บทที่ ๕
เข้าใจผิด
เมื่อชีวิตต้องแบกหนี้ชวนปวดหัวจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น รติยาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาอารดา เพื่อนสาวแสนดีก็ทำท่าจะปวดหัวแทนและออกปากจะให้หยิบยืมเงิน เพราะรู้ว่าเพื่อนมีปัญญาจ่ายคืนอยู่แล้ว แต่รติยาไม่อยากยืมฟรีๆ พอดีกับที่คนรู้จักของอารดาที่เป็นนักดนตรีเล่นเปียโนให้เลานจ์ของโรงแรมแห่งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุ ทำอาหารที่บ้านแล้วน้ำมันลวกมือจนบาดเจ็บ ไม่สามารถมาเล่นเปียโนได้ และนักดนตรีตัวสำรองอีกสองคนก็เกิดปัญหา คนหนึ่งไม่สบาย ส่วนอีกคนอยู่ต่างจังหวัด ทำให้หาคนแทนไม่ทัน อารดาจึงแนะนำรติยาให้และการันตีว่ารติยาเล่นเปียโนเป็น เพราะเรียนเปียโนมาตั้งแต่ชั้นประถม และสอบเปียโนผ่านเกรดหกมาด้วย
รติยาจึงได้มาเล่นเปียโนแทนนักดนตรีที่โรงแรม ถึงแม้จะได้รับการการันตีว่าเล่นเปียโนได้จริง แต่นักดนตรีเฉพาะกิจอย่างหล่อนก็ต้องมาซ้อมก่อนเลานจ์เปิดอยู่เป็นชั่วโมง เพื่อให้คุ้นมือและรู้จังหวะกับนักดนตรีอีกสามคนและนักร้องที่ต้องทำงานร่วมกันในคืนนี้ เพื่อจะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด
เมื่อถึงเวลาเลานจ์เปิด หล่อนก็เล่นเปียโนไปตามเพลงที่ได้บรีฟงานกันไว้แล้ว หญิงสาวทำงานของตัวเองจนกระทั่งครึ่งชั่วโมงผ่านไป เป็นจังหวะหยุดพักสั้นๆ เพื่อจะเริ่มเพลงใหม่ จู่ๆ หล่อนก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่เคยได้กลิ่นมาแล้วทุกครั้งก่อนที่จะเจออติรุจ
หญิงสาวจึงหันมองที่มาของกลิ่นดอกไม้ แล้วก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่างและมีพนักงานเข้าไปรับออร์เดอร์ ซึ่งหล่อนจำได้ว่าโต๊ะบริเวณนั้นเป็นโซนสำหรับลูกค้าวีไอพีตามที่ผู้จัดการเลานจ์อธิบายให้ฟังตอนซ้อมเพลงก่อนเปิดเลานจ์ แต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่ากับว่าลูกค้าคนนั้นคือ...คุณอติรุจ!
กรี๊ด! นี่จะเจอกันอีกกี่ครั้งถึงพอใจคะคุณขา!
รติยาร้องกรี๊ดในใจ สมาธิหายเกลี้ยงไปในพริบตา จนแม้แต่ตอนที่นักร้องให้สัญญาณว่าจะเริ่มเพลงต่อไปแล้ว หล่อนก็ยังจดจ่ออยู่กับอติรุจจนนักร้องซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดต้องส่งเสียงเตือน
“น้องรุ้ง จะเล่นเพลงต่อไปแล้วนะ”
“คะ ค่ะพี่”
หญิงสาวรับคำ พยายามรวบรวมสมาธิ แต่ก็ยังเล่นเปียโนเกือบสะดุดอยู่ดี จนแม้แต่นักร้องกับนักดนตรีที่เล่นเบสกับกีตาร์และไวโอลินยังรู้สึกได้ แต่ก็ดำน้ำเนียนไปได้จนจบเพลงและต่อไปอีกหลายเพลงโดยที่ลูกค้าจับข้อผิดพลาดไม่ได้
ฝ่ายอติรุจนั้น เขามานั่งดื่มและนั่งฟังเพลงที่นี่บ่อยๆ เพราะมันอยู่ใกล้อาคารสำนักงานของอาร์แอนด์ทีเอสเตต แล้วตัวเขาก็เป็นหุ้นส่วนของโรงแรมแห่งนี้ด้วย ปกติเขาจะมาดื่มกับน้องชายบ้างกับเพื่อนบ้าง แล้วแต่ใครจะว่างพร้อมกัน วันนี้เขานัดน้องชายไว้ แต่มาก่อนเวลาเพราะอีกฝ่ายยังเคลียร์งานที่บริษัทไม่เสร็จ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอรติยาอีก ในแบบที่เขาคาดไม่ถึงในความสามารถของหล่อน
ชายหนุ่มจึงนั่งฟังเพลงไปเพลินๆ และมองผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกสนใจมากขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอกัน ครั้งแรกหล่อนทำหน้าเหลอยืนเอ๋อใส่เขา ต่อมาพอได้เจอกันหล่อนก็ทำหน้าจ๋อยใส่เพราะก่อเรื่องไว้กับเขา แต่มาวันนี้หล่อนกลับสวยและงดงามในชุดเดรสสีหวาน แต่งหน้าและทำผมให้สวยเข้ากับสถานที่
ทว่าถึงแม้หล่อนจะแต่งตัวสวยอย่างเป็นงานเป็นการและดูแปลกไปจากที่เคยเจอ เขาก็จำหล่อนได้อยู่ดี แล้วก็คิดว่าไม่มีทางจำผิดคนแน่นอน เพราะมีช่วงจังหวะหนึ่งที่ทั้งสองประสานสายตากันแล้วหล่อนรีบหลบตาเขาเขินๆ
อติรุจมองหล่อนไปเพลินๆ ขณะฟังเพลงและจิบค็อกเทล แล้วเขาก็นึกครึ้มเรียกพนักงานมาและสั่งให้ไปบอกนักดนตรีให้เล่นเพลงหนึ่ง และฝากบอกนักดนตรีด้วยว่า
“ขอเล่นเพลงนี้ให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เจอกันที่วัด”
พนักงานจึงไปบอกนักดนตรี ทุกคนดูไม่แปลกใจอะไรกับคำร้องขอของลูกค้าวีไอพี เพราะคิดว่าลูกค้าคงมานั่งดื่มแล้วอารมณ์ครึ้มๆ คิดถึงคนที่เขารัก มีแต่รติยาคนเดียวที่รู้ความหมายของคำพูดที่ลูกค้าวีไอพีฝากบอกมาให้ แล้วก็เพราะรู้นั่นแหละ สมาธิของหล่อนถึงกับเกือบกระเจิงอีกรอบ
‘เย็นไว้รุ้ง เย็นไว้ เขาก็แค่หยอกเล่นละมั้ง อย่าลืมสิว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว เขาไม่ได้จะจีบแกหรอก!’
รติยาพยายามเตือนตัวเองซ้ำไปซ้ำมา แล้วเริ่มเล่นเพลงตามที่ลูกค้าวีไอพีขอ แต่เล่นไปก็รู้สึกเขินไปด้วยเพราะหล่อนรู้จักเพลงนี้ดี และพอเป็นเวอร์ชันที่ต้องเล่นเปียโนไปด้วย จึงทำให้ความรู้สึกของเพลงเข้ากับคำว่าอ่อนหวานมาก แค่สองท่อนแรกของเพลงก็ทำเอาหล่อนรู้สึกเหมือนกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งจีบไม่มีผิด
ภายใต้ท้องฟ้า ที่กว้างใหญ่ ฉันเห็นเธอที่ตรงนั้น
จ้องมองเธออย่างค้นหา เธอสะกดสายตาของฉัน
เธอทำให้ฉันคิดถึงแต่เธอ นี่ใช่หรือเปล่า
มันคือความรักหรือเปล่า ที่ทำให้เรา...ได้มาเจอกัน...
หญิงสาวเล่นเปียโนให้นักร้องร้องเพลงคลอไปจนจบ แต่ใบหน้ากลับแดงไปหมด ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองไปทางเขาเพราะเขินจะแย่อยู่แล้ว จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป หมดช่วงที่หล่อนมีหน้าที่รับผิดชอบและนักดนตรีอีกวงจะเข้ามาแทนที่ หล่อนจึงลงจากเวทียกพื้นเตี้ยและเดินไปหาผู้จัดการเลานจ์
อติรุจยังนั่งมองหล่อนเงียบๆ อยู่ที่เดิม ขณะที่รติยาคุยกับผู้จัดการเลานจ์ที่ถามไถ่หล่อนเผื่อไว้ เพราะรู้สึกถูกชะตาด้วยและทาบทามกันไว้ล่วงหน้า เผื่อมีเหตุฉุกเฉินต้องการให้มาช่วยงานอีก
แต่จังหวะที่คุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินปรี่เข้ามาหาหล่อน หลังจากเจ้าตัวถามพนักงานต้อนรับหน้าเลานจ์มาแล้วว่านักดนตรีของเลานจ์อยู่ที่ไหน และพนักงานชี้มาทางนี้
“แก! อีหน้าด้าน กล้ามาอ่อยผัวชาวบ้านดีนักนะ วันนี้จะสั่งสอนแกให้หลาบจำเลย!”
ผู้หญิงคนนั้นร้องอย่างเกรี้ยวกราด รติยาทำหน้าเหลอ แล้วก่อนที่หล่อนจะได้ปฏิเสธออกไป ฝ่ามือของผู้หญิงที่ปรี่เข้ามาก็ตบฉาดลงบนใบหน้าหล่อนอย่างแรง
เผียะ!
ตามมาด้วยการพยายามเข้ามาจิกทึ้งผมหล่อนให้หันกลับไปเพื่อตบซ้ำ ทำให้เกิดความชุลมุนย่อมๆ ขึ้น ผู้จัดการเลานจ์กับพนักงานคนอื่นๆ รีบเข้ามาห้าม แต่ก็เกือบจะต้านแรงโมโหและแรงอาละวาดของผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่
“ปล่อยฉันนะ! ฉันจะตบสั่งสอนมัน มันแย่งผัวฉัน ฉันจะประจานมันให้อายไปเลย อีหน้าด้าน คนเขามีลูกมีเมียอยู่แล้วยังจะกล้ามาอ่อยผัวชาวบ้านอีก อีทุเรศ!”
ผู้หญิงที่อาละวาดพรั่งพรูคำด่าทอออกมายาวเหยียดและพยายามดิ้นเพื่อจะเข้ามาตบรติยาอีกครั้งให้ได้ แต่ตอนนั้นเองที่มีผู้หญิงอีกคนวิ่งตามมาและทันเห็นอีกฝ่ายปรี่เข้าไปตบนักดนตรีสาว จึงวิ่งเข้าไปกอดพร้อมกับร้องบอกอย่างหน้าเสียว่า
“พี่เพลิน นั่นไม่ใช่อีแก้ว”
คนที่อาละวาดอยู่ถึงกับชะงักทันที
“อะไรนะ! ไม่ใช่เหรอ ก็พนักงานบอกว่านังนี่เป็นนักดนตรีที่เล่นเปียโนของที่นี่”
“ฉันไม่รู้ว่าที่นี่มีนักดนตรีกี่คน แต่นี่ไม่ใช่อีแก้ว ชู้รักของผัวพี่!”
คำยืนยันนั้นทำเอาคนที่อาละวาดตบคนอื่นไปถึงกับหน้าเสีย อาการอาละวาดเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษ แถมยังถามหาเป้าหมายที่ตัวเองต้องการเจอให้ได้
“แล้วอีแก้วมันอยู่ไหน!”
ผู้จัดการเลานจ์กำลังจะอ้าปากบอก แต่รติยาที่โดนตบไปฟรีๆ กลับเป็นฝ่ายเอ่ยแทรกขึ้นด้วยความปรี๊ดแตกและอยากแก้ไขความเข้าใจผิดของทุกคน เพราะไม่มีใครอยากให้ตัวเองถูกด่าต่อหน้าคนอื่นว่าเป็นชู้กับผัวชาวบ้านหรอก!
“นี่คุณ ก่อนจะอาละวาดช่วยเช็กข้อมูลให้ดีก่อนนะ แล้วก็รู้ไว้ด้วย ฉันไม่ได้ชื่อแก้ว ฉันชื่อรุ้ง รติยา เป็นนักดนตรีที่มาเล่นเปียโนแทนนักดนตรีที่เล่นประจำ เพราะคนที่เล่นอยู่ประจำเขาได้รับอุบัติเหตุ มาเล่นไม่ได้ แล้วฉันก็ไม่รู้จักคุณหรือผัวของคุณด้วย ถ้ายังไม่หยุดอาละวาดอีกละก็ เจอกันที่สถานีตำรวจก็แล้วกัน!”
คำตอบของหล่อนเล่นเอาคนที่หน้ามืดตามัวด้วยความหึงหวงถึงกับชะงักหน้าซีด ก่อนจะปล่อยโฮออกมาเมื่อไม่เจอชู้รักของสามี พอดีกับที่เจ้าหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของโรงแรมวิ่งเข้ามาพอดี จึงพาผู้หญิงคนนั้นออกไปสงบสติอารมณ์ แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ถึงอย่างนั้นก็ทำเอาผู้จัดการเลานจ์ต้องเอ่ยขอโทษลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการเป็นการใหญ่ ส่วนรติยาแม้จะโดนตบไปฟรีๆ แต่ก็รู้สึกโล่งอกที่ได้เคลียร์ตัวเองต่อหน้าทุกคนแล้ว โดยเฉพาะในหมู่ลูกค้าดันมีอติรุจอยู่ด้วย หล่อนไม่อยากให้เขามองตนเองไม่ดีสักเท่าไร
เมื่อเรื่องคลี่คลายแล้ว ผู้จัดการกับนักร้องและนักดนตรีก็เข้ามาปลอบใจที่หล่อนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่รติยาไม่ได้ตกใจ เพียงแต่งุนงง เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะต้องมาเจอซีนตบตีกันแบบในละคร
“รุ้งไม่เป็นไรค่ะ แค่ตกใจเฉยๆ”
“พี่ขอโทษแทนพี่แก้วด้วยนะ”
นักดนตรีที่เล่นเบสเอ่ยอย่างที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องรักสามเส้าของนักเปียโนกับผู้หญิงที่มาอาละวาดดี และท่าทางจะเป็นความจริงเสียด้วย
รติยาส่งยิ้มแห้งๆ ให้ แล้วจึงขอตัวไปห้องน้ำ
“รุ้งขอไปห้องน้ำแป๊บนึงนะคะ จะไปดูว่าแก้มช้ำมากไหม”
“เดี๋ยวพี่ให้พนักงานเอาเจลประคบมาให้” ผู้จัดการเลานจ์รีบบอก
รติยาได้แต่ขอบคุณและขอตัวไปห้องน้ำ หล่อนหายเข้าไปในห้องน้ำนานเพราะมัวแต่ดูรอยแดงบนแก้มที่โดนตบมา แล้วก็เสียเวลาแต่งหน้าทาปากอีกหน่อย
แต่จังหวะที่เดินออกจากห้องน้ำ จู่ๆ คนที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำก็ยื่นมือออกมา ทำให้คนที่เพิ่งเดินออกมาถึงกับชะงักเท้าเมื่อเห็นเจลประคบในมืออีกฝ่าย แต่ที่ชวนชะงักมากกว่าก็คือ คนที่เอามาให้คือเขา!
“ประคบนี่แล้วน่าจะรู้สึกดีขึ้น”
อติรุจบอกและพยักหน้าให้หล่อนรับเจลประคบที่เขาอุตส่าห์เอามาให้ แต่รติยานั้นแทบกรี๊ดไปแล้ว ก็ใครจะไปคิดว่าเขาจะมาเป็นห่วงเป็นใยหล่อน แล้วยังเอาเจลประคบเย็นมาให้อีก
“ขอบ...ขอบคุณค่ะ”
รติยาตอบอุบอิบ แล้วจำต้องยอมรับเจลมาถือ ก่อนจะขยับกายไปยืนชิดผนังด้านหนึ่งตรงโถงทางเดินหน้าห้องน้ำ ทำให้อติรุจต้องก้าวตามมาด้วยเพื่อไม่ให้เกะกะขวางทางคนที่จะมาเข้าห้องน้ำ แต่ในใจหล่อนตอนนี้มันทั้งอายทั้งเขินไปหมดเลยก็ว่าได้
อาย...ที่เขาต้องมาเห็นฉากหล่อนโดนตบ และทำเอาหล่อนเกือบถูกมองว่าเป็นผู้หญิงนิสัยไม่ดีไปด้วย
ส่วนที่เขิน...ก็เพราะเขาเป็นห่วงหล่อนนี่แหละ
แต่หล่อนก็ต้องพยายามหักห้ามไม่ให้ใจเต้นแรงและหวั่นไหวไปกับเขา แล้วเตือนตัวเองอีกไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วว่า เขามีลูกมีเมียแล้ว!
“เจ็บมากหรือเปล่า” เขาถามขณะมองหล่อนประคบเจลไปด้วย
“นิดหน่อยค่ะ”
“เลื่อนเจลขึ้นไปอีกนิด มีรอยแดงอยู่ตรงนั้น”
เขาบอกเมื่อเห็นหล่อนประคบไม่ถูกจุด แถมพอเขาบอกแล้วยังเลื่อนเจลไปผิดทางอีก จนเขาต้องถือวิสาสะฉวยเจลประคบจากมือหล่อนมาทำให้
“มา ผมทำให้ อยู่นิ่งๆ”
อติรุจใช้เจลประคบให้ที่แก้มหล่อน เล่นเอาหล่อนถึงกับเขินไปเลยทีเดียว เพราะเขาเข้ามาใกล้มาก และหล่อนก็ถอยหนีไปไหนไม่ได้ด้วยเพราะกลัวเสียมารยาท จึงทำได้แค่ปล่อยให้เขาประคบเจลต่อไป แต่ทนได้ไม่ถึงอึดใจก็ต้องรีบบอกเขา เพราะหัวใจแทบจะกระดอนออกจากอกอยู่แล้ว
“เอ่อ...เดี๋ยวฉัน...ฉันทำต่อเองก็ได้ค่ะ”
ชายหนุ่มทำหน้านิ่วเล็กน้อย แล้วเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองใกล้ชิดหล่อนมากเกินไป ทำให้หล่อนทำตัวไม่ถูก จึงยอมหยุดช่วยเหลือและปล่อยให้หล่อนทำเอง ส่วนตัวเขาก็ถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อให้หล่อนไม่ประหม่า ก่อนจะถามกึ่งชวนคุย
“วันก่อนที่ปั๊มน้ำมัน คุณบอกผมว่าเป็นแค่พนักงานบริษัทที่ตกงานอยู่ แต่วันนี้กลับมาเป็นนักดนตรีเล่นเปียโน ตกลงแล้วคุณยังมีความสามารถอะไรซ่อนไว้อีกหรือเปล่า”
“ฉันก็แค่พนักงานบริษัทตกงานจริงๆ ส่วนที่มาเป็นนักดนตรีวันนี้เป็นการหาลำไพ่พิเศษระหว่างที่ยังหางานไม่ได้มาชดใช้ค่าเสียหายให้คุณนั่นแหละค่ะ” หล่อนโยนความผิดให้เขาเสียเลย
อติรุจพอรู้ว่าตนเองพลาดไป ก็รีบปลอบใจด้วยการยื่นซองที่พิมพ์ตราประทับของโรงแรมให้หล่อน
“นี่เงินค่าจ้างการเล่นดนตรีของคุณในวันนี้ ผมเอาจากผู้จัดการมาให้คุณ คุณจะได้ไม่ต้องกลับเข้าไปในเลานจ์อีก เพราะผมคิดว่าคุณคงไม่อยากกลับเข้าไปนัก”
รติยาถึงกับทำหน้านิ่ว มองซองสีขาวในมือเขาด้วยความแปลกใจว่าทำไมเขาถึงเอาค่าจ้างจากผู้จัดการเลานจ์มาให้หล่อนได้ แล้วที่สำคัญทำไมผู้จัดการถึงยอมให้เขาง่ายๆ
เอ๊ะ หรือว่า...เขาเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้
อติรุจพอเห็นสีหน้าหล่อนก็เดาได้ว่าหล่อนสงสัยอะไรอยู่ เขาจึงคิดจะเฉลยข้อสงสัยนี้ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เสียงหนึ่งก็ดังมาจากคนที่เดินตรงมาตามโถงทางเดินและกำลังจะเลี้ยวเข้าไปในเลานจ์ แต่ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าไปเพราะเห็นคนที่ยืนอยู่สุดทางเดินหน้าห้องน้ำเสียก่อน
“พี่รุจ”
เสียงเรียกนั้นทำให้อติรุจชะงัก มองน้องชายที่มาขัดจังหวะ แต่คนเป็นน้องชายไม่รู้และถูกอีกหนึ่งความสนใจดึงดูดไว้เมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่ยืนอยู่กับพี่ชาย เพราะไม่คิดว่าจะเจอหล่อนที่นี่
“คุณรุ้ง!”
แล้วไม่ใช่เขาคนเดียวที่แปลกใจ รติยาเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน
“คุณดล!” รติยาร้องพร้อมกับทำหน้าเหลอ
ธนาดลยิ้มให้ก่อนจะหันไปพูดกับพี่ชายซึ่งยืนอยู่กับหล่อนแทน
“พี่รุจรู้จักคุณรุ้งด้วยเหรอ”
“แล้วแกล่ะ รู้จักด้วยเหรอ”
คำพูดที่โต้ตอบกันอย่างสนิทสนมและใบหน้าที่มีความคล้ายกันโดยเฉพาะดวงตา ทำให้รติยามองสองหนุ่มไปมาก่อนจะอ้าปากหวอเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
“คุณสองคนเป็นพี่น้องกันเหรอคะ”
“ครับ นี่พี่ชายของผม อติรุจ รัตนธนการ เป็นหุ้นส่วนของโรงแรมแห่งนี้”
ธนาดลเป็นฝ่ายตอบแทนพี่ชายเสร็จสรรพ ไม่ได้รู้เลยว่าขโมยซีนพี่ชายไปหมาดๆ ฝ่ายคนที่ถูกน้องชายขโมยซีนไปหน้าตาเฉยก็ทำหน้าขรึมอย่างไม่พอใจ แต่มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากสำหรับธนาดล เพราะแต่ไหนแต่ไรพี่ชายไม่เคยแสดงท่าทีสนอกสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่กลับแสดงความรู้สึกว่าอยากจะพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้ แต่เขากลับมาเป็นก้างขวางคอ
‘แสดงว่าสนใจผู้หญิงคนนี้งั้นเหรอ’
แต่ทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนี้ล่ะ ในเมื่อหล่อนก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยหยาดฟ้ามาดินหรือสูงยาวเข่าดีหุ่นนางแบบเลยสักนิด ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ในสายตาเขา หล่อนเป็นผู้หญิงที่ดูธรรมดาเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่เหมือนจะมีความไม่ธรรมดาซ่อนอยู่บ้างเหมือนกัน
“เราคงต้องคุยกันยาว” อติรุจตัดบทแล้วเสนอ เพราะดูแล้วคงไม่ใช่แค่คุยกันสามคำจบ และยืนคุยตรงนี้ก็ไม่ดีนัก แต่กลับเข้าไปในเลานจ์ก็ยิ่งไม่เข้าท่าใหญ่ “เชิญที่ห้องอาหารชั้นบนดีกว่าครับ”
รติยาอึกอักแต่ก็ปฏิเสธไม่ลง สุดท้ายจึงจำใจตามสองหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นถัดไปของโรงแรม คิดว่าแค่คุยกันที่ห้องอาหารของโรงแรม คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะพาไปทำอะไรๆ
เมื่อขึ้นมาชั้นบน หล่อนถึงได้รู้ว่าชั้นก่อนหน้านี้เป็นเลานจ์ของโรงแรม ส่วนชั้นนี้ซึ่งอยู่เหนือเลานจ์เป็นห้องอาหารอิตาลี ส่วนชั้นถัดขึ้นไปเป็นห้องอาหารฝรั่งเศส ทั้งสองเป็นห้องอาหารขึ้นชื่อของโรงแรม
อติรุจเดินนำเข้าไปในห้องอาหาร พนักงานรีบกุลีกุจอต้อนรับและพาไปที่โต๊ะที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ดีที่สุด ทั้งสามคนนั่งลงเรียบร้อย แต่ธนาดลนั้นสงสัยมาสักพักแล้วหลังเห็นหล่อนถือเจลประคบเย็น แล้วก็เห็นรอยแดงๆ บนแก้มหล่อนด้วย ดังนั้นพอนั่งเรียบร้อยและสั่งอาหารเสร็จเขาจึงถามทันที
“คุณรุ้งไปทำอะไรมาครับ ทำไมมีเจลประคบเย็นด้วย”
“โดนตบมาค่ะ”
“โดนตบ?”
ธนาดลตกใจ หันมองพี่ชาย แต่ไม่คิดว่าพี่ชายของเขาจะตบหล่อนหรอก เพราะถ้าตบคงไม่ชวนขึ้นมากินอาหารด้วยกัน แล้วอีกอย่างพี่ชายของเขาไม่ใช่คนที่ใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง เป็นผู้ชายสายแฟมิลีแมนของแท้ เพราะฉะนั้นเขาถึงอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
อติรุจจึงเล่าให้ฟังว่า รติยามาเล่นเปียโนที่เลานจ์แทนนักดนตรีที่มาเล่นทุกวันเพราะเหตุฉุกเฉิน แต่นักดนตรีคนนั้นดูเหมือนจะเป็นชู้กับสามีชาวบ้าน แล้วภรรยารู้เข้าจึงมาหาเรื่องที่โรงแรม แต่กลายเป็นการตบผิดตัว ส่วนผู้หญิงมือตบก็ถูกเชิญไปสงบสติอารมณ์และถูกพาตัวออกไปจากโรงแรมแล้วเรียบร้อย
“แบบนี้ก็โดนตบฟรีสิครับ”
ธนาดลเอ่ยอย่างเห็นใจ รติยาก็คิดเหมือนกับเขา
“ใช่ค่ะ โดนฟรีเลย คุณอติรุจเลยเอาเจลเย็นมาให้”
“แต่ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณรุ้งเป็นนักดนตรีด้วย”
“อย่าเรียกนักดนตรีเลยค่ะ เรียกว่าคนเล่นเปียโนแทนเฉพาะกิจน่าจะถูกกว่า”
ธนาดลพยักหน้าแล้วยิ้มให้ ตอนนั้นเองที่พี่ชายเป็นฝ่ายถาม
“แล้วนายไปรู้จักคุณรุ้งได้ยังไง”
อติรุจต้องการคำตอบนี้มากกว่าใครเพื่อน เพราะเขาอยากรู้ว่าน้องชายกับหล่อนมีความสัมพันธ์อย่างไร ถ้าน้องชายเจอหล่อนก่อนและชอบพอกันอยู่ เขาจะได้หยุดความสนใจในตัวผู้หญิงคนนี้ไว้และถอยออกมาก่อนจะถลำลึก
“อ๋อ เรื่องนั้น ผมรู้จักคุณรุ้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง”
ธนาดลเกริ่นแล้วเล่าให้ฟังว่า วันนั้นเขาไปเที่ยวเกาะเต่า ขี่มอเตอร์ไซค์ไปล้มคว่ำบนเกาะ แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บมาก แล้วก็ได้รติยาซึ่งไปเที่ยวช่วยพาไปส่งโรงพยาบาลบนเกาะ จึงได้รู้จักกันในตอนนั้น แต่ก็รู้จักแค่ชื่อและรู้ว่าหล่อนเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันอีกในวันนี้
พอเล่าจบธนาดลก็ถามพี่ชายกลับเป็นการแลกเปลี่ยน
“แล้วพี่รุจกับคุณรุ้งรู้จักกันได้ยังไง หรือว่าเพิ่งมาเจอกันที่นี่เป็นครั้งแรก”
“เปล่าค่ะ”
“เปล่า”
สองคนตอบพร้อมกัน อติรุจจึงให้เกียรติหล่อนในการตอบคำถามนี้
“เราเจอกันครั้งแรกที่วัดค่ะ คุณอติรุจช่วยฉันไว้ตอนฉันซุ่มซ่ามเดินตกยกพื้นหน้าวัด แล้วก็เจอกันอีกครั้งที่ร้านอาหาร ตอนที่คุณอติรุจพาครอบครัวกับลูกสาวไปกินอาหารด้วยกัน แต่เพื่อนฉันดันจอดรถซ้อนคันแล้วลืมปลดเกียร์ว่าง ฉันเลยต้องไปเลื่อนรถให้แทนค่ะ”
รติยาเล่าไปเรื่อย แต่กลับทำให้สองหนุ่มพี่น้องรัตนธนการถึงกับชะงัก เพราะประโยคที่หล่อนบอกว่าอติรุจไปกับครอบครัวและลูกสาว อันนั้นเหมือนจะเข้าใจผิดไปไกลแล้ว!
อติรุจถอนหายใจเมื่อรู้ว่าหล่อนเข้าใจผิด อันที่จริงเขาก็เคยโดนน้องชายเตือนเหมือนกันว่า การที่เขาชอบควงน้องสาวกับหลานสาวไปไหนมาไหนบ่อยๆ อาจทำให้มีสาวๆ เข้าใจผิดได้ แล้วแบบนี้ก็จะไม่มีสาวที่ไหนกล้าเข้าใกล้เพราะคิดว่าเขามีครอบครัวแล้ว
เขาไม่เคยคิดว่าคำเตือนนั้นจะเป็นจริงจนกระทั่งวันนี้ คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว
“ผมยังโสด คนที่คุณเห็นคือน้องสาวกับหลานสาวของผม”
กรี๊ด! แม่อยากกรี๊ดให้ลั่นโลก เขายังโสดค่ะไอ้ปุ๊ก!
รติยากรี๊ดในใจ พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้แสดงออกไปว่าคิดอะไรอยู่
“ขอโทษด้วยนะคะที่เข้าใจผิด”
หญิงสาวตอบอ้อมแอ้ม พอดีกับที่อาหารมาเสิร์ฟ วงสนทนาจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอาหารแทน แต่ก็ใช่ว่าสองหนุ่มจะคุยเรื่องอาหารโดยไม่สังเกตอะไร โดยเฉพาะอติรุจนั้นแอบสังเกตกิริยามารยาทของรติยาไปด้วย เขามองว่าถึงหล่อนจะไม่ใช่แบบลูกสาวคุณนายสมรที่อ่อนหวานนุ่มนวลจ๋า แต่ดูก็รู้ว่าได้รับการอบรมมารยาทในการเข้าสังคมมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดา
ทั้งสามคนกินอาหารไปคุยไป แต่อติรุจไม่ได้พูดถึงวีรกรรมที่ปั๊มน้ำมันและเรื่องค่าเสียหายรถยนต์ที่รติยาติดหนี้ตัวแดงไว้ เพราะเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพูดให้หล่อนเสียหน้า ส่วนหล่อนก็คิดว่าการพูดถึงวีรกรรมในปั๊มน้ำมันวันก่อนไม่ใช่เรื่องจำเป็นเช่นกัน
มื้ออาหารดำเนินต่อไปอย่างเรียบร้อย เหมือนเป็นการทำความรู้จักกันมากกว่าเดิม จนกระทั่งมื้ออาหารจบลงสองหนุ่มจึงคิดจะเดินไปส่งรติยาที่รถ แต่พอรู้ว่าหล่อนไม่ได้ขับรถมา อติรุจก็เรียกลีมูซีนของโรงแรมไปส่งหล่อนที่บ้าน เขาจะไปส่งหล่อนเองที่บ้านก็ได้ แต่กลัวหล่อนลำบากใจ
คล้อยหลังรติยา สองหนุ่มก็กลับบ้านของตัวเองเช่นกัน โดยอติรุจเป็นคนขับรถตัวเองกลับ ส่วนรถของธนาดลนั้นให้พนักงานขับกลับไป ปกติแล้วอติรุจจะมีคนขับรถส่วนตัว แต่คนขับรถของเขาเพิ่งไปผ่าตัดดวงตาข้างหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน ทำให้ช่วงนี้ไม่สามารถขับรถให้ได้ และต้องพักการขับรถอย่างน้อยสองถึงสามสัปดาห์ เขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับตัวเองและไม่อยากหาคนขับรถคนใหม่มาแทน ช่วงนี้จึงต้องขับรถไปไหนมาไหนเอง
ระหว่างทาง ธนาดลซึ่งพอจะมองพี่ชายออกมาสักพักแล้วก็อดถามไม่ได้
“พี่สนใจคุณรุ้งเหรอ”
“รู้ดีนักนะ”
“ก็ท่าทางของพี่มันฟ้อง” ธนาดลว่าแล้วแหย่ต่อ “แต่แปลกนะที่พี่สนใจเธอ ปกติผมไม่เคยเห็นพี่สนใจใครง่ายๆ ทำไมถึงสนใจคุณผู้หญิงคนนี้ล่ะ”
“แล้วนายมีปัญหาเหรอ ถ้าฉันจะสนใจ”
“ผมไม่มีปัญหาหรอกพี่ แค่แปลกใจเฉยๆ แล้วก็ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้ชอบคุณรุ้ง แต่ผมว่าคนที่มีปัญหาน่าจะเป็นแม่มากกว่า แม่คงไม่ชอบ เพราะเธอดูไม่น่าจะใช่อย่างที่แม่ชอบ ไม่ได้เป็นลูกคุณหนูอ่อนหวานนุ่มนวล แถมหน้าที่การงานตอนนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ด้วย เธอจะน่าสงสารนะถ้าพี่รุกแล้วพาไปให้แม่รู้จักตอนนี้”
“ฉันยังไม่ได้จีบ จะไปรุกได้ยังไง”
คนเป็นพี่ปฏิเสธ เขาไม่ใช่พวกหมาหยอกไก่จีบไปเรื่อยหรือทำเป็นเล่น ถ้าเขาจะจีบใครจริงๆ เขาจะรอดูนิสัยใจคอให้แน่ชัดและทำความรู้จักในระดับหนึ่งก่อน ถึงค่อยเดินหน้าจีบจริงๆ
“ผมแค่พูดเผื่อไว้ เพราะคิดว่าพี่มีแนวโน้มจะจีบเธอจริง ระดับพี่แล้วคงคิดว่า ถ้าจะต้องโดนจับคู่กับลูกสาวของคุณนายสมรหรือลูกสาวคุณมาลินี สู้ให้พี่เลือกแฟนเองดีกว่า แล้วตอนนี้พี่ก็ได้เจอผู้หญิงที่พี่รู้สึกว่าน่าสนใจแล้ว ดังนั้นย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ ผมพูดถูกไหมล่ะ”
“ยอมรับว่าถูก” เขายอมรับเสียงขื่นก่อนจะว่า “มีใครเคยบอกไหมว่า บางครั้งนายก็พูดมากเกินไป”
“มี ก็พี่รุจไง”
ธนาดลตอบพลางหัวเราะในลำคอ อติรุจถึงกับส่ายหน้าที่น้องชายรู้ทัน ใช่ว่าเขาจะเอารติยาเป็นไม้กันผู้หญิงคนอื่น แต่เขาคิดว่าถ้าเขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนจริงๆ แม่ของเขาก็คงไม่พยายามจับคู่ให้ใครอีก
เพราะนอกจากลูกสาวของคุณนายสมรแล้ว ยังมีลูกสาวของคุณมาลินีอีกคน รายนั้นเขายังไม่เคยเจอตัวจริงสักครั้ง เนื่องจากล่าสุดในงานเลี้ยงของคุณดวงกมล ที่แม่ของเขาบอกว่าจะให้เขาทำความรู้จักกับลูกสาวของคุณมาลินี ลูกสาวฝ่ายนั้นติดธุระ ส่วนเขาก็อ้างธุระหนีมาก่อนจะเข้างาน ทำให้ทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตากันเลยสักครั้ง
แต่คิดว่าไม่เจอนั่นละดีแล้ว เพราะถ้าให้เขาเดา ก็คงมาแบบเดียวกับลูกสาวของคุณนายสมรแน่ๆ สวยครบเครื่อง เป๊ะทุกกระเบียดนิ้วของการเป็นกุลสตรีศรีสยาม แต่ก็ไม่ใช่แบบที่เขาชอบอยู่ดี
“แล้วนายล่ะ ยังไม่เจอคนที่ถูกใจบ้างเหรอ”
“ยังเลย สงสัยแฟนผมยังไม่เกิด”
“ทำเป็นพูดดี” อติรุจว่าแล้วถือโอกาสแหย่น้องชายเสียเลย “ไม่ลองบอกแม่ดูล่ะ เผื่อแม่จะหาสาวๆ มาให้นายคัดเลือก ได้ข่าวว่าในคลังคนรู้จักของแม่ยังมีอีกเพียบ”
“เชิญพี่รุจคนเดียวเถอะ ผมอยู่ของผมอย่างนี้สงบสุขดีแล้ว”
“แล้วฉันจะคอยดู คอยนับวันที่ความสงบสุขของนายหายเพราะมีผู้หญิงเข้ามาวุ่นวาย”
“อย่างน้อยผมก็คงไม่มีเร็วๆ นี้ แต่พี่น่ะถ้าจะจีบคุณรุ้งก็รีบจีบนะ เดี๋ยวใครมาคว้าไปก่อนไม่รู้ด้วย”
น้องชายพูดดัก จะเปิดประเด็นที่คิดไว้ และรู้ว่าพี่ชายคงคิดเหมือนกัน
“ผมรู้จักคุณรุ้งแค่ผิวเผิน รู้แค่ทำงานบริษัทจากเหตุการณ์ที่ผมเล่าให้ฟังบนโต๊ะอาหาร แต่วันนี้ผมว่าเธอไม่น่าจะใช่ผู้หญิงบ้านๆ ธรรมดา น่าจะมีอะไรพิเศษมากกว่านั้น แล้วผมคิดว่าพี่เองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน”
“ใช่ ฉันเห็น” อติรุจยอมรับว่าจริงอย่างที่น้องชายพูด “ถ้าหล่อนเป็นผู้หญิงบ้านๆ จริง คงไม่เรียนเปียโนถึงขั้นมารับจ้างเล่นดนตรีได้ ตอนนี้ฉันชักอยากรู้แล้วว่าตัวจริงของผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่ แถมนามสกุลก็คุ้นๆ ด้วย แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะใช่หรือเปล่า”
“ใช่หรือเปล่า? พูดแบบนี้แสดงว่ามีคนที่พี่รู้จักนามสกุลเดียวกับคุณรุ้งเหรอ”
“ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแค่นามสกุลนี้มีอยู่เยอะ หรือว่ารู้จักกันจริงๆ”
“ใครเหรอพี่รุจ”
“ครอบครัวคุณมาลินีไง” พี่ชายเท้าความก่อนจะเล่าให้ฟัง “คนที่แม่ตั้งใจจะพาฉันไปเจอกับลูกสาวของเขาในงานเลี้ยงของคุณดวงกมลเมื่อหลายวันก่อนนู้น แต่ฉันจำไม่ได้ว่าตัวลูกสาวชื่ออะไร แล้วก็ไม่อยากไปถามแม่อีกรอบด้วย เพราะถ้าเกิดเธอไม่ใช่คนเดียวกับลูกสาวของคุณมาลินี แต่ฉันดันไปถามเรื่องลูกสาวของคุณมาลินี จะกลายเป็นว่าฉันเกิดสนใจขึ้นมา คราวนี้หาข้ออ้างเลี่ยงลำบาก”
“ก็จริงของพี่”
ธนาดลเห็นด้วยว่าไม่ควรไปถามแม่อีกรอบ เพราะถ้าแม่คิดว่าพี่ชายสนใจ คราวนี้จะลำบากของจริงแน่ จากครั้งที่แล้วหาทางเลี่ยงหนีได้ คราวนี้คงหนีได้ยาก
แต่ถ้ารติยาเป็นลูกสาวของคุณมาลินีคนนั้นจริงๆ สงสัยว่าคงได้เกิดบุพเพอาละวาดแน่ ในเมื่อพี่ชายเคยหนีการแนะนำตัวให้รู้จักกันในวันนั้น แต่กลับต้องมาเจอคนที่พยายามไม่อยากเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ ไม่เรียกว่าบุพเพอาละวาดก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว!
ความคิดเห็น |
---|