๑
ความหวังของหมู่บ้าน
ภายในร้านอาหารอีสานริมถนนแห่งหนึ่ง แม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ก็สะอาดสะอ้านและน่ารักด้วยการตกแต่งที่ทำให้แตกต่างจากร้านอาหารริมถนนทั่วไป เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการกินอาหารบ้านๆ เคล้ากับบรรยากาศน่านั่งและน่าถ่ายรูปไปด้วย เพราะการตกแต่งด้วยโทนสีเทาสไตล์ลอฟต์ทำให้ร้านดูทันสมัย สร้างกลิ่นอายของความเป็นอีสานด้วยโคมไฟประดับที่ทำจากสุ่มไก่ แล้วก็มีผ้าขาวม้าที่เอามาทำเป็นผ้าปูโต๊ะและวางทับด้วยกระจกเพื่อป้องกันอาหารที่อาจหกเลอะเทอะ แล้วยังช่วยทำให้เช็ดทำความสะอาดได้ง่ายด้วย
สองสาวนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในติดกับสวนหย่อมเล็กๆ ขนาดสี่คูณสี่เมตร แต่ก็มีชิงช้าหวายนั่งเล่นและนั่งถ่ายรูปได้ด้วย บนโต๊ะอาหารของสองสาวยามนี้มีอาหารถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ เพราะเจ้ามือและคนที่อุตส่าห์โทรศัพท์นัดเพื่อนออกมาเป็นคนสั่งเองทั้งหมดด้วยความหิวล้วนๆ จนเพื่อนซี้ปึ้กอย่างรติยายังอดส่ายหน้าไม่ได้ ที่เพื่อนรักยังกินโหดเหมือนโกรธอาหารทุกครั้ง สั่งอาหารมาประหนึ่งไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ดังคำที่เจ้าตัวมักชอบพูดเสมอๆ ว่า
‘เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องเล็ก’
รติยาส่ายหน้าขำๆ ขณะมองเพื่อนสาวสุดซี้ แล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เพื่อนดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย จากที่เมื่อก่อนชอบแต่งตัวง่ายๆ สบายๆ ถึงจะรักสวย รักงาม บำรุงผิว มาสก์หน้าบ้างอะไรบ้าง แต่ความเป็นสาวน้อยไม่ค่อยจะมี ออกแนวเป็นสาวขาลุย กล้าคิดกล้าพูด แต่ก็ไม่ได้ห้าว หรือขวานผ่าซาก ยังมีมุมของความเป็นผู้หญิงหวานๆ แอบซ่อนอยู่
ซึ่งกับหล่อนที่เป็นเพื่อนสนิทแล้ว อารดาก็มักพูดด้วยแบบไม่แอ๊บ ไม่ค่อยหวาน และเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่เวลาอยู่กับคนอื่น เจ้าตัวจะรักษามารยาทและดูเป็นผู้หญิงที่ช่างพูดช่างคุย สนุกสนานเฮฮา แต่ก็เป็นตัววุ่นวายและมีความงอแง ขี้อ้อนอยู่ในตัว
ทว่าวันนี้รติยารู้สึกว่าเพื่อนดูเปลี่ยนไป ดูนิ่งขึ้นและน่ามองขึ้น แถมยังดูอ่อนหวานเพิ่มขึ้นด้วย จากการเปลี่ยนทรงผมใหม่ ดัดผมเป็นลอนหลวมๆ ทำให้ดูอ่อนหวาน พอบวกกับชุดเดรสสีเขียวมินต์พาสเทลเรียบหรูที่สวมอยู่ ก็ทำให้ดูสวยผิดหูผิดตาไปเลยทีเดียว
“แค่นัดฉันมากินอาหารด้วยกัน ต้องสวยขนาดนี้เลยเหรอคะคุณอารดา”
“ไม่ต้องมาแซวเลย ฉันเพิ่งทำงานเสร็จย่ะ วันนี้ไปกินข้าวกับลูกค้าแทนพี่อรมา” อารดาเฉลยถึงที่มาความสวย
รติยาพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ปกติแล้วอารดาชอบแหย่หล่อนว่าคุณหนูรุ้งของคุณแม่ขา เพราะหล่อนเหมือนไข่ในหินของครอบครัว แต่ถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว คนที่เป็นคุณหนูน่าจะเป็นอารดามากกว่า เพราะเห็นทำตัวง่ายๆ สบายๆ แบบนี้ เจ้าตัวเป็นถึงลูกสาวเจ้าของบริษัทผู้ผลิตและส่งออกผลไม้กระป๋อง รวมถึงน้ำผลไม้ที่ขายกันอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
แต่เพราะเป็นลูกสาวคนเล็กก็เลยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากเท่ากับอรปวีร์ผู้เป็นพี่สาวต่างแม่ ที่ตอนนี้ขึ้นแท่นเป็นรองประธานบริษัท ส่วนอารดาก็ใช้ความเป็นลูกคนเล็กที่ไม่ต้องการแย่งตำแหน่งใดๆ บวกกับที่เคยป่วยทำให้ร่างกายอ่อนแอและไม่ค่อยเก่งด้านการบริหาร ครอบครัวจึงไม่ได้บีบบังคับให้มารับภาระหน้าที่การงานมาก อารดาก็เลยดูเหมือนแม่สาวที่ทำตัวสบายๆ ทำงานที่บริษัทของคนรู้จักในตำแหน่งเล็กๆ
ผู้ชายที่เข้ามาจีบอารดาก็เลยไม่เคยรู้ว่าเจ้าหล่อนเป็นคุณหนู เพราะอารดาใช้นามสกุลของแม่ ไม่ได้ใช้นามสกุลพ่อเหมือนกับพี่สาว เนื่องจากแม่ของอารดาเป็นภรรยาคนที่สองของบ้าน ส่วนภรรยาคนแรกของคุณปฐมพงษ์นั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ลูกสาวคนโตกับลูกสาวคนรองอายุได้เก้าขวบกับเจ็ดขวบ
แล้วก็เป็นโชคดีที่ครอบครัวของอารดาไม่ได้มีปัญหาเรื่องลูกเลี้ยงแม่เลี้ยง ทุกคนเข้ากันได้ดีเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงจะอยู่ด้วยกันได้อย่างปกติสุขเช่นนี้
“พี่อรกับพี่อิงเป็นไงบ้าง”
“เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน คุณอรปวีร์ยังสวยเช้งและเก่งเหมือนเดิม เป็นท่านรองที่เคารพที่เจอหน้าฉันทีไร เทศน์ยาวยิ่งกว่าพ่อ แล้วก็ห้ามปฏิเสธหรือมีปัญหาเวลาชีสั่งให้ทำอะไรด้วย ไม่อย่างนั้นชีได้กินหัวฉันแน่ ส่วนคุณอิงสรณ์ก็ยังคงเรียบร้อย งดงามดั่งนางฟ้า ใจเย็นและแสนดีเหมือนเดิม”
“แอบนินทาพี่อรกับพี่อิงนะแก เดี๋ยวฉันจะอัดคลิปเก็บหลักฐานไปฟ้อง”
“หูย ไอ้เพื่อนใจร้าย”
“แล้วไง นัดฉันมากินนี่แค่อยากกินหรือมีเรื่องอะไร” รติยาถามอย่างรู้ทันก่อนจะเปรย “ว่าแต่ฉันว่าวันนี้นอกจากแกจะดูสวยและน่ารักขึ้นแล้ว ฉันว่าพักหลังๆ แกดูเรียบร้อยขึ้นมานิดหนึ่ง ดูสาวแตกมากกว่าเดิม ถามจริงไปทำอะไรมาคะคุณอารดา”
“เอาความจริงหรือโกหก”
“เอาโกหกก่อนละกัน”
“ฉันบรรลุธรรมการเป็นกุลสตรีศรีสยาม จะประกวดนางสาวไทยเร็วๆ นี้”
อารดาว่าแล้วก็ทำท่านั่งหลังตรง เอามือประสานไว้ที่ตัก ก่อนจะส่งยิ้มหวานปานนางฟ้า แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกประหนึ่งนางสาวไทยตอนรับมงกุฎ เล่นเอารติยาที่กำลังจะใช้ส้อมจิ้มคอหมูย่างในจานถึงกับหลุดขำออกมา
“พอๆ เลยแก ฉันไม่อยากสำลักคอหมูย่างตาย พูดความจริงมา”
“ฉันโดนพ่อส่งครูไหวใจร้ายมาดัดสันดานถึงบ้านน่ะสิ”
หล่อนตอบแล้วลุคกุลสตรีศรีสยามหายวับไปในพริบตา เหลือเพียงแม่สาวตัวยุ่งวุ่นวายเหมือนเดิม เจ้าตัวตักส้มตำปูปลาร้ากินหนึ่งคำ ก่อนที่ใบหน้ารูปไข่สวยหวานจะงอเป็นจวัก เมื่อนึกถึงหน้าครูสอนมารยาทที่พ่ออุตส่าห์จ้างมาปรับบุคลิกภาพของหล่อน
แต่แค่นั้นก็ทำเอารติยาถึงกับตาโตเท่าไข่ห่าน ทั้งสงสัยและแปลกใจเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ที่บ้านอารดาถึงได้เล่นไม้แข็ง จับเพื่อนของหล่อนเข้าคอร์สคุณหนูเสียได้ ทั้งที่ปกติก็ออกจะตามใจหมดทุกอย่าง
“เกิดอะไรขึ้น เหลามาเดี๋ยวนี้เลย” รติยาใช้ศัพท์แสงคุ้นปากกับเพื่อนสนิท
“เล่าแน่ เพราะเรื่องนี้แหละฉันถึงนัดแกมาเจอ”
“จัดมา!”
คนอยากรู้ว่าแล้วก็รอให้เพื่อนซัดส้มตำปูปลาร้าไปอีกหนึ่งคำ ตามด้วยน้ำอีกหนึ่งอึก แล้วทำหน้าเคลิบเคลิ้มเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะกลืนลงคอเรียบร้อยแล้วถึงพูดได้
“คืองี้นะไอ้รุ้ง ท่านพ่อบังเกิดเกล้าของฉันเนี่ย ไม่รู้เกิดอารมณ์ไหนขึ้นมา บอกว่าอาทิตย์หน้าอยากให้ฉันไปดูตัวกับลูกชายเจ้าของโรงแรมที่ฉันเคยแนะนำให้แกไปเล่นเปียโนแทนนักเปียโน แล้วแกก็ได้เจอคุณรุจ”
อารดาเท้าความไปถึงเรื่องเก่าก่อนที่เพื่อนจะได้เจอกับคนที่รักและได้แต่งงานกัน ตอนนั้นรติยามีปัญหาตกงานอยู่ แต่ดันขับรถชนท้ายรถยนต์ของอติรุจ เลยต้องพยายามหาเงินไปชดใช้เขา ก็เลยรับจ้างไปเล่นเปียโนที่เลานจ์ของโรงแรมที่อารดามีญาติที่รู้จักทำงานอยู่ที่นั่น แล้วก็ได้เจอกับอติรุจอีกครั้ง จากนั้นก็เกิดเรื่องวุ่นๆ อลเวงขึ้นมา บวกกับเจ้าแม่ที่สองสาวไปขอพรได้ประทานพรให้ผิดคน เพราะรติยาขอพรผิด สุดท้ายรติยากลายเป็นคนที่สละโสดไปแทนหล่อน
“ลูกชายเจ้าของโรงแรมนั้น อืม...เป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณรุจนี่ อ๊ะ เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าหมายถึงคุณอมรเดช!”
“เป๊ะค่ะ! คุณอมรเดชนั่นแหละ ทีนี้ฉันก็เลยแอบไปเจอเขา แล้วก็เลยได้คุยกัน สรุปคือฉันกับเขาตกที่นั่งเดียวกัน คือไม่ได้รักใคร่ชอบพอกัน อีกอย่างคุณอมรเดชเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดตัวคบหา ส่วนฉันก็ไม่มีทางยอมโดนจับคู่แน่นอน มีอย่างที่ไหน แต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือกให้ ยุคนี้มันต้องตีหัวแล้วลากเข้าห้องค่ะ!”
“นี่พูดจริง?”
“ล้อเล่น”
“งั้นเอาความจริง”
“ความจริงคือ ฉันไม่ยอม ถ้าจะต้องแต่งงานกับใคร ฉันขอเลือกคนที่ฉันชอบและรักด้วยตัวเอง”
“แกบอกไม่ยอม แล้วจะทำยังไงต่อ”
รติยาสงสัยและชักตงิดๆ ว่าไอ้วิธีการแก้ปัญหาของอารดาอาจจะไม่พ้นวิธีเดิมๆ ก็เป็นได้ แต่อยากให้เพื่อนพูดออกมาให้ชัดเจนดีกว่าเดาไปเอง ทั้งที่สังหรณ์ใจอยู่ว่าตนเองไม่น่าจะเดาผิด
“พอฉันไม่ยอม พ่อก็เลยยื่นหมูยื่นแมวว่า ถ้าฉันไม่อยากไปดูตัว ฉันจะต้องช่วยงานพี่อร ไปพบลูกค้าบ้าง หรือทำงานที่พี่อรมอบหมายให้บ้าง แต่ทีนี้ไอ้ฉันมันก็กระโดกกระเดกปานนี้ คุณปฐมพงษ์กลัวว่าลูกสาวจะไปทำอะไรขายหน้า ก็เลยจัดคอร์สพิเศษ ส่งครูไหวใจร้ายมาอบรมถึงบ้าน สั่งฉันกลับไปเข้าคอร์สที่บ้านทุกวันหลังเลิกงานแบบจัดหนักจัดเต็ม แต่ที่ฉันไม่เคยเล่าให้แกฟังในไลน์เวลาคุยกันเลย เพราะกลัวแกล้อฉัน แต่สุดท้ายก็ต้องรู้อยู่ดี ผลมันก็เลยออกมาอย่างนี้แหละค่ะคุณหนูรุ้ง”
“เยี่ยมมากค่ะพ่อ”
“แกชมพ่อได้ไง ต้องเห็นใจฉันสิ” อารดาโอดครวญ ทำตาปรอยใส่เพื่อนรัก “กว่าฉันจะผ่านสัปดาห์นรกมาได้ เอวเคล็ด ขาแข็ง เปลืองยานวดไปตั้งสองหลอด แถมยังต้องไปประคบร้อนสปาจนตัวแดงไปหมด ขนาดหลับยังฝันเลยว่าอยู่ในคอร์สเรียนการเป็นกุลสตรีศรีสยาม”
“แต่แกก็ไม่ต้องไปดูตัวแล้วไง เพราะแกทำได้อย่างที่พ่อยื่นหมูยื่นแมวแล้ว ไปทำงานแทนพี่อรเป็นครั้งคราว เรื่องก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วนัดฉันมาปรับทุกข์ทำไมยะ” รติยายังไม่หายสงสัย ก็ดูเหมือนเรื่องขัดข้องของอารดาได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว แล้วยังมีอะไรถึงต้องนัดหล่อนมาเจออีก หรือว่าแค่อยากระบาย อยากเจอ อยากกินอาหารด้วยกันเฉยๆ แค่นั้น? จริงเหรอ?
“ใช่ ไม่ต้องไปดูตัวกับคุณอมรเดชแล้ว แต่ฉันกลัวว่าพอผ่านไปสักพัก ท่านพ่อบังเกิดเกล้าของฉันเกิดนึกครึ้มขึ้นมา หาคนมาดูตัวให้อีกจะทำไง ไม่เอาละ คนอย่างอารดา ถ้าจะมีผัวขอหาเองค่ะ”
“แล้ว...” คนเป็นเพื่อนถามต่อ ลางสังหรณ์ยิ่งชัดขึ้นว่า อารดาจะหาเหาใส่หัวให้ตัวเองอีกแน่ๆ แล้วดีไม่ดีก็จะหาเหาใส่หัวมาเผื่อหล่อนด้วย
“แล้วก็เลยจะชวนแกไปหาผัวไง!”
นั่นไง! เล่นหวยทำไมไม่ถูกบ้างคะ!
รติยาเปรยในใจ หัวเราะขื่นๆ เริ่มเดาได้แล้วว่าไอ้ที่ว่าชวนเนี่ย มันต้องไปไหนสักแห่ง ในที่ที่มีคำว่ามูเตลูแปะหน้าผากหรา ให้สมกับเป็นผู้คร่ำหวอดการขอพรหาแฟนและเป็นเจ้าแม่มูเตลูหมายเลขหนึ่ง!
“งั้นบอกมาแบบเนื้อๆ เลย ไม่ต้องเอาน้ำแล้ว จะชวนฉันไปไหน”
“พรุ่งนี้แกไปหาเจ้าแม่ที่อยุธยากับฉัน”
“เฮ้อ...ไอ้ปุ๊ก” คนเป็นเพื่อนถอนหายใจยาว กลอกตามองบนก่อนจะท้วง “แต่แกเคยไปขอแล้วนี่”
หล่อนเท้าความไปถึงครั้งก่อนที่ตนเองจะได้แต่งงาน ตอนนั้นหล่อนมีปัญหาคิดไม่ตกและมีมือที่สามเข้ามาแทรกระหว่างหล่อนกับอติรุจ อารดาก็เป็นตัวตั้งตัวตีพาหล่อนไปขอพรเจ้าแม่อีกรอบ แล้ววันนั้นอารดาก็ขอพรด้วยเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ยังไร้เงาแฟนมาจนถึงตอนนี้
“ตอนนั้นเจ้าแม่ให้มาแต่บัตรคิว ตอนนี้คิวน่าจะเลยไปแล้ว เลยต้องไปขอใหม่” อารดาไม่ยอมบอกความจริงทั้งหมดเสียทีเดียว แต่คิดไว้แล้วว่าเมื่อไปที่วัดอีกครั้ง หล่อนค่อยบอกเพื่อนอีกทีตอนนั้นก็ยังไม่สาย
“มีงี้ด้วย”
“เอาเถอะน่า ฉันพูดไปขำๆ แต่ที่จะไปขอเนี่ยเรื่องจริง” คนเป็นเพื่อนบอกปัดแล้วตักส้มตำปูปลาร้าใส่ปากไปอีกคำก่อนจะวกกลับมายืนยันความตั้งใจจริงของตัวเอง ว่าอยากไปขอพรเจ้าแม่อีกครั้งจริงๆ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ก็คิดว่าจะถอดใจแล้วว่าตนเองคงขึ้นคานแน่นอน แล้วหลังจากนี้จะได้ตัดใจอย่างแท้จริง แต่มีหรือที่รติยาจะไม่ท้วงใส่
“แต่ตอนก่อนฉันจะแต่งงาน แกถอดใจไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ถอดใจได้ก็ฮึดใหม่ได้ย่ะ คนเรามันต้องมีความหวังเสมอ”
“จ้ะ! แม่คนคิดบวก” รติยายกธงขาวให้เพื่อนสาวสายมู แต่จะปฏิเสธไม่ไปด้วยก็คงไม่ได้ เพราะอย่างน้อยอารดาก็มีส่วนทำให้หล่อนได้เจอคนที่รัก ถ้าวันนั้นอารดาไม่ลากหล่อนไปขอพรด้วยกัน หล่อนก็คงไม่ได้เจอกับอติรุจ จนกลายเป็นบุพเพอาละวาดอย่างทุกวันนี้
“ก็ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปกับแก แต่ตอนนี้ฉันว่าแกเลิกกินตำปูปลาร้านี่ก่อน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้แกได้เกิดเรื่องแน่”
หล่อนเตือนเพราะเพื่อนเป็นพวกกินส้มตำปูปลาร้าแล้วจะได้เรื่อง แต่ก็ยังจะกินเข้าไป ขนาดว่าเคยถึงขั้นท้องเสียจนต้องหามส่งโรงพยาบาลก็ยังไม่รู้จักเข็ดจักจำ แถมยังมีหน้ามาบอกว่า เส้นทางของปลาร้าเข้าแล้วออกยาก
อารดาถึงกับหยุดกินในทันที เพราะไม่อยากไปท้องเสียกลางทาง แล้วก็โชคดีว่าเพิ่งกินส้มตำปูปลาร้านี้ไปได้ไม่กี่คำ เจ้าตัวจึงเลือกกินอาหารอื่นบนโต๊ะแทน ไม่แตะส้มตำปูปลาร้าของโปรดอีกเลย
จากนั้นสองสาวก็กินอาหารไป คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ก่อนที่อารดาจะวกกลับมาเย้าแหย่เพื่อนเรื่องที่ให้มีลูกไวๆ ทำเอารติยาถึงกับเขินอายหน้าแดงไป เพราะยังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แถมสามีอย่างอติรุจก็ร้อนแรงใช่ย่อย เห็นเป็นผู้ชายอบอุ่นแฟมิลีแมนแบบนั้น บทรักของเขานี่อุ่นจนร้อนฉ่า ถึงขั้นแซ่บเลยก็ว่าได้
“แหม แหม แหม เขินขนาดนี้ เห็นใจคนโสดยังซิงบ้างนะยะ” อารดาแซวที่เพื่อนทำหน้าเขิน แต่ก็ดีใจที่เพื่อนรักได้เจอผู้ชายที่ดี หล่อนเองก็อยากเจอผู้ชายดีๆ อย่างที่เพื่อนได้เจอบ้าง ก็หวังว่าดวงความรักของหล่อนจะยังไม่ตกขอบเหวจนเกินไป แต้มบุญด้านความรักจะยังคงเหลืออยู่กับเขาบ้าง
สองชั่วโมงกว่าต่อมาเมื่อมื้ออาหารจบลง ท้องฟ้าก็มืดครึ้มเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ อารดาจึงขับรถไปส่งรติยาที่บ้านของอติรุจ เพราะตอนขามานั้นรติยามีคนขับรถของบ้านรัตนธนการขับมาส่ง รถยนต์สีขาวแล่นเข้าไปจอดที่หน้าตัวบ้าน เมื่อแม่บ้านมาเปิดประตูรั้วให้เข้าไป รติยาลงจากรถและยืนรอส่งเพื่อนอยู่ตรงนั้น
“ขับรถกลับดีๆ นะไอ้ปุ๊ก”
“ค่ะคุณเพื่อน ฝากเซย์ไฮคุณรุจด้วยนะ แล้วก็รีบมีเบบี๋เร็วๆ นะจ๊ะ”
“แกนี่นะ ไปเลยไป กลับบ้านไปเลย”
“แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมารับตอนสายๆ นะ รายงานคุณสามีและแม่สามีให้เรียบร้อยด้วยนะคะว่าจะไปเดตกับฉัน เดี๋ยวพวกเขาจะมาแหกอกฉันทีหลัง โทษฐานเอาภรรยาข้าวใหม่ปลามันไปขอพรด้วย”
“จ้า จ้า แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
“รับทราบเจ้าค่ะคุณหนูรุ้งของคุณแม่ขา” อารดาเย้าแล้วโบกมือให้เพื่อนก่อนจะกดปุ่มปิดกระจก ก่อนจะออกรถและพารถยนต์ขับผ่านประตูบ้านออกไป โดยมีแม่บ้านกดรีโมตปิดประตูรั้วให้ตามหลัง
คล้อยหลังจากอารดาไปแล้ว รติยาก็เดินเข้าไปในบ้าน หล่อนเจอแม่บ้านก็ถามว่าสามีอยู่ที่ไหน แม่บ้านเลยบอกว่าเขานั่งคุยอยู่กับน้องชายที่ศาลาไม้ในสวนหย่อม หล่อนจึงเดินไปที่นั่น
แต่ระหว่างที่เดินไปก็อดคิดไม่ได้ว่า สองพี่น้องรัตนธนการคู่นี้มีความคล้ายกันอยู่ในหลายๆ มุม ทั้งใบหน้าที่หล่อเหลา ทั้งความแกร่งกร้าวอย่างบุรุษเพศ และความสูงสง่าที่โดดเด่น แต่ก็มีมุมที่อบอุ่น อ่อนโยน เป็นผู้ชายที่ให้ความรู้สึกอยู่ด้วยแล้วปลอดภัย พร้อมจะปกป้องทุกคนที่อยู่ใกล้
แต่หากจะถามว่าสองคนนี้มีความแตกต่างกันตรงไหน ก็คงบอกได้เลยว่าอติรุจสูงกว่าน้องชายนิดหน่อย และเขาหน้าเหมือนพ่อมากกว่าและให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่า เพราะการเป็นพี่ชายคนโตที่ต้องดูแลน้องๆ และแม่ ทำให้เป็นเหมือนหัวเรือใหญ่ของบ้าน
ส่วนธนาดลนั้นหน้าออกไปทางแม่มากกว่า แต่แม้จะดูสุขุม อบอุ่น อ่อนโยน และเป็นมิตร แต่ก็มีบางมุมที่เข้าไม่ถึง เขาชอบเย้าแหย่พี่ชายกับพี่สาวตามประสาพี่น้อง คนในครอบครัว แต่สำหรับคนนอก เขาให้ความรู้สึกของกำแพงที่ปิดกั้นและเปิดรับยามเมื่อต้องการเท่านั้น ซึ่งโชคดีที่หล่อนเป็นพี่สะใภ้ของเขา จึงได้เห็นมุมอบอุ่นใจดี ไม่ใช่มุมที่เขาใช้ปฏิบัติกับคนอื่นไปตามมารยาท แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเขาเป็นผู้ชายที่พร้อมจะปกป้องคนที่อยู่ในความคุ้มครองไม่ต่างกันกับพี่ชาย
รติยาเดินไปจนกระทั่งถึงศาลานั่งเล่นในสวนหย่อม สองหนุ่มพี่น้องก็หยุดคุยและหันมาทักทาย
“กลับมาแล้วเหรอรุ้ง เป็นไงบ้าง”
“เป็นไงอะไรคะ” หญิงสาวแกล้งถามยิ้มๆ แล้วเดินเข้าไปหาสามีและนั่งลงข้างกายเขา ก่อนจะกอดแขนเขาไว้หลวมๆ
หล่อนรู้ว่าสามีอยากถามว่าหล่อนไปกินอาหารกับเพื่อนสนุกไหม แต่ถ้าเขาถามอย่างนั้นก็จะกลายเป็นการตรวจสอบว่าหล่อนไปกินอาหารกับเพื่อนจริงหรือเปล่า ซึ่งมันจะดูเหมือนเขาเป็นคนขี้หึง ขี้ระแวงไป และเขาไม่อยากทำให้หล่อนรู้สึกว่า การย้ายมาอยู่บ้านสามีจำต้องรายงานทุกอย่างให้รู้ ดังนั้นแทนที่หล่อนจะตอบคำถามเขา หล่อนเลยถามกลับไปแทน
“รุ้งมารบกวนหรือเปล่าคะ” หล่อนถามแล้วมองหน้าสองหนุ่มสลับกัน เพราะบางครั้งพวกเขาก็คุยกันเรื่องงาน
“ไม่รบกวนหรอก ผมกำลังรอรุ้งอยู่ เจ้าดลเลยมานั่งคุยเป็นเพื่อน แล้วก็เลยคุยเรื่องงานกันนิดหน่อย”
“ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณต้องรอ”
“ผมอยากรอ” อติรุจว่าแล้วก็ยิ้มให้ภรรยา
ทำเอาธนาดลถึงกับหัวเราะในลำคอ ที่เห็นพี่ชายกลายเป็นลูกหมาน้อยอ้อนภรรยาไปเสียแล้ว ทั้งที่ตอนอยู่บริษัทเป็นประธานทำให้คนอื่นกลัวหัวหดเป็นแถวเวลาเอาจริง แต่กับภรรยานี่เรียกว่า ชี้นกเป็นไม้ก็คงได้
“รุ้งกลับมาแล้ว ไม่ต้องรอแล้วค่ะ แต่ว่าถ้าคุณจะคุยเรื่องงานกันต่อ รุ้งไม่รบกวนดีกว่า”
“ไม่รบกวนหรอก รุ้งอยู่ด้วยก็คุยงานต่อได้”
คนเป็นสามีรีบบอก ไม่อยากให้หล่อนไม่สบายใจ กับเรื่องงานเขาไม่ได้มีอะไรต้องปิดบังหล่อน ถึงหล่อนจะไม่รู้เรื่องการบริหารของเขา แต่ถ้าอยากรู้ เขาก็ยินดีเล่าให้ฟังอยู่แล้ว
“ไม่รบกวนจริงๆ เหรอคะ”
“จริงสิ ไม่เชื่อถามดลสิ”
“ถามคุณดลก็มีค่าเท่ากันแหละค่ะ เพราะคุณดลถือพู่เชียร์คุณตลอด” รติยาค้อนใส่อย่างน่ารัก แต่ก็เป็นเรื่องจริง เพราะพี่น้องบ้านรัตนธนการรักกันมาก เป็นครอบครัวที่อบอุ่น พี่น้องดูแลกันและกันอย่างดีแล้วก็พร้อมจะเข้าข้างกันเป็นเรื่องปกติ
คำพูดของหล่อนกลับทำให้ธนาดลหัวเราะอีกรอบ แล้วเป็นฝ่ายช่วยพูดแทน “ไม่รบกวนจริงๆ ครับ ผมกับพี่รุจกำลังถกกันเรื่องงานนิดหน่อยครับ”
“งานมีปัญหาเหรอคะ” รติยาถามแม้ว่าหล่อนจะไม่รู้เรื่องการบริหารงานบริษัทของทั้งสองคน แต่ถ้าลองใช้คำว่าถกกัน แสดงว่าน่าจะมีอะไรที่ยังตัดสินใจไม่ได้ และยังอยู่ในระหว่างต้องจัดการและอาจจะไม่ราบรื่นก็เป็นได้
“ไม่เชิงครับ แค่ยังตกลงกันไม่ได้”
“งานนี้ยุ่งยากมากเหรอคะ” หล่อนถามต่อ
ธนาดลมองหน้าพี่ชาย พอพี่ชายพยักหน้า เขาจึงยอมบอกความจริงให้ฟัง ไม่ใช่ว่ามีลับลมคมในอะไรกันหรอก แต่มันเป็นกฎที่พวกเขาตั้งไว้ ว่าจะไม่เอาเรื่องงานกลับมาคุยกันในบ้าน จะไม่ทำให้บรรยากาศอบอุ่นกลายเป็นบรรยากาศของที่ทำงาน
“เรื่องโครงการคอนโดเฟสหกเพิ่มเติมเพื่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงครับ เราคิดว่าจะขยายโครงการเพิ่ม เพราะเมืองขยายออก แต่ติดปัญหาอยู่ที่มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ในทำเลที่ดี แต่เขาไม่ยอมขายที่ดินให้ ผมส่งคนของเราไปเป็นตัวแทนเจรจาแล้ว เขาก็ทำเหมือนกับจะสนใจแต่ก็เหมือนจะยื้อเวลาไว้ด้วย ตอนนี้ก็เลยค่อนข้างปวดหัวกันพอสมควรครับ”
ธนาดลเล่า สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย เป็นอะไรที่รติยาไม่ค่อยได้เห็นนักกับโหมดเป็นการเป็นงานของเขา
“แล้วแบบนี้จะมีโอกาสสำเร็จมากน้อยแค่ไหนคะ”
“ยังตอบไม่ได้ครับ แต่คงต้องพยายามให้มากกว่าเดิม”
“เนื้อที่บ้านหลังนั้นกว้างมากไหมคะ”
“ประมาณเกือบสองไร่ครับ ส่วนพื้นที่ใกล้เคียงกับบ้านหลังนั้น เราปิดจ๊อบคุยกันลงตัวแล้ว เหลือแต่บ้านหลังนี้เท่านั้น ซึ่งตัวบ้านจริงๆ ไม่ได้ใหญ่มาก เป็นบ้านโบราณไม้สักทั้งหลัง เจ้าของเพิ่งบูรณะไปเมื่อห้าปีก่อน บ้านก็เลยยังอยู่ในสภาพที่ดีและสวยพอสมควรครับ”
“แสดงว่าเจ้าของบ้านเขาคงรักบ้านหลังนั้นมาก” รติยาออกความเห็น ธนาดลก็พยักหน้ารับ
“ใช่ครับ เพราะอย่างนี้แหละครับจึงเป็นปัญหา ผมเข้าใจดีว่าบ้านเป็นความทรงจำของเจ้าของ ผมก็เลยให้ทีมกฎหมายเสนอไปว่าทางเรายินดีออกค่าใช้จ่ายในการรื้อบ้าน เพื่อนำไปสร้างบนที่ดินใหม่ที่เราเสนอให้เขาเลือก จะไม่ให้รื้อบ้านนี้ทิ้งไปอย่างเสียเปล่า”
“โอ้โฮ ข้อเสนอเล่นใหญ่เลยนะคะ” รติยาร้อง เพราะการรื้อบ้านหลังหนึ่งเพื่อขนย้ายไม้ไปปลูกใหม่ไว้อีกที่หนึ่งใช้เงินค่อนข้างเยอะ ยิ่งเป็นบ้านโบราณด้วยแล้ว ช่างต้องชำนาญ ไม่ใช่จ้างผู้รับเหมาทั่วไป
“เราจำเป็นต้องเล่นใหญ่ครับ” ธนาดลยอมรับว่าข้อเสนอนี้ใหญ่จริงๆ เรียกว่าใจป้ำสุดๆ เลยก็ว่าได้
“แต่ถ้าสุดท้าย เจ้าของเขายังยืนยันว่าไม่ขายอยู่ดีล่ะคะ คุณดลเผื่อใจไว้บ้างหรือเปล่า”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็จะเจอปัญหานิดหน่อยครับ เพราะบริษัทคู่แข่งเองก็เล็งที่ดินของบ้านหลังนี้ไว้เหมือนกัน” ชายหนุ่มบอกในสิ่งที่กังวลอยู่ ถ้างานนี้ไม่สำเร็จ รับรองได้ว่าบริษัทคู่แข่งคงรอเสียบอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้บริษัทคู่แข่งเองก็พยายามเข้าหาเจ้าของบ้านหลังนั้นพร้อมข้อเสนอที่คุ้มค่า แต่เหมือนจะติดอะไรบางอย่างอยู่ หรือไม่ก็ทางนั้นเองก็เจอแบบเดียวกับที่ทางบริษัทของเขาเจอมาด้วยเช่นกัน
“รุ้งเป็นกำลังใจให้คุณดลทำสำเร็จนะคะ”
“ขอบคุณครับคุณรุ้ง”
“งั้นตอนนี้จะว่าอะไรไหมคะ ถ้ารุ้งขอตัวพาคุณสามีสุดที่รักไปอาบน้ำและพักผ่อนก่อน คุณดลเองก็อย่าลืมพักผ่อนด้วยเหมือนกัน ทำแต่งานแบบนี้ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
“เชิญเลยครับคุณพี่สะใภ้ เอาตัวพี่ชายผมไปที เห็นทำตาปรอยอ้อนคุณแล้วผมหมั่นไส้ พาไปอาบน้ำประแป้งแล้วกินนมนอนไปเลยนะครับ”
ธนาดลได้ทีไล่ส่งพี่ชายเสียเลย เล่นเอาคนเป็นพี่ชายได้แต่ถลึงตาใส่น้องชายที่ทำเหมือนเขาเป็นเด็กแบเบาะที่ต้องให้ภรรยากล่อมนอน แต่รติยากลับคิดไปอีกทางเลยหน้าแดงแทน อติรุจเห็นดังนั้นก็ไม่อยากอิหลักอิเหลื่อต่อ จึงลุกขึ้นและดึงภรรยาให้ลุกตาม ก่อนจะคาดโทษน้องชายไว้
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ดล” อติรุจจูงภรรยาเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน ปล่อยให้น้องชายนั่งอยู่ที่ศาลาในสวนหย่อมคนเดียวต่อไป
ส่วนธนาดลก็ได้แต่มองพี่ชายกับพี่สะใภ้เดินกะหนุงกะหนิงเข้าไปในบ้านด้วยความหมั่นไส้ปนขบขันในความรักและยอมภรรยาของพี่ชาย แล้วก็คิดว่าพี่ชายโชคดีมากจริงๆ ที่ได้เจอคนรู้ใจเช่นนี้ ส่วนเขาจะมีวันได้เจอคนรู้ใจที่สามารถยืนเคียงข้างเขาได้อย่างเข้มแข็งและอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
ความคิดเห็น |
---|