกลัวตก”

“คร้าาาบบบ”

ตอนผมจอดรถที่หน้าคอนโด มือเขายังกุมไหล่ผมแน่นอยู่เลย ต้องให้ผมดับเครื่องก่อนนั่นละ เขาถึงได้คลายมือออกแล้วค่อยๆ ไต่ลงจากท้ายมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกออกแล้วคืนผม

“สามสิบบาทครับ” ผมรับหมวกคืนจากเขา

“ขอบคุณนะ” เขายื่นแบงก์ยี่สิบและเหรียญสิบบาทส่งให้ผม

“ขอบคุณนะครับคุณ” ผมสตาร์ทรถอีกครา เตรียมจะขับออกไป ก็เผอิญได้ยินบทสนทนาจากด้านหลังเสียก่อน

“ตะวัน พี่รอตั้งนาน นึกว่าหลงทางเสียอีก”

“แหมพี่ต่อ ไม่หลงหรอกครับ”

ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะหันไปมองหรอกนะ แต่มันเป็นไปเองแบบอัตโนมัติ คนที่ลงมารับคุณผู้โดยสารเมื่อกี้นี้ที่หน้าคอนโด...เป็นผู้ชายว่ะ

เออเฮ้ย! แฟนเขาเป็นผู้ชาย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น