๖ 

คำเตือนที่น่าสงสัย

 

ยามเย็นของวันทำงานที่แสนสาหัส อารดากลับมาที่บ้านเพื่อกินอาหารเย็นร่วมกันกับทุกคน ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วที่หล่อนจะกลับมากินอาหารที่บ้านในบางวัน แต่ส่วนใหญ่หล่อนอยู่ที่คอนโดมากกว่า 

เวลากลับมากินอาหารกับพ่อแม่ทีไร บางครั้งก็เหมือนวันรวมญาติย่อมๆ เพราะทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วบางคราวก็จะมีครอบครัวของคุณอามาร่วมโต๊ะด้วยเหมือนอย่างเช่นวันนี้ 

ปฐพีผู้เป็นอาของหล่อน เป็นประธานและเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ สมบัติที่ปู่ทิ้งไว้ให้พ่อกับอาเท่าๆ กัน แต่นิสัยของพ่อกับอากลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง

พ่อของหล่อนใจเย็น พูดน้อย ใจดี และค่อนข้างสุขุมนุ่มลึก ส่วนคุณอาดูเหมือนจะเข้าถึงได้ง่ายกว่าก็จริง แต่ทุกคำพูดมีแต่เรื่องธุรกิจ มองทุกอย่างเป็นเม็ดเงิน ความคุ้มค่าและผลประโยชน์ สมกับเป็นนักธุรกิจและนักบริหาร จนบางครั้งอารดาก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจ แต่นั่นยังไม่เท่ากับอาสะใภ้ที่หนักกว่า รายนั้นเป็นผู้หญิงที่ชอบจีบปากจีบคอโอ้อวด น่าปวดหัว 

“แล้วตอนนี้ธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่าการซื้อขายของตลาดอสังหาฯ อยู่ในช่วงชะลอตัวไม่ใช่เหรอ”

“ครับ ก็อย่างที่รู้กัน เศรษฐกิจมันแย่” ปฐพีว่าแล้วก็ถอนหายใจ “แต่ตอนนี้ที่ทำให้ผมปวดหัวที่สุดไม่ใช่เศรษฐกิจหรอก แต่เป็นคุณตาของเจ้าปุ๊กต่างหาก เอาใจยากสุดๆ”

“ทำไม” ปฐมพงษ์สงสัยว่าพ่อตาของเขาไปทำอะไรให้น้องชายปวดหัว ในเมื่อทั้งสองคนนี้ไม่น่าจะได้เจอกันด้วยซ้ำ เพราะพ่อตาของเขาค่อนข้างรักความสงบและโลกส่วนตัวสูง ไม่ยุ่งกับใครถ้าใครไม่ก้าวเข้าไปยุ่ง

“ก็ที่ดินบ้านโบราณนั่นไงพี่พงษ์ มันเป็นทำเลที่ดีในตอนนี้ ผมส่งคนไปติดต่อขอซื้อ แต่ท่านก็อ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อย บอกยังไม่พร้อมขายบ้างอะไรบ้าง แต่พอบริษัทคู่แข่งของผมไปติดต่อ ท่านกลับยอมขาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขายจริงหรือว่าเล่นขายของกันแน่ เพราะได้ข่าวมาว่าก็เล่นบริษัทนั้นอ่วมอยู่เหมือนกัน แต่นั่นแหละถ้าบริษัทนั้นได้ไป ไม่เป็นผลดีกับบริษัทของผมแน่ๆ”

อารดาฟังแล้วก็แอบอมยิ้ม มนูญ หรือคุณตาของหล่อนเป็นคนหัวดื้อหัวแข็งขึ้นชื่อมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่สมัยแม่ยังสาวๆ เคยเล่าให้หล่อนฟังว่า กว่าพ่อจะไปขอแม่จากคุณตาได้ก็เล่นเอาปาดเหงื่อไปหลายตลบ เพราะฉะนั้นไม่แปลกหรอกถ้าคุณอาจะโดนคุณตาของหล่อนทำให้ต้องปาดเหงื่อไปหลายตลบ ยิ่งสิ่งที่คุณอาต้องการคือที่ดินของบ้านโบราณหลังนั้นด้วยแล้ว ไม่มีทางได้มาง่ายๆ แน่นอน

แต่แล้วคนที่แอบอมยิ้มอยู่ก็ต้องทำหน้าเหลอ เมื่อผู้เป็นอาหันมาบอกหล่อนว่า

“ปุ๊ก ช่วยไปพูดขอคุณตาให้อาหน่อยสิลูก” ปฐพีขอเอาดื้อๆ 

“โอ๊ย ไม่ไหวหรอกค่ะ ให้หว่านล้อมคุณตา ยกธงขาวง่ายกว่า” หญิงสาวปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดรอบสอง ทุกคนถึงกับฮาครืนเห็นด้วยกับหญิงสาว จากนั้นหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในการร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน อรปวีร์เลยถือโอกาสฟ้องพ่อเรื่องน้องสาวซุ่มซ่ามเสียเลย

“เมื่อวันก่อนยายปุ๊กซุ่มซ่ามตกบันไดจนข้อเท้าแพลงด้วยค่ะพ่อ แต่ไม่ยอมบอก ดีนะอรไปหาถึงได้รู้”

“โธ่ พี่อรอะ แค่ข้อเท้าแพลงเอง ฟ้องพ่อทำไม” หล่อนกระเง้ากระงอดใส่พี่สาว ก่อนจะหันไปทำหน้าอ้อนใส่แม่ รู้หรอกว่าที่อรปวีร์ฟ้องก็เพราะเป็นห่วง แต่หล่อนกลัวพ่อกับแม่จะเป็นห่วงไปด้วย แล้วก็จริงอย่างที่คิด เพราะพอพ่อรู้ก็เป็นห่วงขึ้นมาทันที

“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า ตอนนี้หายดีแล้วหรือยัง แล้วไปทำท่าไหนถึงได้ตกบันไดได้ละเจ้าปุ๊ก” 

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ แค่บันไดเตี้ยๆ สองขั้นเอง พอดีสุนัขของบ้านยายรุ้งวิ่งมาตะกายตอนปุ๊กกำลังลงบันไดหน้าบ้านก็เลยลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อย วันทาน้องหมาเสร็จสรรพ” อารดาเล่าให้ขำเข้าว่า เพื่อให้พ่อกับแม่สบายใจ แต่เอาจริงแล้วฉากวันนั้นมันก็น่าขำอยู่เหมือนกัน แต่หล่อนบอกแค่เรื่องนี้เท่านั้น ไม่ได้บอกหรอกว่าก่อนหน้านั้นก็ตกสระน้ำเพราะโดนแมวของเพื่อนบ้านรติยาวิ่งเข้ามาหา ถ้าขืนพ่อกับแม่รู้เข้า มีหวังได้เป็นห่วงหนักกว่าเดิม 

มื้ออาหารดำเนินต่อไป ทุกคนกินไปคุยไปจนกระทั่งมื้ออาหารจบลง ปฐพีกับภรรยาก็ขอตัวกลับบ้านของตัวเอง ส่วนปฐมพงษ์กับอรุณีก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนดูโทรทัศน์ที่ห้องข้างบน  อารดาจึงไปนั่งคุยกับพี่สาวทั้งสองคนที่ห้องนั่งเล่นต่อ

“ว่าไปแล้วนะปุ๊ก เปลี่ยนใจมาทำงานที่บริษัทกับพี่เอาไหม ไม่เห็นจะต้องไปทำงานที่บริษัทอื่นเลย”

“ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ ปุ๊กไม่อยากให้พนักงานอึดอัด เกรงใจ”

“แหมๆ ไม่อยากให้พนักงานคนอื่นอึดอัด เกรงใจว่าเป็นลูกสาวคนเล็กของท่านประธาน หรือไม่อยากอยู่ในสายตาของพี่กันแน่ยายปุ๊ก” 

อรปวีร์รู้ทันเพราะน้องสาวเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร คนเป็นพี่สาวพยายามเคี่ยวเข็ญอย่างไรก็ได้แค่ครึ่งเดียว  อารดาไม่ใช่คนเรียนเก่ง ออกแนวเป็นคนหัวศิลปะมากกว่า เรื่องวิชาการความรู้อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่เคยเกเรโดดเรียน หรือทำให้ทางบ้านวุ่นวายใจ 

พอเรียนจบเจ้าตัวก็ไม่ยอมรับตำแหน่งที่พี่สาวจะดันให้ อ้างว่าหัวไม่ถึงและศักยภาพไม่เพียงพอ ไม่อยากให้ใครมาครหาได้ แล้วก็อยากให้คนที่มีศักยภาพมากกว่าตัวเองทำดีกว่า แถมยังขอออกไปทำงานที่บริษัทอื่นแทนการทำงานบริษัทของครอบครัว อ้างว่าพวกพนักงานอาจจะเกรงใจหล่อน มองว่าเป็นลูกสาวของประธานบริษัท แล้วก็กลายเป็นทำงานกันแบบต้องเกร็งกันไปหมด แบบนั้นคงไม่มีความสุขแน่

แต่มีหรือที่อรปวีร์จะไม่รู้ว่าเหตุผลลึกๆ ที่อารดาไม่ยอมมาทำงานที่บริษัทด้วย เป็นเพราะไม่อยากทำตัวโดดเด่นในบริษัท ไม่อยากให้ใครมาเสี้ยม หรือคิดว่าหล่อนมาเป็นคู่แข่งของพี่สาว และเข้ามาแย่งผลประโยชน์ในธุรกิจนี้

“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อยพี่อร”

“ไม่ใช่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ใช่พันเปอร์เซ็นต์ใช่ไหม”

“พี่อรอะ” อารดาโอดครวญ ก่อนจะหันไปอ้อนพี่สาวคนรอง “พี่อิงช่วยปุ๊กหน่อยสิ”

“ไม่ช่วยหรอก” อิงสรณ์ส่ายหน้า ไม่ยอมช่วยน้องสาว แล้วจึงมองไปที่พี่สาวคนโตที่ค้อนขวับให้วงใหญ่ 

ส่วนอารดาทำหน้ามุ่ยใส่ เพราะหล่อนไม่กล้าหือต่อหน้าพี่สาวคนโตทุกที ถึงจะไม่เคยโดนดุโดนว่าแบบแรงๆ แต่แค่พี่สาวคนโตเปิดปากพูดท้วงติงอะไรนิดหน่อย หล่อนก็เถียงไม่ได้ทุกที แถมยังไม่เคยเถียงชนะด้วยเลยสักครั้ง เพราะพอเถียงก็จะโดนพี่สาวไล่ต้อนจนมุมทุกครั้ง จนหล่อนเคยแอบให้คำนิยามพี่สาวของตัวเองไว้ว่า ‘คุณอรผู้ไร้พ่าย’

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยยายปุ๊ก”

“โธ่ พี่อรขาของน้อง”

“ย่ะ พอโดนพี่ไล่ต้อนทีไรก็ปากหวานงี้ทุกที”

“แล้วพี่อรก็จะใจดีกับปุ๊กทุกทีเหมือนเดิม” อารดาฉอเลาะ ยิ้มหวานใส่ทันที เพราะอรปวีร์มีจุดอ่อนอยู่ตรงนี้ แม้ว่าจะดูเหมือนดุและจริงจัง เป็นพี่สาวคนโตที่สวยเฉียบเนี้ยบและเป๊ะทุกอย่าง แต่ก็ใจอ่อนกับน้องสาวมากที่สุด

“ฉันละเบื่อยายตัวแสบนี่จริงๆ” อรปวีร์ทำเป็นบ่น ก่อนจะลุกออกจากห้องนั่งเล่นไป เมื่อมีโทรศัพท์สายหนึ่งโทร.เข้ามา 

น้องสาวสองคนแอบยิ้มให้กันและหัวเราะคิกคัก เพราะเดาได้ว่าที่พี่สาวเดินหนีไปแบบนั้น แสดงว่าคนที่โทร. มาน่าจะเป็นแฟนหนุ่มของเจ้าตัวแน่ๆ

หลังจากอรปวีร์ออกไปจากห้องนั่งเล่นแล้ว อิงสรณ์ก็ถามไถ่น้องสาวด้วยความเป็นห่วง ตามนิสัยของพี่สาวใจดีที่เฮี้ยบน้อยกว่าพี่สาวคนโต ทำให้หลายครั้งอารดายอมเปิดปากเล่าอะไรๆ ให้ฟัง โดยเฉพาะวีรกรรมที่เจ้าตัวไม่กล้าบอกใคร หรือแม้แต่เรื่องความรักก็ด้วยเช่นกัน

“ช่วงนี้ปุ๊กเป็นยังไงบ้าง ที่ทำงานโอเคไหม แล้วนี่เพื่อนสนิทเพิ่งแต่งงานไป เหงาหรือเปล่า”

“ก็เหงาบ้างนิดหน่อย แต่ว่าตอนนี้ปุ๊กมีมิชชันใหม่แล้ว ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้”

“จีบใครอีกล่ะยายปุ๊ก”

“โธ่ พี่อิงอะ รู้ทันอีกแล้ว” อารดากระเง้ากระงอดก่อนจะเขยิบมานั่งใกล้ๆ แล้วทำท่าซุบซิบอย่างรู้กันสองคน แต่สุดท้ายด้วยความเป็นห่วงของพวกพี่ๆ พวกเขาก็จะรู้เรื่องที่หล่อนแอบมาเล่าให้ฟังทุกทีนั่นละ

“ตอนนี้ปุ๊กกำลังตามจีบน้องชายสามีของยายรุ้งอยู่ เป็นเอ็มดีอยู่ที่บริษัท หล่อ สูง ขาว งานดีไม่แพ้พี่ชาย”

“แสดงว่าปุ๊กรู้จักเขาอยู่แล้วสิแบบนี้” 

คนเป็นพี่ถามต่อ แต่น้องสาวตัวดีกลับทำหน้าเมื่อยใส่

“ใช่ที่ไหนล่ะพี่อิง ปุ๊กเพิ่งเคยคุยกับเขาไม่กี่ครั้งเอง”

“ไหงงั้น” อิงสรณ์แปลกใจ

อารดาจึงเล่าให้ฟังว่าเหมือนโชคชะตาของเขากับหล่อนมีเหตุให้ไม่ได้เจอกันแบบใกล้ๆ มาตลอด ราวกับว่าก่อนหน้านี้ยังไม่ถึงเวลาได้เจอ ซึ่งส่วนหนึ่งเจ้าตัวก็เชื่อว่าที่หล่อนเพิ่งได้รู้จักและได้คุยกับเขา อาจจะเป็นเพราะพรที่ไปขอเจ้าแม่มาสัมฤทธิผลช่วยไว้ด้วยก็เป็นไปได้ 

“มูให้สุดแล้วหยุดที่กินแห้วจริงๆ ยายคนนี้” พี่สาวส่ายหน้าขำๆ กับความสายมูของน้องสาวตัวดี “ว่าแต่ พี่จำได้ว่าสามีของรุ้งคนนี้เป็นประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ บริษัทอาร์แอนด์ทีเอสเตต”

อารดาตอบไปแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่า หล่อนไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับการแต่งงานของเพื่อนรักให้คนที่บ้านฟังมากนัก พ่อแม่ของหล่อนรู้จักแต่ครอบครัวของรติยา ไม่ได้รู้จักไปถึงครอบครัวของอติรุจด้วย 

ทว่าคำตอบของอารดากลับเรียกอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดให้อิงสรณ์ได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นหล่อนก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นอะไรบางอย่าง สีหน้าค่อนข้างจริงจัง จนคนเป็นน้องแปลกใจ

“มีอะไรเหรอพี่อิง”

“พี่ว่าชื่อบริษัทมันคุ้นๆ น่ะสิ แต่ขออย่าให้ใช่จะดีกว่า” อิงสรณ์ตอบ แต่ตายังคงมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เจ้าตัวเรียกเปิดหาข้อมูลบางอย่างที่เคยเก็บไว้ นั่นทำให้อารดาเริ่มหวั่นใจขึ้นมา เพราะปกติแล้วพี่สาวคนรองไม่ค่อยทำหน้านี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน หรือเรื่องที่ต้องเอาจริงเอาจัง

แล้วอึดใจต่อมา อิงสรณ์ก็เจอข้อมูลที่ตนเองหา

“อ๊ะ นี่ไง เจอแล้ว บริษัทอาร์แอนด์ทีเอสเตต...” หล่อนกล่าวและอ่านข้อมูลนั้นอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ยายปุ๊กนะยายปุ๊ก ชอบใครไม่ชอบ ไปชอบผู้ชายคนนี้ซะงั้น”

“ทำไมอะพี่อิง” 

“ถามได้ว่าทำไม ก็อาร์แอนด์ทีเอสเตตเป็นบริษัทคู่แข่งของเอ็มเอสพร็อพเพอร์ตี้น่ะสิ”

“เอ็มเอสพร็อพเพอร์ตี้ ทำไมชื่อคุ้นๆ จัง” อารดาพึมพำก่อนจะทำตาโตเมื่อนึกออก “เอ็มเอสพร็อพเพอร์ตี้ มันบริษัทของคุณอานี่!”

“ก็ใช่ไงล่ะ! ยังดีนะที่ยังนึกออก ยายตัวดี” 

อิงสรณ์ถอนหายใจเมื่อน้องสาวเพิ่งนึกออก บริษัทเอ็มเอสพร็อพเพอร์ตี้ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และเป็นคู่แข่งของอาร์แอนด์ที แม้จะไม่เคยมีเรื่องตัดหน้าชิงผลประโยชน์กันมาก่อน แต่ก็เป็นคู่แข่งตัวฉกาจของกันและกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่อาร์แอนด์ทีบริษัทเดียวที่เป็นบริษัทคู่แข่งกับเอ็มเอสพร็อพเพอร์ตี้ ยังมีอีกสองบริษัทที่น่ากลัวไม่แพ้กัน แต่ถ้าตัวเป้งที่สุดสำหรับเอ็มเอสพร็อพเพอร์ตี้แล้ว ก็อาร์แอนด์ทีนี่ละ

“คงไม่เป็นไรมั้งพี่อิง” อารดาแบ่งรับแบ่งสู้ แต่หน้าเจื่อนลงไปนิด “ปุ๊กไม่เคยบอกเขาว่าเป็นหลานของคุณอา แล้วปุ๊กก็ไม่ได้สนิทกับคุณอา อีกอย่างปุ๊กก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับแวดวงธุรกิจพวกนี้ด้วยสักหน่อย” 

“แสดงว่าเขารู้แค่ว่าปุ๊กเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาแค่นั้นเหรอ”

“ปุ๊กคิดว่างั้นนะพี่อิง เพราะถึงเขาจะไปถามรุ้งเรื่องของปุ๊ก ปุ๊กก็เชื่อว่ารุ้งคงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะรุ้งเองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการบริหารบริษัทของสามี”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตีความไว้ก่อนว่าเขาไม่รู้ แต่เขาไม่รู้วันนี้ อนาคตต่อไปก็ต้องรู้ ถึงปุ๊กจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับบริษัทของคุณอาโดยตรง แต่การเป็นเครือญาติกัน พี่ว่าเขาก็ต้องมีแอบระแวงอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นถ้าปุ๊กมั่นใจว่าจะจีบเขาจริงๆ ปุ๊กก็ต้องเตรียมตัวรับแรงกดดันนี้ไว้ด้วย เพราะไม่ง่ายแน่ที่จะก้าวผ่านข้อกังขานี้ไปได้ ยกเว้นแต่ปุ๊กจะทำให้เขาเชื่อปุ๊กได้แบบสนิทใจจริงๆ”

อิงสรณ์เตือนด้วยความหวังดี เพราะในวงการธุรกิจทุกอย่างคือเกมและผลประโยชน์ หล่อนไม่อยากให้น้องสาวต้องมาอยู่ในวังวนที่กลายเป็นเครื่องมือของใคร ไม่ว่าฝั่งญาติของตัวเอง หรือฝั่งของคนที่น้องบอกว่าชอบ แต่ถ้าเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น หล่อนก็อยากให้น้องสาวใช้สติคิดให้ดีและรับมือให้ดีที่สุด

“เข้าใจแล้วค่ะ ปุ๊กซะอย่าง ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แน่นอน ไม่ว่าฟ้าจะกลั่นแกล้ง หรือโชคชะตาอยากทดสอบอะไร จัดมาเลย อารดาพร้อมเสมอ!” อารดายิ้มรับคำเตือนของพี่สาวเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ แต่ก็แอบกังวลใจอยู่ลึกๆ เหมือนกัน 

หล่อนไม่ใช่คนที่มานั่งตีอกชกหัวกับเรื่องที่ยังไม่เกิด ไว้รอให้เกิดก่อนแล้วค่อยคิดหาทางแก้เอาตอนนั้นก็ยังไม่สาย แต่ก็ดีแล้วที่หล่อนได้รู้ข้อมูลนี้ไว้บ้าง เวลาทำอะไรจะได้ระวังในส่วนของเรื่องงานเขาให้มากขึ้น ส่วนเรื่องที่ว่าจะจีบเขาติดหรือเปล่าก็ต้องแล้วแต่แต้มบุญของหล่อนว่ายังเหลือพอให้เขาหันมาสนใจได้หรือเปล่า!

ทางด้านปฐพีที่นั่งรถกลับบ้านไปพร้อมกับชไมพรผู้เป็นภรรยาโดยมีคนขับรถขับให้ สีหน้าของเขาค่อนข้างไม่สบอารมณ์เลยสักนิดเมื่อหลานสาวอย่างอารดาไม่ยอมช่วยเหลือในสิ่งที่เขาต้องการ เพราะความจริงแล้วที่พวกเขามาร่วมมื้ออาหารในครั้งนี้ที่บ้านของปฐมพงษ์ ไม่ใช่แค่มาเยี่ยมเยียนกันตามประสาญาติพี่น้อง แต่เพราะต้องการให้อารดาช่วยเหลือเป็นตัวกลางเกลี้ยกล่อม หว่านล้อมให้มนูญยอมขายที่ดินบ้านโบราณให้แก่ตนเอง แต่แค่เกริ่น หลานสาวก็ไม่เล่นด้วยเสียแล้ว จะเซ้าซี้ต่อก็ไม่ได้ กลัวจะทำให้ปฐมพงษ์กับอรุณีไม่ชอบใจ จึงได้แค่โยนหินถามทางไปแค่นั้น

“แล้วจะเอายังไงกันต่อดีล่ะคะคุณ ทางนู้นก็เหมือนกับจะไม่รามือง่ายๆ ด้วยใช่ไหมคะ” ชไมพรถามสามี จากที่รู้มาว่าทางบริษัทคู่แข่งก็พยายามตื๊อมนูญให้ขายที่ดินทำเลสวย แต่ดูท่าว่ามนูญจะเล่นแง่ไม่ยอมขายง่ายๆ บวกกับตัวมนูญเองก็ดูเหมือนจะไม่ถูกจริตกับสามีของหล่อนอยู่เป็นทุนเดิม การจะเข้าหามนูญโดยตรงนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ 

สามีของหล่อนจึงส่งคนของบริษัทที่เป็นระดับบริหารลงไปคุยและติดต่อขอซื้อที่ดินบ้านโบราณของมนูญ โดยเสนอราคาที่สูงกว่าราคาประเมินที่ดินเสียอีก แต่แทนที่มนูญจะยอม เขากลับไล่ตะเพิดคนของปฐพีกลับมา ปฐพีก็เลยต้องไปหามนูญเอง แต่ก็ดูจะไม่ได้ผลสักเท่าไร

“ผมไม่ยอมปล่อยให้อาร์แอนด์ทีได้มันไปง่ายๆ แน่!”

“แล้วคุณจะไปหาตาแก่นั่นอีกเหรอคะ เดี๋ยวก็ถูกไล่ตะเพิดกลับมาอีกหรอกค่ะ”

“ไม่ ต้องรอจังหวะที่ดีกว่านี้ ตอนนี้คงต้องรอดูท่าทีไปก่อนว่าอาร์แอนด์ทีจะเปิดไพ่อะไรต่อไป เพราะผมรู้ว่าทางนั้นก็โดนตาแก่หัวดื้อเล่นงานอ่วมอยู่เหมือนกัน คงต้องเสี่ยงเดิมพันกันสักตั้งว่าใครกันแน่ที่มันจะรุกฆาตก่อนกัน”

“แล้วถ้าทางนั้นให้ราคาดีกว่าล่ะคะ เราไม่แย่เหรอ โครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ด้วยนะคะ”

“ไม่หรอก ถึงทางนั้นจะอยากได้แค่ไหน แต่งบประมาณที่สูงเกินไปก็ไม่มีใครเอาด้วยเหมือนกัน” สีหน้าปฐพีเต็มไปด้วยความหงุดหงิดอย่างมากที่อะไรๆ ดูจะไม่เป็นไปอย่างที่เขาหวังไว้ แต่ถึงตอนนี้ยังไม่สำเร็จ แต่เขาจะทำให้สำเร็จให้ได้ ไม่ช้าก็เร็วที่ดินของบ้านหลังนั้นจะตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน ในเมื่อใช้ทางตรงไม่ได้ ก็ต้องหาทางอ้อม!

 

หลังจากได้เจอธนาดลที่โรงพยาบาล อารดาก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย แถมคำเตือนของพี่สาวก็ทำให้หล่อนคิดหนัก แผนการจีบผู้ก็มีอันต้องสะดุดไปด้วย เพราะต้องไปตั้งหลักใหม่ว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี หล่อนรู้สึกว่าฤกษ์หาผัวของตัวเองคราวนี้สาหัสจริงๆ จนต้องพึ่งตัวช่วยดีๆ อย่างเช่นหมอดู!

อารดาจึงมาหาหมอดูชื่อดังอย่างแม่หมอจินนี่พยากรณ์ หรือจินต์จุฑา หรือจิน อดีตเคยเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานของหล่อน แต่ต่อมาได้ลาออกเพราะอิ่มตัวในการทำงานบริษัท รู้สึกไม่ชอบและอยากหาสิ่งที่ตนเองชอบและถนัด นั่นคือด้านโหราศาสตร์ ทำนายผ่านการดูการเคลื่อนย้ายของดาวกับจักรราศี 

แล้วก็ไม่รู้ว่าเพราะโชคชะตาหรือดวงมาทางนี้ เพียงแค่สองปีรุ่นพี่ของหล่อนก็มีชื่อเสียงอยู่ในแวดวงโหราศาสตร์ มีคนดังหลายคนแวะเวียนมาให้รุ่นพี่ของหล่อนดูดวงให้ แล้วพอคนรู้จักกันมากขึ้นก็ปากต่อปากกันต่อไป 

จินต์จุฑาก็เลยต้องจัดระบบระเบียบในการรับลูกค้า ไม่รับลูกค้าวอล์กอิน จะรับเฉพาะกับลูกค้าที่จองคิวและลงเวลาไว้ชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าได้รับการทำนายได้อย่างเต็มที่และตัวหล่อนก็ไม่เหนื่อยจนเกินไปด้วย โดยในวันหนึ่งจะรับลูกค้าไม่เกินเจ็ดคนและมีลูกค้ามาใช้บริการทุกวัน

อารดาเปิดประตูเข้ามาในร้านเล็กๆ ที่เป็นบ้านไม้สไตล์วินเทจสีขาวชั้นเดียว ล้อมรอบด้วยรั้วไม้เตี้ยๆ สีขาวและสวนหย่อมสีเขียวดูน่ารักสะดุดตา ใครผ่านไปมาก็คิดว่าเป็นร้านอาหาร แต่ความจริงแล้วเป็นร้านทำนายดวงชะตา ที่มีคาเฟ่เล็กๆ อยู่ด้านในให้บริการลูกค้าที่มารับบริการดูดวง

หญิงสาวเข้าไปในร้านแล้วก็ไปแจ้งที่เคาน์เตอร์ว่าตนเองเป็นลูกค้าที่นัดเอาไว้ 

“แม่หมอขาเซย์ไฮค่ะ”

“มาอีกแล้วแม่ตัวดี มีอะไรอีกล่ะคราวนี้”

“มาหาแม่หมอก็ต้องมาดูดวงสิคะ หรือแม่หมอจะทำกับข้าวให้กิน” อารดาแกล้งกวนประสาทเล่นอย่างสนิทสนม “ไม่ต้องมากวนประสาทฉันเลยยายปุ๊ก มีอะไรก็ว่ามา”

“ปุ๊กก็มาดูดวงจริงๆ นี่ ทำตามกฎกติกาเป๊ะเลยนะ จองคิวมาเรียบร้อยเลยนะพี่จินจ๋า”

“นี่จะดูดวงจริงๆ ใช่ไหม” จินต์จุฑาถาม เพราะบางครั้งอารดาก็จองคิวมาแต่ไม่ได้ดูดวงหรอก แค่มาปรึกษาและบ่นปัญหาปวดตับของตัวเอง แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องความรักทุกครั้ง ก็เลยไม่แน่ใจว่าวันนี้อารดามาทำอะไรกันแน่

“ใช่ค่ะแม่หมอจินเจ้าขา ปุ๊กสายมู ต้องมูให้สุดทุกเรื่อง” อารดายิ้มหวานใส่ แต่อดีตรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันจึงต่อให้ 

“แล้วหยุดที่กินแห้วน่ะเหรอ”

“โธ่ พี่จินอะ”

“พอๆ เลิกเล่นได้แล้ว จะดูดวงก็หยอดกระปุกยายตัวดี”

จินต์จุฑาบอกแล้วก็พยักพเยิดไปที่กระปุกที่วางอยู่บนโต๊ะด้านซ้ายมือ ลูกค้าทุกคนจะหยอดกระปุกตรงนี้เพื่อเริ่มต้นการดูดวง โดยการดูดวงครั้งหนึ่งหล่อนจะคิดครั้งละห้าร้อยบาทในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง ถามอะไรก็ได้ที่อยากรู้ 

อารดาหยอดกระปุกเรียบร้อยแล้วจึงเขียนวันเดือนปีเกิดรวมถึงเวลาให้แม่หมอ จากนั้นก็รอให้จินต์จุฑาคำนวณฤกษ์ดาวและการโคจรของดวงดาวในช่วงนี้ หล่อนนั่งรอเงียบๆ ไม่พูดอะไรรบกวนสมาธิของอีกฝ่าย

จนกระทั่งหลายนาทีผ่านไปจินต์จุฑาก็ถอนหายใจกับดวงของรุ่นน้องในช่วงนี้

“ยายปุ๊ก เธอนี่นะมาครั้งก่อนดวงแฟนก็ค่อนข้างแย่ มาครั้งนี้ดวงแฟนพุ่งสูงปรี๊ดดีมาก แต่กลับเจอวิบากกรรมอะไรมันจะสู้ชีวิตขนาดนี้ยะยายตัวดี”

“หมายความว่ายังไงคะพี่จิน ขอแบบไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยได้ไหม ปุ๊กไม่ค่อยฉลาดเรื่องภาษาดวง”

จินต์จุฑาค้อนใส่รุ่นน้องจอมยุ่ง แต่ก็เอ็นดูในความซื่อบื้อนี้

“งั้นบอกพี่มาซิ ตอนนี้ได้แฟนใหม่หรือยัง หลังจากเลิกกับคนเก่าตอนนู้น”

“ยังเลยค่ะ กำลังตามจีบเขาอยู่ แต่ดูลุ่มๆ ดอนๆ ยังไงก็ไม่รู้”

“ก็แน่ละ เพศตรงข้ามที่ปุ๊กชอบอยู่ ไม่ใช่คนที่จีบได้ง่ายๆ เป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงขาวดูอบอุ่น เป็นคนรักครอบครัว แต่ก็มีโลกส่วนตัวอยู่บ้าง แล้วก็มีกำแพงในใจค่อนข้างมาก ถ้าจะชอบผู้ชายคนนี้จริงๆ ต้องฝ่ากำแพงใจของเขาเข้าไปให้ได้”

“โอ้โหพี่จิน นี่นั่งทางในหรือเปล่าคะ อะไรมันจะเป๊ะขนาดนี้” อารดากล่าวชม มาดูดวงกี่รอบก็ต้องทึ่งทุกรอบที่รุ่นพี่ทำนายได้ตรงเป๊ะๆ ราวกับตาเห็น

“จะฟังต่อไหม”

“ฟังค่ะฟัง”

“ดวงแฟนคนนี้เนี่ยก็ดูไปด้วยกันได้อยู่หรอก แต่ต้องพยายามอย่างหนักเลยนะ แล้วนี่ดวงดาวนี่เห็นไหม” จินต์จุฑาชี้นิ้วให้ดูในกระดาษคำนวณตรงหน้า “มันเล็งดวงของเราไว้ในช่วงเดือนนี้ไม่ค่อยดีนัก จะเจอเรื่องทดสอบค่อนข้างหนักเลยทีเดียว”

“ฟังแล้วห่อเหี่ยวเลยอะพี่จิน”

“ไม่ต้องห่อเหี่ยวหรอก ดวงมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามดวงดาว มีขึ้นมีลง แค่ถ้าเรารู้ล่วงหน้า เราก็เตรียมรับมือให้พร้อม มีสติกับทุกอย่างที่เข้ามา แล้วมันก็จะผ่านไปได้เอง”

“แล้วความรักครั้งนี้มีแนวโน้มจะสําเร็จไหมคะ”

“อืม...” จินต์จุฑานิ่งไปนิด มองดูตัวเลขดวงดาวที่ตัวเองคำนวณไว้อย่างหนักใจ “จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเธอคนเดียวเลย ต้องมีสติให้มาก แล้วก็งัดทุกอย่างที่จะทำให้ผู้ชายที่จีบอยู่นี้เปิดใจให้ให้ได้”

“โอ้โห งานหินเลย”

“ไม่หินหรอก ดูเลขนี้มันเหมือนมีคนช่วยอยู่ แต่เธอก็ต้องลงมือลงแรงด้วย อย่าพึ่งแต่ตัวช่วย แถมยังมีดวงดาวที่คอยขัดขวางอยู่ด้วย พยายามอย่างหนักเลยยายปุ๊กเอ๊ย”

“ดวงดาวขัดขวางนี่ไล่ออกไปได้ไหมคะ แบบว่าทำบุญสะเดาะเคราะห์อะไรแบบนั้น”

อารดาพยายามหาตัวช่วยพิเศษ เพราะลำพังแค่นี้หล่อนก็ร่อแร่อยู่แล้ว ยังจะมีตัวขัดขวางมารผจญอีก เหมือนคนวิ่งสี่คูณร้อยรอบสนามที่วิ่งให้ตายก็ไม่ถึงเส้นชัยเสียที แบบนั้นมีแต่เหนื่อยกับเหนื่อย

“ทำไปก็ไม่ได้ผลหรอก ดวงดาวส่งผลต่อคนมีขึ้นมีลงเหมือนน้ำทะเลที่ขึ้นลงเพราะดวงจันทร์ ทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ขอแค่เรามีสติพิจารณาและคิดให้รอบคอบจะดีที่สุด คนเราถ้าขาดสติก็จะทำอะไรล้มเหลวไม่เป็นผล แต่ถ้าสติมาปัญญาเกิด ปัญหาก็แก้ไขได้ ไม่เคยได้ยินเหรอ”

“สาธุ! เคยได้ยินค่ะ” อารดายกมือไหว้ท่วมหัวประหนึ่งรุ่นพี่กำลังเทศน์ให้พร เลยโดนจินต์จุฑาค้อนใส่วงใหญ่กับความทะเล้นไม่เลิกของรุ่นน้องตัวดี แต่ก็เป็นเพราะแบบนี้ละที่จินต์จุฑามักโกรธไม่ลง ได้แต่ระอาบ้าง เหนื่อยใจบ้าง แต่ก็เอ็นดูรุ่นน้องสาวอยู่ลึกๆ

“แต่ถ้าไม่สบายใจ อยากจะไปทำบุญสะเดาะเคราะห์สักหน่อยเพื่อความสบายใจของตัวเองก็ได้ ไม่มีอะไรเสียหาย สร้างบุญให้ตัวเองอย่างไรก็ย่อมดีกว่าสร้างบาปอยู่แล้ว” จินต์จุฑาว่าแล้วก็มองกระดาษคำนวณตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งในดวงของรุ่นน้องในช่วงนี้ที่ทำเอาแม่หมออย่างหล่อนถึงขั้นเอ่ยปากเตือนเลยว่า

“ยายปุ๊ก เธอมีความลับอะไรที่ไปทำไว้แล้วไม่ได้บอกใครหรือเปล่า”

“เปล่านี่คะ” อารดาปฏิเสธแล้วนึกถึงเรื่องที่พี่สาวเตือนไว้ ไม่แน่ใจว่าจินต์จุฑาหมายถึงเรื่องนั้นหรือเปล่า

“แต่ดวงเธอมันบอกว่ามี ดวงดาวตรงนี้หมายถึงความคิดภายในใจและเหตุการณ์ในอนาคตโดยทั่วไป มันบอกว่าความลับจะถูกเปิดเผย ไม่ควรเดินทางไกล แล้วก็สิ่งที่ลืมเลือนไปจะกลับมา เรื่องที่น่ากลัวจะกลายเป็นบททดสอบ”

พอจินต์จุฑาบอกมาอย่างนี้ อารดาถึงกับใจห่อเหี่ยวหนักเลย แต่สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของดวงชะตา ก็คงต้องทำแบบที่จินต์จุฑาบอก ให้คำเตือนเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนสติ แล้วในเมื่อรู้ล่วงหน้าอย่างนี้แล้วจะได้ระมัดระวังทุกอย่างให้ดีขึ้น

จินต์จุฑาให้กำลังใจรุ่นน้องสาว ก่อนจะพูดเรื่องอื่นเกี่ยวกับดวงว่า สุขภาพของอารดาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ครอบครัวบริวารทุกอย่างดูดีหมด แต่อาจจะมีปัญหาปวดหัวเพราะคนแก่นิดหน่อยแค่นั้น ซึ่งพออารดาดูดวงจบหล่อนก็ขอบคุณจินต์จุฑาและขอตัวกลับ แต่ก็ยังคิดวนไปวนมาเกี่ยวกับผลการทำนาย แล้วตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อสำหรับเรื่องนี้! แต่เพราะความไม่สบายใจในคำทำนายนั้นเอง เจ้าตัวก็เลยตัดสินใจไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ที่วัดแห่งหนึ่งตามวิสัยสาวสายมูเตลูของแท้ 

หญิงสาวทำบุญหยอดเหรียญพระประจำวันเกิด เติมน้ำมันตะเกียง ปิดทองพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านมากราบไหว้บูชา เสร็จแล้วก็ไปตักน้ำมนต์ในอ่างใบใหญ่ที่ทางวัดเตรียมไว้สำหรับให้ผู้ที่มาวัดได้ตักเก็บกลับไปตามอัธยาศัย เจ้าตัวก็เลยตักมาเล็กน้อย เอามาประพรมศีรษะ ถือเคล็ดล้างซวย ล้างความอัปมงคลใดๆ ให้หายไปด้วยน้ำมนต์นี้ 

จากนั้นก็ไปที่ศาลาท่าน้ำของวัดที่มีทางเดินลงไปยังโป๊ะปล่อยปลาลงแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่โป๊ะสำหรับเทียบจอดเรือ หล่อนนั่งปล่อยใจอยู่พักใหญ่ พอดีกับมีพ่อแม่ลูกสามคนเดินมาที่ท่าน้ำเพื่อปล่อยปลา ลูกสาวที่จูงมือมาด้วยกันนั้นหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา ผูกผมเปียสองข้าง แก้มยุ้ยน่าฟัดมาก แล้วมีแวบหนึ่งที่เด็กคนนั้นหันมาสบตากับอารดาพอดี หล่อนก็เลยยกมือขึ้นโบกทักทาย เด็กน้อยก็โบกมือทักทายตอบระหว่างเดินลงไปที่โป๊ะพร้อมกับพ่อแม่

อารดามองตามครอบครัวนั้นไปพร้อมกับความคิดที่เกิดขึ้นมาแวบหนึ่ง เมื่อจินตนาการว่ามันจะเป็นอย่างไร หากหล่อนกับธนาดลได้แต่งงานกันแล้วก็มีลูกน่ารักๆ แบบนี้ จะมีความสุขแค่ไหน แล้วหล่อนจะเป็นแม่ที่ดี เป็นภรรยาที่ดีของเขาได้ไหม แล้วเขาจะรักหล่อนมากแค่ไหน

พอคิดมาถึงตรงนี้เจ้าตัวก็สะบัดศีรษะแรงๆ ไล่จินตนาการออกไป และกลับสู่โลกความจริง

ตอนนี้จีบเขาให้ติดก่อนเถอะยายปุ๊ก!

หล่อนเตือนตัวเองแล้วหันมองครอบครัวน่ารักนั่นปล่อยปลาด้วยกัน จากนั้นก็เดินไปเลี้ยงอาหารนกกันต่อที่ลานเล็กๆ ใกล้กับท่าน้ำ แต่เจ้าตัวรู้สึกว่าไม่อยากให้ตัวเองต้องฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ จึงตัดสินใจลุกจากศาลาท่าน้ำกลับไปที่ลานจอดรถของทางวัด

พอขึ้นรถได้หญิงสาวก็สตาร์ตรถและล็อกประตู นั่งคิดอะไรต่ออีกสักพัก จนกระทั่งเรียกกำลังใจที่แสนห่อเหี่ยวให้กลับมาได้ แล้วตัดสินใจว่า

เฮ้อ! เอาวะไอ้ปุ๊ก ไม่ถึงที่สุดไม่ม้วนเสื่อกลับบ้าน 

สู้ชีวิตให้มันสุดๆ ไปเลย แต่ถ้าโดนชีวิตสู้กลับ ค่อยยกธงขาวทีหลังก็ยังไม่สาย!


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น