7

ข้อเสนอที่หอมหวาน

บทที่ ๗

ข้อเสนอที่หอมหวาน

 

เมื่อถึงเวลานัดหมาย รติยาก็นั่งแท็กซี่มาที่ร้านอาหารในโรงแรมตามที่อติรุจนัดเอาไว้ ซึ่งไม่ใช่ห้องอาหารที่มากินวันก่อน แต่เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสซึ่งอยู่อีกชั้นหนึ่ง หล่อนแจ้งพนักงานว่าคนที่จองไว้คืออติรุจ แค่นั้นพนักงานก็แทบจะอุ้มหล่อนเข้าร้านและดูแลบริการอย่างดีประหนึ่งแขกวีไอพีเลยทีเดียว

หญิงสาวไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ และเป็นโต๊ะที่อยู่ในโซนวีไอพี หล่อนสั่งน้ำผลไม้มาดื่มระหว่างรออติรุจ ไม่นานนักเขาก็มาถึง แม้จะยังไม่สายเกินเวลานัด แต่เขาก็เอ่ยขอโทษหล่อนตามแบบสุภาพบุรุษเข้าสังคมเป็นอีกเช่นเคย

“ขอโทษด้วย คุณมารอนานหรือยัง”

“สักสิบนาทีเองค่ะ”

“พอดีรถติดนิดหน่อย”

อติรุจว่าแล้วนั่งลง เขาสังเกตได้ว่ารติยาแต่งตัวสวยกว่าตอนเที่ยง แม้จะไม่ได้ใส่เครื่องประดับมีราคา แต่หล่อนก็แต่งตัวเข้ากับสถานที่ได้ดี ใส่เดรสสีหวานและแต่งหน้าทำผมนิดหน่อยพอให้ชวนมอง แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มประหนึ่งมาออกเดตกัน

“ร้านนี้เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส เชฟของที่นี่เป็นเชฟส่งตรงมาจากฝรั่งเศสเลย” เขาชวนคุย หล่อนจะได้ไม่รู้สึกเก้อเขิน

“แล้วมีอะไรเป็นเมนูแนะนำบ้างคะ”

“ที่ผมชอบที่สุดที่นี่ก็ซุปครีมปู อร่อยมาก กับจานหลักอย่างเนื้อสเต๊กริบอายที่ชุ่มฉ่ำนุ่มลิ้น”

ชายหนุ่มบอกแล้วจึงหันไปพยักหน้ากับพนักงานที่ยืนรออยู่แล้วให้เอาเมนูมาให้ พอพนักงานเอาเมนูเข้ามารติยาก็รับมาเปิดดู หล่อนไม่มีท่าทางตกใจหรืองุนงงกับอาหารคอร์สตามที่แจ้งไว้ในเมนูซึ่งเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ แล้วก็สอบถามรายละเอียดส่วนผสมของเมนูกับพนักงานได้อย่างไม่เคอะเขินและไม่ประหม่าด้วย โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าอติรุจแอบสังเกตหล่อนอยู่เงียบๆ

เขารู้สึกว่าหล่อนเป็นผู้หญิงธรรมดาที่อาจจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด มีอะไรบางอย่างในตัวบอกเขาว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจ ยิ่งตอนหล่อนสั่งอาหารด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดี แม้จะมีบางคำเป็นสำเนียงไทยไปบ้าง แต่ก็บ่งบอกได้ว่าเป็นคนมีความรู้และได้รับการอบรมการเข้าสังคมมาพอสมควร มันช่างขัดกับสิ่งที่หล่อนบอกเขาว่าตนเองตกงานและไม่มีเงินจ่ายค่าชดใช้เขา

หรือว่าหล่อนจะเป็นลูกสาวเศรษฐีตกยากอะไรแบบนั้น

แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน หล่อนก็ทำให้เขารู้สึกสนใจมากกว่าเดิมเสียแล้ว เพราะความธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาที่แอบแฝงอยู่ในตัวหล่อนนี่ละ

อติรุจสั่งอาหารสำหรับตัวเอง พอสั่งเสร็จและพนักงานล่าถอยออกไปแล้ว เขาก็หันมองหล่อนด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่ทำเอารติยาที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพลาดไปอย่างแรงถึงกับส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้ 

ตายละวา! แบบนี้เขาจะเชื่อเหรอว่าหล่อนไม่มีเงิน

“คุณเคยกินอาหารที่นี่มาก่อนหรือเปล่า”

นั่นไง! เขาสงสัยจริงๆ ด้วย

“ไม่เคยมาหรอกค่ะ แต่เคยไปกินอาหารที่โรงแรมอื่นมาบ้าง เวลาหัวหน้าพาไปเลี้ยงค่ะ”

“ขอโทษด้วยถ้าผมอยากถามอะไรสักหน่อย ก่อนหน้านี้คุณทำงานอะไร”

“ฉันอยู่แผนกจัดซื้อของบริษัทแห่งหนึ่ง แต่บริษัทปิดตัวลง ฉันก็เลยตกงานและยังหางานไม่ได้อยู่ค่ะ” หล่อนตอบแล้วถือโอกาสถามกลับ “คุณนัดฉันมาที่นี่ ต้องการคุยเรื่องอะไรหรือคะ”

“ผมมีข้อเสนอมาให้คุณลองพิจารณาดู เผื่อคุณสนใจ”

“ข้อเสนออะไรคะ” รติยาสนใจขึ้นมาทันที

“ตอนนี้ที่โรงเรียนเปรมธิมามีครูสอนวิชานาฏศิลป์และดนตรีอยู่สองคน แต่คนหนึ่งท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว บางทีก็ไม่ค่อยไหว ผมสอบถามมาแล้วว่าในคาบดนตรี สอนการร้องเพลง การฟังเสียง ส่วนครูก็จะเล่นเปียโนให้เด็กๆ ช่วยร้องเพลงกัน ผมเห็นคุณเล่นเปียโนได้ เลยอยากให้มาเป็นครูผู้ช่วยครูที่ท้องอยู่อีกแรงหนึ่ง คุณสนใจไหม”

“แต่ฉันไม่ได้เรียนจบครูมานะคะ จะได้เหรอคะ”

รติยาถามกึ่งปฏิเสธกลายๆ หล่อนจะไปเป็นครูสอนเด็กได้อย่างไร ในเมื่อหล่อนไม่ได้เรียนจบมาด้านนั้น แล้วหล่อนก็สอนหนังสือเด็กไม่เป็นด้วย ถ้าชวนกันเล่นสนุกไปวันๆ ก็ว่าไปอย่าง

“เปล่า ผมไม่ได้ให้คุณไปสอนหนังสือ” เขาตอบยิ้มๆ นึกภาพหล่อนสอนหนังสือคงป่วนน่าดู เพราะท่าทางหล่อนไม่น่าจะรับมือเด็กๆ ได้ “แค่ให้มาเป็นผู้ช่วยครู ครูประจำวิชายังสอนอยู่เหมือนเดิม คุณแค่ช่วยซัปพอร์ตดูแลเพิ่มอีกแรงหนึ่ง แลกกับการได้ค่าจ้าง งานก็ไม่ได้เหนื่อยมาก ดีกว่าไปทำงานในกองถ่ายแล้วเจอนักแสดงเอาแต่ใจแบบนั้น”

อ่า...อันนี้ค่อยน่าสนขึ้นมาหน่อย แต่ว่า...

รติยาสนใจแต่ก็เริ่มคิดหนัก เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องทำงานในโรงเรียนมาก่อน ตอนนี้หล่อนตกงานอยู่ ข้อเสนอของเขาจึงนับว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่ถ้ารับปากเขาไปแล้วทำไม่ได้นี่อายตายแน่ๆ

“ฉันขอคิดดูก่อนได้ไหมคะ แล้วจะให้คำตอบอีกที”

“แต่ผมคิดว่าคุณควรตอบตกลงนะ”

อติรุจแนะนำ แล้วก็หยุดพูดเรื่องงานชั่วคราวเมื่อเมนูเรียกน้ำย่อยมาเสิร์ฟ เขาไม่อยากให้บรรยากาศการมากินอาหารด้วยกันครั้งแรกตึงเครียดมากนัก เพราะการเอาเรื่องงานที่จริงจังมาพูดบนโต๊ะอาหารจะทำให้อาหารกร่อยได้ เขาไม่เซ้าซี้ต่อและชวนคุยเรื่องอาหารตรงหน้าแทน จากนั้นเขาก็สั่งไวน์นุ่มละมุนลิ้นมาดื่มและถามหล่อนว่าจะรับไวน์ด้วยหรือไม่ พอหล่อนตอบว่ารับเขาก็สั่งมาให้

จากเมนูเรียกน้ำย่อยที่ว่าอร่อยแล้ว พอเมนูต่อไปทยอยมาเรื่อยๆ มันก็ยิ่งอร่อยขึ้นจนรติยาแทบลืมเรื่องงานไปเลยทีเดียว โดนเฉพาะสเต๊กเนื้อนุ่มฉ่ำลิ้นกับไวน์แดงที่เข้ากันมาก หล่อนถึงกับทำหน้าเคลิ้มอย่างมีความสุขจนเขาเย้าใส่

“ดีใจนะที่คุณอร่อยกับมื้อนี้”

“เนื้อที่นี่นุ่มลิ้นมากเลยค่ะ พอกินคู่กับไวน์แดงก็ยิ่งอร่อยคูณสองเลยค่ะ”

หญิงสาวว่าแล้วยิ้มแป้นให้เขาอย่างมีความสุขกับอาหารจริงๆ หล่อนยิ้มทั้งใบหน้าและดวงตา จริตจะก้านแทบไม่มี แล้วก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีกอึก ท่าทางดูไม่มีปัญหากับรสชาติของไวน์เลยสักนิด ทั้งที่ถ้าเป็นคนไม่เคยดื่มหรือดื่มเป็นครั้งแรก ส่วนใหญ่จะทำหน้าเบ้ ทำให้เขาคิดว่าหล่อนน่าจะเป็นนักดื่มอยู่เหมือนกัน

“เพิ่งรู้ว่าคุณก็เป็นนักดื่มด้วย”

“ฉันดื่มได้ค่ะแต่ไม่บ่อย ส่วนใหญ่เป็นการดื่มเพื่อเข้าสังคม แต่ฉันก็รู้ลิมิตตัวเองนะคะ เพราะคอไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่ เลยให้ตัวเองดื่มได้ไม่เกินหนึ่งแก้วเท่านั้น ถ้าเกินหนึ่งแก้วมีฟุบแน่ค่ะ”

อติรุจยิ้มแล้วชวนคุยเรื่องอาหารเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย แต่ตลอดเวลาที่คุยกับหล่อน เขาก็สังเกตพฤติกรรมและทัศนคติของหล่อนจากการพูดคุยไปด้วยโดยที่หล่อนไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

ยิ่งคุยเขาก็ยิ่งแน่ใจว่าหล่อนไม่ใช่แค่พนักงานชั้นปลายแถวธรรมดา อย่างน้อยครอบครัวของหล่อนน่าจะมีฐานะอยู่บ้าง เพราะมีอยู่ประโยคหนึ่งที่หล่อนเล่าถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ไปกินกับครอบครัว ซึ่งเขาจำได้ว่าร้านอาหารแห่งนั้นแพงใช้ได้เลยทีเดียว แต่ดูเหมือนหล่อนจะลืมนึกไป จึงไม่ทันระวังเรื่องที่เล่าออกมา 

ฝ่ายรติยาที่เผลอหลุดปากเล่าไปแล้ว พอรู้ตัวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่พอเห็นเขาไม่มีทีท่าติดใจสงสัย หล่อนก็พูดไปเรื่อย

กระทั่งมื้ออาหารจบลงและอติรุจเรียกพนักงานมาจัดการค่าอาหาร รติยาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาก็หน้าแดงมากขึ้นหลังจากที่เริ่มแดงมาพักใหญ่ เพราะหล่อนดันกินของหวานเข้าไปหลังจากดื่มไวน์ ลืมตัวไปเลยว่าถ้าดื่มเครื่องดื่มมึนเมาแล้วกินของหวานตามจะทำให้เมาแบบคูณสอง

ก็แหม...ของหวานที่นี่มันหน้าตาน่ากินมากจนอดใจไม่ไหวน่ะสิ แล้วแบบนี้หล่อนจะไหวไหมเนี่ย แต่อย่างไรก็ห้ามแสดงอาการออกมาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นได้ขายหน้าเขาแน่ๆ

แต่อติรุจนั้นสังเกตหล่อนมาพักหนึ่งแล้วและรู้ว่าหล่อนเริ่มเมาได้ที่ แม้ว่าเจ้าตัวจะยังไม่ถึงขั้นพูดจาไม่รู้เรื่องหรือเลื้อยเละเทะ แต่ดูหน้าก็รู้ว่าเมามาก เขาไม่ได้มีเจตนาจะมอมไวน์หล่อน เลยอดเป็นห่วงไม่ได้

“รถคุณจอดที่ไหน เดี๋ยวผมจะไปส่งที่รถ”

“ฉันไม่ได้ขับรถมาค่ะ มาแท็กซี่”

หล่อนตอบแล้วยิ้มเจื่อนๆ ให้ คิดว่าโชคดีแล้วที่ไม่ได้ขับรถมา เพราะหล่อนคงขับกลับไม่ได้แน่ ถึงปริมาณแอลกอฮอล์จะไม่เกินมาตรฐาน แต่อาการเมาของหล่อนนี่ละที่เป็นปัญหา เพราะตอนนี้หล่อนรู้สึกว่าความคิดความอ่านเริ่มช้าลงและมึนหัวมาก พร้อมจะฟุบหลับได้ทุกเมื่อ

“งั้นเดี๋ยวผมจะไปส่งที่บ้าน บอกมาว่าบ้านคุณอยู่ที่ไหน”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับแท็กซี่เองได้”

“แต่คุณเมาอยู่ กลับแท็กซี่ตอนกลางคืนมันอันตราย”

“เมาแต่ยังไหว ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ” 

รติยาปฏิเสธแล้วยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์โอเคให้เขาดู แต่เพราะแบบนี้นี่เองอติรุจถึงได้แน่ใจยิ่งกว่าเดิมว่าหล่อนคงกลับไม่ถึงบ้านแน่ๆ ถ้าปล่อยกลับแท็กซี่คนเดียว มันอันตรายเกินไป

“ผมจะให้รถของโรงแรมไปส่งคุณ”

ชายหนุ่มตัดบทและสรุปเสร็จสรรพ ถ้าหล่อนยังไม่ไว้ใจให้เขาพาไปส่งบ้านก็ไม่เป็นไร แต่เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีกับหล่อน รติยาจึงจำใจยอม ไม่เถียงอะไรต่อ เพราะตอนนี้หล่อนเริ่มยืนไม่อยู่แล้วและคิดว่าควรขึ้นรถไปโดยเร็ว บอกทางไปและบ้านเลขที่ให้เสร็จก่อนจะพับไปจริงๆ ถ้าถึงบ้านแล้วให้คนขับรถช่วยปลุกให้ก็ยังไม่สาย

สองหนุ่มสาวออกจากห้องอาหารและลงลิฟต์ด้วยกันมาถึงชั้นล็อบบี รติยาเริ่มมึนหัวหนักขึ้น แม้จะยังเดินตรงทางอยู่ แต่อติรุจก็รับรู้ได้ว่าก้าวย่างของหล่อนเริ่มไม่มั่นคงเหมือนเดิม 

จนกระทั่งตอนที่กำลังจะเดินผ่านน้ำตกจำลองในล็อบบีบริเวณเคาน์เตอร์ต้อนรับ จู่ๆ คนที่เดินเกือบตรงทางก็เซถลาไปหาน้ำตกจำลองซึ่งด้านหน้ามีน้ำพุแบบน้ำล้นก่อนจะถึงม่านน้ำตก ขาข้างหนึ่งหย่อนลงน้ำก่อนที่ตัวจะทรุดตามลงไป ดีที่อติรุจหันมาเห็นและคว้าตัวไว้ทัน ชุดเดรสของหล่อนจึงเปียกขึ้นมาแค่ระดับสะโพก ไม่ได้เปียกไปทั้งตัว

แล้วจู่ๆ หล่อนก็พูดเรื่องงานกับเขา ทั้งที่ไม่ใช่เวลาที่ควรคุยกันเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

“เรื่องงานที่คุณเสนอ อืม...ฉันคิดๆ ดูแล้ว ตกลงค่ะ”

“ไหนคุณบอกขอคิดดูก่อนสักสองวัน”

อติรุจแย้งและคิดว่าคงต้องขอคำตอบอีกครั้งตอนหล่อนสร่างเมา คำตอบนี้ถือเป็นโมฆะไปก่อนก็แล้วกัน รติยาไม่ตอบคำโต้แย้งของเขานอกจากส่งยิ้มหวานให้และมองเขาด้วยดวงตาหวานฉ่ำอย่างคนเมาได้ที่จนเขาไม่รู้จะขำหรือจะสงสาร หรือจะรู้สึกอย่างไรดี เขาช่วยประคองหล่อนให้เดินต่อไปจนถึงประตูทางเข้าออกอาคาร บริเวณที่รถยนต์จอดรับและส่งลูกค้า 

รถของโรงแรมตามที่เขาสั่งไปมาจอดรออยู่แล้ว พนักงานต้อนรับช่วยเปิดประตูรถยนต์ให้ เขาจึงประคองหล่อนขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง แต่พอกำลังจะถามว่าบ้านอยู่ที่ไหนไปอย่างไร เจ้าหล่อนกลับปิดสวิตช์การรับรู้ไปหน้าตาเฉย

“คุณ คุณ ตื่นก่อน...รติยา คุณรุ้งตื่นก่อน” 

อติรุจเรียกและเขย่าตัวหล่อนเบาๆ แต่คนที่เมาหลับไปแล้วไม่รับรู้แต่อย่างใด พนักงานมองหน้าผู้ถือหุ้นและญาติเจ้าของโรงแรมอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ส่วนเขาได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจอุ้มหล่อนลงจากรถ แล้วประคองกึ่งหิ้วปีกหล่อนพากลับเข้าโรงแรมไปอีกครั้ง เพื่อขึ้นไปยังห้องพักที่เขามีคีย์การ์ดอยู่แล้ว โดยมีพนักงานคอยช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง

เมื่อมาถึงห้องพักที่เป็นห้องสูท ด้านในแยกออกเป็นห้องนั่งเล่นและห้องนอน ส่วนห้องน้ำก็กว้างขวางสมกับเป็นห้องพักของผู้ถือหุ้นของโรงแรม เขาก็วางร่างรติยาลงบนเตียงและบอกให้พนักงานแม่บ้านช่วยหาอ่างใบเล็กๆ กับผ้าขนหนูมาให้ 

พนักงานรับคำแล้วหายไปครู่ใหญ่กว่าจะกลับมาพร้อมของที่เขาต้องการ เขาบอกให้พนักงานไปได้ ก่อนจะลงมือเช็ดหน้าเช็ดตาให้หล่อน หวังว่าจะช่วยให้หล่อนตื่น แต่ดูท่าว่าหล่อนจะไม่ร่วมมือ ไม่ยอมตื่นเลยแม้แต่น้อยจนเขาถอดใจ และคิดว่าคืนนี้คงต้องให้หล่อนพักที่นี่ แล้วรุ่งเช้าค่อยว่ากัน

“ไม่ระวังตัวเลยนะคุณ นี่ถ้าผมหน้ามืดทำอะไรขึ้นมา คุณก็ไม่มีทางรอดเลยรู้ตัวไหม”

อติรุจพึมพำ มองคนเมาหลับด้วยสายตาอ่อนอกอ่อนใจปนเอ็นดู เล่นไม่ระวังตัวขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นหล่อนไม่รอดแน่นอน แต่เผอิญว่าเป็นเขาและเขาไม่ได้คิดจะหลอกหล่อนมาทำอะไรแต่แรก ถึงแม้ว่าตอนอยู่อเมริกาเขาจะมีข่าวคราวเรื่องมีแฟนเป็นว่าเล่น แต่ก็ไม่เคยคบซ้อนหรือทำเจ้าชู้ใส่ใคร เวลาคบกับใครก็จริงใจกับคนคนนั้นคนเดียว แต่สุดท้ายความรักของเขาก็ไม่เคยยืนยาว จนมีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนที่อเมริกาพูดกับเขาว่า

‘ท่าทางสาวที่นี่จะไม่ใช่เนื้อคู่ของนาย’

เขาไม่เคยเชื่อเรื่องนั้น จนกระทั่งกับแฟนคนสุดท้ายที่ดูจะไปได้สวยและคบหากันนานสุดสองปี แต่ในที่สุดก็ไปกันไม่รอด จนเขากลับมาเมืองไทยและปฏิญาณว่าจะทำงาน ไม่อยากคิดเรื่องความรักอีกในเร็วๆ นี้ ชีวิตของเขาจึงได้ห่างหายจากการมีคนรักไป แต่ก็มีแม่นี่ละที่พยายามสรรหาลูกสาวคนนั้น หลานสาวคนนี้ให้อยู่เสมอเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังไม่มีใครที่เขารู้สึกถูกใจถูกจริตด้วยสักคนเดียว

จนกระทั่งมาเจอหล่อนที่เขารู้สึกถูกใจและถูกชะตา แต่หล่อนเล่นไม่ระวังตัวเลยแบบนี้ มันเหมือนเป็นการทดสอบจิตใต้สำนึกของความดีและความเลวในตัวเขาจริงๆ

อติรุจได้แต่ถอนหายใจ มองชุดเดรสที่เปียกตั้งแต่ช่วงต้นขาลงไปแล้วก็คิดว่าควรทำอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นว่าเป็นเบอร์ของลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันและเป็นกรรมการผู้จัดการของโรงแรม รวมทั้งเป็นลูกชายของเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ จึงรับสายนั้น

“ว่าไงอาร์ท”

“สาวคนนั้นเป็นไงบ้างวะรุจ”

“พนักงานบอกละสิ” เขาถามกลับอย่างเดาได้ “หลับสนิทเลย สงสัยต้องค้างคืนที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

“งั้นก็เตรียมรับมือพรุ่งนี้ดีๆ เลย รับรองนายมีเรื่องปวดหัวแน่”

“ทำไม”

“จำคุณนายสาวิตรี คนที่พวกเราเจอที่งานเลี้ยงของคุณรุ่งฤดีที่โรงแรมเมื่อสองอาทิตย์ก่อนได้ไหม คนที่พูดมาก ช่างจิกช่างกัด แล้วก็ขี้นินทาจนขึ้นชื่อน่ะ”

“จำได้ ทำไมเหรอ”

“ก็ตอนที่นายกำลังพาผู้หญิงคนนั้นกลับเข้ามาในโรงแรมน่ะ ยายคุณนายนั่นเห็นเข้าพอดี แล้วดูเหมือนจะเอาโทรศัพท์มือถือมาแอบถ่ายไว้ด้วย แต่ฉันติดดูแลแขกพิเศษอยู่ก็เลยไม่แน่ใจว่าใช่อย่างที่เห็นหรือเปล่า พอรับรองแขกเรียบร้อย ฉันเลยไปที่ห้องวงจรปิดเพื่อตรวจดู แล้วก็เห็นว่าแอบถ่ายรูปนายไปไว้จริงๆ เลยมาบอก เพราะมั่นใจเลยว่ายายคุณนายนั่นทำนายปวดหัวได้แน่”

“อะไรมันจะซวยขนาดนี้” อติรุจพึมพำพลางถอนหายใจ “ยังไงก็ขอบใจที่เตือนนะ”

“ไม่เป็นไร มีอะไรให้ช่วยก็บอก”

“พอดีเลย เดี๋ยวสักสิบห้านาที นายส่งพนักงานให้มาเอาเสื้อไปซักอบรีดให้หน่อย แต่ขอคนที่ไม่พูดมาก ไม่สอดรู้สอดเห็น และไว้ใจได้นะ ฉันไม่อยากให้ผู้หญิงเขาเสียหาย”

“โอเค เดี๋ยวจัดให้ อีกสิบห้านาทีจะให้ขึ้นไป”

“ขอบใจมาก”

อติรุจบอกแล้วคุยต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป หลังจากวางสายเรียบร้อยเขาก็ถอดเสื้อของตัวเองออกทั้งเสื้อสูทและเสื้อเชิ้ตตัวใน จากนั้นก็จัดการถอดชุดเดรสของหล่อนออก โดยพยายามใช้ผ้าห่มปิดบังร่างกายหล่อนไว้ให้พ้นจากสายตาของเขา

พอชุดเดรสเปียกน้ำถูกถอดออก เขาก็เอาเสื้อเชิ้ตของตัวเองให้หล่อนสวมและติดกระดุมให้เรียบร้อยก่อนจะห่มผ้าให้อย่างดี หลังจากนั้นไม่นานนักก็มีพนักงานมากดกริ่งหน้าห้อง เขาจึงเอาชุดเดรสของหล่อนใส่ถุงซิปที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าและเอาไปส่งให้พนักงานที่รูดซิปปิดปากดีมาก แม้แต่คำพูดสักคำก็ไม่ได้ยินออกจากปาก เจ้าตัวเพียงพยักหน้ารับทุกคำสั่งจากเขาก่อนจะเดินจากไป

อติรุจปิดประตูล็อกห้องเรียบร้อยแล้วกลับเข้าไปดูรติยาที่นอนอยู่บนเตียง เขาจัดผ้าห่มให้อีกนิดแล้วเอากระเป๋าถือของหล่อนไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นจึงออกไปนอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแทน แล้วก็เริ่มคิดเรื่องที่จะต้องรับมือคุณนายสาวิตรีคนนั้น รวมทั้งคาดเดาความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นด้วยว่าคนอย่างคุณนายสาวิตรีซึ่งมีนิสัยอย่างนั้นจะนำพาความปวดหัวรูปแบบใดมาให้เขา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น