4

หมอก


4

หมอก

“อาๆ หมอกถาม’ไรหน่อยดิ”

ผมเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง เจออาที่กำลังเตรียมมื้อเช้าอยู่พอดี ผมลงไปช่วยหยิบอาหยิบชามมาตักข้าวต้มใส่จาน เผื่อผม อา แล้วก็ลุงอีกจาน แล้วก็ถามเรื่องที่ค้างคาใจ คิดมาตลอดทั้งคืน

“มี’ไรถามวะ อ้าวแล้วนี่ทำไมไม่ไปทำงานเนี่ย เดี๋ยวก็เข้าวินช้า สายป่านนี้แล้วยังไม่ออกอีก นี่อานึกว่าเราออกไปตั้งนานแล้ว”

อาหันไปหั่นขึ้นฉ่ายมาโรยลงในชามข้าวต้มของอากับลุง แต่เว้นชามของผม อารู้ว่าผมไม่กิน ใส่มาให้ผมก็เขี่ยทิ้งอยู่ดี ไม่ใช่ว่าไม่ชอบผักนะ ผักน่ะกินได้ทุกอย่าง ยกเว้นผักมีกลิ่น มันรู้สึกแปลกๆ เวลากิน

“ไม่เป็นไรหรอกอา ตอนเช้านี้พี่เฟืองอยู่ชดเชยให้ สลับกับเมื่อวานเย็นผมอยู่แทนพี่เขาไป”

ผมนั่งลงที่โต๊ะ เริ่มโซ้ยข้าวต้มหมูสับ ที่ข้าวเยอะ หมูสับน้อย แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้อร่อยมากมาย อาเป็นคนที่มีฝีมือในการทำกับข้าวจริงๆ

“อ๋อ อื้อๆ แล้วมีอะไรจะถามอา?”

อานั่งลงตรงกันข้าม ตักข้าวต้มใส่ปากบ้าง ผมได้ยินเสียงขันตักน้ำอาบโครมๆ มาจากห้องน้ำหลังบ้าน ลุงคงกำลังอาบน้ำอยู่ โอเค ดีแล้ว เรื่องแบบนี้คุยต่อหน้าทั้งอากับลุงมันจะจั๊กจี้นิดๆ คุยกับอานี่ท่าจะง่ายกว่า

“คือ...”

เอาไงดีว้า! คำถามน่ะมันมีพร้อมอยู่แล้วในหัว แต่พอถึงเวลาเปิดปากถามขึ้นมาจริงๆ ผมดันสับสนว่าจะต้องเริ่มต้นจากคำถามไหน จากตรงไหนดี

“คือ ว่า...เอ่อ…”

ผมยังคงวนไปวนมาตรงคือๆ เอ่อๆ นี่แหละ จนอาเริ่มขมวดคิ้ว

“เอ้า เอ่อ เอ่อ จนจะล้นอยู่แล้วเนี่ย ถามก็ถามมาสิ เดี๋ยวอากินหมดชามอาลุกแล้วนะโว้ย”

“เออๆ ถามก็ได้วะ ตอนอากับลุงอ้ะ หมายถึง อากับลุง อะนะ เอ่อ...สมัยนั้นน่ะ เอ่อ...มันเป็นไงยังไงอ้ะอา”

สิ้นคำถามผมปุ๊บ อาหยุดตักข้าวต้มใส่ปากทันที

“ทำไมจู่ๆ ถามเรื่องนี้ เอ็งมีอะไรหรือเปล่าเนี่ยหมอก”

“ก็คืองี้นะอา เมื่อวาน หมอกขี่รถไปส่งผู้โดยสารคนนึงที่คอนโดแฟนเขา”

ในเมื่อไม่รู้จะปั้นคำถามมาจากอะไรดี เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า อาจะได้เข้าใจว่าผมกำลังสงสัยเรื่องอะไร แล้วก็เผื่อการเล่ามันจะทำให้นึกออกก็ได้ว่า จะเริ่มต้นคำถามยังไง

“เออ แล้วไงต่อ?” อาถาม

“ก็พอไปถึงคอนโดกลางซอย แฟนเขาก็ลงมารับพอดีอ้ะ”

“แล้วผู้โดยสารเอ็งกับแฟนเขา มันเกี่ยวอะไรกับอากับลุงล่ะ”

“คือ...”

ว้า! ทำไมมันยากจังวะ กะอีแค่พูดเนี่ย

“คืออะไรล่ะเว้ย”

คราวนี้คนถามไม่ใช่อาแล้ว แต่เป็นลุง ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินนุ่งกางเกงขาสั้น บนไหล่มีผ้าขาวม้าไหล่ ออกจากห้องน้ำ

“ลุงได้ยินเอ็งคุยกับอามาพักนึงละ คือๆ เอ่อๆ อยู่ได้ ผู้โดยสารของเอ็งมันมีอะไร ทำไมถึงอ้ำๆ อึ้งๆ นักหนา”

พูดจบลุงก็นั่งลงข้างๆ อา แล้วตักข้าวต้มใส่ปากบ้าง พลางจ้องหน้าผมคาดคั้นเอาประโยคถัดไปให้ได้

เออดี เมื่อกี้นี้มีแค่ผมกับอา คุยกันง่ายๆ สองคน ผมดันพูดไม่ออก นี่อ้ำอึ้งจนลุงอาบน้ำเสร็จพอดี ยิ่งพูดยากเข้าไปใหญ่ โถ ไอ้หมอกเอ๊ยยย

แต่เก็บไว้ไม่ถาม ผมคงสงสัยไปตลอดทั้งวันแน่ๆ

“ก็…แฟนที่ลงมารับอะ เขาเป็นผู้ชายน่ะสิ”

ในที่สุดผมก็หลุดประโยคสำคัญ ภาพต้นเหตุให้ผมนอนสงสัยทั้งคืนออกมาจนได้

“ก็แล้วไงวะ”

แต่ดูเหมือนมันไม่ได้สะกิดต่อมอะไรของลุงสักอย่าง ไม่เงยหน้ามาจากชามข้าวต้มด้วยซ้ำตอนถามผม

“ผู้โดยสารเขาก็ผู้ชายเหมือนกันน่ะสิลุง”

“ก็แล้วมันยังไงล่ะ ชายกับชาย มันแปลกตรงไหน เขาเรียกว่า เกย์ สมัยนี้มีคบกันเต็มไปหมด ในทีวียังมีละครเลยนี่หว่า นี่เอ็งหรือลุงกันแน่ที่เป็นคนแก่เนี่ย หัวโบราณจริงเว้ย”

“แต่ผู้โดยสารคนนี้ เขาดูเหมือนผู้ชายปกติๆ ธรรมดาๆ เลยนะลุง เขาไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิง ไม่ได้ดูตุ้งติ้ง นุ่มนิ่มเลย ดูเหมือนผู้ชายปกติทั่วไป แค่ดูเด็กๆ แค่นั้น”

“แล้ว นี่เรางงอะไรกันล่ะ”

คราวนี้อาร่วมผสมโรงลุงซักผมบ้าง

“อ้าว! เกย์มันควรจะต้องมีฝ่ายหนึ่งเป็นชาย อีกฝ่ายทำหน้าที่ผู้หญิงไม่ใช่เหรออา แบบ...”

ผมพูดได้ถึงแค่นี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีเหมือนกัน มันเหมือนความสงสัยมาชนปัง กับความเขินที่จะพูด เหมือนคุณอยู่ตรงสี่แยกที่ไม่มีไฟเขียวไฟแดง มีความเป็นจริงทำหน้าที่ตำรวจจราจรเป่านกหวีดให้หยุดหมดทุกถนน

“นี่ ไอ้หมอก อาเหมือนผู้หญิงไหม”

ข้าวต้มในชามของอาหมดพอดี เขาวางช้อนก่อนจะถามผม

“ไม่ดิ ไม่เหมือนเลยสักนิด”

ผมส่ายหน้าตอบอา แม้อาจะหน้าตาเกลี้ยงเกลาโกนหนวดเคราดี แต่ก็ไม่ได้มีเค้าหน้าตารูปร่างเหมือนผู้หญิงสักนิด คงเพราะอาทำงานในอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ ยกกล่องอะไหล่ ใช้แรงตลอด แม้จะอายุเยอะแล้ว แต่ทั้งอาและลุงก็ยังดูฟิต ร่างกายมีแต่มัดกล้าม จะให้มองว่าอาเหมือนผู้หญิงก็คงไม่ได้

“เออ...อาไม่เหมือนผู้หญิง แต่มึงก็รู้นี่ว่าอาเป็นเมียลุงมึงนะโว้ย”

ไม่พูดเปล่าๆ นะ อาหัวเราะพลางลุกขึ้นตบหัวผมทีหนึ่งเบาๆ แต่ก็ทำเอาโคลงได้นิดๆ พลางลุกไปตู้เย็น หยิบกระบอกน้ำเย็นออกมาเทใส่แก้วกิน แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ

“อาคนนี้เนี่ย เป็นเมียลุงมึงน่ะ มึงเห็นว่าอาเหมือนผู้หญิงตรงไหนบ้างไหมวะ ถ้าไม่ แล้วมันจะต่างอะไรกับผู้โดยสารของมึงกันเล่า”

“เออ...จริงด้วยว่ะ...”

ผมเพิ่งนึกได้ก็ตอนที่อาตบหัวผมนั่นละ เออ ก็จริงของอาว่ะ ที่ผมเก็บเรื่องนี้มาถาม ก็เพราะผมรู้อยู่แล้วนี่ละ ว่าอาเป็นเมียของลุง อากับลุงเป็นคู่เกย์กัน คือรู้ไง แต่แบบลืมนึกถึงความจริงตรงหน้าไปเลยว่า ทั้งอาทั้งลุงไม่เห็นมีใครเหมือนผู้หญิงสักคน

ทีอาที่ไม่มีอะไรเหมือนผู้หญิงเลยสักนิด ยังเป็นเมียลุงได้เลย แล้วทำไมเจ้าหนูจำไมผู้โดยสารคนนั้นจะเป็นเมียของผู้ชายคนนั้นไมได้ ผมไม่แน่ใจว่าเพราะคำตอบของอา หรือเพราะที่ได้อาตบหัวไปทีหนึ่งกันแน่ ที่ทำให้ผมได้คำตอบที่ชัดเสียขนาดนี้

“หมดเรื่องสงสัยแล้วใช่ไหม” ลุงถาม

“เอ่อ...ครับลุง หมดเรื่องสงสัยแล้ว”

“งั้นก็รีบออกไปทำงานสิโว้ย วินมึงอะ กูกับเมียกูก็จะรีบไปเปิดอู่แล้วเหมือนกัน โว้ย ไอ้หลานคนนี้ นี่กูเลี้ยงหลานคน หรือหลานควายกันแน่วะ โง่ฉิบหาย”

ผมลุกจากโต๊ะ หันไปทะเล้นใส่ลุง

“ถ้าหลานควาย ก็แสดงว่าเป็นหลานของควายปะลุง?”

“ไอ้หมอก! เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวมึงโดนกูถีบถวายพระอาทิตย์ แต่เช้าเลยมึง”

ลุงทำเป็นฮึดฮัด เสียงดังใส่ผม แต่ผมรู้หรอกว่าลุงไม่อะไรหรอก ไอ้เสียงดัง กับความกวนตีนนี่คือวิธีแสดงความรักของบ้านเรานี่ละ บ้านเราที่มีกันสามคน ผม ลุง และอา

 

ถูกครับ...

ลุงน่ะ คือพี่ชายของแม่ผม

แต่อาคนนี้ ไม่ใช่น้องชายของพ่อผมครับ

อาคนนี้ คือ...แฟน

แต่ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องคือ เมีย ของลุงผม

อากับลุงอยู่กินด้วยกันมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ก็...เท่าที่ผมรู้มาน่ะนะ

สมัยก่อนอากับลุงเป็นเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ลุงเรียนจบปวส. อาจบปวช. แล้วเข้ามาหางานทำที่ด้วยกัน ต่างคนต่างต้องประหยัดค่าใช้จ่ายก็เลยเช่าหออยู่ด้วยกัน

อยู่กันไปอยู่กันมา เลยกลายเป็นอยู่กินกัน

แล้วก็อยู่กันยาวมาจนถึงปัจจุบัน

ลุงบอกว่าไม่ชอบทำงานคนละที่กับอา เวลาเลิกงานไม่ตรงกัน ไปๆ มาๆ หลังจากต่างฝ่ายต่างทำงานกับเกือบสิบปี ก็เลยเอาเงินมาเช่าห้องแถวแล้วเปิดเป็นอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ อาศัยผูกปิ่นโตคอยดูแลมอเตอร์ไซค์ให้พวกวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้น (เป็นที่น่าแปลกใจอีกเรื่อง เพราะลุงจบช่างกล อาจบช่างอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีใครจบช่างยนต์มาเลย แต่ดันเปิดร้านซ่อมรถได้) พี่เฟืองก็เลยรู้จักลุงกับอาเพราะเหตุนี้

เปิดร้านไปเปิดร้านมา มีเงินเก็บพอควร ลุงเลยตัดสินใจซื้อห้องแถวที่เช่าอยู่มาเลยสองคูหา ข้างล่างเป็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ ขายอะไหล่ ส่วนชั้นสองก็ไว้อยู่กันสองคน จนกระทั่งผมตามเฟิร์นมาอยู่กรุงเทพฯนั่นละ ลุงเลยยกชั้นสามให้ผมอยู่ ลุงบอกแกขี้เกียจขึ้นชั้นบนๆ ให้ผมอยู่ไป

ที่จริงเรื่องอากับลุงเนี่ย ไม่ใช่แค่ผมหรอกนะที่รู้ ลูกน้องช่างในอู่ ทุกคนรู้หมด แม้พวกเขาจะไม่เคยถาม ไม่พูดแต่ก็ ‘รู้กัน’ นี่ก็รวมถึงแถวๆ ละแวกบ้านของผมด้วย ทุกคนต่างรู้หมดล่ะว่าอากับลุง อยู่กินกันในฐานะผัวเมียมานานแล้ว

สมัยก่อนลุงเจ้าชู้...อันนี้ลุงเล่าเอง

ลุงบอกว่าสมัยก่อนที่จะอยู่กินกับอา ลุงมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาในชีวิต ด้วยความที่เป็นคนใต้ เครื่องหน้าเข้ม ร่างกายแข็งแรง จากการใช้แรงงานช่วยงานในกิจการโรงไม้ของข้างบ้านมาก่อน มันเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะเข้าหา

อันที่จริง อาก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก

จนกระทั่งอากับลุงเริ่มต้นคบกันจริงจังนั่นละ อาเลิกนิสัยเจ้าชู้ทันที แต่ลุงเองกว่าจะหยุดได้ ก็ปาเข้าไปสองสามปีหลังจากเริ่มอยู่กินกัน ลุงบอกว่ามีหลายครั้งที่ทำให้อาร้องไห้เสียใจ (นึกภาพไม่ออกอ้ะ บอกตรงๆ ผมไม่เคยเห็นอาร้องไห้ เลยจินตนาการไม่ออกด้วย) จนเกือบจบชีวิตคู่กันไปแล้ว

แต่สุดท้ายที่ประคับประคองกันมาจนถึงทุกวันนี้ ลุงบอกว่ามันมองกันออกตั้งแต่ตอนแรกที่คบกัน ว่าคนคนนี้เหมาะที่จะอยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนร่วมชีวิตไปจนตาย ถ้ามีปัญหาเข้ามาก็คือต้องแก้ ไม่ใช่ปัญหาเข้ามาแล้ววิ่งหนี ให้มันจบๆ ไป

เพราะคนจะอยู่ด้วยกัน

มันต้องอาศัยหลายอย่าง

และมันต้องผ่านอะไรหลายๆ อย่าง

 

ผมนึกถึงครั้งหนึ่งที่เคยคุยกับลุง

“แต่ของเอ็งกับเฟิร์น มันคนละแบบกัน”

ลุงเคยพูดประโยคนี้กับผม ช่วงสองสามสัปดาห์หลังจากเลิกกับเฟิร์น

“คนละแบบไงอะลุง”

“ลุงมองไม่ออกว่ะ มองไม่เห็น”

“ไม่เห็นอะไร พูดสั้นๆ ใครจะไปเข้าใจกันลุง”

“ลุงมองไม่ออกว่าเอ็งสองคนจะอยู่กันไปได้จนแก่ คู่เอ็งจะกลายเป็นเพื่อนคู่คิด เป็นมิตรร่วมชีวิตกันได้ยังไง เอาจริง ลุงมองไม่เห็นตั้งแต่วันแรกที่เอ็งพาเขามาแนะนำให้ลุงกับอารู้จักแล้ว ยังเคยพูดกับอาเอ็งไว้เลยว่า สักวันก็คงได้เลิกกัน”

ผมนิ่ง แล้วฟังมุมมองที่ผู้ใหญ่คนนึงถ่ายทอดผ่านสายตาของเขาให้ผม

“คนเราถ้ามันจะอยู่ไปได้ด้วยกันจนแก่เฒ่า มันต้องมีอะไรมากกว่าแค่รักกัน เข้าใจกัน ลุงฟังเพลงที่เด็กในอู่มันเปิดฟัง คนรักกัน ต้องเข้าใจกัน โอยยย ลุงอยากจะเอาหัวเทียนเขวี้ยงใส่วิทยุ อยู่กับอาเอ็งมาเป็นสิบปี ถ้าแค่รัก กับเข้าใจกันสองอย่าง ป่านนี้เลิกทางใครทางมันไปนานแล้ว”

“แล้วมันต้องมีอะไรอีกล่ะลุง”

จริงๆ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้อยากรู้ แต่ปากมันถามไปแค่นั้น

“ตอบไม่ได้ว่ะ รู้แต่ว่าต้องมีอีกหลายอย่าง ไม่ใช่แค่รักและเข้าใจกัน”

หลังจากนั้นผมก็จำขึ้นใจ

คนเราจะอยู่ด้วยกันไปจนรอดได้

รักและเข้าใจ มันไม่เพียงพอหรอก

 

แม่ไม่ค่อยพูดอะไรเรื่องนี้

หมายถึงเรื่องลุงกับอาน่ะนะ

ถ้าจะนับแล้ว แม่ก็ยังพูดบ้าง ไม่เหมือนตากับยายที่ทำตัวเหมือนลูกชายคนโตตายจากไปแล้ว ไม่มีการพูดถึง ไม่มีการถามถึง แทบจะไม่เหลียวมองด้วยซ้ำเวลาที่ลุงกลับมาเยี่ยมบ้าน

ตอนเด็กๆ แม่บอกผมว่าอาเป็นเพื่อนลุง และลุงกับอาอาศัยอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ผมก็ไม่รู้ประสาอะไรหรอก ออกจะรู้สึกว่าเจ๋งมากด้วยซ้ำ คนเราโตๆ แล้วจะเลือกอยู่บ้านเดียวกับเพื่อนก็ได้เหรอ ดีว่ะ น่าอิจฉา อยู่บ้านเดียวกับเพื่อนก็ได้

นึกออกไหม ตอนเราเด็กเราก็อยากเล่นกับเพื่อนตลอดเวลาถูกไหมล่ะ แต่พอโรงเรียนเลิก ถึงเวลาเย็น เราก็ต้องกลับบ้านมาอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ที่บางทีเราก็ทะเลาะกันมากกว่า การที่โตขึ้น แล้วเลือกได้ว่าอยู่บ้านเดียวกับเพื่อน เป็นไอเดียที่ผมชอบมากนะ ตอนนั้นผมเลยมองว่าลุงกับอานี่เจ๋งโคตร

ต่อหน้าตากับยาย แม่จะไม่พูดถึงลุง ขนาดตอนสงกรานต์ที่ลุงกับอามักจะกลับมาบ้านที่ชุมพรเพื่อเยี่ยมญาติ ต้องไปนอนค้างที่บ้านครอบครัวอา แทนที่จะนอนบ้านตายาย (ซึ่งก็คือบ้านผมด้วยนั่นละ) เวลาลุงมาเยี่ยม ก็จะอยู่แต่กับผมกับแม่ แต่ไม่ได้เข้าไปใกล้ตายายเลย

ตอนเด็กๆ ผมเห็น แต่ไม่เคยนึกสงสัย บางทีคงเพราะความไร้เดียงสาของเด็ก ทำให้บางทีปัญหาที่มันอยู่ตรงหน้าชัดๆ แต่เรากลับมองไม่เห็น แถมไม่เคยนึกด้วยซ้ำว่ามันเป็นปัญหา บางทีผมก็นึกอยากได้สายตาสมัยเด็กกลับมาเหมือนกันนะ

กระทั่งผมโตมาเรื่อยๆ ก็ได้เรียนรู้ไปเองว่า นี่มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเพื่อนอย่างที่ผมเข้าใจอย่างเดียว

มันก็ไม่ผิด ลุงกับอาก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ แต่มันมีสถานะอื่นระหว่างคนสองคนนี้ด้วย สถานะที่ไม่ต้องอธิบายอะไร ผมก็รับรู้และเข้าใจมันโดยอัตโนมัติ

ชีวิตคู่ชาย-ชายของอากับลุง จึงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการเติบโตของผม ผมรู้สึกกับอาไม่แตกต่างกับอาแท้ๆ ร่วมสายเลือด ที่เป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง จนบางครั้งก็ลืมนึกไปว่า อากับลุงแท้จริงแล้วเป็นคู่ชีวิตกัน และอาก็ไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือดกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว

เพราะมันเป็นสิ่งที่เคยชินจนแทบจะลืมไปแล้วไง

ผมถึงได้รู้สึกแปลกใจ ตอนที่เห็นผู้โดยสารคนนั้นกับแฟน

 

ตกเย็นวันนั้น

ที่วินมอเตอร์ไซค์ ผมว่างพอดี เลยเดินไปหาพี่เฟืองที่เพิ่งเล่นหมากรุกแพ้ โดนให้ออกมานั่งดูคนอื่นๆ เล่นต่อ ชวนพี่แกคุยสิ่งที่ยังคาใจ

“เฮ้ย! พี่เฟือง”

“ว่าไง ไอ้หมอก จะชวนกูเล่นหมากรุกเหรอมึง”

“เปล่าๆ พี่ ถามนิดว่ะ”

ผมหรี่เสียงลงทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นก็ได้ คนอื่นๆ ในวินกำลังจดจ่อกับหมากรุกคู่ใหม่ ไม่มีใครสนใจฟังผมกับพี่หมอกคุยกันหรอก

“คือ...สำหรับพี่ ครูอัยเขา...เขาเป็น’ไรวะพี่”

“เอ๋า! ไอ้นี่ ก็แฟนกูสิวะ ภาษาบ้านๆ ก็เรียกเมีย ก็เมียนั่นแหละ แค่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน มึงมาถามอะไรแปลกๆ วะเนี่ย ไอ้หมอก”

“ก็…ครูอัยเขา...เป็น...”

สายตาผมหลุบลงต่ำโดยไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกละอายนิดๆ ที่จะพูดคำนั้นต่อหน้าที่เฟืองที่เป็นคนรักของครูอัย ถึงมันจะเป็นความจริงก็ตาม ผมเลยปล่อยให้ความเงียบทำงานแทนคำเรียก ที่สมควรอยู่ตรงท้ายประโยค

“เป็นสาวประเภทสอง มึงพูดมาเหอะ มันเป็นความจริง กูไม่รู้สึกอะไรหรอก”

พี่เฟืองพูดด้วยน้ำเสียงปกติราวกับว่า มันไม่ได้กระทบกระเทือนความรู้สึกอะไรของเขาเลย ที่จริงข้างในใจเขาเป็นอย่างไรผมไม่รู้หรอกนะ แต่ตอนที่สายตาผมกลับไปมองพี่เขา สีหน้าเขาปกติ น้ำเสียงก็ปกติ

ผมคงไม่ใช่คนแรก ที่ถาม ที่ทัก

เรื่องที่คนรักของเขา เป็นสาวประเภทสอง

พี่เฟืองคงผ่านอะไรแบบนี้มาเยอะแล้ว

“ถึงเขาเป็นสาวประเภทสอง พี่ก็รักเขาเหรอ”

“อ้าว! ไอ้หมอกนี่ ถามแปลกๆ ถ้ากูไม่รักเขา กูจะเรียกเขาว่าเมีย จะไปรับไปส่งเขาที่โรงเรียนสอนภาษาทุกวันเหรอวะมึง มึงควรถามว่า เขารักกูไหมต่างหาก คนแบบนั้น กับกูที่เป็นแค่วินมอเตอร์ไซค์น่ะ”

“โอ๊ยยย จะถามทำไมวะพี่ เห็นก็รู้แล้ว เขารักพี่จะตาย”

“งั้นกูก็เป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก คนที่กูรัก เขารักกูมาก”

พูดจบพี่เฟืองก็ยิ้มแก้มแทบฉีกเดินไปที่ถังน้ำแข็งกลางของวิน หยิบกาแฟกระป๋องขึ้นมาสองกระป๋อง โยนให้ผมกระป๋องนึง แล้วก็เปิดจิบของตัวเอง “เอ้า! เอาไป กูเลี้ยง”

“ขอบคุณพี่” ผมรับมาพลางยกมือไหว้

“พี่ชอบเหรอ ผมหมายถึงสาวประเภทสองน่ะ”

พี่เฟืองหยุดจิบกาแฟ พลางขมวดคิ้วใส่ผม

“ทำไมวันนี้มึงมาแปลกวะหมอก สงสัยอะไรเรื่องนี้ นี่มึงก็เห็นกูกับครูอัยคบกันมานานแล้วนะ”

นานอะไรกันเล่าพี่ เพิ่งเดือนสองเดือนนี่เอง รึเปล่าวะพี่ เอ่อ อันนี้ผมนึกในใจนะ ไม่ได้เถียง พอดีบุญคุณกาแฟกระป๋องมันยังคาอยู่ในมือ ผมเลยลดดีกรีความกวนตีนลงมานิดนึง

“ก็...แค่สงสัยน่ะพี่ ว่าความรักของชายกับชาย มันอยู่กันได้ยืดจริงๆ เหรอ”

“เอ๋า! ลุงมึงกับอา ก็อยู่กันได้มาเป็นสิบๆ ปีนี่หว่า ถาม’ไรกูล่ะ ไปถามลุงกับอามึงสิ”

“มันต่างกันเว้ยพี่ นั่นมันสมัยก่อน นี่มันสมัยนี้ ผมว่าคนที่เริ่มคบกันสมัยก่อน กับสมัยนี้มันต่างกันว่ะพี่ เอามาตัดสินแทนกันไม่ได้หรอก เลยมาถามพี่ไง”

“สำหรับพี่นะเว้ย...มันไม่ใช่ความรักของชายกับชายว่ะ มันคือความรักของคนสองคน”

พี่เฟืองกระดกกาแฟกระป๋องอึกสุดท้าย แล้วโยนกระป๋องลงถังขยะพอดี แม่นราวกับจับวาง

“ครูอัยเขาก็คือคนคนหนึ่ง พี่ก็คนคนหนึ่ง เป็นคนสองคนที่รักกัน ไม่ใช่ผู้ชายสองคนรักกัน เอาจริงๆ ในสายตาพี่ ครูอัยเขาเป็นผู้หญิง”

“ก็ภายนอกเขาเป็นผู้หญิงนี่นา”

ผมยังเถียง

“เออ จริง กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเขาไม่ได้แต่งหญิง กูจะรักเขาไหม ตอบแบบในละครน้ำเน่าไม่ได้หรอกว่า ไม่ว่าภายนอกเขาเป็นยังไงพี่ก็จะยังรัก”

พี่เฟืองหันไปดูนาฬิกา...เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว

“เดี๋ยวกูไปรับครูอัยเขาก่อนนะมึง”

ผมยิ้มพลางพยักหน้า

“ผมว่า ถึงครูอัยเขาไม่แต่งหญิงพี่ก็คงรักเขาสักวันอยู่ดีแหละว่ะ”

พี่เฟืองพยักหน้าก่อนสวมหมวกกันน็อก

“เพศมันสิ่งสมมุติว่ะหมอก ข้างนอกมันก็มีแตกต่างกันบ้าง แต่ข้างในพี่ว่ามันก็อุ่นๆ เหมือนกันแหละวะ”

“เฮ้ยยย ไอ้พี่เฟือง ลามก!”

“กูหมายถึงหัวใจเว้ย ฮาร์ท อะมึง “h-e-a-r-t” ไอ้ลิงนี่!!! มึงนั่นละที่ลามก ห่างจากผู้หญิงไปนาน แม่งหื่นนักนะมึงน่ะ นู่นไง แม่ค้าส้มตำที่พยายามอ่อยมึงน่ะ จัดให้เขาสักทีสองทีสิวะ”

ผมรีบส่ายหน้า

“โอยยย ไม่เอาพี่ ไม่อยากมีภาระ”

พี่เฟืองยักไหล่

“กูไม่ได้พูดให้มีเมีย กูหมายถึงจัดให้เขาสักดอกสองดอก ไม่ต้องรัก ไม่ต้องผูกพันก็ได้”

พี่เฟืองตั้งท่าจะสตาร์ทรถอยู่แล้วละ ผมเพิ่งนึกถึงคำถามสุดท้ายได้

“เฮ้ยๆๆ พี่แป๊บนึง ถามอีกอย่างได้ป่าว?”

“อะไรของมึงอีกวะไอ้หมอก เอ้าถามมาก่อนที่กูจะไปรับเมีย”

“ตอนมี’ไรกัน พี่ทำลงได้ใช่ป่าววะ? แบบ…หมายถึงพี่ แบบ…”

เอ่อ...รู้ใช่ไหม ผมหมายถึงอะไร

ไอ้ช่องว่างที่ผมไม่ได้พูดมันออกไปน่ะ

“ถึงเวลา มันก็ทำได้ว่ะ กูว่าเพศมันไหลลื่น ถ้าอยู่หน้างาน มันทำได้หมดแหละ”

“งั้นพี่หมายความว่า ถ้าผมอยู่หน้างาน บางทีผมก็อาจจะเอาผู้ชายอย่างนั้นดิพี่?”

“ของแบบนี้ มึงต้องลองสักครั้งว่ะ พี่ตอบแทนไม่ได้หรอกเว้ย”

แล้วพี่เฟืองก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ออกไป ทิ้งให้ผมคิดคำตอบของคำถามนั้นต่อไปคนเดียว…

เดี๋ยวนะ...นี่มันเพิ่งห้าโมงเย็น วินต้องวิ่งกันต่อจนถึงสามทุ่ม แถมวันนี้เวรพี่เฟืองอยู่ต่อถึงสี่ทุ่มด้วย แล้วนี่เฮียแกออกไปรับเมียเรียบร้อย ก็แปลว่า…

“เฮ้ยยย ไอ้พี่เฟืองงง มึงกลับมาก่อนนน อย่าทิ้งภาระไว้ให้น้องสิเว้ยยยยยยเฮ้ยยยยยย”

 

21:50

อีกสิบนาที ก่อนวินเลิก

ผมเตรียมตัวจะกลับบ้าน ถอดเสื้อวินพับใส่กระเป๋า เทน้ำแข็งที่ละลายออกจากกระติก เตรียมจะล็อกเพิงนั่งพักของวิน สิบนาทีสุดท้ายคงไม่มีผู้โดยสารแล้วละ

“เอ่อ...วินยังไม่เลิกใช่ไหมครับ”

ยังไม่ทันจะหมดเสียงความคิดตัวเอง เสียงผู้โดยสารก็โผล่มาเสียก่อน ไอ้หมอกเอ๊ย ทีหลังมึงอย่างเผลอคิดทักอะไรเลยเชียวนะ ต้องได้ผิดคาดทุกที

“เลิกแล้วครับ แต่ไปส่งได้ กำลังจะออกพอดี”

ผมหันไปตอบ...อ้าว! ไอ้เจ้าหนูจำไมสายฟิสิกส์ที่ใส่หมวกกันน็อกแล้วหัวคลอน (ชื่อเล่นที่ผมตั้งให้เขาเองล่ะ)

“อ้าวคุณ...”

“ใช่ผมเอง คนเดิม ไปคอนโดบ้านกลางซอย”

“คร้าบ ได้คร้าบบบ”

ผมหยิบหมวกกันน็อกส่งให้เขา

“มือหนึ่งเกาะด้านหลัง อีกมือคล้องไหล่ผมแบบเดิมนะ”

“รู้แล้วน่ะ”

เขาขึ้นมาซ้อนท้ายผม เอามือมาคล้องใต้ไหล่เรียบร้อยก่อน ผมถึงได้สตาร์ทเครื่อง

“วันนี้กลับดึกจังนะครับคุณ” ผมทัก

“ก็เลิกงานดึกน่ะ งานยุ่ง”

ผมพยักหน้า “เข้าใจ คนเป็นหมอนี่เนอะ”

“เอ๊ะ! รู้ได้ไงว่าผมเป็นหมอ” เขาถาม

“ก็ดูจากเสื้อขาวๆ สั้นๆ ที่คุณใส่ไง”

“อ๋อ! เขาเรียกเสื้อกาวน์สั้น”

“อือ นั่นแหละ เสื้อกาว”

ผมออกรถช้าๆ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว และเนื่องจากซอยนี้ปากซอยเป็นออฟฟิศ แต่ข้างในเป็นย่านที่อยู่อาศัย เวลาประมาณนี้ แทบจะไม่มีคนสัญจรอะไรบนท้องถนนแล้ว จึงมีแค่เราสองคนบนหลังมอเตอร์ไซค์เท่านั้นในคืนนี้ ผมเลยขับช้าๆ ชวนเขาคุยไปเรื่อยๆ

“เป็นหมอสาขาอะไรครับเนี่ย”

“อายุรกรรมครับ”

คำตอบของเขาทำเอาผมงงจนต่อไม่ถูก รู้จักแต่หมอผ่าตัด หมอตา หมอผ่าศพ อะไรแบบนี้

“เป็นหมอสายที่รักษาด้วยยาเป็นหลักน่ะ พวกเบาหวาน หัวใจ โรคไต”

เขาคงเป็นว่าผมเงียบไปนั่นละ เลยช่วยขยายความให้ผมเข้าใจมากขึ้น

“อ๋อ! ผมนึกว่าหัวใจ ยังไงก็ต้องผ่าตัดรักษาเสียอีก”

“ไม่หรอก หลายโรคก็รักษาด้วยการให้ยานี่ล่ะ”

“เออ ลืมไป ผมทำงานเป็นวินมอเตอร์ไซค์นะหมอ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โอ๊ยยย รู้แล้วน่ะ นี่เล่นมุกใช่ไหมเนี่ย”

“ถ้าหมอหัวเราะ ก็ใช่อ้ะครับผมเล่นมุก”

ถึงหน้าคอนโดแฟนเขาพอดี ผมจอดรถ และตามเคย เขารอจนผมดับเครื่องก่อนถึงค่อยลง และถอดหมวกกันน็อกคืนให้ผม พลางยื่นแบงก์ยี่สิบมาให้สองใบ

ผมกุลีกุจอควักกระเป๋าหาเหรียญสิบจะทอนให้เขา

คุณหมอส่ายหน้า “ไม่ต้องทอนหรอกครับ”

“ขอบคุณครับหมอ ฝันดีนะหมอนะ”

ผมยิ้มให้เขา แต่เขากลับย่นจมูกใส่

“เพิ่งเคยเจอวินมอเตอร์ไซค์บอกให้ผู้โดยสารฝันดี”

เขาพูด

“อ้าว! ก็หมอเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายของผม แล้วนี่ก็สี่ทุ่มแล้ว ถือว่าเซอร์วิซพิเศษแล้วกัน ส่งถึงหน้าคอนโด แถมมีบริการอวยพรให้ฝันดีไงหมอ ปกติผมไม่ค่อยเจอหรอกผู้โดยสารดึกๆ น่ะ สามทุ่มครึ่งก็เงียบแล้ว”

“งั้นก็...หัดไว้ให้ชินแล้วกัน เราคงเจอกันดึกๆ บ่อยขึ้น”

“คร้าบบบ ได้ครับคุณหมอ ผมจะหัดให้ชินไว้”

พอผมยิ้มตอบให้เขา จมูกของเขาที่ย่นตอนแรกคลายลง คิ้วที่ขมวดก็ค่อยๆ คลายออก พร้อมๆ กับมุมปากที่ค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มให้ผม

“งั้นนายก็ฝันดีเหมือนกันนะ คุณวินมอเตอร์ไซค์”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น