๔
รอยสักและความทรงจำ
วันต่อมาในยามสาย อารดาลาหยุดหนึ่งวัน ตอนนี้ข้อเท้าของหล่อนดีขึ้นมากแล้ว จากการที่ได้พัก ไม่ใช้เท้าเลยทั้งคืน เพราะเมื่อวานนี้พี่สาวสุดเฮี้ยบมาหาและพอรู้ว่าหล่อนข้อเท้าแพลงก็เรียกนักกายภาพมาช่วยตรวจให้ถึงที่ แล้วก็อยู่ดูแลจนหล่อนกินมื้อเย็นและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมเข้านอน นั่นละพี่สาวคนโตจึงกลับไปได้
ตอนแรกอารดาตั้งใจว่าจะนอนอยู่บ้านสบายๆ พักผ่อนให้เต็มที่ แต่ก็ดันมีเรื่องให้ต้องออกจากบ้าน เมื่อโทรศัพท์แจ้งเตือนวันนัดหมายว่าวันนี้หล่อนต้องไปรับแมคบุ๊กที่ส่งเคลมไว้ หล่อนก็เลยต้องออกไปที่ห้างสรรพสินค้านั้นทั้งที่ไม่ค่อยอยากออกไปเท่าไรนัก
หญิงสาวขับรถฝ่าการจราจรที่ติดขัดเข้าไปที่ห้างสรรพสินค้า แล้วก็เสียเวลานั่งรออยู่สักพัก เพราะว่ามีคนมาใช้บริการค่อนข้างมาก แล้วใช่ว่าทางศูนย์บริการซ่อมเสร็จแล้วก็แค่เอามาให้แล้วก็จบ แต่ต้องให้ลูกค้าตรวจสอบว่าซ่อมมาแล้วใช้งานได้เป็นปกติหรือไม่ ทำให้ต้องเสียเวลาอยู่สักหน่อย
หล่อนตรวจรับของเรียบร้อยก็นั่งเล่นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเก็บเครื่องใส่กระเป๋า แต่ตอนนั้นเองก็เห็นผู้ชายสวมหมวกแก๊ปคนหนึ่งเดินเข้ามาที่โต๊ะตัวยาว ห่างจากที่หล่อนอยู่พอสมควร เจ้าตัวแค่หันมองอย่างรับรู้แต่ไม่ได้สนใจอะไร อีกทั้งเขาก็หันข้างให้และไม่ได้มีออร่าโดดเด่นเตะตาต้องใจหล่อน
พอดีกับมีพนักงานคนหนึ่งเดินมาหาเขา อารดาจึงเลิกสนใจ ลุกจากเก้าอี้และหมุนกายเตรียมจะเดินออกจากร้าน แต่ตอนนั้นเองที่ผู้ชายคนนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ เพื่อจะเปิดให้พนักงานคนนั้นดู
สายตาของอารดาก็ปะทะกับรอยสักที่อยู่บนหลังข้อมือของเขา แรกทีเดียวหล่อนไม่ได้คิดอะไร แต่พลันนั้นเองกลับมีภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในหัว!
ภาพของรอยสักที่คล้ายกันและเสียงกรุ๊งกริ๊งคล้ายกระดิ่งลม แล้วก็ตามมาด้วยเสียงที่เหมือนกับอะไรถูกกระแทก ร่างกายเหมือนจะเย็นเฉียบ ใบหน้าซีดเผือดลงในทันที ก่อนที่หล่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดแรง
“ว้าย!”
ลูกค้าหลายคนหันมอง พร้อมกับที่พนักงานสาวที่อยู่ใกล้ๆ รีบเดินมาดู เพราะสีหน้าท่าทางของลูกค้าสาวที่ลงไปนั่งอยู่บนพื้นไม่ค่อยสู้ดีนัก เกรงว่าจะไม่สบาย หรือหน้ามืดเป็นลมไป
“คุณลูกค้าคะ เป็นอะไรไปคะ!”
อารดาไม่ตอบ เพราะคำถามนั้นมันไม่ได้เข้าหัวหล่อนเลยแม้แต่น้อย ในใจของหล่อนตอนนี้มีภาพรอยสักที่วนเวียนอยู่ในหัวราวกับการฉายหนังซ้ำ จนพนักงานสาวต้องนั่งลงบนพื้นและเขย่าตัวเรียกหล่อนให้ได้สติ
“คุณลูกค้าคะ คุณลูกค้า”
หญิงสาวยังคงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังเรียก พร้อมกับที่มือของเจ้าของเสียงเอื้อมมาแตะไหล่หล่อน หล่อนจึงรู้สึกตัว
“ปุ๊ก...คุณปุ๊ก อารดา!” ธนาดลเขย่าตัวหล่อนเบาๆ เขาไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอหล่อนที่นี่ เมื่อคืนนี้เขาทำโทรศัพท์ตกจนโทรศัพท์เกิดอาการแปลกๆ เลยตัดสินใจลางานครึ่งวันเพื่อมาจัดการให้เรียบร้อย ตอนแรกก็ว่าจะให้เลขาฯ มาจัดการให้ แต่โทรศัพท์เครื่องนี้ก็เป็นเบอร์ส่วนตัวของเขา เขาจึงไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายนัก
จู่ๆ พนักงานกับลูกค้าคนอื่นๆ ก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ เขาเลยหันไปมองตาม แล้วพอเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นคืออารดา เขาก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
“คุณดล...”
อารดาพึมพำเมื่อหันมาเห็นเขา ส่วนพนักงานสาวแอบโล่งใจที่ดูเหมือนจะมีคนรู้จักลูกค้าสาวคนนี้ แต่อีกใจก็แอบกรี๊ดไปด้วย เพราะลูกค้าคนนี้หล่อมาก ทั้งสูง ทั้งขาว แต่งตัวดีด้วยชุดสูทเรียบหรู ท่าทางดูสุภาพอ่อนโยนมากจนแอบเคลิ้มเลยทีเดียว
แล้วก็ใช่ว่าจะมีแค่พนักงานสาวที่แอบชื่นชมความหล่อของผู้ชายที่เข้ามาช่วย เพราะลูกค้าสาวๆ ในร้านที่พอเห็นว่ามีผู้ชายหล่อเหลาเข้ามาช่วยผู้หญิงที่นั่งอยู่บนพื้น บางคนก็ซุบซิบถามกันเลยทีเดียว
“ดาราหรือเปล่า” ลูกค้าคนหนึ่งเอ่ยกับเพื่อน แต่เพื่อนที่มาด้วยกันกลับบอกว่า
“ไม่รู้สิ แต่หล่อออร่ากระจายมาก”
ทว่าคนที่กลายเป็นจุดสนใจกลับไม่ได้สนใจสายตาชื่นชมและคำชมเลยสักนิด เพราะตอนนี้ความสนใจของเขาอยู่ที่อารดามากกว่า
“คุณเป็นอะไรไป ไม่สบายเหรอ”
“ฉัน...เอ่อ...” หล่อนนิ่งไปนิด ก่อนจะตอบออกมา “ฉันแค่...หน้ามืดนิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวบอกแล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน
เขาจึงช่วยพยุงอย่างไม่ค่อยเชื่อว่าหล่อนหน้ามืด เพราะสีหน้าและแววตาของหล่อนเหมือนตกใจบางอย่าง
พอลูกค้าลุกขึ้นยืนได้แล้ว ฝ่ายพนักงานสาวก็ช่วยหยิบกระเป๋าใส่ไอแพดส่งคืนให้ลูกค้า
อารดาได้แต่ขอบคุณและขอโทษที่ทำให้ทุกคนตกใจ แต่สีหน้าก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
“ขอบคุณค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ตกใจ ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ” อารดาเอ่ยแล้วยิ้มให้ ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงออกมาจากศูนย์บริการโทรศัพท์
ทว่าพนักงานสาวยังเป็นห่วง อยากให้หล่อนนั่งพักให้รู้สึกดีมากกว่านี้อีกสักหน่อย แต่เจ้าตัวส่ายหน้าว่าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ธนาดลจึงช่วยประคองหล่อนออกมาด้วยกัน เพราะเข้าใจว่าหล่อนคงอายคนอื่นและอยากออกไปจากตรงนี้โดยเร็ว
เมื่อออกจากศูนย์บริการโทรศัพท์ ธนาดลยังไม่แน่ใจว่าอาการหล่อนดีขึ้นแล้วจริงหรือไม่ เขาจึงถามไถ่เพื่อความแน่ใจและประเมินการตอบสนองหล่อนไปด้วยในตัว
“คุณยังรู้สึกไม่ดีอยู่หรือเปล่า”
“ไม่แล้วค่ะ ฉันโอเคแล้ว”
“พอเดินไหวไหม” เขาย้ำถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ไหวค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่นอนน้อยเลยวูบไปนิดหน่อย”
อารดายืนยัน ฝืนยิ้มให้ ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง แต่ธนาดลมองออกว่าหล่อนกำลังฝืนตัวเอง เขาดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือเห็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงก็จะเที่ยงแล้ว และสภาพจิตใจของหล่อนในตอนนี้ก็ยังไม่ได้กลับมาเป็นปกติเต็มร้อยอย่างที่เจ้าตัวบอก ถึงเขาจะไม่อยากให้โอกาสหล่อนได้สบช่องจีบเขา แต่เขาก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจถึงขั้นปล่อยหล่อนไปทั้งที่อาการยังไม่น่าไว้ใจ
“นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ คุณอยากกินอาหารด้วยกันสักมื้อไหม”
“ได้เหรอคะ” อารดาตาเป็นประกายทันที แทบจะลืมอาการไม่ดีเมื่อครู่นี้ไปเสียสิ้น
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ”
“ไม่เลยค่ะ ยินดีอย่างยิ่งค่ะ”
ธนาดลจึงพาหล่อนไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นด้วยโทนสีขาวดำ ประดับด้วยต้นไม้สีเขียวและกระจกใสที่สามารถมองออกไปเห็นบรรยากาศภายนอกได้ ทำให้ดูปลอดโปร่งสบายและน่าถ่ายรูป
พนักงานนำเมนูอาหารมาให้ เมื่อสาวสายกินได้เห็นเมนูของทางร้านก็น้ำลายสอ น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน หน้าตาที่ดูไม่สดใสเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่เพราะหล่อนไม่เคยมาร้านนี้มาก่อน เปิดเมนูดู นั่นก็น่ากิน นี่ก็น่ากินไปหมด บวกกับว่าอยากให้เป็นมื้ออาหารที่ไม่ต้องมานั่งอึดอัดใส่กัน หล่อนจึงทำเป็นขอให้เขาช่วยออกความเห็นแทน
“คุณดลเคยกินอาหารร้านนี้มาก่อนหรือเปล่าคะ”
“ผมเคยไปสาขาอื่น”
“แล้วร้านนี้มีอะไรอร่อย คุณดลพอจะแนะนำได้ไหมคะ”
“คุณแพ้อาหารอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ กินได้ทุกอย่าง” ยกเว้นปลาร้าที่กินไม่ได้ เสาะท้อง แต่ก็ชอบกินค่ะ
อารดานั่งฟังเขาสั่งอาหารและเครื่องดื่มให้อย่างอารมณ์ดี หล่อนขอเอกมโน โทจินตนาการไปว่าแฟนกำลังสั่งอาหารให้กิน แม้ว่าตอนนี้เขากับหล่อนจะยังไม่ได้เป็นอะไรกันก็ตาม
หล่อนเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้วันทำงาน แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แถวนี้ไม่ใกล้ที่ทำงานของเขาเสียหน่อย อีกทั้งการแต่งตัวของเขาก็เหมือนพร้อมจะไปทำงานมากกว่า และคนขยันทำงานอย่างเขาไม่น่ามาเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ได้
เอ๊ะ หรือว่าเขามาทำงาน พอใจคิด ปากก็ถามออกไปทันที
“คุณดลมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”
“โทรศัพท์ของผมมีปัญหา แต่จัดการเรียบร้อยแล้ว แล้วคุณล่ะทำไมมาอยู่ที่นี่ ขาหายเจ็บแล้วเหรอ”
“ฉันมาเอาแมคบุ๊กที่เคลมไว้ค่ะ ส่วนขาก็หายดีแล้ว สบายมากค่ะ”
ต่างคนต่างรู้เหตุผลในการมา ว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญหรือบุพเพอาละวาด แต่สำหรับหล่อนถือว่าเป็นโชคดีมากที่ได้เจอเขา โดยไม่ต้องให้เพื่อนเป็นกามเทพช่วยเหลือ
“คุณดลมาที่นี่บ่อยไหมคะ”
“ผมเพิ่งมาไม่กี่ครั้งเอง ที่นี่ค่อนข้างไกลจากบ้านผม แล้วผมก็ไม่ค่อยชอบสถานที่ที่คนพลุกพล่านเท่าไหร่”
ธนาดลยอมคุยด้วยดีๆ ไม่ได้ตั้งกำแพง เพราะเห็นว่าหล่อนเพิ่งจะรู้สึกดีขึ้น เขาไม่อยากทำให้หล่อนรู้สึกแย่ลงไปอีก แล้วอีกอย่างถึงเขาจะรู้ว่าหล่อนอยากจีบเขา และเขาก็ไม่ได้อยากรับไมตรีนี้จากหล่อน แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้ชายไร้มารยาท ไม่ใช่คนที่จะตั้งป้อมใส่ใครก่อน ในเมื่อหล่อนยังไม่เคยทำอะไรให้เขาขุ่นข้องหมองใจ ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ จากเขา นอกจากแสดงท่าทีว่าต้องการจีบเขาตรงๆ
สิ่งที่เขาเกลียดที่สุด คือผู้หญิงที่เข้ามาจีบและพยายามเสแสร้งแกล้งทำทุกอย่าง ทั้งหว่านเสน่ห์ ทั้งรุกทั้งอ่อยแบบโง่ๆ แล้วในเมื่อหล่อนยังไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นเลย เขาก็จะยอมพูดคุยด้วยดีๆ
“เรื่องไกลนี่เห็นด้วยเลยค่ะ ถ้าไม่ต้องมาเอาเครื่องที่เคลมไว้ ฉันก็คงไม่มาเหมือนกัน”
อารดาหยุดพูด ตอนที่พนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ของหล่อนเป็นชามะนาวเย็นสดชื่นที่เขาสั่งให้ เพราะเขาอยากให้รสอมเปรี้ยวอมหวานของชามะนาวช่วยให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น ส่วนของเขาเป็นน้ำเปล่า
พอได้น้ำเย็นๆ ชื่นใจ หล่อนก็เงยหน้ามายิ้มให้เขา ก่อนจะดื่มชามะนาวตรงหน้าต่อไป แล้วอึดใจถัดมาพนักงานก็นำขนมปังก้อนกลมกับเนยมาเสิร์ฟเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ทำเอาแม่สาวสายกินฟินทุกอย่างถึงกับทำตาเป็นประกาย
ธนาดลเกือบหลุดหัวเราะออกมาตอนที่เห็นหล่อนทาเนยลงบนขนมปังและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ดูท่าว่าที่เขาได้ยินมาจากพี่สะใภ้ว่าอารดาเป็นแม่สาวนักกิน น่าจะเป็นความจริง
ช่างเป็นผู้หญิงที่ถูกตกได้ง่ายด้วยของกินจริงๆ
ชายหนุ่มคิดแล้วก็หยิบขนมปังมาทาเนยและกินบ้าง ไม่ให้หล่อนกระดากเขิน และไม่ให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดหรือให้ความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าสองคนมานั่งกินอาหารด้วยกัน
อาหารถูกนำทยอยมาเสิร์ฟ เปิดด้วยซีซาร์สลัดในแบบฉบับของร้าน ตามด้วยสปาเกตตีปลาสลิดของหล่อน ส่วนของธนาดลเป็นเฟตตูชินีเพสโตหอยเชลล์ แล้วก็ยังมีแซมอนแช่พริกกับผักโขมอบชีส ทำเอาแม่สาวสายกินฟินไม่หยุดและออกปากชมเลยทีเดียว
“อาหารร้านนี้อร่อยมากเลยค่ะ”
“คุณกินได้ผมก็สบายใจ ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าคุณกินเผ็ดได้มากแค่ไหน แต่สปาเกตตีปลาสลิดเป็นเมนูแนะนำของร้านนี้ ผมจำได้ว่าคุณรุ้งเคยเล่าให้ฟังว่าเวลาพวกคุณนัดเจอกัน ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารไทย หรือร้านอาหารอีสาน ผมก็เลยคิดว่าคุณน่าจะกินเผ็ดพอได้”
“ใช่ค่ะ กินเผ็ดได้ถึงระดับปานกลางค่ะ” อารดาตอบไปแล้วก็แอบเข่นเคี้ยวถึงเพื่อนรัก หน็อย ไอ้รุ้ง แอบเผากันเหรอเนี่ย!
“ว่าแต่คุณหน้ามืดบ่อยเหรอ” ธนาดลถามแล้วตักสปาเกตตีใส่ปาก แต่คำถามของเขากลับทำให้หล่อนชะงักไปนิดก่อนจะตอบออกมา โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังโดนเขาหลอกให้เปิดเผยความจริงอยู่
“เปล่าค่ะ ฉันไม่เคยหน้ามืดเลยด้วยซ้ำ” หล่อนตอบไปแล้วก็ชะงักกึก เพิ่งนึกได้ว่าเขาต้องสงสัยถึงสาเหตุแน่ ซึ่งหล่อนไม่อยากพูดถึงก็เลยอ้างไปว่า “พอดีเมื่อคืนนอนไม่พอเพราะเจ็บขาน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจกับคำว่านอนไม่พอเพราะเจ็บขาของหล่อน มันค้านกับที่หล่อนบอกว่าหายเจ็บขาและออกมาเดินปร๋อได้แล้ว เพราะถ้าเมื่อคืนหญิงสาวเจ็บขาถึงขั้นนอนไม่พอ วันนี้ก็ไม่น่าจะออกมาเดินได้ถึงขนาดนี้
แสดงว่าที่หล่อนลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นนั้น ไม่ใช่เพราะหน้ามืดเป็นลม ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วเขาไม่ต้องสนใจว่าหล่อนเจออะไร หรือเห็นอะไรเข้า ในเมื่อเขาไม่ได้สนใจในตัวหล่อน แต่ทำไมเขาถึงไม่อยากปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปก็ไม่รู้
ทว่าเขาไม่โง่พอที่จะซักไซ้ไล่เลียงหญิงสาวในตอนนี้ และเขาก็มีวิธีที่จะได้มาซึ่งคำตอบอยู่แล้ว!
สองหนุ่มสาวนั่งกินอาหารไปพลางคุยเรื่องอื่นไป จนกระทั่งอารดาที่หันไปมองนอกหน้าต่างเข้าพอดีก็ร้องเบาๆ เมื่อเห็นคู่รักคู่หนึ่งกำลังขอแต่งงานกันอยู่ที่บริเวณลานกว้างที่เป็นทั้งพื้นที่ทำกิจกรรมและจุดชมวิว
“อุ๊ย นั่นเขากำลังขอแต่งงานกันค่ะคุณดล”
ธนาดลหันมองตามก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าขอแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ในมือมีดอกกุหลาบช่อใหญ่และกำลังพูดอะไรบางอย่างกับผู้หญิง ฝ่ายผู้หญิงนั้นเขินแล้วเขินอีกและร้องไห้ด้วยความตื้นตัน ก่อนจะพยักหน้าและรับช่อดอกไม้ใหญ่มาถือ ผู้ชายที่คุกเข่าก็หยิบกล่องใส่แหวนออกมา
อารดามองแล้วก็ทำหน้าฟิน ตาปรอย นึกอยากมีความทรงจำแสนประทับใจอย่างนี้บ้าง แต่พอคิดว่าก่อนจะไปถึงขั้นนั้นหล่อนต้องจีบธนาดลให้ติดเสียก่อน เจ้าความอยากมีประสบการณ์ดีๆ เลยต้องพับไปกลางทาง เพราะตอนนี้หล่อนยังเดินหน้าทำแต้มความประทับใจกับเขาไม่ได้เลย แค่ได้มานั่งกินอาหารด้วยกันสองต่อสองนี่ก็ถือว่าบุญนักหนาแล้ว
อารดาเหลือบมองเขา แต่เขากลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และหันมาสนใจอาหารตรงหน้าแทน คนที่อยากจีบ อยากอ่อยใจจะขาดเลยต้องพับโครงการจีบไว้ชั่วคราว เพราะการรุกมากไปก็ไม่ดี ต้องรอจังหวะที่ดี ไม่อย่างนั้นผู้ชายจะรำคาญ
เมื่อมื้ออาหารจบลง อารดาก็ขอจ่ายค่าอาหารเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยพาหล่อนออกมาจากศูนย์บริการโทรศัพท์ แล้วก็ถือเป็นการขอบคุณที่เมื่อวานนี้เขาอุตส่าห์พาหล่อนไปส่งถึงคอนโด
แต่ธนาดลกลับบอกว่า
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ผมไม่ได้ลำบากอะไรเลย อีกอย่างคุณก็เป็นเพื่อนสนิทของพี่สะใภ้ผมด้วย”
เพื่อนสนิทของพี่สะใภ้! เฮ้อ คำนี้สินะที่ทำให้เขาใจดีและทำดีกับหล่อน สงสัยว่าถ้าหล่อนไม่ใช่เพื่อนของรติยา มีหวังโดนเขาไล่ออกนอกวงโคจรไปแล้วละมั้ง
“แต่ฉันอยากทำอะไรให้บ้าง สักนิดก็ยังดี นะคะ” อารดาทำตาปรอยใส่เขา หล่อนไม่ชอบเอาเปรียบใคร แล้วก็ไม่ชอบตรรกะที่ว่าผู้ชายต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหารผู้หญิงเสมอไป ในเมื่อเขากับหล่อนถือเป็นคนรู้จักกัน ยังไม่ได้สนิทสนม การให้เขามาเลี้ยงอาหารเป็นการเอาเปรียบเกินไป
ธนาดลจึงต้องยอมครึ่งทาง ให้หล่อนจ่ายค่าอาหารส่วนของตัวเอง มาคิดๆ ดูแล้วอารดาก็มีอะไรให้น่าสนใจอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยหล่อนก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีมารยาร้อยเล่มเกวียน ถึงจะดูพูดมาก และกินเก่ง แต่ก็ไม่เสแสร้ง ไม่แกล้งวางตัวเป็นสาวที่เลิศเลอ แค่ทำอะไรตรงไปตรงมาและจริงใจ แถมยังเป็นผู้หญิงที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย เรียกว่าเป็นคนไม่มีพิษมีภัยเลยก็ว่าได้
หลังจากจัดการจ่ายค่าอาหารเรียบร้อย ธนาดลกับอารดาก็ออกจากร้านด้วยกัน
“เดี๋ยวผมต้องไปบริษัทแล้ว แล้วคุณล่ะ จะเดินเที่ยวที่นี่ต่อหรือเปล่า”
“ไม่ละค่ะ ฉันยังเดินนานๆ ไม่ไหว ถึงขาจะโอเคดีแล้ว แต่คิดว่ากลับบ้านเลยดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปส่งที่รถ” ธนาดลตัดสินใจให้เสร็จสรรพ
อารดาก็ไม่ปฏิเสธเลยสักนิด ในเมื่อเขามีน้ำใจไปส่ง แล้วหล่อนก็อยากมีช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดเขาเหมือนกัน ถึงเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่แค่นี้คนที่แอบชอบอยู่ก็หัวใจพองโตฟินทะลุโลกแล้ว
สองหนุ่มสาวลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง บริเวณนั้นผู้คนพลุกพล่าน และมีการแจกอมยิ้มหน้าตาน่ารักจากร้านขนมยี่ห้อหนึ่งที่โพรโมตอยู่ ด้วยธีมการโพรโมตสีแดงและชมพูหวานๆ เข้ากับคอนเซปต์การบอกรัก ที่ให้ทั้งคนรัก หรือรักพ่อแม่ หรือพี่น้อง หรือครอบครัวก็ได้ แต่ต้องมาเป็นคู่ พนักงานถึงจะแจกให้
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของอารดาไม่ใช่ของแจก แต่เป็นมาสคอตกระต่ายสีขาวตัวอ้วนกลมหูยาวและมีขนปุยนุ่มน่ากอดมากที่กำลังแจกขนม อารดาชอบกระต่ายมาก เพราะตอนเด็กๆ เคยเลี้ยง แต่พอกระต่ายที่เลี้ยงตายไปเพราะอายุเยอะ หล่อนก็ไม่ได้เลี้ยงอีกเลย แต่ก็ยังรักและชอบกระต่ายอยู่เสมอ
ธนาดลหันมอง พอเห็นแววตาเป็นประกายและรอยยิ้มของหล่อน เขาก็ทั้งรู้สึกแปลกใจแล้วก็เหนือความคาดหมายอยู่สักหน่อย คิดว่าหล่อนจะทำตัวแอ๊บสวย รวย เก่ง เหมือนสาวๆ ที่เข้ามาจีบเขา แต่หล่อนกลับทำทุกอย่างตรงกันข้ามหมด แถมชอบอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าและแววตา
ชายหนุ่มจึงเดินไปที่มาสคอตกระต่ายตัวนั้น แล้วพูดอะไรสักอย่างกับพนักงานสาวแต่งตัวน่ารัก ถือตะกร้าขนมที่ยืนอยู่ข้างมาสคอต พนักงานสาวก็ส่งอมยิ้มน่ารักสองอันที่ผูกโบสีชมพูติดกันไว้เป็นคู่ให้
เขาจึงเดินกลับมาหาอารดาแล้วส่งให้หล่อน คิดแค่ว่าเจ้าอมยิ้มนี่อาจจะช่วยให้ความรู้สึกจิตตกของหล่อนหายไปได้บ้าง เพราะเขาคิดว่าหลังจากไปส่งหล่อนที่รถและแยกกันแล้ว หล่อนอาจจะกลับมาจิตตกได้อีก
“คุณดล...” อารดาอึ้งที่เขาไปเอาอมยิ้มมาให้ ทั้งดีใจแล้วก็เขิน แต่ก็ไม่ได้ออกตัวแรง คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาเริ่มชอบหล่อนแล้ว เพราะท่าทางและแววตาของเขาไม่ได้สื่อความหมายแบบนั้นเลยสักนิด เขาอาจจะแค่ใจดีและปลอบหล่อนเรื่องที่เกิดขึ้นในศูนย์บริการโทรศัพท์มากกว่า แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หล่อนก็ดีใจทั้งนั้น
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับมา ยิ้มแก้มปริ ดีใจสุดๆ จากนั้นก็ลงบันไดเลื่อนไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน แล้วไม่นานนักก็มาถึงรถยนต์ของตัวเอง หล่อนหันมาบอกเขา
“ขอบคุณนะคะที่เดินมาส่ง” เจ้าตัวไม่บอกเปล่า จัดการแก้โบที่ผูกอมยิ้มสองอันไว้ด้วยกัน และเอาอมยิ้มอันหนึ่งให้เขา ส่วนอีกอันหล่อนเก็บไว้ “นี่ของคุณดลค่ะ”
“ผมไม่กินอมยิ้มหรอก”
“เก็บไว้เป็นที่ระทึกค่ะ”
“หืม ที่ระทึก?”
เขาคิดว่าหล่อนพูดผิด แต่อารดากลับยืนยันว่าถูกต้อง
“ที่ระทึกถูกแล้วค่ะ เพราะวันนี้คุณดลเจอเรื่องระทึกมา ก็ยายผู้หญิงบ๊องๆ คนหนึ่งไปหน้ามืดต่อหน้าคนอื่น ทำให้คุณดลต้องลำบากพาออกมาไม่ให้อายคนอื่น แล้วยังเกือบจะต้องเลี้ยงข้าวด้วย แบบนี้ไม่เรียกว่าระทึกได้ไง จริงไหมคะ”
ธนาดลส่ายหน้ากับการแปลความหมายของหล่อน รับอมยิ้มที่หล่อนให้มาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะพยักพเยิดให้หล่อนขึ้นรถ อารดาจึงกดรีโมตเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ ส่วนเขาก็ถอยหลังออกมาและยืนรอส่งจนกระทั่งหล่อนขับรถออกจากช่องจอดรถเรียบร้อย
ชายหนุ่มมองดูอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งรถยนต์ลับสายตาไป เจ้าตัวจึงเดินกลับเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ท่าทีสบายๆ เมื่อครู่กลับเปลี่ยนไปทันที ทั้งสีหน้าและแววตาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น เพราะเขารู้ตัวมาตลอดตั้งแต่ออกมาจากร้านอาหาร ว่ามีใครคนหนึ่งคอยจับตาดูอยู่ แต่เพราะคนพลุกพล่านและคนคนนั้นไม่ต้องการปรากฏตัวหรือทำให้พวกเขารู้ตัว เขาสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าคนที่แอบตามพวกเขามาอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่อารดาตกใจจนลงไปกองกับพื้นก็ได้
ธนาดลไม่แน่ใจว่าคนคนนั้นต้องการสะกดรอยตามเขาหรืออารดา แต่ไม่ว่าอย่างไหนเขาก็ไม่ยอมเป็นเหยื่อให้มันฟรีๆ แน่ เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง แล้วพอปลายสายรับสาย เขาก็สั่งทันที
“ธนัช นายช่วยติดต่อกับศูนย์บริการโทรศัพท์และขอดูกล้องวงจรปิดให้ฉันหน่อย จะโกหกไปก็ได้ว่า เอ็มดีของอาร์แอนท์ทีเอสเตตโดนล้วงกระเป๋าในศูนย์บริการตอนที่มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้ามืดพอดี ก็เลยต้องการภาพคนร้ายที่ชัดเจนในช่วงเวลานั้น แล้วก็ลองขอกล้องวงจรปิดของห้างฯ ดูแถวหน้าร้านอาหาร...”
“ครับคุณดล” ธนัชรับคำ แม้ว่าเขาจะเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของท่านประธาน แต่บางครั้งเขาก็ทำงานให้ธนาดลด้วย โดยเฉพาะงานที่ต้องการข้อมูล หรือตรวจสอบบุคคลทำนองนี้ เรียกได้ว่าเป็นมือขวาและเป็นคนที่สองพี่น้องรัตนธนการไว้ใจให้ทำงานที่ไม่ต้องการเปิดเผยกับใคร
ไหนมาดูซิว่า ไอ้โม่งนั่นมันเป็นใครและต้องการอะไรกันแน่!
ฝ่ายคนที่ขับรถออกจากห้างสรรพสินค้าไปนั้น ยามนี้ก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าไปทำให้เสือหลับอย่างธนาดลเกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเจ้าอมยิ้มนี่จะช่วยให้หล่อนหายจิตตกไปได้ง่ายๆ ในเมื่อหล่อนเองก็ยังสงสัยอยู่ว่า รอยสักที่เห็นบนหลังมือของผู้ชายคนนั้นเป็นรอยสักอะไร แล้วรอยสักที่หล่อนเห็นในภาพซ้อนที่ผุดขึ้นมาในหัวนั้นเป็นรอยสักของใคร ซึ่งถ้ามันจะมีเหตุการณ์ใดที่หล่อนลืมไป สิ่งที่พอจะเป็นคำตอบได้ก็คงมีแค่เหตุการณ์นั้น
อุบัติเหตุที่บ้านโบราณของคุณตา!
อารดารู้สึกใจหวิวๆ ขึ้นมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตหล่อน เมื่อหลายปีก่อนหล่อนถูกชั้นวางอุปกรณ์ทำสวนและกระถางต้นไม้ล้มทับ หล่อนขาหักและต้องใช้ไม้ค้ำพยุงเดินอยู่หลายเดือน ทำให้ชีวิตช่วงนั้นเป็นอะไรที่หายนะสุดๆ เพราะเพิ่งเปิดเทอมปีหนึ่งได้แค่สองสัปดาห์ ก็ไม่สามารถไปเรียนกับเพื่อนๆ ได้แล้ว
ครั้นพอขาหายดี เคราะห์ก็ซ้ำด้วยโรคภูมิแพ้กำเริบ กว่าจะกลับไปเรียนต่อได้ เพื่อนที่สอบติดมาด้วยกันก็ขึ้นปีสองไปหมดแล้ว อารดาไม่อยากไปเรียนกับรุ่นน้องโดยที่เจอเพื่อนรุ่นเดียวกันไปด้วย หล่อนไม่ได้อายที่ต้องเรียนช้า แต่รำคาญที่จะต้องตอบคำถามว่าเหตุใดถึงต้องมาเรียนกับรุ่นน้อง เจ้าตัวจึงตัดสินใจหยุดเรียนไปสี่ปี แล้วมาเริ่มต้นเรียนต่ออีกครั้งตอนที่เพื่อนๆ พวกนั้นเรียนจบไปแล้ว ทำให้ได้มาเจอกับรติยา
ทว่าหล่อนจำรายละเอียดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนั้นไม่ได้เลย รู้แค่จากคำบอกเล่าของทุกคนว่า หล่อนโดนชั้นเก็บของหล่นมาใส่ มีกระถางตกลงมาใส่ศีรษะด้วย ดีที่สมองไม่ได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง แต่เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำ ในเมื่ออารดาจำรายละเอียดไม่ได้ ทุกคนก็ไม่พูดถึงอีก
พอนึกมาถึงตรงนี้ เจ้าตัวไม่อยากห่อเหี่ยวหัวใจอีก จึงสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกนั้นออกไป แล้วหันมามีความสุขกับอมยิ้มที่ได้มา หล่อนจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกอย่างดี อย่างน้อยจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของเขากับหล่อนก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
ทางด้านธนาดลหลังกลับเข้าบริษัทมาในช่วงบ่าย เขาก็ทำงานไปตามปกติจนกระทั่งถึงช่วงเย็นที่ทุกคนเริ่มเคลียร์งานประจำวันของตัวเองแล้ว ส่วนตัวเขานั้นจัดการงานของวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังดูไฟล์จากกล้องวงจรปิดที่ธนัชไปจัดการเอามาได้
ธนาดลวนดูภาพจากกล้องวงจรปิดช่วงก่อนที่อารดาจะล้มลงไปกองกับพื้น ไม่มีใครเข้าหาหล่อนเลย และไม่มีใครอยู่ในรัศมีสองเมตรรอบๆ ตัวหล่อนด้วย เพราะฉะนั้นตัดประเด็นเรื่องที่หล่อนอาจถูกใครเข้ามาข่มขู่ทำร้าย หรือทำให้กลัวไปได้เลย
“ถ้าอย่างนั้นคุณตกใจอะไรกันแน่ อารดา” ชายหนุ่มพึมพำแล้วกดดูคลิปอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้สมมุติฐานว่าหล่อนอาจจะเจอคนรู้จักที่ไม่อยากเจอหน้ากันอีก ประเภทไม่เผาผีกันเลยทำนองนั้น แต่ปฏิกิริยาของหล่อนในคลิปก็ไม่ได้สนใจมองใคร ยกเว้นแต่ตอนที่ผู้ชายสวมหมวกยืนหันข้างให้ห่างออกไปประมาณสี่เมตรหยิบโทรศัพท์มือถือให้พนักงานดู ตอนนั้นละที่หล่อนชะงักไปและล้มลงไปกองกับพื้น
เขายังคงวนดูคลิปอยู่สามรอบ แล้วก็เริ่มเอะใจว่าปฏิกิริยาของอารดาเกิดขึ้นตอนที่ผู้ชายคนนั้นยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาให้พนักงานดูจริงๆ เขาจึงลองหยุดคลิปและบันทึกเป็นภาพนิ่ง ก่อนจะนำไปขยายดูในแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ
แล้วแม้ว่าภาพจะออกมาไม่ค่อยชัดนัก แต่เขามั่นใจได้อย่างว่าที่หลังข้อมือของผู้ชายคนนั้นมีรอยสัก อีกทั้งระดับสายตาของอารดาก็ดูเหมือนจะไม่ได้มองหน้าผู้ชายคนนี้ด้วย หล่อนมองแค่รอยสักเท่านั้น
“ตกใจรอยสักนี่จริงๆ งั้นเหรอ ทำไมล่ะ” ธนาดลพึมพำอย่างไม่ค่อยเข้าใจ พยายามมองภาพรอยสักก็ดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร แล้วทำไมอารดาถึงได้ตกใจขนาดนั้น เขาครุ่นคิดไปมา พอดีกับที่เลขาฯ สาวเดินเข้ามาเอาแฟ้มงานที่เขาเซ็นเรียบร้อยแล้วกลับไป เขาจึงถามเหมือนชวนคุยไปด้วย
“คุณมาศกลัวรอยสักหรือเปล่าครับ”
“คะ? คุณดลว่าอะไรนะคะ” ผกามาศที่เป็นเลขานุการหน้าห้องมาหลายปีทวนถาม ทำตาปริบๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดไปหรือเปล่า ปกติแล้วคุณดลชอบมีคำถามชวนให้คิดอยู่บ่อยๆ อยู่กับเขาต้องใช้สมองเหมือนเล่นเกมปริศนา แต่คำถามนี้ดูจะพิลึกที่สุดแล้วตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา
“ผมแค่สงสัยว่า คนเราจะมีอาการกลัวรอยสักได้ไหม”
“ไม่น่าจะมีนะคะคุณดล แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่ารอยสักนั่นเยอะแค่ไหน บางคนสักเต็มตัวก็จะดูน่ากลัว น่าเกรงขามได้เหมือนกันค่ะ”
“ไม่ แค่ข้อมือ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีใครกลัวค่ะ ยกเว้นแต่รอยสักนั้นเป็นรูปหน้าผีอะไรแบบนั้นน่ะค่ะ” เลขานุการสาวตอบไปแล้วก็นิ่วหน้า เพราะพอได้คำตอบอย่างนั้นแล้วเจ้านายของหล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากทำหน้าครุ่นคิด ท่าทางดูไม่เหมือนกับถามเล่นๆ หรือถามเอาขำขันเลยแม้แต่น้อย
หล่อนทำงานกับธนาดลมาหลายปี จึงรู้อกรู้ใจกันดีว่า หล่อนไม่ควรถามอะไรต่อ หรือมีข้อสงสัยที่จะทำให้เจ้านายหงุดหงิดอีก เพราะดูท่าว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เจ้าตัวจึงเดินเลี่ยงออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ ปล่อยให้คนเป็นเจ้านายคิดหาคำตอบต่อไป แต่เชื่อได้เลยว่าถ้าเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้านายของหล่อนถึงขั้นมานั่งคิดไม่ตกแบบนี้แล้วละก็ เจ้านายของหล่อนกัดไม่ปล่อยอย่างแน่นอน!
ความคิดเห็น |
---|