6

ดวงชงหรือเนื้อคู่

บทที่ ๖ 

ดวงชงหรือเนื้อคู่

 

การพบกันระหว่างอติรุจกับรติยา รวมทั้งท่าทีของพี่ชายที่สนใจสาวคนนั้น ธนาดลรายงานให้แม่รู้ในวันต่อมาหลังจากที่อติรุจออกไปทำงานแล้วและธนาดลยังไม่ได้ไปบริษัท ไม่ใช่ว่าอยากแกล้งพี่ชายแต่อย่างใด แค่อยากช่วยแม่พิจารณาว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยอีกแรง ซึ่งคนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าหล่อนดูเหมือนธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดาอยู่เหมือนกัน แล้วหล่อนก็ดูไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด ทั้งที่ได้ยินอยู่ว่าเขาบอกว่าพี่ชายเป็นหุ้นส่วนของโรงแรมห้าดาว เขาไม่ได้บอกแม่เรื่องที่หล่อนนามสกุลเดียวกับคุณมาลินีซึ่งแม่อยากให้ไปรู้จักด้วย เพราะกลัวจะกลายเป็นการหาความซวยไปให้พี่ชาย 

แต่เพราะสิ่งที่ธนาดลเล่า ทำให้แม่ของเขาคิดว่ารติยาในตอนนี้น่าจะเป็นแค่นักดนตรีรับจ้างงานทั่วไปธรรมดาๆ จึงออกอาการไม่ปลื้ม แต่ถึงจะไม่ปลื้มก็ไม่ได้จิกกัดหรือพูดจาร้ายๆ ใส่ มีเพียงสีหน้าเท่านั้นที่แสดงออกว่าไม่ชอบจนธนาดลต้องช่วยพูดให้คะแนนรติยาบ้าง

“เธออาจจะมีดีก็ได้นะครับแม่”

“ก็หวังว่าจะมีดีแล้วกัน แม่ไม่อยากให้พี่ชายของเราเสียใจ ถึงได้เลือกเฟ้นหาคนดีๆ ให้ คนที่จะเชิดหน้าชูตาหน้าที่การงาน ไม่ใช่ดึงกันลง อย่าลืมนะว่าเป็นผู้บริหารระดับนี้แล้ว สมองและความสามารถแม้จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่หน้าตาและบุคลิกภาพ พื้นฐานครอบครัวก็สำคัญด้วยเช่นกัน แม่น่ะไม่ได้มองคนที่ทรัพย์สินเงินทองหรอกนะดล แต่ถ้าแตกต่างกันมากเกินไป ต่อให้รักกันแค่ไหนก็อยู่กันไม่ยืด”

“แม่อย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ”

ธนาดลพยายามช่วยพูด นงนภาจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องมาถามลูกชายคนเล็กแทน เพราะธนาดลก็เป็นอีกคนที่หล่อนเป็นห่วง แต่น้อยกว่า เพราะอายุเพิ่งจะสามสิบ ยังมีเวลาอีกเยอะที่จะหาแฟน 

“แล้วดลล่ะลูก มีผู้หญิงที่ถูกใจบ้างหรือยัง”

ธนาดลถึงกับชะงัก รู้สึกว่าไม่ควรหาเหาใส่หัวพูดเรื่องพี่ชายเลยจริงๆ เพราะเหมือนเขาจะโดนหางเลขไปด้วยอีกคน แบบนี้รีบเลี่ยงดีกว่าเพื่อความปลอดภัยในสวัสดิภาพความโสด!

“ยังไม่เจอคนที่ถูกใจครับแม่”

“แม่หาให้ไหม”

“โอ๊ะ ไม่เป็นไรครับแม่ เดี๋ยวแม่จะวุ่นวายเปล่าๆ เอาเรื่องพี่รุจคนเดียวก่อนดีกว่าครับ”

ธนาดลว่าแล้วก็เนียนขอตัวไปทำงาน ปล่อยให้แม่คิดต่อไปว่าควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรต่อไป แต่เขาหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะเขาก็เอนเอียงมาทางรติยามากกว่าลูกสาวของคุณนายสมร เพราะหล่อนมีอัธยาศัยใจคอดี และอยู่ด้วยไม่ชวนอึดอัดเหมือนลูกสาวของคุณนายสมร

 

ฝ่ายคนที่ไม่รู้ว่าตกเป็นหัวข้อสนทนาของแม่ลูกบ้านรัตนธนการก็ยังคงต้องทำงานพิเศษต่อไปเพื่อหาเงินมาทยอยชดใช้ค่าเสียหายจากการเอารถไปจิ้มท้ายรถของอติรุจ ระหว่างรอบริษัทที่สมัครงานไว้เรียกสัมภาษณ์ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังเงียบสนิทยิ่งกว่าป่าช้าเสียอีก

รติยาจึงมารับงานพิเศษช่วงบ่ายวันนี้ด้วยการมาช่วยงานที่กองถ่ายละครตามคำชวนของจารวีหรือพี่ตุ๊กซึ่งอยู่ข้างบ้านและทำงานเป็นผู้ช่วยในกองถ่าย เนื่องจากเห็นหล่อนว่างและต้องการหาลำไพ่พิเศษ แล้วก็เห็นว่าที่ให้มาทำเป็นงานง่ายๆ หลักๆ คือทำตามที่จารวีบอก คอยช่วยและถือร่มบังแดดให้นักแสดง 

วันนี้กองถ่ายมาถ่ายทำกันที่โรงเรียนเปรมธิมาซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดกลางระบบสองภาษา เปิดสอนตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษา โรงเรียนแห่งนี้มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง พื้นสนามเด็กเล่นสำหรับเด็กเล็กปูด้วยพื้นยางกันกระแทกสีสันสดใสชวนให้วิ่งเล่นอย่างมาก ส่วนของเล่นในสนามเด็กเล่นสำหรับเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยก็มีสีสันสดใสน่าเล่นไม่แพ้กัน มีครูคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ส่วนเด็กๆ ก็มีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริงกันดี ทำให้หล่อนนึกอยากย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจริงๆ

“ถ้าตอนเด็กๆ รุ้งได้เรียนโรงเรียนแบบนี้ จะมาเรียนทุกวันไม่โยเยเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าโรงเรียนอนุบาลของรุ้งไม่ดีนะคะ แต่ไม่มีของเล่นเยอะน่าเล่นขนาดนี้”

รติยาบอกขณะนั่งพักหลังจากเตรียมกองเรียบร้อยและรอให้นักแสดงหลักมาถึง นักแสดงที่จะเข้าฉากในวันนี้เป็นนางเอกกับนางร้าย นางร้ายชื่อนิ้งมาแต่งหน้าทำผมรอเรียบร้อยแล้ว และดูเรียบร้อย คุยเก่ง นิสัยดี ไม่ถือตัว ไม่เย่อหยิ่ง ผิดกับบทบาทที่ได้รับอย่างยิ่ง ส่วนคนที่ยังมาไม่ถึงเสียทีคือนางเอกของเรื่องชื่อเมเม่ ซึ่งคนในกองถ่ายแอบซุบซิบนินทาให้หล่อนฟังว่า ‘เป็นนางเอกเรื่องเยอะมาก’ แล้วนิสัยก็ต่างจากในจอหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ในโทรทัศน์นี่แอ๊บล้วนๆ 

“รุ้งก็แต่งงานมีลูกสิ แล้วส่งมาเรียนที่นี่เลย”

“โธ่ พี่ตุ๊ก แค่แฟนรุ้งยังหาไม่ได้เลยค่ะ” หล่อนตอบขำๆ 

“งั้นต้องรีบหาแล้วรู้ไหม สมัยนี้ชักช้าไม่ได้นะ ผู้ชายงานดีเหลือน้อยแล้ว ถ้าหลงมาสักคนนี่ต้องรีบคว้าเลย ว่าแต่รุ้งก็อายุตั้งยี่สิบสี่แล้ว ไม่มีใครมาแจกขนมจีบบ้างเหรอ หรือพวกสเปกโดนใจใช่เลยอะไรแบบนั้น”

สเปกโดนใจเหรอ...หล่อนนึกตาม แล้วแวบหนึ่งใบหน้าของอติรุจก็ลอยเข้ามาในความคิด

‘ไม่ ไม่ใช่ ถึงเขาจะตรงสเปก แต่เขาคงไม่มาสนใจฉันง่ายๆ หรอก’

รติยาคิดแล้วสะบัดหน้าแรงๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป แต่จารวีกลับเดาท่าทีของหล่อนออกว่าต้องนึกถึงใครอยู่แน่ๆ จึงได้ทีรีบแหย่

“ฮั่นแน่ ท่าทางแบบนี้แสดงว่ามีหนุ่มในสเปกแล้ว”

“ไม่ใช่นะพี่ตุ๊ก เปล่าเสียหน่อย”

“เอาเถอะ รุ้งมีพี่ก็ดีใจด้วย หรือถ้ายังไม่มีก็รีบมีนะ ผู้หญิงเราถ้าแต่งงานช้าไปจะมีลูกยาก เดี๋ยวลูกไม่สมบูรณ์อีกอะไรอีก แล้วถ้าอนาคตอยากเอาลูกมาเรียนที่นี่ พี่บอกเลยเงินต้องหนา ได้ข่าวว่าค่าเทอมอนุบาลโปรแกรมสองภาษาของที่นี่หกหมื่นกว่าเชียวนะ”

“โอ้โห! ค่าเทอมอนุบาลสมัยนี้ทำไมแพงจังเลยคะ”

รติยาร้อง ทำตาโต แต่เพราะหล่อนร้องนั่นละ ทีมงานในกองถ่ายถึงกับหันมามองด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จนหล่อนต้องก้มศีรษะและบอกขอโทษก่อนจะหันมาพูดกับจารวีต่อ

“โอ๊ย งั้นรุ้งไม่มีลูกดีกว่า” 

จารวีหัวเราะ แล้วถือโอกาสทั้งบ่นทั้งสอนไปในตัว เพราะตัวเองเคยผ่านการมีครอบครัวแล้ว แต่หย่าร้างกันไปเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน สามีจึงไปมีภรรยาใหม่ แต่ต่างคนต่างยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่

“รุ้งรู้ไหมว่าบางคนคิดตื้นๆ เกินไป คิดว่าเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมันจะไปใช้จ่ายเท่าไหร่เชียว บางคนขยันผลิตลูก บอกว่าโตขึ้นจะได้ช่วยกันทำมาหากิน แต่ลืมนึกไปว่าก่อนเด็กจะโตพอช่วยพ่อแม่ได้ มันไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย”

“แต่คนที่มีลูกเก่งนี่เขาก็ทำลูกเก่งจริงๆ นะคะ”

“พูดแล้วพี่จะเล่าอะไรให้ฟัง” จารวีทำท่าซุบซิบและเบาเสียงลง “เมื่อเกือบสิบปีก่อน พี่มีเพื่อนคนหนึ่ง ช่างฝันตั้งแต่สมัยเรียน เอกมโน โทจินตนาการ ชีบอกว่าเรียนจบแล้วจะแต่งงานกับแฟนที่คบกันเลย แล้วก็จะมีลูกกันเพื่อจะได้สร้างครอบครัวแสนสุข ทั้งที่บ้านยังอาศัยพ่อแม่อยู่ รถก็ไม่มีขับไปส่งลูก เงินเดือนสองคนรวมกันยังไม่เกินหมื่นห้าเลย”

“เงินเดือนแค่นั้น แล้วมีลูกอีกมันจะไหวเหรอคะ”

รติยาฟังแล้วหวั่นใจแทน เพราะค่าครองชีพปัจจุบันไม่ใช่ถูกๆ ถึงจะบอกว่านับถอยหลังไปช่วงปีที่จารวีเล่าและเทียบกับอายุของจารวีตอนนี้แล้ว เป็นยุคที่ข้าวของเริ่มแพงตามที่พ่อแม่ของหล่อนเคยเล่าให้ฟัง แต่ลำพังเงินเดือนที่จารวีเล่ามาก็ไม่น่าจะรอดอยู่ดี

“ก็ไม่ไหวน่ะสิ” จารวีเฉลยก่อนจะทำหน้าละเหี่ยใจ “สุดท้ายหย่ากับสามี กลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เพราะวาดฝันสวยหรู ลืมมองความเป็นจริง ชีวิตน่ะมันไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ยากถ้ามีการวางแผนชีวิตที่ดี มีลูกตอนที่พร้อมแล้ว ชีวิตครอบครัวก็จะมีความสุข”

“จริงค่ะ มีตอนไม่พร้อม ลูกก็จะไม่มีความสุขไปด้วย”

หญิงสาวเห็นด้วย ได้แต่หันไปมองเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่นฝั่งตรงข้ามกับที่กองถ่ายปักหลักอยู่ ตอนนั้นเองรถเบนซ์สปอร์ตสีขาวก็แล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงเรียนซึ่งมองเห็นได้จากตรงนี้ ถัดมาอึดใจใหญ่ผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้าวลงมาจากรถ

เจ้าหล่อนหุ่นเพรียวลม สะโอดสะองราวกับนางแบบ ผมปล่อยยาวสลวยและสวมแว่นดำ หล่อนมองไปรอบๆ อย่างไม่ค่อยชอบใจนัก พอดีกับที่จารวีเปรยขึ้น

“นั่น ยายเมเม่ นางเอกของเรามาแล้ว เตรียมเจอฤทธิ์เดชแม่ได้เลย”

รติยามองนางเอกสาวที่เดินนวยนาดลงมา โดยมีผู้หญิงอีกคนคอยดูแลพัดวีให้ แล้วก็คิดว่าสงสัยจะเยอะใช่เล่นจริงๆ แต่อย่างว่า ดาราเวลาอยู่ในจอกับนอกจอ บางคนก็นิสัยต่างกันลิบลับอย่างที่ชอบลงในข่าวบันเทิงตามเว็บ

หญิงสาวคิดแล้วก็ได้แต่ยักไหล่ก่อนจะลุกตามจารวีไป หล่อนได้เข้าใจการทำงานของกองถ่ายจริงจังก็วันนี้ แม้ว่าทีมงานกองถ่ายจะเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว เซตแสงไฟ เซตฉากแล้ว แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวนักแสดงนั่นละว่าจะทำให้งานแต่ละวันราบรื่นและจบเร็วหรือไม่ ซึ่งดูจากท่าทีและความเยอะของนักแสดงที่เข้าฉากในวันนี้แล้ว หล่อนคิดได้อย่างเดียวว่าไม่จบง่ายๆ แน่

“โอ๊ย ร้อนชะมัด อะไรจะร้อนแบบนี้ก็ไม่รู้ แถมมีแต่เด็กเต็มไปหมด โอ๊ย ฉันไม่ชอบเด็กเลย” 

เมษาหรือเมเม่ นางเอกสาวดาวรุ่งก้าวฉับๆ ตรงมาพร้อมส่งเสียงบ่นทันทีเมื่อมาถึงเต็นท์แต่งหน้า แต่ยังดีที่มีมารยาทยกมือไหว้ผู้กำกับกับผู้จัดละคร หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องรอให้เจ้าหล่อนแต่งหน้าทำผมเสร็จเสียก่อน ทั้งที่เจ้าหล่อนมาสายไปตั้งสามสิบนาทีแล้วแท้ๆ 

‘เอาเลยค่ะ เอาที่คุณนางเอกสบายใจเลยค่า’

รติยาคิดแล้วก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่าเพื่อหนี้ตัวแดงๆ อดทนได้ก็อดทนไป หล่อนจึงได้แต่นั่งรอ ขณะเดียวกันทีมงานคนอื่นในกองถ่ายก็เริ่มตรวจความพร้อมอีกรอบ ผู้กำกับบรีฟงานและฉากที่ต้องถ่ายทำกับนักแสดง โดยมีผู้จัดละครยืนดูแลและพูดคุยกับนักแสดงอยู่ใกล้ๆ กัน จนกระทั่งหลายนาทีผ่านไป ช่างแต่งหน้าก็แต่งหน้าทำผมให้นางเอกสาวเสร็จ 

เจ้าหล่อนสวยพริ้งพร้อมจะถ่ายละครในวันนี้ ซึ่งเป็นฉากปะทะคารมและมีฉากลงไม้ลงมือด้วย รติยาจึงได้เห็นการซ้อมบทซ้อมคิว ก่อนจะลงความเห็นว่านักแสดงมืออาชีพนี่ก็มืออาชีพจริงๆ ยายนางเอกจากที่ร้ายนอกจอก็ทำตัวแอ๊บใสได้ทันทีที่ซ้อมเข้าฉาก

‘ถ้าเป็นฉัน มีหวังลืมบทในสองวินาที ชัวร์!’

รติยาคิดขำๆ ตอนนั้นเองหางตาของหล่อนก็เห็นใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในเต็นท์ของทีมงาน หล่อนได้ยินผู้จัดละครซึ่งอยู่ข้างๆ ผู้กำกับส่งเสียงทักทายไปว่า

“สวัสดีค่ะรอง ผอ.”

หญิงสาวหันมอง เห็นผู้ชายคนหนึ่งสวมสูทผูกไท ท่าทางดูโอ้อวดและวางตัวเย่อหยิ่งอย่างน่าหมั่นไส้ ฝ่ายผู้จัดละครพอร้องทักไปแล้วก็เรียกนางเอกสาวมาทำความรู้จักกับรองผู้อำนวยการ 

“เมเม่ มาสวัสดีรอง ผอ. ปฏิพัทธ์ก่อน”

นางเอกสาวปรี่มาหาทันทีพร้อมรอยยิ้มหวานหยดย้อย สมกับเป็นดาราที่คุ้นชินกับการเป็นบุคคลสาธารณะจริงๆ ทำเอาหล่อนถึงกับนึกถึงคำซุบซิบนินทาก่อนหน้านี้ที่คนในกองบอกว่า เมษาเป็นนางเอกสายแอ๊บ แล้วท่าทางจะแอ๊บจริงๆ แอ๊บได้เนียนเสียด้วย

“สวัสดีค่ะรอง ผอ.”

“สวัสดีครับ เป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้เจอคุณเมษา”

“เรียกเมเม่ก็ได้ค่ะ” เจ้าหล่อนบอก ส่งยิ้มหวานปานนางฟ้าให้ “เป็นเกียรติของเมเม่ด้วยเช่นกันค่ะ โรงเรียนบรรยากาศดี น่าเรียนมากๆ เด็กๆ ก็น่ารักมากเลยค่ะรอง ผอ.”

สิ้นเสียงเปรยของนางเอกสาว รติยาก็แทบอยากเบะปากมองบนเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ไหนใครบ่นก่อนหน้านี้ยะว่าร้อน แถมยังบ่นว่าไม่ชอบเด็กอีก!

“โรงเรียนเปรมธิมายินดีต้อนรับคุณเมเม่และทีมงานกองถ่ายทุกคนครับ”

“ขอบคุณค่ะรอง ผอ.” เมษากล่าวแล้วก็จีบปากจีบคอ หยอดต่อตามนิสัยเจ้าตัว “แต่ได้เจอรอง ผอ. แบบนี้ ทำให้เมเม่ต้องเปลี่ยนความคิดแล้วสิคะ”

“ทำไมหรือครับ”

ปฏิพัทธ์ถาม ส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ให้ นางเอกสาวจึงได้ทีฉอเลาะและหยอดใส่เขาทันที

“ก็เมเม่คิดเสมอว่าคนเป็นผู้บริหารจะต้องดูภูมิฐานมาก แล้วก็ทำตัวเหมือนครูฝ่ายปกครอง แต่รอง ผอ. เนี่ยไม่เหมือนอย่างที่เมเม่คิดเลยค่ะ ยังหนุ่มมากแล้วก็หล่อมากด้วยค่ะ”

“ขอบคุณครับ คุณเมเม่ก็สวยมากเช่นกัน”

ปฏิพัทธ์กล่าวชมกลับ ทำเอารติยาถึงกับกลั้นขำแทบแย่ เพราะรู้ว่าเป็นการชมกันตามมารยาท แต่นางเอกสาวกลับทำตัวลอยราวกับหลงในคำชมนั้นจริงๆ เมษาเหลือบมาเห็นรติยาทำหน้ายิ้มๆ ก็ค้อนใส่อย่างไม่พอใจ แต่ไม่พูดอะไร และพูดคุยกับรองผู้อำนวยการของโรงเรียนอยู่พักใหญ่ก่อนที่รองผู้อำนวยการจะขอตัวจากไป

“โอเค เมเม่ นิ้ง เตรียมตัวเข้าฉากได้” 

ผู้กำกับกล่าวแล้วเริ่มถ่ายทำ เป็นฉากปะทะคารมระหว่างนางเอกกับนางร้ายที่ค่อนข้างต้องทำอารมณ์และยาวพอสมควร โดยแบ่งออกเป็นสามฉากต่อเนื่องกัน ท่ามกลางแดดร้อนจัดและทุกคนต้องเอาใจนางเอก แต่เพราะรติยายังไม่คุ้นเคยกับการถือร่มกันแดดให้นักแสดงเรื่องมากอย่างเมษา ทำให้มีจังหวะหนึ่งผมของนางเอกสาวมาเกี่ยวกับปลายร่มที่หล่อนถืออยู่

“โอ๊ย ถือร่มประสาอะไรเนี่ย ถือให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม ถ้าโดนหน้าฉันขึ้นมาจะทำยังไง หน้าฉันต้องใช้ทำมาหากินนะยะ ไม่เหมือนหน้าเธอ!”

เมษาใส่เป็นชุด ทำเอารติยาที่กำลังจะเอ่ยปากขอโทษถึงกับอึ้งไปอึดใจใหญ่ 

‘โอ้โห แม่คุณ! ทำตัวเรื่องเยอะแล้วยังนิสัยแย่อีกเหรอ ทำผมตัวเองเกี่ยวร่มเองแต่โทษคนอื่นเฉยเลย มันน่าให้ปลายร่มเกี่ยวให้หัวฟูไปเลยจริงๆ ยายคนนี้’

ทว่าการที่หล่อนยืนอึ้งไปทำให้เมษาคิดว่าหล่อนไม่พอใจและต่อต้านการเอาแต่ใจของนางเอกสาว อีกทั้งไม่คุ้นหน้าทีมงานกองถ่ายคนนี้มาก่อน และทีมงานทุกคนไม่เคยมีใครที่โดนหล่อนวีนใส่แล้วจะไม่รีบขอโทษเหมือนทีมงานคนนี้ เมษาจึงปรี๊ดทันที

“กล้ามากนะที่ไม่ขอโทษฉัน! คิดว่าตัวเองเป็นใคร หา!”

เมษาถามอย่างเกรี้ยวกราด สีหน้าตอนนี้เข้ากับคำว่านางมารร้ายมากกว่านางเอก ทุกคนในกองถ่ายและทีมงานเห็นอย่างนั้นก็เริ่มเลิ่กลั่ก เพราะรู้กิตติศัพท์นางเอกสาวดีว่า แม่คุณวีนเมื่อไร ไม่พอใจมีกลับบ้านหน้าตาเฉยทั้งที่ยังถ่ายไม่เสร็จแน่ ผู้จัดละครเห็นท่าไม่ดีจึงรีบบอกให้รติยาขอโทษ

“ขอโทษคุณเมเม่สิน้อง จะได้ทำงานต่อ”

รติยาทำหน้าเหลอ แต่ก็จำใจขอโทษอีกฝ่ายเพื่อให้งานดำเนินต่อ และไม่ทำให้จารวีต้องมีปัญหาไปด้วย 

“ขอโทษค่ะคุณเมเม่ ทีหลังจะระวังให้มากกว่านี้ค่ะ”

“มารยาทแย่!” นางเอกสาวบริภาษใส่ก่อนจะจิกกัดแบบไม่ไว้หน้า “นี่เธอจบโรงเรียนไหนมา หรือว่าเรียนไม่จบ ครูไม่ได้สอนหรือว่าเวลาขอโทษต้องยกมือไหว้ด้วย”

“เมเม่!” ผู้จัดละครอุทาน ไม่ได้แปลกใจในพฤติกรรมของนางเอกสาว แต่ไม่คิดว่าแค่เรื่องเล็กน้อยแบบนี้เจ้าหล่อนจะโวยวายให้ได้สาระอะไรขึ้นมา 

รติยาพยายามสูดหายใจลึกๆ และทำท่าจะเดินเลี่ยงออกไปห่างๆ นางเอกสาว แต่อีกฝ่ายไม่ยอม เพราะปกติแล้วไม่มีทีมงานคนไหนกล้าเดินหนีเวลาเจ้าหล่อนอาละวาด ทุกคนจะต้องรีบกล่าวคำขอโทษและยอมให้หล่อนเสมอ มีทีมงานใหม่คนนี้นี่ละที่กล้าเมินหล่อน แบบนี้ยอมได้ที่ไหนกัน!

“นี่ อย่ามาเดินหนีฉันนะ!”

เมษาว่าแล้วตรงเข้ามากระชากแขนรติยา แต่รติยาซึ่งระวังตัวอยู่แล้วสะบัดแขนหลุดและถอยห่างออกมาอีกนิด แต่แรงสะบัดของหล่อนกลับทำให้เมษาผงะหงายไปชนผู้กำกับที่จะเข้ามาห้าม แล้วนิ้วเรียวยาวของเจ้าหล่อนที่ไว้เล็บสวยๆ ก็ปัดโดนหน้าผู้กำกับพอดี

“โอ๊ย!” ผู้กำกับร้องออกมาโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับเมษาที่ตกใจและขอโทษทันที

“อุ๊ย! พี่แจ๊ค เมเม่ขอโทษค่ะ” เจ้าหล่อนตกใจรีบหันไปขอโทษ แต่ก็ยังไม่วายหันมาหาเรื่องรติยาอีก “เพราะแกทีเดียว ทำพี่แจ็คเจ็บตัวเลย ขอโทษพี่แจ็คเดี๋ยวนี้นะ!”

“หนูขอโทษค่ะผู้กำกับ”

รติยาหันไปขอโทษผู้กำกับ แต่เมษากลับปราดเข้ามาหาหล่อนอีกและจงใจผลักหล่อนให้ล้มหงายไปด้านหลังที่มีเสาไฟจัดฉากตั้งอยู่ แต่หล่อนขืนตัวไว้เต็มแรงจนกลายเป็นการยื้อยุดกันไปมา แล้วก็มีจังหวะหนึ่งที่ปลายเล็บยาวๆ ของนางเอกสาวปัดมาโดนใบหน้าจนเป็นรอยแดงให้ได้แสบไปด้วย

‘อูย ยายนางเอกตัวร้าย เธอน่าจะเป็นนางร้ายมากกว่านะเนี่ย เจ็บเป็นบ้า’

หญิงสาวครางในใจและพยายามปัดป้องการเข้ามาทำร้ายของเมษา ส่วนทีมงานผู้ชายกับผู้ช่วยผู้กำกับเข้ามาช่วยแยกทั้งสองคนออกอย่างทุลักทุเล เพราะเมษาไม่ยอมง่ายๆ แถมยังหันไปแว้ดใส่ทีมงานผู้ชายคนนั้นด้วย

“อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ” นางเอกสาวว่า แล้วเปลี่ยนท่าทีจากจะเข้ามาทำร้ายรติยาเป็นยื่นคำขาดอย่างเอาแต่ใจแทน “เมเม่จะไม่ถ่ายต่อแล้วถ้ายายนี่ยังอยู่ในกอง เอามันออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”

รติยาถึงกับกลอกตามองบนใส่และคิดว่าเมษาจะเลิกเข้ามาทำร้ายแล้ว แต่จังหวะที่หล่อนไม่ทันระวังตัวนั้นเอง เมษาก็กระโจนเข้ามาผลักหล่อนอีกครั้ง รติยารู้ว่าข้างหลังเป็นไฟกองถ่าย หล่อนไม่อยากสร้างหนี้ให้ตัวเองอีก จึงปัดป้องเมษาจนเสียหลักล้มลงไปด้านข้างแทน

ร่างของหล่อนเซถลาและคิดได้อย่างเดียวว่า เดี๋ยวเถอะ ข้อศอกหล่อนคงได้กระแทกพื้น แล้วแขนข้างนั้นก็จะต้องเจ็บไปอีกหลายวันแน่ๆ รู้ได้จากประสบการณ์การซุ่มซ่ามบ่อยๆ

ทว่าสิ่งที่คิดกลับไม่เกิดขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งรับตัวหล่อนไว้ได้ทัน หล่อนรับรู้ได้ถึงวงแขนแข็งแรงที่ประคองกั้นหล่อนไว้ พร้อมกับที่เขาเกร็งแขนต้านแรงโน้มถ่วงพยุงหล่อนไว้ไม่ให้ล้มลงไปด้วยกัน แถมยังรับน้ำหนักหล่อนไว้เต็มๆ ด้วย

“เราจะเจอกันแบบดีๆ บ้างได้ไหม”

เสียงถามกลั้วหัวเราะทุ้มนุ่มหูดังอยู่เหนือศีรษะ ท่อนแขนแข็งแรงของเจ้าของเสียงยังคงประคองหล่อนไว้ กลิ่นหอมของน้ำหอมผู้ชายที่หล่อนเคยได้กลิ่นมาแล้วครั้งหนึ่งลอยมาเตะจมูก พร้อมกับความรู้สึกคุ้นเคยที่ทำให้หล่อนหันมองคนที่โอบเอวหล่อนไว้

“คุณอติรุจ!”

รติยาคราง ทั้งแปลกใจและตกใจที่มาเจอเขาที่นี่ แถมยังเป็นในสถานการณ์ที่เขาช่วยหล่อนไว้อีกแล้ว ชีวิตของหล่อนอะไรจะดวงสมพงศ์กับเขาขนาดนี้ แถมแต่ละครั้งที่เจอก็มีแต่เรื่องชวนเจ็บตัวทั้งนั้น 

ฝ่ายอติรุจนั้นความจริงเขากำลังจะเดินผ่านกองถ่ายละครไปยังอาคารที่อยู่ใกล้ๆ แต่ได้ยินเสียงทะเลาะกันและเสียงห้ามปราม เขาจึงหยุดมอง เห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่น่าจะเป็นนักแสดงผลักผู้หญิงอีกคนที่เขามองไกลๆ แล้วเห็นว่าหล่อนเหมือนรติยา จึงเดินเข้ามาดู แล้วก็โชคดีที่เขาเข้ามาทันรับหล่อนไว้ ไม่อย่างนั้นหล่อนคงเจ็บกว่านี้แน่ๆ

อติรุจพยุงให้หล่อนยืนดีๆ แล้วจึงมองกราดไปยังกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะสาวสวยที่เป็นมือผลักรติยา เขาไม่ได้โกรธแค้นแทนหล่อน เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่เขาไม่ชอบการใช้ความรุนแรงและเกิดขึ้นภายในโรงเรียน ซึ่งเด็กนักเรียนจะเห็นทั้งภาพและกิริยามารยาทที่ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง

ทุกคนงุนงงว่าผู้ชายที่เข้ามาถึงเต็นท์ทีมงานนี้เป็นใคร แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยปาก ครูผู้หญิงที่ดูค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในเต็นท์พร้อมกับร้องถาม

“เกิดอะไรขึ้นคะ!”

น้ำเสียงถามติดจะเข้มงวดทำให้คิดว่าเป็นครูผู้ใหญ่หรือไม่ก็ฝ่ายปกครองที่ดูแลความเรียบร้อย แต่ท่าทางเกรงใจและให้เกียรติผู้ชายที่ช่วยรติยาไว้ยิ่งทำให้ทุกคนงุนงงและอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร จนครูผู้หญิงที่เพิ่งก้าวเข้ามาถึงต้องเฉลย 

“นี่คุณอติรุจ รัตนธนการ เจ้าของโรงเรียนเปรมธิมาค่ะ”

ทุกคนถึงบางอ้อทันที เมษาที่เตรียมจะอาละวาดต่อเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ บวกกับความหล่อของอติรุจที่ทำให้เจ้าตัวถึงกับลืมไปเลยว่าเมื่อครู่นี้ยังโปรยเสน่ห์ใส่รองผู้อำนวยการอยู่หยกๆ

“สวัสดีค่ะคุณอติรุจ เมเม่ เมษานะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

“ครับ” 

หนุ่มหล่อที่มีดีกรีเป็นถึงเจ้าของโรงเรียนตอบสั้นๆ แต่ท่าทีแสดงชัดว่าไม่ยินดียินร้ายใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าจะได้เจอนางเอกสาวแสนสวยตัวจริง เขาก็ยังไม่สนใจเลยสักนิดเดียว พร้อมกันนั้นเขาก็ถามกลับมา

“เมื่อกี้มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

อติรุจเปรยถาม แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่ก็บอกให้รู้ได้ว่าเขาไม่พอใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจำเป็นต้องได้คำตอบที่ดีด้วย

“เปล่าค่ะ ก็...แค่ซ้อมบทกันเฉยๆ”

เมษาตอบอย่างไม่ยี่หระ อยากเอาชนะรติยาที่หล่อนมองว่าก็แค่คนในกองถ่าย ต่ำต้อยและเป็นที่รองมือรองเท้าของหล่อน แต่อติรุจไม่เชื่อ เพราะเขาเห็นอยู่แล้วว่านางเอกสาวคนนี้หาเรื่องลูกหนี้ตัวแดงของเขา

“ซ้อมบทงั้นเหรอครับ” เขาทวน ส่งยิ้มเย็นที่ชวนหนาวๆ ร้อนๆ ให้ทุกคนในกองถ่าย ก่อนจะหันไปบอกครูผู้หญิงที่อายุมากกว่าอย่างมีมารยาท “ครูสมศรีครับ รบกวนช่วยไปเรียกคุณปฏิพัทธ์มาพบผมหน่อยครับ”

“ค่ะ คุณอติรุจ” ครูสมศรีรับคำ แต่พอหันไปก็เห็นรองผู้อำนวยการเดินแกมวิ่งมาพอดี “รอง ผอ. มาพอดีเลยค่ะ”

ปฏิพัทธ์หน้าตาตื่นเข้ามาถึงเต็นท์ สีหน้าของเขาเครียดมากตอนเห็นอติรุจประคองทีมงานคนหนึ่งของกองถ่ายเอาไว้ แล้วดวงตาของอีกฝ่ายก็มีแววตำหนิอยู่ด้วย ถึงสีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่รู้ได้เลยว่าเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

“คุณปฏิพัทธ์ ผมต้องการรู้ว่าตอนคุณเซ็นอนุมัติให้กองถ่ายละครเข้ามาถ่ายทำที่โรงเรียน คุณรู้หรือเปล่าว่าฉากที่เขาถ่ายทำเป็นฉากตบตีและทำร้ายร่างกายกัน ซึ่งไม่ควรให้เกิดขึ้นต่อหน้าเด็กและไม่ควรมีฉากนี้ในโรงเรียนของผม”

รองผู้อำนวยการถึงกับอึกอัก เพราะเรื่องฉากที่เข้ามาถ่ายทำนั้นเขาไม่รู้เลยสักนิด แค่เห็นว่ามีกองละครสนใจและขออนุญาตเข้ามา เขาซึ่งเป็นหัวหน้าและรับผิดชอบกิจกรรมของโรงเรียนก็เซ็นอนุญาตให้เข้ามาถ่ายทำไปแล้ว เพราะเห็นแก่การโพรโมตโรงเรียนมากกว่าเรื่องอื่น

“ไม่ทราบครับคุณอติรุจ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรทราบ และผมไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทำฉากที่ไม่สมควรในโรงเรียนของผม ให้คุณเขียนรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปให้ ผอ. ด้วย” อติรุจย้ำอีกครั้ง แล้วปรายตามองทุกคนก่อนจะสรุป “ถ้าจะถ่ายทำต่อต้องไม่ใช่ฉากที่ใช้กำลังและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เด็ก ถ้ามีฉากนี้อยู่ผมไม่อนุญาต แต่ผมเข้าใจดีว่าการออกกองละครย่อมมีค่าใช้จ่าย ผู้จัดสามารถยื่นค่าใช้จ่ายสำหรับการออกกองวันนี้ แล้วทำเรื่องเบิกค่าเสียเวลากับทางโรงเรียนได้เลย รองผู้อำนวยการจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

อติรุจกล่าวจบก็ดึงแขนรติยาให้เดินออกมาจากทีมงานถ่ายละครด้วยกัน แต่นางเอกสาวแสนสวยกลับวีนใส่ และเกิดหวงทีมงานของกองละครขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เดี๋ยวสิคะ! นั่นคุณจะเอาทีมงานของเราไปไหน”

“ไปทำแผลครับ คุณไม่เห็นหรือไงว่าหน้าเธอมีแผลเพราะการซ้อมบทเมื่อครู่นี้”

ชายหนุ่มหันมาตอบ แล้วก็ไม่สนใจนางเอกสาวและคนอื่นๆ เขาจูงมือสาวที่เป็นทีมงานไปด้วยกัน แต่จารวีซึ่งเป็นคนพารติยามาทำงานด้วยกลับยิ่งเป็นห่วง และตัดสินใจทัดทานเจ้าของโรงเรียนหนุ่มไว้

“ดะ...เดี๋ยวค่ะ ที่กองก็มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลนะคะ”

จารวีร้องบอก แต่รติยาเห็นว่าเรื่องอาจจะไปกันใหญ่เลยหันมาบอกแทน

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ตุ๊ก รุ้งรู้จักคุณอติรุจ เดี๋ยวไปทำแผลแป๊บเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ”

รติยาว่าแล้วเดินไปห้องพยาบาลกับอติรุจ แต่ทุกคนในกองละครรวมทั้งรองผู้อำนวยการกลับออกอาการเหวอ ไม่คิดว่าทีมงานกองละครตัวเล็กๆ คนนั้นจะรู้จักระดับเจ้าของโรงเรียนแห่งนี้ แล้วคนที่รู้สึกเสียหน้ามากที่สุดสำหรับงานนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้นนักแสดงสาวที่สวยระดับนางเอกแต่เจ้าของโรงเรียนกลับไม่แล เจ้าตัวจึงไม่พอใจและเริ่มเหวี่ยงใส่ทุกคน

จนในที่สุดกองถ่ายละครก็ต้องยกเลิกการถ่ายทำ ไม่ใช่เพราะถูกเจ้าของโรงเรียนสั่งห้ามถ่ายฉากใช้ความรุนแรง แต่เป็นเพราะนางเอกสาวตัวหลักในการถ่ายทำวันนี้เทกอง ขับรถกลับบ้านหน้าตาเฉย

ทางด้านรติยาที่ถูกพาตัวมายังห้องพยาบาลของโรงเรียน ถูกอติรุจจับให้นั่งบนเตียง เขาขอให้ครูพยาบาลออกไปรอที่ห้องรับรองหน้าห้องพยาบาลก่อน ส่วนตัวเขาลงมือทำแผลรอยเล็บข่วนให้คนที่โดนนางเอกตบมาหมาดๆ

“อุ๊ย เบาๆ สิคะ เจ็บนะ”

รติยาอุทธรณ์ตอนเขาใส่ยาทาแผลที่แก้มหล่อน แต่เพราะเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้มาก จึงทำให้หล่อนอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว ใจเต้นแรงเพราะความอ่อนโยนของเขา

“ทนหน่อยสิ นิดเดียวเอง” เขาทายาให้จนเสร็จ “เอ้า เรียบร้อยแล้ว”

อติรุจบอกแล้วหันไปเก็บอุปกรณ์ทำแผลให้เรียบร้อย ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับหล่อนที่ยังทำหน้างอเป็นม้าหมากรุกอยู่ด้วยรอยยิ้ม เพราะเจ้าตัวยังเจ็บใจที่โดนนางเอกสาวเล่นงานอยู่ไม่หาย ส่วนเขานั้นทั้งแปลกใจทั้งขำมากกว่าที่เจอหล่อนในโรงเรียนของตัวเอง 

“เราจะเจอกันแบบดีๆ บ้างได้ไหม” เขาถามกลั้วหัวเราะ “เจอคุณทีไรเป็นต้องมีเรื่องทุกที”

“ไม่ใช่แค่คุณเสียหน่อยที่สงสัย ฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน ทำไมเจอกันทีไรฉันซวยทุกทีเลย หรือคุณจะเป็นเทพเจ้าแห่งความโชคร้ายของฉัน”

รติยาเผยยิ้มให้เทพเจ้าแห่งความโชคร้ายที่หล่อเป็นบ้า อติรุจถึงกับหัวเราะให้แก่คำหยอกเย้าของหล่อน ก่อนจะสอบถามอย่างจริงจังและต้องการคำตอบที่แท้จริงมากกว่าคำโกหก

“เมื่อครู่นี้ไม่ใช่การซ้อมบทละครใช่ไหม”

“ไม่ใช่ค่ะ เรื่องจะโดนนางเอกไล่ตบนี่เรื่องจริง”

“แล้วทำไมคุณไปอยู่ในกองละครได้ วันก่อนเป็นนักดนตรี มาวันนี้เป็นทีมงานกองถ่าย หวังว่าเจอกันครั้งหน้าคุณคงไม่ใช่ซูเปอร์เกิร์ลนะ”

“ฉันไม่ใส่กางเกงในสีแดงนอกชุดหรอกค่ะ” หล่อนว่าแล้วหัวเราะคิกก่อนจะเฉลย “ฉันยังหางานไม่ได้นี่คะ แล้วก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้คุณไง เลยทำงานทุกอย่างที่ทำได้ ดีกว่าอยู่เฉยๆ ค่ะ”

อติรุจถึงบางอ้อแล้วก็นึกเอ็นดูหล่อนขึ้นมา แม้เขาจะทำสัญญา แต่ก็รู้แค่ชื่อจริงกับข้อมูลตามบัตรประชาชน ไม่รู้ว่าหล่อนอาศัยอยู่ตามที่อยู่ในบัตรหรือเปล่า รวมทั้งแม้สัญญาจะเขียนในเชิงบอกไม่ให้หนีค่าชดใช้ แต่ถ้าหล่อนจะหนีไม่ยอมจ่ายก็ย่อมทำได้สบายๆ อยู่แล้ว เพราะสัญญาที่เขาเขียนขึ้นเปิดช่องโหว่นี้ไว้เพื่อวัดใจหล่อนโดยตรง แต่หล่อนก็ไม่หนีและพยายามหาทางชดใช้ให้เขา ถือว่าเป็นคนดีและมีความรับผิดชอบมากเลยทีเดียว

ฝ่ายรติยาในตอนนี้กลับมีเรื่องให้สนใจมากกว่านั้น คือเรื่องของเขา เพราะก่อนหน้านี้หล่อนเจอเขามาสองครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนเขายังบอกอะไรหล่อนไม่หมดด้วยเช่นกัน อย่างเช่นเขาทำงานอะไรกันแน่

“คุณว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ไม่เหมือนกันสักวัน แต่คุณเองก็ไม่เหมือนกันสักวันเหมือนกัน เมื่อวานคุณธนาดลบอกคุณเป็นหุ้นส่วนของโรงแรม มาวันนี้เป็นเจ้าของโรงเรียน แล้วพรุ่งนี้จะเป็นอะไรคะ ซูเปอร์แมนไหม”

อติรุจหัวเราะพรืดกับคำถามที่หล่อนเอาคำเขามาย้อนใส่ เขาจึงต้องเฉลยให้ฟัง แต่เฉลยแค่พอหอมปากหอมคอก่อน เพราะถือว่าตัวหล่อนยังไม่ได้พูดความจริงเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมดเหมือนกัน

“เมื่อวานผมเป็นหุ้นส่วนของโรงแรมจริง แต่เป็นแค่หุ้นส่วน ไม่ใช่เจ้าของโรงแรมหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนโรงเรียนนี้ผมก็เป็นเจ้าของแต่เพียงในนามเท่านั้น โรงเรียนนี้ในอนาคตจะเป็นของน้องสาวของผมที่เป็นผู้อำนวยการ ส่วนพรุ่งนี้ผมอาจจะเป็นซูเปอร์แมนจริงๆ อย่างที่คุณว่าก็ได้ ใครจะไปรู้”

รติยาค้อนใส่อย่างหมั่นไส้ในความมั่นหน้าของเขา แต่ก็ขำในขณะเดียวกัน เพราะเขาไม่ได้มีแต่มุมเก๊กหล่อ วางมาดเป็นผู้บริหารอย่างเดียว มีมุมเย้าแหย่ขี้เล่นแฝงอยู่เหมือนกัน

“แล้ววันนี้มาตรวจโรงเรียนเหรอคะ”

“เปล่า ผมมารับหลานสาวกลับบ้าน พอดีน้องสาวผมต้องอยู่ประชุมหลังเลิกเรียน ผมว่างอยู่ก็เลยอาสามารับหลานกลับบ้านแทน คุณอย่าเอามือไปแตะสิ”

ท้ายประโยคกลายเป็นเสียงห้าม เมื่อรติยายกมือขึ้นจะลูบแผลที่เขาแปะปลาสเตอร์ยาให้ เขาจึงจับมือหล่อนไว้ เพราะคิดว่าหล่อนจะแกะเกาเหมือนเด็กๆ ที่เวลาปิดปลาสเตอร์มักจะชอบเอามือไปลูบ

“ก็มันน่ารำคาญนี่คะ” 

หล่อนตอบ ทำหน้ายุ่งใส่ แล้วก็มองมือตัวเองที่เขาจับไว้เหมือนจะบอกให้เขาปล่อย แต่เขาไม่ยอมปล่อย เพราะไม่อยากให้หล่อนเอามือไปลูบ ไม่ได้คิดจะฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งจับมือเลยแม้แต่น้อย

“อย่าไปแตะอีกนะ ไม่งั้นผมจะใส่ยาให้แสบกว่าเดิมเลย”

อติรุจขู่ทีเล่นทีจริงพลางมองหล่อนเหมือนเตือนไปด้วย พอหล่อนทำหน้ามุ่ยอย่างยอมจำนน เขาจึงปล่อยมือหล่อน ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะแล่นเข้ามาในหัว เขาจึงหยิบปากกาออกมาจากด้านในเสื้อนอก แล้วหันไปหยิบกระดาษโน้ตบนโต๊ะครูพยาบาลมาแล้วจดบางอย่างลงไป มีรติยาชะเง้อมองด้วยความสงสัย ครู่ถัดมาเขาก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้หล่อนพร้อมกับถาม

“ค่ำนี้คุณว่างไหม”

“คะ?” 

รติยาตามอารมณ์เขาไม่ทัน แต่ก็ยอมรับกระดาษมาอ่าน พบว่ามันเป็นชื่อร้านอาหารในโรงแรมที่หล่อนไปทำงานเมื่อวันก่อน หล่อนมองกระดาษและมองหน้าเขาอย่างงุนงง แต่ยังไม่ทันได้ถามเขาก็ชิงบอกเสียก่อน

“เจอกันที่ร้านนี้ตอนหนึ่งทุ่ม ผมอยากคุยอะไรกับคุณสักหน่อย”

“แล้วทำไมต้องเป็นร้านอาหารในโรงแรมด้วยคะ คุยตอนนี้ไม่ได้เหรอคะ”

“นี่เป็นห้องพยาบาล มันไม่เหมาะ ส่วนที่ผมนัดคุณที่ร้านอาหารในโรงแรม ก็เพราะผมเป็นหุ้นส่วนของโรงแรมและมันไม่ค่อยวุ่นวาย นั่งคุยกันได้สบายๆ”

เขาตอบแล้วยิ้มกริ่มอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า เล่นเอาคนที่ตอนนี้ใกล้จะจนกรอบและไม่อยากบอกว่าครอบครัวตัวเองก็มีเงินถึงกับแอบมองบน

เชอะ! หล่อรวยช่วยไม่ได้จริงๆ ค่ะคุณ

“ตกลงค่ะ หนึ่งทุ่มคืนนี้เจอกันที่ร้านอาหาร แต่ตอนนี้ขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณที่ทำแผลให้ค่ะ”

หญิงสาวว่าแล้วเผ่นแผล็วออกจากห้องพยาบาลไปทันที โดยมีอติรุจเดินตามมา เขาไปสังเกตการณ์กองถ่ายละครอยู่ห่างๆ แต่กองถ่ายเหมือนจะล่มไม่เป็นท่าไปแล้ว เพราะเขาไม่เห็นเงานางเอกมือตบคนนั้น และทีมงานก็กำลังเตรียมเก็บของกลับกันแล้วด้วย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น