๕ 

เด็กเป็นเหตุสังเกตได้

 

รุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้นมาเยือน อารดานอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงเพราะความฝันที่เกิดขึ้น ในฝันหล่อนได้ยินเสียงแปลกๆ ที่จับทิศทางไม่ได้และไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร เหมือนมีใครเอาอะไรเจาะหรือกระแทกอะไรอยู่ จากนั้นภาพก็ตัดไปเป็นท่อนแขนของผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางหมอกหนาขาวโพลน แต่หล่อนกลับเห็นรอยสักที่แขนของเขา ราวกับหมอกนั่นจงใจบางลงเฉพาะช่วงท่อนแขนของเขา แล้วเพียงแค่เห็น หล่อนก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงขั้นตกใจและรู้สึกตัวลืมตาตื่น

หญิงสาวลืมตาโพลงอย่างตกใจ ลมหายใจหอบถี่จากฝันร้าย หล่อนยกมือขึ้นกุมหน้าอกตัวเอง พยายามปรับจังหวะลมหายใจ แต่ดูจะยังไม่ค่อยดีขึ้น เจ้าตัวจึงเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง แล้วหยิบหลอดยาดมที่วางอยู่ในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงออกมาและสูดกลิ่นหอมเข้าไป

ครู่ถัดมาหล่อนก็รู้สึกดีขึ้น เจ้าตัวจึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูนั่นดูนี่เพื่อให้อารมณ์หวาดหวั่นจากฝันร้ายหายไป หล่อนนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่เป็นนานเพื่อให้ลืมความฝันนั่นไป จนกระทั่งง่วงและหลับไปอีกรอบ มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่นาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นนั่นละ

 อารดาลืมตาโพลงแล้วทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แล้วพบว่ามันเป็นการปลุกครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เพราะก่อนหน้านี้ที่ปลุกไว้หล่อนไม่ตื่น และไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่น้อย

“ตายๆๆ สายแล้ว ตายแน่ฉัน” เจ้าตัวกระวีกระวาดลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะได้ไปทำงาน รู้ตัวแล้วว่าวันนี้สายแน่ เพราะอีกยี่สิบนาทีก็แปดโมงแล้ว และหล่อนไม่มีทางไปถึงที่ทำงานทันก่อนแปดโมงแน่นอน  แล้วช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้น่ะเหรอ รถติดเป็นลานจอดรถไปแล้ว ดังนั้นพออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หล่อนเลยตัดสินใจว่าวันนี้จะใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง!

อารดาออกจากคอนโดแล้วเดินเลี้ยวไปยังวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่หน้าปากซอยถัดจากคอนโดของหล่อนไปพอประมาณ หล่อนเคยเรียกใช้บริการยามที่ตื่นสายแบบนี้ แม้จะไม่บ่อยนัก แต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เจ้าตัวบอกจุดหมายปลายทางและพิกัดถนนที่จะไป จากนั้นพอขึ้นรถสวมหมวกกันน็อกเรียบร้อยก็กำชับอีกครั้ง

“ลุงซิ่งเลย สายแล้ว! เดี๋ยวหนูโดนหัวหน้าบ่นหูชาแน่!”

คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็จัดให้เต็มที่ แต่ขี่ออกมาได้แค่ไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร คนขี่ก็เบรกตัวโก่งพร้อมกับร้องตะโกนออกไปด้วยความตื่นตระหนก

“ไอ้อ้อย!”

คนขับจอดรถทำให้อารดาต้องลงจากรถมอเตอร์ไซค์ แล้วพอลุงคนขับตั้งขาตั้งเรียบร้อยก็รีบวิ่งไปหาผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอดที่ทรุดนั่งบนขอบหินที่โคนต้นไม้ริมถนน 

อารดาที่แม้จะเร่งรีบในเช้าวันที่สายสุดๆ แต่หล่อนไม่ได้แล้งน้ำใจถึงขนาดทิ้งไปได้ง่ายๆ รีบเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นที่หน้าตาไม่ค่อยสู้ดีและท่าทางใกล้คลอดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

“นี่เมียลุงเหรอ”

“ไม่ใช่ นี่ไอ้อ้อยลูกสาวลุง มันท้องแก่มากแล้ว กำหนดคลอดอาทิตย์หน้า”

พอลุงมอเตอร์ไซค์รับจ้างบอกอย่างนั้น สาวแก่ใกล้คลอดก็รีบบอก “พ่อ ฉันปวดท้องเหลือเกิน ปวดมากเหมือนจะคลอดแล้ว”

“ฮ้า! เอ็งจะคลอด! เดี๋ยวนะๆ พ่อโทร. เรียกกู้ภัยก่อน เบอร์อะไร เบอร์ เบอร์”

ลุงคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก แม้จะเคยอยู่ด้วยตอนภรรยาคลอด แต่นั่นก็นานหลายสิบปีแล้ว อีกทั้งจะพาลูกสาวท้องแก่ขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วซิ่งพาไปโรงพยาบาลก็ไม่ได้อีก อารดาเห็นดังนั้นก็รีบบอกทันที

“๑๖๖๙ ลุง เหตุฉุกเฉินช่วยชีวิต เดี๋ยวฉันโทร. ให้เอง” หล่อนว่าแล้วก็ถอดหมวกกันน็อกออกก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร. หมายเลขดังกล่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ แล้วก็เสียเวลาอธิบายสถานที่พิกัดรวมทั้งอาการของคนเจ็บท้องอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะวางสายแล้วหันมาบอกกับสาวท้องแก่กับพ่อของสาวเจ้าว่า

“ใจเย็นๆ นะ หายใจลึกๆ มีสติไว้ กู้ภัยกำลังมา”

“แต่หนูปวดท้องมากเลยพี่ จะไม่ไหวแล้ว”

“ไม่ไหวก็ต้องไหว นี่ท้องแรกหรือเปล่า” อารดาถามขณะลงนั่งข้างกายสาวท้องแก่และวางหมวกกันน็อกลงบนพื้น หล่อนจำได้ว่าพี่ที่ทำงานเคยเล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงท้องแรกบางคนคลอดยาก แต่ถ้าท้องสองไปแล้วจะคลอดง่าย หล่อนก็อยากให้แม่สาวคนนี้เป็นท้องสอง เผื่อว่าจะมีประสบการณ์และรู้ว่าควรจัดการกับความเจ็บตอนใกล้คลอดนี้อย่างไร แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาเสียเลย

“ท้องแรกค่ะพี่”

โอเค จบกันท้องแรก และตอนนี้ฉันสายแล้ว แต่จะทิ้งไปดื้อๆ ก็ดูจะไร้มนุษยธรรมเกินไป

หญิงสาวครางในใจ ทำหน้าเหมือนโลกจะแตก วันนี้หล่อนจะต้องซวยยับเยินแน่ๆ ไปทำงานไม่ทันแล้วแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วก็ได้โดนหัวหน้าโทร. มาเฉ่งแน่ แล้วหล่อนก็โทร. ไปบอกไม่ได้ ด้วยตนเองติดพันกับการช่วยคนอื่นอยู่ เพราะหัวหน้าหล่อนไม่ได้ใจดี เห็นอกเห็นใจคนอื่นขนาดนั้น 

แล้วสิบห้านาทีต่อมารถพยาบาลกู้ภัยก็มาถึงและช่วยนำคนท้องขึ้นรถเรียบร้อย แต่พอบอกว่าต้องมีญาติติดรถไปด้วยหนึ่งคน ลุงขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ดูเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูก จะขึ้นรถพยาบาลไปด้วยก็ห่วงรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง อารดาก็เลยตัดสินใจไปเป็นเพื่อนสาวท้องแก่

เอาวะไอ้ปุ๊ก อย่างดีหัวหน้าก็ด่าเช้าจดเย็นยันวันพรุ่งนี้!

อารดาขึ้นรถพยาบาลไปด้วยกัน ส่วนลุงวินมอเตอร์ไซค์ที่ดูเลิ่กลั่กตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูกนั้น ก็ถูกเจ้าหน้าที่รถพยาบาลบอกให้ลุงไปช่วยขี่รถเปิดทางนำหน้ารถพยาบาลแทน จะช่วยได้เร็วขึ้น เพราะตอนนี้การจราจรค่อนข้างติดขัดมากจริงๆ แล้วเมื่อทุกคนพร้อมเคลื่อนย้าย รถพยาบาลก็เปิดเสียงไซเรน ส่วนลุงก็ขี่มอเตอร์ไซค์นำหน้า คอยขอทางตามที่เจ้าหน้าที่บอก

“ขอทางหน่อยครับ ในรถมีคนจะคลอดลูกครับ ขอทางหน่อยครับ...”

ปิ๊น ปิ๊น!

รถยนต์หลายคันค่อยๆ หาทางเบี่ยงให้รถพยาบาลค่อยขับผ่านไป จนกระทั่งมาถึงสี่แยก ตำรวจที่ป้อมตำรวจจราจรเห็นเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นและลุงมอเตอร์ไซค์รับจ้างตะโกนบอกว่าในรถมีคนจะคลอดลูก ตำรวจนายนั้นก็วิทยุประสานงานให้ แล้วก็รีบขึ้นมอเตอร์ไซค์ของตัวเองที่จอดอยู่ จากนั้นก็ช่วยขับรถเปิดทางให้อีกแรง จนกระทั่งในที่สุดก็นำสาวท้องแก่ใกล้คลอดมาส่งถึงโรงพยาบาลได้สำเร็จ

พอรถเทียบทางเข้าห้องฉุกเฉินก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ถุงน้ำคร่ำของคนไข้แตกพอดี เวรเปลที่เห็นตำรวจขับรถนำมาก่อนก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ รีบเอาเปลนอนมาเทียบและพาคนไข้เข้าไปอย่างเร่งด่วน โดยมีอารดาตามคนไข้ไป เพราะเจ้าตัวคนท้องดันฝากกระเป๋าไว้กับหล่อน กลายเป็นหล่อนต้องรับภาระนี้ไปเต็มๆ 

หลังจากคนไข้ถูกส่งเข้าห้องคลอดเรียบร้อย อารดาก็มานั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องคลอดกับลุงมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หล่อนไม่กล้าทิ้งแล้วไปทำงานดื้อๆ เพราะดูลุงจะเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ก็เลยชวนคุยเป็นการฆ่าเวลา 

แล้วจึงได้รู้ว่าตอนเมียลุงท้องลูกสาวคนนี้  ไม่ได้คลอดที่โรงพยาบาล แต่คลอดเองที่บ้าน ตอนนั้นลุงออกไปทำสวนก็เลยไม่ได้อยู่ด้วย มีแค่พี่สาวของเมียอยู่ด้วยกัน แต่โชคดีที่แม่และเด็กปลอดภัย หลังจากนั้นก็พากันไปโรงพยาบาล ดังนั้นลุงเลยไม่รู้ขั้นตอนว่าเวลาคนจะคลอดต้องทำอย่างไร หรือช่วยอย่างไรได้บ้าง

อารดาพยักหน้าเข้าใจ คิดถูกแล้วจริงๆ ที่มาด้วย ไม่ทิ้งลุงแกไว้ตามลำพัง ถึงหล่อนจะไม่รู้วิธีการรับมือคนคลอดลูก แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงก็พอจะได้อ่าน ได้ยินได้ฟังมาจากคนที่เคยมีลูกมาก่อนแล้วบ้าง 

“แล้วนี่ลุงโทร. บอกคนที่บ้านหรือยัง”

“โทร. บอกแล้วคุณ เห็นว่ากำลังมา” ลุงตอบแล้วนึกขึ้นได้ “ว่าแต่คุณรีบไปทำงานไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวลุงไปส่ง”

“ไม่ทันแล้วลุง ไปตอนนี้ก็หัวขาดอยู่ดี ต้องรออีกสักพัก โดนทีเดียว ขอหูชารอบเดียวพอ” หญิงสาวเอ่ยติดตลก หัวเราะขื่นๆ เพราะตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ นอกจากยอมรับและรอให้พี่ในแผนกโทรศัพท์มาเฉ่งก่อน เนื่องจากหล่อนรู้แกวว่าถ้าตนเองโทรศัพท์ไปบอกตอนนี้ แปลว่ายังพอมีเวลาเหลือเข้าบริษัทได้ แต่ถ้าสายไปมากกว่านี้แล้ว ถ้ามีเหตุผลจำเป็น ไม่สามารถเข้างานได้ทัน อย่างไรก็ฟังขึ้นมากกว่า

ทว่าตอนที่หล่อนกำลังนั่งคุยกับลุงอยู่นั้นเอง เวรเปลก็เข็นคุณแม่ใกล้คลอดอีกคนผ่านหน้าและเข้าไปในแผนกห้องคลอด หล่อนมองตามแล้วก็คิดว่าวันๆ หนึ่งมีเด็กเกิดขึ้นเยอะเหมือนกัน นี่ขนาดแค่โรงพยาบาลเดียวในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนยามเช้านี้ยังมีตั้งสองคนแล้ว โรงพยาบาลอื่นอีกมากมายในประเทศอีกล่ะ แล้วการจะได้เป็นแม่คนนี่มันก็เลือกเวลาเสียด้วยสิ

อารดานั่งรอเป็นเพื่อนลุงต่อไประหว่างรอให้ลูกเขยและภรรยาของลุงมา แต่แล้วจู่ๆ หล่อนก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่เคยได้กลิ่นตอนไปขอพรลอยมาเตะจมูก โรงพยาบาลใช้สเปรย์ปรับอากาศกลิ่นนี้ด้วยหรือ ในระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็เอ่ยทักขึ้นมา

“คุณ...อารดา”

หญิงสาวหันไปมองแล้วก็แทบร้องกรี๊ดด้วยความดีใจ เช้าอันห่อเหี่ยวดวงซวยของหล่อนยังมีเรื่องดีๆ อยู่บ้าง  อารดาลุกไปหาเขาท่าทางดีใจชัดเจน ประหนึ่งว่าถ้ากระโดดกอดได้คงทำไปแล้ว

“คุณธนาดล!”

ธนาดลชะงักไปเล็กน้อยกับท่าทางดีใจของหล่อน แต่ก็แปลกใจไปด้วยพร้อมกันที่เช้านี้เขาได้เจอหล่อน แล้วก็ดันมาเจอกันหน้าแผนกห้องคลอดโรงพยาบาล มันต้องเป็นความบังเอิญหรือสวรรค์ลงโทษขนาดไหนกัน ที่ทำให้เขากับหล่อนต้องมาเจอกันอีก

“คุณมาทำอะไรที่นี่”

“พอดีฉันตื่นสายก็เลยใช้บริการลุงมอเตอร์ไซค์วิน แต่ทีนี้ลูกสาวของลุงเขาปวดท้องจะคลอด ฉันก็เลยช่วยเหลือพามาที่โรงพยาบาล แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนรอให้ญาติเขามา กำลังจะไปแล้วค่ะ แล้วคุณดลล่ะคะ มาทำอะไรที่นี่”

“ผมก็ไม่ต่างจากคุณหรอก” ชายหนุ่มตอบไปตามความจริง เพราะเขาก็ตกที่นั่งเดียวกันกับหล่อน ก่อนหน้านี้เขากำลังขับรถไปทำงานที่บริษัทตามปกติ แต่เส้นทางที่เขาใช้เป็นประจำเกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าหักล้มเมื่อตอนเช้ามืด ความเสียหายค่อนข้างมาก ทำให้การเคลื่อนย้ายรถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุกับกู้ซากเสาไฟฟ้าต้องใช้เวลา 

ตำรวจก็เลยระบายรถจากเส้นทางนั้นไปยังทางอื่น ทำให้เขาต้องขับรถอ้อมโลก แล้วก็ดันมาเจอคนท้องโบกรถขอความช่วยเหลือเข้า แต่ช่วงเวลาเร่งด่วนไม่มีแท็กซี่คันไหนว่างและไม่มีใครยอมเข้ามาช่วย เพราะทุกคนต่างเร่งรีบไปทำงานเหมือนกัน เขาเห็นแล้วไม่อาจนิ่งดูดายได้ก็เลยยื่นมือเข้าไปช่วย ขับรถพาคนเจ็บท้องใกล้คลอดมาส่งโรงพยาบาลให้ เพราะเห็นว่าโรงพยาบาลก็อยู่ข้างหน้าไม่ไกลเท่าไร

พอได้รู้เหตุผลของเขา อารดาก็แอบปลื้มอยู่ไม่ใช่น้อย เขาช่างเป็นผู้ชายใจดี อบอุ่น และเป็นสุภาพบุรุษมากจริงๆ แบบนี้หล่อนยิ่งหลงเขาเพิ่มขึ้นไปอีก จนเผลอทำหน้าเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปแบบไม่รู้ตัว เพราะใจบางหมดแล้วจริงๆ กับผู้ชายหล่อครบเครื่องคนนี้ 

ทว่าธนาดลมองแววตาของหล่อนออกและคิดว่าวันนี้หล่อนกลับมาเป็นอารดาคนเดิมแล้ว หลังจากที่วันก่อนคงเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ดีไปจึงเรียบร้อยและไม่มีท่าทีจะจีบเขา แต่วันนี้หล่อนกลับมาเป็นแม่สาวที่พร้อมจะจีบเขาได้เหมือนเดิมแล้ว 

“คนท้องของคุณเป็นยังไงบ้าง” เขาถามต่อ

“ไม่รู้เลยค่ะ แต่เข้าไปในห้องคลอดได้สักครึ่งชั่วโมงแล้ว แล้วคนท้องที่คุณดลพามาล่ะคะเป็นไงบ้าง”

“เจ้าหน้าที่เพิ่งเข็นพาเข้าห้องไปเมื่อครู่นี้ แต่ไม่น่าจะมีอะไร นี่ผมก็รอให้ญาติเขามาเหมือนกัน ไหนๆ ก็สายแล้ว เผื่อมีอะไรต้องช่วยเหลือ ในเมื่อช่วยคนแล้วก็ต้องช่วยส่งเขาให้ถึงฝั่ง”

“จริงค่ะ” 

สองหนุ่มสาวคิดตรงกัน แล้วเพราะแบบนี้ถึงได้ต้องมาตกที่นั่งเดียวกัน มานั่งรอญาติคนไข้และรอคอยข่าวดีด้วยกัน ระหว่างนั้นโรงพยาบาลเปิดโทรทัศน์ที่ทางไว้ให้ญาติคนไข้ได้ดูระหว่างรอ ก็มีรายการสารคดีเชิงท่องเที่ยว เป็นการพาทัวร์ย่านเก่าในอดีต ซึ่งมีบ้านไทยประยุกต์สมัยคุณปู่ยังหนุ่ม คุณย่ายังสาว 

อารดามองภาพบ้านหลังนั้นแล้วก็ให้นึกถึงบ้านหลังหนึ่งที่หล่อนรู้จักดี แต่ไม่มีความทรงจำที่ดีกับมัน สีหน้าของหล่อนจึงไม่ค่อยดีนัก ทำเอาธนาดลที่หันมาเห็นเข้าพอดีถึงกับมองไปที่โทรทัศน์แล้วมองหล่อน ก่อนจะถาม

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

“คะ? เอ่อ เปล่าค่ะ”

“แต่คุณทำหน้าแปลกๆ ตอนมองบ้านเก่าในทีวี”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เห็นมันแล้วชวนให้คิดถึงบ้านหลังหนึ่งที่ฉันเคยไป” หล่อนบอกปัด ไม่ต้องการจะพูดเรื่องบ้านหลังนั้นต่อ ธนาดลก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย

“คุณช่วยคนท้องไว้แบบนี้ แสดงว่าโทร. ไปบอกที่ทำงานแล้วใช่ไหมว่าจะไปถึงช้า” เขาเดาจากการแต่งตัวของหล่อนที่น่าจะพร้อมไปทำงาน แต่ต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่แทน 

อารดากลับส่ายหน้าและทำหน้าสยองขวัญใส่เขา “ยังไม่ได้โทร. ไปบอกหรอกค่ะ แต่ไม่รอดชัวร์”

“ใจกล้ามาก” ธนาดลกระเซ้า รู้หรอกว่าเป็นเหตุสุดวิสัย แต่หล่อนที่เป็นพนักงานและเป็นลูกน้องกลับใจกล้ามากที่ไม่โทร.  บอกหัวหน้างานว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วถึงจะบอกหลังจากนี้ ก็เป็นอย่างที่หล่อนบอกนั่นละว่า ไม่รอดชัวร์

“ไม่ได้ใจกล้าหรอกค่ะ แต่ยอมตายขี้หูร่วงครั้งเดียวพอ ไม่ต้องตายซ้ำซ้อน” อารดายังมีแก่ใจเอ่ยติดตลก แล้ววกมาถามเขาดื้อๆ “คุณดลชอบเด็กๆ ไหมคะ”

ชายหนุ่มชะงักไปนิด มองหน้าคนถามว่าเจ้าตัวรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา แต่ดูท่าว่าหล่อนจะลืมคิดอะไรๆ ไป แถมหน้าตาที่ชวนให้คิดว่าไม่รู้ว่าแกล้งทำหรือว่าซื่อจริง จนเขารู้สึกอยากแกล้งขึ้นมา

“คุณแน่ใจเหรอที่ถามคำถามนี้”

“ทำไมเหรอคะ” อารดากะพริบตาปริบๆ ทำหน้างง 

ธนาดลจึงแค่กระตุกยิ้มใส่แต่ไม่ยอมเฉลย ก่อนจะหันไปมองทางอื่น ปล่อยให้หล่อนทำหน้างงต่อไป 

แล้วอึดใจถัดมาหล่อนก็เพิ่งนึกออกว่า คำถามนี้มันสามารถคิดได้หลายอย่าง และหนึ่งอย่างในนั้นคือ ชวนทำลูก!

กรี๊ด! ไอ้ปุ๊ก ไม่น่าพลาดเลย!

คนที่เพิ่งรู้ตัวถึงกับยกมือขึ้นถูขมับแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น อายสุดๆ ถึงแม้ปกติหล่อนจะพูดมาก แล้วก็พูดจาทะลึ่งตึงตังและชอบแหย่เพื่อนรักบ่อยๆ จนดูเหมือนจะรู้เรื่องใต้สะดือเป็นอย่างดี แต่ความจริงแล้วหล่อนคือแม่สาวเวอร์จินขี้ ‘ป๊อด’ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ดีแต่ปากนั่นแหละ!

สองหนุ่มสาวนั่งรอที่หน้าแผนกห้องคลอดอยู่เป็นนาน จนกระทั่งมีผู้ชายสองคนเดินมาที่หน้าห้องคลอด ลุงมอเตอร์ไซค์ที่หันไปเห็นเข้าพอดีก็ร้องทักทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงแปลกใจและดีใจไปด้วยพร้อมกัน 

“อ้าว เฮ้ย ไอ้คม มาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย แล้วนี่รู้จักกับไอ้เชนลูกเขยข้าด้วยเหรอ”

ผู้ชายวัยกลางคนที่ถูกทักทำหน้ายินดี แต่ก็งงไปด้วยพร้อมกัน ว่าผู้ชายที่เดินมาเกือบจะพร้อมกันกับตนเองกลับเป็นลูกเขยของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน

“อ้าว ไอ้เป๊ก นี่ลูกเขยเอ็งเหรอ”

“เออสิ ลูกเขยกูเอง ว่าแต่ยังไม่ตอบกูเลยมาทำอะไรที่นี่ นี่มันหน้าห้องคลอดนะ หรือที่เข็นเข้าไปนั่นเมียเอ็ง!”

“เปล่า นั่นลูกสาวกู”

“แต่กูได้ข่าวเมื่อหลายปีก่อน เอ็งมีลูกชายไม่ใช่เหรอ”

“เออ กูมีลูกชาย แต่ที่กำลังจะคลอดลูกเนี่ย ไอ้นกเป็นลูกสาว ลูกติดเมียกู แต่ผัวมันลางานมาไม่ได้ กูก็เลยต้องมาแทน นี่ท้องสองแล้ว ท้องแรกข้าได้หลานชายเว้ย”

ต่างคนต่างซักถามและทักทายกันอย่างสนิทสนม ธนาดลกับอารดาพอเห็นว่าสาวท้องที่ต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือพามา ตอนนี้มีญาติมารับไม้ต่อแล้ว ก็ค่อยเบาใจขึ้น 

ทว่าตอนที่ทุกคนกำลังรอฟังข่าวดีอยู่นั้นเอง เสียงร้องจ้าของเด็กแรกเกิดก็ดังแว่วออกมาจากด้านในห้อง ทุกคนหยุดชะงักและต่างเงี่ยหูฟังแทบจะพร้อมกัน ไม่แน่ใจว่าได้ยินไปเองหรือเปล่า หรือเป็นเสียงเด็กแรกเกิดร้องจริงๆ เนื่องจากพวกเขาอยู่ด้านหน้าแผนกห้องคลอด ทำให้เสียงที่เล็ดลอดออกมาค่อนข้างเบาพอสมควร 

อึดใจใหญ่ต่อมา พยาบาลคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องและร้องถาม

“ญาติคนไข้คุณยุพินอยู่ไหมคะ”

“อยู่นี่ครับ” ลูกเขยของลุงวินมอเตอร์ไซค์รีบลุกขึ้นบอก  

อารดาและทุกคนจึงลุกตามเพื่อรอฟังข่าวจากพยาบาล โดยลูกเขยของลุงถามทันทีด้วยความร้อนรนและเป็นห่วงภรรยา 

“เมียผมเป็นยังไงบ้างครับ แล้วลูกผมล่ะครับ ปลอดภัยดีไหมครับ”

“ปลอดภัยดีทั้งแม่ทั้งลูกค่ะ แต่เดี๋ยวคุณไปจัดการเรื่องเอกสารนะคะ แล้วก็...” พยาบาลสาวตอบแล้วอธิบายขั้นตอนหลังจากนี้ยาวเหยียด ซึ่งครอบครัวแรกได้รับข่าวดีแล้ว แต่อีกครอบครัวหนึ่งนั้นกำลังทำคลอดอยู่ พอพยาบาลกล่าวจบก็เดินกลับเข้าไปในแผนก ทุกคนจึงกลับมานั่งรอลุ้นกันต่อ

แล้วเกือบยี่สิบนาทีต่อมา เสียงของความน่ายินดีอีกเสียงก็ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องคลอดด้านใน แค่นั้นทุกคนก็รู้แล้วว่าเด็กอีกคนคลอดแล้ว

“ดีใจด้วยนะคะคุณลุง ตอนนี้คุณลุงสองคนเป็นคุณตากันแล้วนะคะ” อารดาแสดงความยินดีกับผู้ชายสองคนที่ตอนนี้ก็ได้เป็นคุณตาแล้วเรียบร้อย เช่นเดียวกับธนาดล

“ยินดีด้วยนะครับ”

“ขอบคุณครับคุณ”

ทั้งสองครอบครัวต่างขอบคุณสองหนุ่มสาวที่ได้ช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้และยังอยู่รอเป็นเพื่อน ช่างเป็นน้ำใจที่หาได้ยากยิ่งสำหรับชีวิตคนเมืองที่เร่งรีบในสมัยนี้ แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อทั้งธนาดลและอารดาต่างมอบเงินให้ทั้งสองครอบครัวซึ่งเป็นเงินรับขวัญเด็กทั้งสองคน แล้วพอเห็นว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ทั้งสองคนจึงขอตัวกลับและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ครอบครัวต้องจัดการกันเอง  

สองหนุ่มสาวเดินมาตามโถงทางเดินของโรงพยาบาล แต่พอเลี้ยวมุมตึกพ้นห้องคลอดมาได้ไม่ทันไร โทรศัพท์ของอารดาก็ดังขึ้น  หล่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือแล้วก็ทำหน้าเบ้ เมื่อเห็นเบอร์ที่โทร. เข้ามา

“ความซวยมาเยือนแล้วหนึ่ง” อารดาคราง ทำหน้าเบ้ ก่อนจะหันไปหาธนาดลและชี้ที่โทรศัพท์ของตนเอง แล้วเดินเลี่ยงไปที่ริมทางเดินซึ่งเป็นผนังกระจกมองออกไปเห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ 

แต่เมื่อหล่อนกดรับสายเท่านั้น ปลายสายก็ใส่มาเป็นชุด ขนาดว่าธนาดลที่ยืนห่างออกไปก็ยังได้ยิน

“ยายปุ๊ก รู้ไหมเนี่ยว่ามันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้วคุณนาย คิดจะมาทำงานไหมย่ะ หรือถ้าลาก็น่าจะโทร. มาบอกล่วงหน้า เอกสารกองเต็มโต๊ะไปหมดแล้ว...”

รุ่นพี่ในแผนกใส่เป็นชุดจนอารดาแอบคิดขำๆ ว่าหายใจทางเหงือกหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายเหมือนอัดอั้นมาเต็มที่ หล่อนจึงได้แต่ฟังจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ แต่ก็นึกอายธนาดลอยู่เหมือนกันที่ต้องมาเห็นและได้ยินอะไรแบบนี้ 

แล้วกว่าอารดาจะมีช่องจังหวะพูดตอบกลับไป ก็ตอนที่รุ่นพี่พักหายใจจากการด่านั่นละ

“ขอโทษค่ะพี่ศรี พอดีว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน...”

“เหตุฉุกเฉินอะไร!”

“คือว่า...” อารดาอธิบายอยู่เป็นนาน ก่อนจะสรุปว่าหล่อนเสร็จธุระจากทางนี้แล้วจะรีบไปทำงานให้เร็วที่สุด แต่อาจจะไปถึงสิบเอ็ดโมง ดีไม่ดีอาจจะช้ากว่านั้นนิดหน่อย เพราะฉะนั้นขอเผื่อเวลาเพิ่มไว้อีกนิดและขออนุญาตลาครึ่งวันเลยทีเดียว  พอเจ้าตัวบอกไปอย่างนั้นก็โดนว่ามาอีกชุด ก่อนที่รุ่นพี่ในแผนกที่ต่อว่าจนเหนื่อยจะกำชับว่า

“ถ้าสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วเธอยังไม่โผล่หัวมา ฉันจะหักคอเธอ ยายปุ๊ก”

“ค่า ค่า พี่ศรี รับรองวันนี้พี่ศรีได้เจอปุ๊กแน่นอน ปุ๊กจะไปเสนอหน้าให้พี่ศรีเบื่อหน้าไปข้างหนึ่งเลยค่ะ” หญิงสาวยืนยันเป็นมั่นเหมาะ แล้วพออีกฝ่ายวางสาย หล่อนก็ถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยวก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋า แล้วหันมาส่งยิ้มแห้งให้เขา มั่นใจเลยว่าเขาได้ยินทุกอย่างแน่นอน

เฮ้อ นี่หล่อนจะสร้างความประทับใจแบบดีๆ ให้เขาได้บ้างไหม ทำไมมีแต่ความประทับใจยอดแย่ให้เขาเห็นตลอดเลยก็ไม่รู้ แต้มบุญหล่อนจะเหลือน้อยไปถึงไหนเนี่ย!!!

ฝ่ายธนาดลไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขากำลังกลั้นขำกับท่าทางของหล่อนอยู่ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเขาเป็นหัวหน้าก็คงเม้งแตกแบบนี้ละ ก็หล่อนเล่นหน้ามึนใส่ขนาดนี้ หัวหน้าที่ไหนจะใจเย็นได้ แต่อีกใจเขาคิดว่าหล่อนช่างกล้าดี หรือไม่ก็ตีมึนจนเป็นนิสัยถึงได้ไม่รู้ร้อนรู้หนาว สะทกสะท้านอะไร ราวกับว่าต่อให้ตกงานวันนี้ หล่อนก็มีทางออกที่ดีกว่ารออยู่อย่างนั้นละ

“แล้วคุณจะเอายังไงต่อ” เขาถามเพราะเมื่อครู่นี้ได้ยินเส้นตายเวลาที่รุ่นพี่ในแผนกบอกหล่อนไว้แล้ว

“ก็คงต้องไปทำงานต่อค่ะ”

“ผมจำได้ว่าคุณบอกว่า วันนี้คุณตื่นสายก็เลยต้องใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์ แสดงว่าไม่ได้ขับรถมา แล้วคุณจะไปทำงาน ที่ทำงานของคุณอยู่ไกลหรือเปล่า ระวังจะไปถึงที่หมายช้า เดี๋ยวจะเป็นเรื่องอีก”

หรือคุณดลจะไปส่งฉันล่ะคะ

อารดาอยากพูดคำนี้ออกไปใจจะขาด แต่ยั้งไว้ คิดว่าเขาคงไม่ไปส่งหล่อนหรอก เพราะตัวเขาก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน

ธนาดลอ่านสีหน้าของหล่อนออก แล้วถึงเขาจะไม่ได้อยากให้หล่อนได้ใจที่มาจีบเขา แต่ดูจากสภาพหล่อนวันนี้แล้ว ลูกผีลูกคนจนจะว่าน่าอนาถก็ไม่ใช่ น่าสงสารก็ไม่เชิง แต่จะสมน้ำหน้าก็ใช่ที่ เขาจึงยอมเสนอตัวช่วย

“ที่ทำงานของคุณอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมจะพาไปส่ง”

“จริงเหรอคะ!” อารดาแทบกรี๊ดด้วยความดีใจ แต่ต้องเก็บอาการไว้สุดฤทธิ์ 

ธนาดลไม่ให้โอกาสหล่อนรอบสอง เพราะเขาไม่ชอบสั่งหรือพูดอะไรสองรอบ ในเมื่อนั่นเป็นโอกาสเดียวที่เขายื่นให้หล่อนสำหรับวันนี้

“ถ้าคุณไม่อยากให้ผมไปส่ง ก็ไม่เป็นไร”

“ไม่...ไม่...ไม่ค่ะ อยากค่ะ รบกวนด้วยค่ะ!”

หญิงสาวรีบบอกกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ แล้วจากนั้นหล่อนก็เดินตามเขาต้อยๆ ไปที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล แล้วก็ขึ้นรถไปด้วยกัน หล่อนก็บอกพิกัดสถานที่ทำงานให้เขารู้ ธนาดลจึงตั้งพิกัดตามเส้นทางนั้นและขับรถมุ่งสู่บริษัทของหล่อน 

แต่ระหว่างทางที่ขับรถไป แม่สาวช่างพูดก็ชวนเขาคุย เพราะไม่ชอบบรรยากาศเงียบๆ ในรถที่ชวนให้อึดอัดใจ เหมือนกับว่าหล่อนมารบกวนเขา ซึ่งก็รบกวนจริงๆ นั่นละ

“ฉันเพิ่งเคยเห็นคนจะคลอดลูกครั้งแรกก็วันนี้แหละค่ะ ไม่นึกเลยว่าแม่ใกล้คลอดจะทรมานขนาดนั้น”

“ผมก็เหมือนกัน”

“จริงเหรอคะ” หล่อนถามกลับ มองคนที่ขับรถอยู่อย่างสนใจ “แล้วตอนน้องมิวล่ะคะ คุณดลไม่ได้เห็นเหรอ”

“ตอนน้องมิว ผมอยู่ต่างประเทศพอดี ก็เลยไม่ได้เห็นว่าพี่ตาลเป็นยังไงช่วงนั้น”

อารดาพยักหน้าเข้าใจ แต่ตอนนั้นเองเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาจากลำโพงที่เชื่อมต่อระบบบลูทูทกับโทรศัพท์มือถือของเจ้าของรถ ธนาดลมองเบอร์ที่โทร. เข้ามาที่หน้าจอตรงคอนโซลด้านหน้า พอเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครก็นิ่วหน้าจนแทบจะขมวดคิ้ว ก่อนจะกดปุ่มที่พวงมาลัยรถเพื่อรับสายนั้นและเอ่ยออกไป

“ว่ายังไง ฉันกำลังขับรถอยู่ เอาสั้นๆ กระชับได้ใจความ ไม่เอาน้ำ” ชายหนุ่มสั่งปลายสายอย่างรู้ว่าอีกฝ่ายโทร. มาเรื่องอะไร แต่เพราะเขาเปิดบลูทูท อารดาก็เลยได้ยินไปด้วย จะทำเป็นไม่ได้ยินก็คงไม่ได้ หล่อนก็เลยทำทีเป็นมองออกไปนอกรถยนต์ แต่หูนี่กระดิกดิ๊กๆ เลยว่าเขามีเรื่องอะไร แต่เดาไว้ก่อนว่าน่าจะเป็นเรื่องงาน

“คุณดลครับ แบบนี้ผมไม่ไหวแล้วนะครับ ให้เรามาทบทวนสัญญา เปลี่ยนแปลงสัญญาใหม่หลายรอบแล้ว เราก็ทำให้ มาวันนี้ตอนแรกบอกว่าพร้อมจะเซ็นสัญญาแล้ว แต่บอกว่าให้ผมไปเดินชมสวนเป็นเพื่อนหน่อย แต่มันกว้างหลายไร่ มาก แล้วพอกลับมาก็ยังไม่ยอมเซ็นสัญญา บอกว่าไว้ครั้งหน้า วันนี้เหนื่อยแล้วครับ”

ธนาดลฟังแล้วก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที รู้อยู่หรอกว่าคนที่ถูกส่งไปต้องเจอกับอะไร เพราะจากที่รายงาน แต่ละอย่างที่โดนมาเรียกได้ว่าแกล้งกันชัดๆ ปากบอกยินดีขาย ให้ร่างสัญญา แต่แก้สัญญาหลายรอบมาก เหมือนเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ ผลัดวันไปเรื่อยๆ จนกว่าใครจะทนไม่ได้บอกเลิกไปเอง สงสัยว่างานนี้เขาคงต้องลงมือเองเสียแล้ว

“เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณกลับเข้าออฟฟิศแล้วเอาสัญญาที่ทำไว้และเอกสารทั้งหมดส่งมาที่คุณมาศ”

“ครับคุณดล ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ”

“ไปรายงานเรื่องนี้กับท่านประธานด้วย” ชายหนุ่มสั่งอีกครั้งก่อนจะวางสายไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิดและเป็นงานเป็นการมาก 

ส่วนอารดาที่ได้ยินทุกอย่างเต็มสองรูหูก็คันปากยิบๆ อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ฟังดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเรื่องสัญญาซื้อขายอะไรสักอย่าง แต่ฝ่ายนั้นเล่นแง่กับคนที่ธนาดลส่งไป แต่หล่อนก็ไม่กล้าถามเขา กลัวจะละลาบละล้วงเกินไป 

แต่ธนาดลมองออกว่าหล่อนอยากรู้ และต่อให้หล่อนรู้เรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการเอาข้อมูลบริษัทมาบอก เพราะเป็นแค่การเล่าให้ฟังคร่าวๆ โดยไม่บอกรายละเอียด ไม่เอ่ยว่าใครเป็นใคร 

“คนของผมไปติดต่อซื้อที่ดินที่หนึ่ง แต่เจ้าของเป็นผู้ชายสูงอายุที่ค่อนข้างฉลาดและเป็นคนแก่ที่แสบมาก เขาเล่นเราอ่วมมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็อย่างที่คุณได้ยิน หลอกคนของผมไปเดินเล่นในสวนผลไม้ที่กว้างหลายไร่ สงสัยว่าผมคงต้องไปจัดการเองแล้ว”

“คนแก่ห่วงที่ ก็แบบนี้แหละค่ะ” อารดาออกความเห็น เข้าใจลึกซึ้งเลยเรื่องคนแก่เอาแต่ใจแบบนี้ เพราะครอบครัวของหล่อนก็มีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่เบาเหมือนกัน แต่จะน้อยหรือมากกว่าเจ้าของที่ที่ธนาดลเจอมาหรือไม่นั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน

ฝ่ายธนาดลก็ไม่อยากนินทาคนแก่ต่อให้ดูไม่ดี เขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นถามหล่อนแทน 

“คุณรู้จักผมดีอยู่แล้ว แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณทำงานอะไร”

ชายหนุ่มรู้ว่าหล่อนเป็นเพื่อนสนิทของรติยา พี่สะใภ้เขา แต่เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้เลยสักนิด แล้วเขาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลของหล่อนด้วย เพราะหล่อนยังไม่ได้ทำอะไรให้เขารู้สึกว่า ‘ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ’

“สนใจฉันขึ้นมาแล้วเหรอคะ” หล่อนแกล้งแหย่โยนหินถามทาง แต่กลับโดนหินสุดหล่อเหวี่ยงสู้กลับซะงั้น

“งั้นไม่ต้องตอบก็ได้”

“ล้อเล่นค่ะ” หล่อนแก้เก้อ ก่อนจะบอกออกไป “ฉันเป็นพนักงานแผนกธุรการประสานงานในบริษัทค่ะ เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ที่มีหัวหน้าดุอย่างกับร็อตไวเลอร์ ส่วนรุ่นพี่ในแผนกก็ไม่ต่างกัน เพื่อนร่วมงานก็เป็นนกแก้วนกขุนทอง ฉันก็เลยกลายเป็นนกแก้วพูดมากไปด้วยค่ะ”

อารดาไม่อายที่จะบอกว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน หล่อนอยากให้เขาเห็นความจริงใจและความตรงไปตรงมาของตนเอง ไม่อยากทำตัวแอ๊บสวย แอ๊บแบ๊วต่อหน้าเขา ในเมื่อมันไม่ใช่ตัวตนของหล่อน

ธนาดลหัวเราะให้คนที่กล้าออกตัวว่าตนเองเป็นนกแก้ว แต่ก็คิดว่ามีส่วนใช่อยู่เหมือนกัน เพียงแต่หล่อนยังไม่ถึงขั้นพูดมากไร้สาระ หรือพูดไม่หยุดจนน่ารำคาญ 

“ถ้าคุณเป็นนกแก้ว ท่าทางจะเป็นนกแก้วที่ดวงซวยที่สุด” 

ชายหนุ่มว่าแล้วก็เปิดเพลงในรถเป็นการยุติบทสนทนาไปโดยปริยาย อารดาก็ไม่โง่พอจะตอแยเซ้าซี้ ทำตัวพูดมากให้เขารำคาญ หล่อนจึงนั่งรถไปเงียบๆ และฟังเพลงที่เขาเปิด แต่เพลงเจ้ากรรมแต่ละเพลง มีแต่เพลงที่แอบรักบ้าง อกหักบ้าง แล้วไอ้เพลงที่กำลังฟังอยู่นี่หนักสุด แทงใจดำหล่อนสุดๆ เมื่อเนื้อเพลงบอกว่า 

เอื้อมมือไปถึงสุดขอบฟ้า เหมือนฉันไม่แคร์สิ่งใด

เพียงขอให้คุณเห็นฉันยืนอยู่ตรงนั้น

แต่ฉันเป็นเพียงทานตะวัน มันช่างน่าขันนัก

หากฉันเป็นกุหลาบ บางทีคุณอาจต้องการฉัน

ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะเปลี่ยน

ฉันจะเปลี่ยนไปเป็นในแบบที่คุณต้องการ

ช่างเป็นเพลงที่แทงใจดำหล่อนจริงๆ เพราะหล่อนก็กำลังทำแบบนั้นอยู่ พยายามให้เขาเห็นและสนใจหล่อนในแง่ของความรักบ้าง แต่ดูท่าตั้งแต่วันที่เริ่มต้นจะจีบเขาจนถึงวันนี้ แค่เขาไม่รำคาญจนออกปากไล่หล่อน ก็ถือว่าเขาใจดีมากแล้วจริงๆ 

เฮ้อ...สู้ชีวิตจริงๆ ไอ้ปุ๊ก แต่ดันโดนชีวิต (สุดหล่อ) สู้กลับซะงั้น 

อารดาได้แต่ขำขื่นๆ ในใจ แล้วก็นั่งหน้าเมื่อยไปตลอดทาง จนกระทั่งหลายนาทีต่อมา รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์คันงามก็เลี้ยวเข้ามาจอดเทียบหน้าอาคารสูง ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าและมีบริษัทมากมายอยู่ในนั้น เมื่อรถยนต์จอดสนิท คนที่นั่งข้างคนขับก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนจะหันมาบอกเจ้าของรถ

“ขอบคุณนะคะคุณดล”

เขาพยักหน้ารับและรอให้หล่อนก้าวลงจากรถ แล้วพอหล่อนปิดประตูรถเรียบร้อยเขาก็เตรียมจะพารถเคลื่อนออกจากที่ แต่เห็นหล่อนไม่ยอมถอยไปไหนเสียที เจ้าตัวจึงกดปุ่มเปิดกระจกเพื่อถาม

“มีอะไรหรือเปล่า”

“มีค่ะ” สาวตัวยุ่งกล่าวจบก็เอื้อมมือเข้ามาในรถและวางพวงกุญแจกระต่ายน้อยขนฟูลงบนหน้าคอนโซลรถ “ของตอบแทนที่พามาส่งถึงที่ทำงานค่ะ”

อารดาบอกแล้วก็หมุนกายวิ่งปรู๊ดขึ้นบันไดทางเข้าอาคารไปทันที เพราะกลัวว่าเขาจะคืนพวงกุญแจกระต่ายน้อยขนฟูที่หล่อนให้ แต่หล่อนอยากขอบคุณเขาและอยากให้มันเป็นของแทนใจให้เขานึกถึงหล่อนบ้าง ก็เลยจงใจให้พวงกุญแจกระต่ายน้อยขนฟูที่หล่อนซื้อไว้ว่าจะเอามาเปลี่ยนกับพวงกุญแจเดิม แต่ยังไม่ทันได้แกะซองพลาสติกออกเลย ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋าถือ 

ฝ่ายคนที่ได้รับของแทนใจแบบมัดมือชกได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบพวงกุญแจที่มีตุ๊กตากระต่ายน้อยน่ารักห้อยอยู่มาเก็บลงช่องเก็บของหน้ารถ ไม่ได้สนใจเจ้าพวงกุญแจนั่นอีก โดยไม่รู้เลยว่าในวันหนึ่งข้างหน้า มันจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยเขาได้มากเลยทีเดียว

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น