3

ตะวัน


3

ตะวัน

ผมหาว...

ที่จริงก็หาวเป็นประจำทุกเช้าอยู่แล้วนะ นอนเยอะ นอนน้อย นอนเต็มอิ่มมาแค่ไหน ทุกเช้าเราก็ต้องหาว เรียนกลไกการหาวสมัยอยู่ปี 2 ก็ลืมไปหมดแล้วว่าทำไมเราถึงหาว

สำหรับผม มันเป็นนาฬิการ่างกายเตือนให้รู้ว่า ได้เวลาไปกินกาแฟ

ผมเดินผ่านโถงลิฟต์ของโรงพยาบาล ผ่านโรงอาหาร ตรงไปร้านขายกาแฟหนึ่งเดียวของโรงพยาบาลเป็นกิจกรรมแรกของวัน

เวลาเช้าๆ แบบนี้ เราจะยังไม่เห็นคนไข้ หรือใครอื่นๆ มาที่นี่ ในร้านเต็มไปด้วยแพทย์ประจำบ้านปีต่างๆ เสื้อกาวน์สั้นเต็มร้านไปหมด ร้านกาแฟนี่ก็เหมือนศาลพระภูมิที่แพทย์ทุกคนต้องมา

สักการะก่อนจะขึ้นไปทำงานประจำวัน มาบูชากาแฟอันศักดิ์สิทธิ์ เทพกาเฟอีนที่หล่อเลี้ยงชีวิตระหว่างวันให้เราทำงานไปได้

“เมื่อคืนแกไปไหนมา ตะวัน! ทำไมไม่นอนหอ”

เสียงนาเดียทำเอาผมสะดุ้ง จังหวะที่เข้ามาประชิดตัวถาม เช้าแบบนี้ แถมยังไม่ได้กาแฟ สติสตังผมยังลอยวนไปมาในอากาศ เรียกว่าวิญญาณ ยังไม่ประทับร่างเต็มร้อย เลยขวัญอ่อนเอาง่ายๆ ผมค่อยๆ หันไปยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อนรัก

“เอ่อ...จะถามทำไมวะแก”

“ก็เมื่อคืนแวะไปหาแกที่ห้องน่ะ เคาะไม่ตอบ ไฟก็ไม่ได้เปิด สองทุ่มเอง ก็เลยคิดว่าแกไม่อยู่”

“อ้าว! ไปหาเราเหรอ มีธุระ’ไรป่าว? คุยได้เลยนะ เช้านี้เราไม่รีบขึ้นวอร์ดอ้ะ”

หวังว่านาเดียจะไม่รู้ตัวว่า ผมพยายามเลี่ยงที่จะตอบคำถามแรก

“อย่ามาเฉไฉ แกตอบมาก่อนว่าเมื่อคืนไปไหน”

ไอ้ที่คาดไว้ สงสัยไม่ได้ผล นาเดียยังจี้จะเอาคำตอบ ดูเหมือนจะสนใจมากกว่าธุระอะไรที่นางไปหาผมที่ห้องเมื่อคืนนี้เสียแล้วละ

เอาเหอะ จะช้าหรือเร็ว นาเดียก็ต้องรู้อยู่ดี ในเมื่อเป็นเพื่อนสนิทคนสำคัญที่สุดในชีวิต ไหนๆ ต้องรู้อยู่ดี งั้นเล่าไปเลยก็แล้วกัน

“คอนโดพี่ปอ”

ผมตอบแบบเสียงเบาๆ ลอดไรฟัน พอให้ได้ยินกันแค่สองคน

“อะไรนะแก ไม่ได้ยิน”

เสียงดังไม่พอ นาเดียขมวดคิ้ว พลางยื่นหูมาใกล้ๆ

“ไป นอน ค้าง คอน โด พี่ ปอ มา”

ผมตอบด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม แต่กรอกลงตรงหูของเขา

ถึงคนเต็มร้านกาแฟก็จริง แต่ปกติแล้วไม่มีใครสนใจจะหยุดฟังเรื่องที่คนอื่นคุยกันหรอก บางคนก็คุยกันเอง บางคนก็คุยโทรศัพท์กับพยาบาลบนวอร์ด ไอ้คนที่ไม่คุยก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับมือถือ

แทบไม่จำเป็นเลยที่ผมจะต้องพูดเสียงกระซิบเบาๆ กับนาเดีย

แต่ก็ไม่รู้ดิ ผมกลัวมั้ง ไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน หรือรู้เรื่องระหว่างผมกับพี่ปอ ตอบไม่ได้เหมือนกันนะว่าทำไม

“เฮ้ย! ได้กันหรือยังวะแก? อุ๊ย! ลืมไปขอโทษที”

“เฮ้ย! ไม่เป็นไร เราไม่ถือ ถามได้ไม่ว่าหรอก”

ผมตบบ่าเพื่อนรัก

“ไม่ใช่ ฉันหมายความว่า ลืมไปไม่น่าถามเลย มันจะเหลือเหรอแก ไปค้างบ้านเขาเสียขนาดนี้ หมั่นไส้”

ไม่พูดเปล่านะ นาเดียยังหยิกเข้าที่ต้นแขนผมหนึ่งที เจ็บเสียจนหยุดหาวกลางคัน ลืมง่วงไปเลย ตื่นแบบไม่ต้องใช้กาแฟใดๆ มาปลุกอีกแล้ว

“โอ๊ย! เจ็บนะเว้ยแก” ผมหันไปปัดมือเขาออกจากต้นแขน หยิกด้วยจริตผู้หญิง แต่นาเดียมันแรงเท่าผู้ชายตัวโต ผมคลำแขนตัวเองป้อยๆ นี่จะขึ้นรอยจ้ำเขียวไหมเนี่ย

“ว่าแต่...ดีไหมอ้ะแก” น้ำเสียงนาเดียทีแรกยังมีแววปนง่วงอยู่บ้าง แต่ทันทีที่ผมบอกว่าเมื่อคืนนี้ไปค้างคอนโดพี่ปอ ความง่วงในน้ำเสียงมันหายไปไหนก็ไม่รู้ มีแต่น้ำเสียงแห่งความอยากรู้อยากเห็น

ผมไม่ตอบ ทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วสั่งกาแฟ

“เอาอเมริกาโน่ร้อนครับ ไม่หวานเลยครับ” เสร็จแล้วก็ยื่นเงินให้คนขายจำนวนพอดี แล้วออกจากเคาน์เตอร์โดยไม่รับบิลที่เขายื่นให้ นาเดียเลยต้องรีบสั่งกาแฟก่อน แล้วเดินตามผมมาที่ปลายบาร์เพื่อรอรับกาแฟ

“นี่แกจะไม่ตอบใช่ไหม” นาเดียถามต่อ

ผมทำเป็นยักไหล่ ไม่ตอบสิ่งที่นางอยากรู้

แต่นั่นหยุดนาเดียไว้ไม่ได้หรอก นางรีบดึงคอเสื้อผมลงทันที เผยให้เห็นรอยจ้ำม่วงๆ ที่ต้นคอ สองจุดใหญ่ ที่ผมเองก็ไม่นึกว่ามันจะฟ้องชัดขนาดนี้

“นั่นไง ว่าแล้วต้องมีรอย มึ้งงงงงง อีตะวัน มึงมีผัวแล้ว”

สาบานได้ ถึงนาเดียจะเป็นเพื่อนรัก แต่ ณ เวลานั้น ผมอยากจับมันยัดถังขยะเปียกที่ปลายบาร์ตอนนั้นเลยจริงๆ

“เฮ้ย! นาเดีย เบาๆ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหรอก”

“โอ๊ยยย ใครมันจะไปสนใจกันคะเธอ นี่ดูรอบๆ ตัวเองเสียก่อน มีแต่ซอมบี้ที่ยังไม่ได้กาแฟ ใครมันจะไปสนใจเรา เอางี้ดีกว่า มีใครในนี้ตื่นแล้วจริงๆ บางสักคนเหอะ”

หันไปมองรอบตัวอีกรอบ เออ...ก็จริงของนาเดียมัน อย่างที่บอกแหละ เช้าขนาดนี้ ในร้านกาแฟมีแต่แพทย์ประจำบ้าน ที่ยังไม่ตื่นกันทุกคน รวมถึงผมด้วย คงไม่มีคนหันมาสนใจบทสนทนาของผมกับนาเดียจริงๆ

“อเมริกาโน่ ไม่หวานเลยของหมอตะวันได้แล้วครับ ลาเต้เพิ่มหวานของหมอน้อตได้แล้วครับ”

คนออกกาแฟที่ปลายบาร์เรียกเราสองคนให้ไปรับกาแฟ นาเดียค้อนใส่คนชงกาแฟวงใหญ่ชนิดที่ผมเองยังต้องเบี่ยงหลบทั้งๆ ที่นางไม่ได้ค้อนผม

“บอกแล้วไงว่าชื่อนาเดียแล้วย่ะ ไม่ได้ชื่อน้อต ไม่ยอมจำเลยนะ”

น้ำเสียงนางมีเหวี่ยงเล็กน้อยตอนหยิบกาแฟออกจากบาร์ แต่นางก็หันกลับไปทิ้งหางตาให้คุณบาริสต้านิดๆ พอให้สวยๆ ในที พ่อเจ้าประคุณบาริสต้าก็ส่งจูบให้นาเดียเบาๆ พอให้รู้ว่าเจ้าชู้ยักษ์ใช่เล่น สองคนนี้รับส่งลูกจังหวะดีจนผมอยากวางแก้วกาแฟแล้วปรบมือให้

ผมคว้าแก้วกาแฟแล้วรีบเดินตามนางออกไปจากร้าน

“นี่น้อต...เอ๊ย! นาเดีย” เกือบเปลี่ยนชื่อเรียกนางไม่ทันตอนนางหันมามองขวับตาเขียวปั้ดใส่

“แกก็อ่อยคุณบาริสต้าคนนี้หลายทีแล้วนะ ตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษาแพทย์ นี่กลับมาเรียนต่อเขาก็ยังอยู่...แกไม่คิดจะทำอะไรเสียหน่อยเหรอ”

“หึ! ไม่เอาหรอก จะบ้าเหรอ บาริสต้านะเว้ย”

นาเดียกลอกตา พลางจิบกาแฟ เท้าก็ก้าวฉับๆ ตรงไปทางโถงลิฟต์ เราสองคนเดินผ่านโรงอาหารแบบไม่แยแสมื้อเช้า ตอนนี้มันสายเกินไปสำหรับอาหาร พวกเราทำได้แค่ใช้กาแฟเลี้ยงวิญญาณให้ผ่านช่วงเช้าต่อเข้าช่วงสาย กับภาวนาว่าตอนเที่ยงๆ บ่ายๆ จะมีเวลาพอให้ได้มากินข้าวมื้อแรก

“ทำไมอ้ะ บาริสต้าเขาไม่ดียังไง” ผมถามกลับ

นาเดียชะงักเท้าหันมาหรี่ตาใส่ “ถ้าเดทกับบาริสต้า แกว่าอีกสามปี ห้าปีข้างหน้า ฉันกับเขาจะไปถึงไหนเหรอ หมายถึงอนาคตของเราสองคนน่ะ จะไปถึงจุดไหนเหรอ”

เอ่อ...ถามผมแล้วผมจะไปตอบได้เหรอ เพราะตอบไม่ได้ ไม่มีคำตอบอะไรให้นาง ผมถึงได้เงียบ และรอฟังว่านาเดียจะพูดประโยคอะไรถัดไป

“เราโตกันแล้วนะแก มันหมดช่วงการเดท การเฟลิร์ต คุยกันเล่นๆ หรือการมีแฟนไปแล้ว ตอนนี้มันต้องคุยกัน คบกันเพื่อเป็นคู่ชีวิตแล้วย่ะ แบบแกกับพี่ปอไง”

“แบบเรากับพี่ปอเหรอ…”

ผมทวนท้ายประโยคของนาเดีย นางพยักหน้า

เราสองคนเดินพ้นประตูโรงอาหาร สวนกับพี่ปอที่เดินผ่านเข้าไปในโรงอาหารพอดี เขายิ้มให้ผม ผมยิ้มให้เขา เสี้ยววินาทีสั้นๆ ที่เดินสวนกัน วินาทีนั้นผมรู้สึกได้ถึงความอุ่นวาบและความจั๊กจี้เหมือนไฟช็อตของรอยที่พี่ปอทิ้งไว้ตรงซอกคอ

“แกดูมีความสุขดีนะ” นาเดียยิ้มให้ผม พลางยักคิ้วไปทางพี่ปอที่เดินเข้าไปในโรงอาหาร

“อือ...ก็ใช่น่ะสิ ผู้ชายในฝันเลยนะเว้ยพี่ปออะ” ผมตอบนางไป

“ผู้ชายในฝันเหรอ งั้นถ้าเขาออกมาอยู่กับแกตอนนี้ มันแปลว่าฝันแกเป็นจริง หรือแกกำลังอยู่ในฝันวะ”

นาเดียกระเซ้าถาม แต่นั่นทำให้ผมคิดเหมือนกันนะ เออจริงด้วย...ถ้าเขาคือผู้ชายในฝัน การที่เขายืนอยู่ข้างๆ ผมนี่ แปลว่าผมอยู่ในฝัน หรือว่าเขาออกจากฝันมาอยู่กับผมล่ะ

ไอ้เขาออกจากฝันแล้วอยู่กับผม มันก็โอเค แต่ถ้าทั้งหมดทั้งปวงนี้มันเป็นฝัน แปลว่าสักวันผมต้องตื่นจากฝันใช่ไหมอะ

“แกจะยืนเหม่ออีกนานไหมเนี่ยตะวัน ลิฟต์มาแล้ว”

และก็เป็นนาเดียอีกครา ที่ดึงผมกลับออกจากความเหม่อ

“วันนี้แกอยู่เวรไหม” นาเดียถามหลังจากเราสองคนเดินเข้ามาในลิฟต์ กดชั้น 9 วอร์ดเด็ก และชั้น 8 วอร์ดอายุรกรรมหญิงของผมโดยไม่ต้องบอก

“อือ...ไม่อยู่อ้ะ”

“อ้าว! ไหนตารางที่แกส่งให้ทีแรกแกอยู่ไม่ใช่เหรอ นี่อุตส่าห์คิดว่าเย็นนี้กินข้าวด้วยกัน”

“อ้าว! แกอยู่เวรเหรอนาเดีย”

“ก็ใช่น่ะสิยะ พูดขนาดนี้ คงไม่ได้อยู่เวรมั้ง”

“คือ เราแลกออกแล้ว จะไปค้างห้องพี่ปอน่ะ”

ผมตอบแบบกระมิดกระเมี้ยน

“จ้าาาา ข้าวใหม่ปลามันเนอะ”

เดาได้อยู่แล้วว่านาเดียจะต้องกลอกตา แต่มันก็ยังตลกอยู่ดีตอนที่เห็นเพื่อนรักคนนี้ทำท่าหมั่นไส้ผม

ติ๊ง! ลิฟต์จอดที่ชั้น 8 อายุรกรรมหญิงสามัญ

ผมก้าวออกจากลิฟต์

“นี่ตะวัน มีแฟนแล้วก็อย่าลืมเพื่อนนะยะ แกห้ามทิ้งฉันนะ หาเวลามากินข้าวด้วยกันบ้างย่ะ”

นาเดียสำทับผม ตอนก่อนลิฟต์จะปิด

ผมหันไปแลบลิ้นใส่

“ใครจะลืมเพื่อนอย่างหล่อนกันเล่า บ๊อง”

เสียงหัวเราะดังของนาเดียลอดประตูลิฟต์ออกมาก่อนที่มันจะปิด ผมยิ้มพลางส่ายหัว ถึงจะได้หนุ่มในฝันของผมมาเป็นแฟน แต่ผมไม่มีทางลืมปันเวลาให้เพื่อนรักคนนี้หรอก ใครจะไปลืมมันได้ลงกันล่ะ

ผมนึกถึงวันแรกที่ผมกับนาเดียเจอกัน…

เอ่อ...สมัยที่มันยังใช้ชื่อ น้อต อะนะ

 

“นี่ นี่ เธอ”

คนที่นั่งข้างๆ ผม สะกิดเบาๆ

ผมหันไปมอง เขาอยู่ในชุดนักเรียน กางเกงสีกากี ผมสั้นเกรียนถูกระเบียบเป๊ะๆ ในแถวที่นั่งรอรายงานตัวสิบคน มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่เป็นเด็กผู้ชาย ที่เหลือเป็นเด็กผู้หญิงหมด บางคนกระโปรงน้ำเงิน บางคนกระโปรงแดง และ...มีกระโปรงม่วงด้วยว่ะ เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละ

“เอ่อ...ครับ ว่าไง”

ผมตอบเขากลับไปด้วยเสียงเบาๆ กึ่งกระซิบ เพราะตอนนี้ในแถวมันเงียบสนิทหมดเลยไง พวกเราทั้งเก้าสิบคนกำลังฟังคำอธิบายขั้นตอนการตรวจร่างกาย และตรวจสุขภาพจิตสำหรับนักเรียนที่สอบผ่านเข้าเรียนในคณะแพทยศาสตร์ แล้วคุณเจ้าหน้าที่ที่กำลังอธิบาย หน้าตาก็ดูไม่ได้เป็นมิตรเท่าไหร่

“เธอเคยได้ยินไหมอ้ะ ว่าถ้าเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ เป็นทอมดี้ เขาจะคัดออกตอนตรวจสุขภาพจิต”

“แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่าเป็นหรือไม่เป็นอะ” นิสัยผมจริงๆ เลยนะ ตอบคำถามด้วยคำถามอีกที

“เราว่าเขาอ่านสีหน้าท่าทางได้ เราได้ยินมาว่าเขาใช้อาจารย์จิตแพทย์เก่งๆ มาตรวจ”

“จิตแพทย์ไม่ได้อ่านใจได้นะ เขาจะรู้ได้ไงว่าเราคิดอะไร” ผมตั้งข้อสงสัย ในใจเริ่มคิดตามที่เพื่อนใหม่พูด

“เราว่าเขาอ่านใจได้ เรากลัวอ้ะ กลัวเขาคัดเราออก” นั่นทำให้ผมได้รู้ว่า ทำไมเพื่อนใหม่คนนี้ถึงได้ถามคำถามนี้ ผมยิ้มบางๆ ให้เขา หวังว่ามันจะช่วยให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น

“เราก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่เราไม่เชื่อละ”

“ทำไมอ้ะ ทำไมนายถึงไม่เชื่อ” เขาถาม

“ก็ตอนแรกพบแพทยศาสตร์สัมพันธ์ เราถามรุ่นพี่แล้ว เขาบอกว่าเรื่องนี้ไร้สาระ โกหกทั้งเพ”

ที่จริงแล้วผมโกหกเขาไป แค่อยากให้เขาสบายใจเท่านั้นละ ไม่ดีเลย ที่เริ่มต้นกับเพื่อนใหม่โดยการโกหก แต่ผมทำให้เขาสบายใจนี่นา ไม่นับก็แล้วกันเนอะ

“หืม? นายได้ไปงานรับน้องแพทยศาสตร์สัมพันธ์ด้วยเหรอ” เขาตาโต

ผมพยักหน้า “ทำไมอ้ะ นายไม่ได้ไปเหรอ” ผมพยายามนึกว่าคุ้นหน้าเขาไหม แต่ในงานมีเด็ก freshy คณะแพทยศาสตร์จากทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย คนเป็นพัน มันจะไปเจอหน้าเห็นหน้ากันได้ไง แถมเวลาจัดกลุ่มยังจัดคละสถาบันกันอีก

“ไม่ได้ไปหรอก ตอนนั้นพ่อแม่พาเราไปเที่ยวฉลองที่สอบติด”

“อ๋อ! มิน่าล่ะ ถึงไม่คุ้นหน้านายเลย” ผมพยักหน้าช้าๆ

ดีจังแฮะ รางวัลที่สอบติดคณะแพทย์ของผม มีแค่ชุดเครื่องเขียนใหม่แค่นั้นเอง ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดหรอก ชุดเครื่องเขียนใหม่ แค่นั้น พ่อแม่คงเลิกเซอร์ไพรส์แล้วที่ลูกสอบติดคณะแพทย์ไปแล้ว หลังจากพี่แสงใต้สอบติดด้วยคะแนนอันดับหนึ่งของประเทศไทย ผม นายตะวันออก เลยเป็นลูกชายคนที่สองที่ติดหมอ

สำหรับผม การสอบติด ไม่ใช่ความรู้สึกดีใจหรอก เป็นความรู้สึกที่โล่งอกมากกว่า อย่างน้อยก็ผ่านมาตรฐานที่พี่ชายทำไว้ ตอนนี้ภาระหนักก็ตกไปอยู่ที่เจ้า ‘ดาวเหนือ’ น้องคนเล็กในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกสามปีข้างหน้า ส่วนหน้าที่ของผมขั้นถัดไปคือ ตั้งใจเรียนให้จบ

“งั้น สรุปว่า... ถึงเราเป็นตุ๊ด เราก็เรียนได้ใช่ปะ?”

เขาถามผมอีกที ผมพยักหน้าและแนบยิ้มให้

“ขอบคุณนะ เราชื่อ น้อต นายอ้ะ”

“เราชื่อ ตะวันออก”

น้อตมองเสื้อนักเรียนผม

ที่อกเสื้อปักคำว่า “ตะวันออก ทิศาวงศ์”

“แล้วชื่อเล่นล่ะ” น้อตถาม

ผมส่ายหน้า “ไม่มีอะ ที่บ้านเราไม่มีชื่อเล่น”

“แปลก...” เขาขมวดคิ้วมุ่น “เอางี้ เราเรียกนายว่าตะวันแล้วกัน แทนชื่อเล่น ต่อไปนี้นายมีชื่อเล่นว่า ตะวัน”

“ตรงนั้นน่ะ จะคุยกันอีกนานไหม”

คุณเจ้าหน้าที่หน้าไม่เป็นมิตรดุเสียงแข็ง ผมกับน้อตเพื่อนใหม่ สะดุ้งพรวดนั่งหลังตรงปากปิดสนิททันที แต่เราสองคนแอบมองกันด้วยหางตาแล้วกลั้นยิ้มไว้

มิตรภาพของผมกับน้อตก็เริ่มต้นในแบบนั้นเอง

เราต่างเป็นเพื่อนคนแรกของกันและกันในคณะแพทย์

ตลอดระยะเวลาหกปีที่เรียนแพทย์ เราไม่เพียงแค่โชคดี อยู่ rotation เดียวกันเกือบหมดเท่านั้น แต่ยังเป็นรูมเมทกันด้วย จะแยกกันก็ตอนทำกิจกรรมเท่านั้นล่ะ น้อตชอบทำด้านกองเชียร์ เวลาทำกิจกรรมเลยไปอยู่อีกส่วนหนึ่ง ส่วนผม...อย่างที่บอก ผมชอบงานสวัสดิการ เพราะรู้ว่าเป็นงานที่ไม่มีใครอยากทำเท่าไหร่ แต่มันสำคัญ

เลยทำให้ผมได้เจอกับพี่ปอ อย่างที่เล่าไปไง

และก็ทำให้น้อตพลาดเรื่องราวช่วงนั้นของผมไปด้วย

 

“น้องตะวัน”

พี่นก เรสซิเด็นท์สาวปี 3 ที่เป็น chief ward เรียกผมทันทีที่เท้าผมก้าวเข้าวอร์ด ตาย!!...มาถึงทีหลังพี่ chief จะโดนด่าไหม

“คระ...ครับพี่?”

“มีคนเม้าท์ว่านายเป็นแฟนกับพี่ปอ สตาฟฟ์คณะทันตะ จริงปะ?”

เอ่อ...นี่ไม่ใช่คำถามที่ผมคาดไว้ว่ะ ทำหน้าไม่ถูกเลยตอนที่โดนพี่ถาม และคงเพราะผมยืนทำหน้าเซ่อเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง พี่เขาถึงดีดนิ้วตรงหน้าผมอีกทีหนึ่ง เพื่อเรียกวิญญาณ

“อะ...เอ่อ ครับๆ ใช่ครับ กำลังคบกันครับ แต่…” ผมหรี่เสียงลง “คบกับแบบเงียบๆ นะพี่ ผมกลัวพี่ปอเขาเสื่อมเสียอะ มันจะผิดกฎการทำงานในโรงพยาบาลเดียวกันอะพี่”

“ไฮ้! ผิดกฎบ้าบออะไรกันยะ เขาอยู่ส่วนโรงพยาบาลทันตกรรม เราส่วนของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย คนละหน่วยงานและสังกัดย่ะ ไม่ผิดหรอก”

เอ่อ…อันนี้ผมก็รู้ครับพี่ ผมแค่ยกมันมาอ้างเฉยๆ พี่จะได้หยุดซักไซ้ผมเรื่องนี้ต่างหาก ไม่อยากให้คนพูดถึงเรื่องผมกับพี่ปอเยอะ

“นี่ พี่เอาใจช่วยนะ ฉันน่ะสาววายยุค 90 ชอบเวลาเห็นผู้ชายมุ้งมิ้งกัน”

พูดจบพี่นกก็เดินออกไปดูชาร์ทของอีกสายหนึ่ง ผมถือโอกาสนี้รีบวิ่งพรวดไปที่ฟากของผม หยิบชาร์ทใส่รถราวน์วอร์ด เรียกน้องๆ นักศึกษาแพทย์ปี 4 มารวมกลุ่มเตรียมราวน์ต่อไป

“เอ้อ ตะวันๆ พี่มีอีกเรื่อง”

พี่นกยังไม่จบ เดินตามมาที่ฟากผม ครั้งนี้ผมไม่สะดุ้งแล้ว หันไปยิ้มแหยๆ ให้เธอ ภาวนาในใจว่าอย่าให้พี่นกพูดเรื่องผมกับพี่ปอ ต่อหน้านักศึกษาแพทย์ปี 4 เลย ถ้าพวกนศพ.ปี 4 รู้อะไร เรื่องนั้นกระจายไปทั่วโรงพยาบาลชัวร์

“เดี๋ยวจะมีงานครบรอบหนึ่งร้อยวัน พวกนายปี 1 เตรียมการแสดงด้วยนะ”

“อ่อ...ครับ ครับ ได้ครับพี่”

“นายเป็น head นะตะวัน และต้องได้รางวัลด้วยนะยะ อายุรกรรมชวดรางวัลมาหลายปีแล้ว พวกออร์โธมันชอบเอาคนหล่อๆ มาถอดเสื้อเล่นลิเก ชิงรางวัลได้ตลอด”

“อ่า…ครับพี่” เป็น head? แล้วตูจะทำอะไร นี่เป็นคนทำกิจกรรมมหาวิทยาลัยก็จริงนะ แต่ทำแค่สวัสดิการไง นึกออกไหม ไม่เคยทำงานครีเอทสร้างสรรค์นะเว้ยเฮ้ย!

“แต่ปีนี้ อายุรกรรมของเรามีคนหล่อเยอะแล้ว” น้ำเสียงพี่นก ทั้งเปี่ยมไปด้วยความหวังและความสะใจ “พวกเราต้องคว้ารางวัลมาให้ได้ อย่างน้อยก่อนพี่จบ อายุรกรรมของเราต้องได้รางวัล Got talent สักครั้งนะ พี่เชื่อใจนาย” พูดจบ พี่นกก็เดินกลับไปที่สายอีกฟากต่อ

เออว่ะ ผ่านไปแว่บเดียว ชีวิตการเรียนต่อเฉพาะทางของพวกผมเหยียบเดือนที่สี่เข้าไปแล้ว พ้นหนึ่งร้อยวันแรกอันสุดเสี่ยงต่อการหมดกำลังใจและลาออกกลางคันไปแล้ว

การเปลี่ยนสถานะจากแพทย์ใช้ทุนทั่วๆ ไป ที่ทำงานทั่วๆ ไป มาเป็นแพทย์ประจำบ้าน (หรือที่เรียกว่าเรสซิเด็นท์ สั้นๆ ย่อๆ ว่า เด็นท์) เป็นสถานะนักเรียนอีกรอบ เป็นการปรับตัวขนานใหญ่

ต้องเปลี่ยนจากการทำงาน เป็น ทำงานหนักขึ้น ดูแลคนไข้ยากขึ้น เคสซับซ้อนขึ้น แถมมีกิจกรรมทางวิชาการ ฟังเล็คเชอร์ ทำ topic review มีการประชุมเคสในแผนก นอกแผนก นอกโรงพยาบาล ข้ามจังหวัด บางครั้งมีการประชุมเคสข้ามประเทศ นี่ยังสงสัยว่าถ้ามีประชุมข้ามโลกได้ก็คงมีในสักวัน เป็นเซตคอมโบสุดคุ้มยิ่งกว่าร้านฟาสต์ฟู้ด

งานมันเพิ่มขึ้นเยอะมาก ไหนจะเงินเดือนสวนทางคือลดลง แพทย์ประจำบ้านจะได้เงินเดือนน้อยลง แลกกับการที่พวกเราได้เรียนโดยไม่ต้องจ่ายค่าเทอม โรงพยาบาลก็มีสิทธิ์ที่จะให้เงินเดือนเราน้อยๆ ได้ ค่าขึ้นเวรก็น้อยลง แต่ความยุ่งและเยินในเวรหนักขึ้นหลายเท่า

ดังนั้นไม่แปลก ที่ช่วงเดือนแรกๆ แพทย์ประจำบ้านหลายๆ คนจะรู้สึกเหมือน ปลาช็อกน้ำ แล้วตัดสินใจ dropout ลาออก หยุดการเรียนเฉพาะทางกลับไปหาเส้นทางหมอทั่วไปตามเดิม บางคนก็เบนเข็มไปเรียนระยะสั้น ทำคลินิกผิวหนังกันตามเรื่องตามราว บางคนช็อกหนักสุด เลิกเป็นหมอไปเลย ทำงานอย่างอื่นแทนก็มี

พอครบหนึ่งร้อยวัน ทางคณะแพทย์ และโรงพยาบาลก็เลยจัดงานเลี้ยงรับขวัญ ประหนึ่งตบหลังตบบ่าชื่นชมพวกเราว่า อึดถึกทน อยู่มาจนเกินสามเดือนได้ และหวังว่าจะอยู่ต่อไปจนครบกระบวนการการเรียนจบเป็นหมอเฉพาะทางได้

แต่ถ้ามันเป็นแค่งานกินเลี้ยงธรรมดา...มันก็ดูจะไม่ว้าว

เราจึงมีการประกวด Got talent กันด้วย

ทุกแผนก ทุกภาควิชา ต้องส่งการแสดงของน้องปี 1 ที่เพิ่งผ่านหนึ่งร้อยวันมาหมาดๆ (อย่างเหน็ดเหนื่อย และต้องการการพักผ่อนอย่างหนัก) ให้ไปคิดการแสดงสุดว้าว และเอามาประชันกันบนเวที ชิงรางวัล โดยที่รางวัลที่ได้ มักจะเป็นของจำเป็นเอาไปเติมให้ห้องพักแพทย์ของแต่ละหน่วย เพื่อให้ห้องพักแพทย์นั้นสมบูรณ์ครบถ้วน

เช่น ทีวีจอยักษ์ ตู้เย็น เตียงสองชั้น เครื่องซักอบผ้า หม้อหุงข้าว กระทะไฟฟ้า เครื่องเล่นเกม (ได้ยินมาว่าปีนี้มี PS4 pro) ส่วนรางวัลปลอบใจก็เช่น มาม่าห้าลัง ไข่ไก่สด ข้าวสาร ปลากระป๋อง อาหารแห้งต่างๆ (นี่ห้องพักแพทย์หรือห้องบริจาควิบัติภัยวะเนี่ย) รวมถึงขนม เพื่อให้แพทย์ประจำบ้านไม่อดตาย ตอนอยู่เวรแล้วปลีกตัวไปไหนมาไหนไม่ได้

พวกเราเผ่า...เอ๊ย! ชาวอายุรกรรม ได้มาม่ากับไข่ไก่มาหลายปี ผมเข้าใจพี่นกระดับหนึ่งนะว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องปากท้อง แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีด้วย ตู้เย็นที่ห้องพักแพทย์เริ่มไม่ค่อยเย็น แถมมีกลิ่นแปลกๆ ออกมาแล้ว

เอาวะ ปีนี้ อย่างน้อยไม่ได้เครื่องเล่นเกม หรือทีวี ได้ตู้เย็นใหม่ก็ยังดี

ปัญหาคือ...ผมนี่สิ ที่ต้องคิดการแสดง

แล้วจะให้เป็นผู้นำอีกต่างหาก

จะทำอะไรดีวะ

เออ...ที่จริงแล้ว

ผมก็เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้มาก่อนนะ

 

“เฮ้ย! น้อตตตตตต รอด้วย”

ผมวิ่งกระหืดกระหอบตามน้อตออกจากห้องเชียร์ หลังจากประชุมเชียร์ปี 1 คณะแพทย์เสร็จ

“มี’ไรตะวัน”

“คือ พวกเรา freshy ปี 1 ต้องแสดงละครรับน้องว่ะ”

ผมตอบไปหอบไป ธรรมเนียมของการปิดห้องประชุมเชียร์ก็คือ ปีหนึ่งต้องมีละครมาเล่นให้พี่ปี 2-6 ดู เพื่อแลกกับการต้อนรับน้องๆ เข้าสายรหัส และของขวัญรับขวัญน้อง มีคนบอกถึงขั้นว่า พี่จะรักหรือไม่รักก็เพราะละครนี่เลยทีเดียว แถมมีข่าวลือด้วยว่า บางคนไม่มีสายรหัส ก็เพราะพี่รหัสตัดออกเพราะละครไม่ดีนี่แหละ

“อันนั้นรู้แล้ว แล้วไงล่ะตะวัน”

น้อตน่ะลอยตัว ไม่ต้องมายุ่งกับงานนี้ เพราะเขาได้รับคัดเลือกให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะแพทย์ ดังนั้นพวกละครรับน้องเนี่ย เขาลอยตัวไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวก็ได้

“ก็...เราโดนเลือกให้เป็น head ให้คิดละครอะดิ”

แล้วทำไมปัญหาหนักขนาดนี้ถึงมาตกอยู่กับผมด้วยวะ คืออธิบายนิดนึง ผมสอบติดคณะแพทย์ได้ด้วยคะแนนภาษาไทยท็อปของประเทศไทย เพื่อนๆ หลายคนรู้เรื่องนี้ ก็เลยพานเข้าใจไปว่า ผมมีหัวดีทางด้านภาษาและวรรณกรรม? ก็เลยโบ้ยงานสร้างละครพร้อมบทมาให้ผม

“คำถามเดิม แล้วไงล่ะตะวัน”

น้อตยังคงไม่เข้าใจปัญหาของผม

“เราทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นไงเว้ย”

“อ้าว! แล้วเพื่อนๆ เลือกแกเป็นหัวหน้าทำไมเนี่ย”

“จะไปรู้ไหมเล่า โอ๊ยยย ทำไงดีวะ นี่ต้องเสนอไอเดียแล้วด้วย พรุ่งนี้ออร์เค็ม (organic chem) ก็มีควิซ ต้องรีบกลับ ทำไงดีวะน้อต ทำไงดีอ่า นี่เราเตรียมตัวมาเรียนอย่างเดียวนะเว้ย ไม่ได้เตรียมตัวมาแสดงละครรับน้องนะเว้ยมึง”

“เอางี้สิ...เดี๋ยวเราช่วยคิด”

น้อตพูดง่ายๆ เหมือนกับว่า ให้ผมนั่งรอ เดี๋ยวมันจะเดินไปซื้อข้าวในโรงอาหารมาให้แล้วนั่งกิน ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องขี้ปะติ๋วเดียวเอง

“เฮ้ย! ได้เหรอวะน้อต”

เอาจริงๆ ที่ผมวิ่งตามน้อตมาก็เพราะคิดว่าเขาจะช่วยผมได้เนี่ยแหละ

“เราเคยทำละครเวที สมัยอยู่มัธยมปลายมาก่อน สบายมาก” รอยยิ้มของเพื่อนรัก ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง หากแต่ว่า “แต่ นายต้องเล่นเป็นตัวเอกนะ เราถึงจะช่วย”

นั่นไง...กูว่าแล้ว

 

ความทรงจำสมัยปี 1 ของผมผุดขึ้นมาทันที หลังจากราวน์วอร์ดเสร็จ

ตอนนั้นพวกเราผ่านไปได้อย่างสวยงาม ไม่ใช่เพราะว่าผมนะ แต่เพราะน้อตล้วนๆ เขาบอกว่า รุ่นพี่ปี 4, 5, 6 เป็นตัวหลักในการตัดสิน และเท่าที่เขารู้ รุ่นพี่พวกนี้เป็นสาววายเยอะ เพราะงั้น เล่นละครเรื่อง ไฮยาซินท์ จะดีกว่า รับรองว่าได้ใจรุ่นพี่ และผ่านฉลุย

แน่นอน ผมต้องเล่นเป็นไฮยาซินท์ โดยที่น้อตอาสารับบทเป็นเฮดีสเอง และมีเพื่อนรูปหล่ออีกสองคน รับบทอพอลโล กับ เซฟีรอส แล้วก็เป็นไปตามคาด รุ่นพี่ปี 4, 5, 6 กรี๊ดกร๊าดลั่นห้องประชุม ตอนฉากที่อพอลโลกับไฮยาซินท์มุ้งมิ้งกัน รวมถึงฉากตอนที่ไฮยาซินท์ตายในอ้อมกอดของอะพอลโลด้วย

เออ…หรือว่างานหนึ่งร้อยวันนี้ ผมจะต้องให้น้อตช่วยอีกครั้ง?

แต่ตอนนี้มันต่างกันกับตอนนั้นแล้วน่ะสิ ตอนนั้นมันเป็นน้อต ตอนนี้มันเป็นนาเดีย และเป็นแพทย์ประจำบ้านสาขากุมารเวช ในขณะที่ผมอยู่แผนกอายุรกรรม จะว่ากันตรงๆ ก็คือเราเป็นคู่แข่งชิงรางวัลกัน แล้วมันจะมาลำบากช่วยผมทำไมกันเนี่ย

แต่ไม่ลองก็ไม่รู้แฮะ...

ตอนเที่ยงครึ่งผมลองเสี่ยงโทร.หาน้อต...เอ๊ย! นาเดียดู เผื่อเขาว่างจะได้ชวนไปกินข้าวด้วยกัน แล้วค่อยเริ่มแผนการอ้อนขอให้ช่วย

โทรศัพท์ดังแค่ไม่กี่ที นาเดียก็กดรับสาย

“ว่าไงตะวัน?”

“แกว่างปะ กินข้าวกัน”

“เออ เพิ่งว่างเลย เจอกันที่โถงลิฟต์ชั้น 1 แล้วกัน”

ถัดจากนั้นไม่ถึงสิบห้านาที โต๊ะกลางโรงอาหารที่เราสองคนนั่งก็เต็มไปด้วยอาหาร ไม่แปลกหรอก ทั้งผมทั้งนาเดียหิวโฮกทั้งคู่ มื้อเช้าเราไม่ได้กิน มีแค่กาแฟอย่างที่บอก และกระเพาะก็เริ่มร้องเป็นเพลงอิเล็กทรอนิกส์ บางครั้งเราก็ตัดสินใจสั่งอาหารมาตามความยาก ไม่ได้มีเหตุผลเท่าไหร่ ผมเชื่อหมดใจว่าเราสองคนจะกินไม่หมด แต่เอาเหอะ สั่งมาแล้ว

“งานหนึ่งร้อยวัน ภาคแกแสดงอะไรวะ”

ปรากฏว่าเป็นนาเดียที่เปิดบทสนทนาเรื่องนี้โดยที่ผมไม่ต้องจุด

“ยังไม่รู้เลย...ฉันต้องเป็นคนคิดอะดิ”

ผมตักตูดไก่จากจานไก่ย่างมาก่อนเลย เพราะรู้ว่านาเดียไม่กิน และผมชอบกินมาก ทุกครั้งที่เราไปกินข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่างด้วยกัน ผมจะเป็นคนกินตูดไก่ นาเดียยังเคยพูดเลยว่าเราสองคนเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนรักกันเพราะทฤษฎีตูดไก่เนี่ยแหละ

“อ่าฮะ แล้วแกคิดออกไหมอะ”

“ยังไม่ออกอ้ะสิแก...แกช่วยได้ปะ?”

“ได้ดิ แต่ต้องเย็นๆ ค่ำๆ หน่อยนะ เดี๋ยวไปคิดให้”

“เฮ้ย! จริงดิ? แล้วของภาควิชาแกอะ”

“โอ๊ยยย มันมีคนนึงวัลลาบีมากแก เรจิน่ามีนเกิร์ลสุดๆ อยากจะเป็นผู้นำ เจ้ากี้เจ้าการนู่นนี่นั่น ฉันขี้เกียจจะพูด เออ อยากนำนัก เชิญทำไปเลย แกมาขอก็ดีนะ เดี๋ยวฉันไปช่วยของภาคอายุรกรรมดีกว่า เอาให้ชนะภาคฉันไปเลย” ผมตักปูจากจานตำปูให้นาเดีย นางคนชอบกินปูดองมาก ผมก็ชอบนะ แต่ในเมื่อนาเดียสละตูดไก่ให้ผมแล้ว ผมก็จะสละปูให้นาเดีย

“โชคดีจังเลยอ้ะ ที่แกไม่ต้องช่วยงานส่วนภาคแก ฉันเลยได้แกมาช่วย บังเอิญเป็นบ้า”

“ไม่บังเอิญหรอกแก ฉันว่าจักรวาลเขาจัดสรรมาให้แล้ว เราทุกคนล้วนได้รับการปกป้องจากจักรวาล ไม่ใช่สิ่งนั้นก็เพื่อสิ่งถัดไป ฉันไม่ต้องช่วยเรื่องการแสดงของภาควิชาฉัน เพราะจักรวาลรู้ว่าแกต้องการฉันไง”

ผมยิ้ม...“ขอบคุณนะน้อต...เอ๊ย! นาเดีย”

เขาแยกเขี้ยวใส่ผม “เผลอได้ แต่อย่าเผลอบ่อย บอกแล้ว ชื่อน้อตไม่เป็นมงคล ผู้ชายไม่เข้า จำไว้ ฉัน คือ นาเดีย”

ผมหัวเราะ “จ้าาา นาเดีย”

มันก็เหมือนตูดไก่ ที่เขาไม่กิน แต่ผมชอบ

แล้วก็เหมือนปูดอง ที่ผมชอบ แต่เขาชอบมากกว่า

และผมยอมให้เขากิน เพราะผมได้ตูดไก่มาแทะแล้วนั่นแหละ

เราสองคน เราทุกคน ล้วนได้รับการปกป้องจากจักรวาล

ไม่เพื่อสิ่งนี้ ก็เพื่อสิ่งถัดไป จักรวาลจะจัดให้เราเสมอ

เหมือนที่ผม ได้เป็นเพื่อนกับนาเดียนี่ไง

อ้าว! ลืมไปเลย

เย็นนี้ต้องคุยกับนาเดียเรื่องการแสดง

งั้นผมก็ต้องกลับไปหาพี่ปอค่ำเลยสินะ...

ต้องโทร.ไปบอกเขาแล้วละ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น