8

มนุษย์ป้าแผลงฤทธิ์

บทที่ ๘

มนุษย์ป้าแผลงฤทธิ์

 

ยามสายมากแล้วของวันต่อมา รติยาลืมตาตื่นอย่างงัวเงีย เธอมองเพดานห้องด้วยความรู้สึกไม่คุ้นตาอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นก็ทำหน้านิ่วเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายท่อนล่างเหมือนไม่ได้ใส่อะไรไว้นอกจากกางเกงชั้นในตัวเดียว หล่อนดึงผ้าห่มขึ้นดู พบว่าตนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่ง แต่ยังสวมเสื้อในและกางเกงชั้นในไว้

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับหล่อน

รติยามองสภาพตัวเองใต้ผ้าห่มแล้วก็เริ่มคิดหาคำตอบ ตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่าที่นอนข้างกายมีแรงยวบเหมือนมีใครนั่งลงมา หล่อนจึงดึงผ้าห่มลง แล้วก็ร้องกรี๊ดทันทีเมื่อเห็นอติรุจซึ่งตอนนี้เปลือยท่อนบนนั่งอยู่บนที่นอนข้างกายหล่อน

“กรี๊ด...อุ๊บ..อื้อ...”

หญิงสาวกรีดร้อง แต่ถูกอติรุจปิดปากไว้แทบจะทันที หล่อนพยายามดิ้นรนขัดขืนให้พ้นจากการปิดปากของเขา แต่เขาก็แข็งแรงเกินไป และสภาพเสื้อผ้าของหล่อนตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้ลุกออกจากผ้าห่มด้วย

ฝ่ายอติรุจก็พยายามปิดปากและบังคับให้หล่อนอยู่นิ่งๆ เพราะเขากลัวเสียงร้องของหล่อนจะดังออกไปนอกห้องแล้วทำให้แขกที่มาพักได้ยิน หรือถ้ามีพนักงานกำลังทำความสะอาดในห้องใกล้ๆ แล้วได้ยินเข้าจนตกใจวิ่งมาดู มันจะวุ่นวายขึ้นมา

“ใจเย็นๆ ก่อน ผมยังไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้าคุณกรี๊ดไม่ฟังกัน ผมอาจจะตัดสินใจทำขึ้นมาจริงๆ”

ชายหนุ่มอธิบายและขู่ไปพร้อมกัน รติยาพอได้ยินว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรก็เลิกดิ้นชั่วคราวแต่มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ เพราะถ้าเขาบอกว่ายังไม่ได้ทำอะไรหล่อน แล้วทำไมทั้งเนื้อทั้งตัวหล่อนถึงถูกลอกคราบ แล้วก็ใส่ชุดที่ไม่ใช่ของหล่อนแบบนี้ล่ะ

“อื้อ...อื้อ...”

หล่อนทำเสียงบอกให้เขาเอามือที่ปิดปากหล่อนออกได้แล้ว เขาจึงยื่นหมูยื่นแมว

“ถ้าผมเอามือออกคุณห้ามร้องนะ เดี๋ยวเสียงเล็ดลอดออกไปนอกห้องคนอื่นเขาจะตกใจเอา”

“อือ...”

หล่อนตกลงพยักหน้ารับ แต่เขายังไม่ยอมเอามือออกและย้ำกึ่งเตือนอีกครั้ง

“ถ้าผมเอามือออกแล้วคุณกรี๊ด ผมจะปล้ำคุณ ถ้าไม่อยากถูกปล้ำอย่ากรี๊ด คุยกันดีๆ”

รติยาพยักหน้าอีกครั้งอย่างเข้าใจข้อตกลง พอเขาเอามือที่ปิดปากหล่อนออก หล่อนก็รีบกระเถิบหนีไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียงทันที แต่ไม่ได้ลุกลงจากเตียง เพราะสภาพเสื้อผ้าไม่อำนวย สายตาที่มองเขามีความระแวดระวังและพร้อมจะสู้เต็มที่หากเขาไม่รักษาสัญญาและคุกคามหล่อน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันอยู่ในสภาพนี้!”

สภาพนี้คือการที่หล่อนสวมแต่เสื้อเชิ้ตตัวยาวที่มั่นใจได้ว่าน่าจะเป็นเสื้อของเขา เพราะตอนนี้เขาสวมแต่กางเกงและเปลือยท่อนบนอยู่ ส่วนชุดเดรสที่หล่อนสวมมาถูกถอดออกไปอยู่ไหนหล่อนก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ได้ตกอยู่บนพื้นหรืออยู่บนเตียง และแม้ว่าหล่อนยังสวมเสื้อชั้นในกับกางเกงชั้นในอยู่ แต่มันก็ไม่ปกติอยู่ดี

“เมื่อคืนคุณเมาจำได้หรือเปล่า”

“ฉันจำได้ว่าเมา แล้วฉันก็จำได้ด้วยว่าคุณบอกจะให้รถของโรงแรมไปส่ง แล้วคุณก็เดินไปส่งฉันหน้าโรงแรม แต่ทำไมเหมือนฉันยังอยู่ในโรงแรมของคุณ!”

“ก็พอคุณขึ้นรถไปแล้วคุณก็พับไปดื้อๆ เลย” เขาอธิบายแล้วหัวเราะเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสภาพหล่อนในตอนนั้น ที่นึกจะปิดสวิตช์ก็ปิดไปเสียอย่างนั้น “ผมเลยต้องให้พนักงานเปิดห้องให้ แล้วก็พาคุณขึ้นมานอนพักบนนี้ เพราะผมไม่รู้ว่าบ้านคุณอยู่ไหน”

“แล้วทำไมฉันถึงอยู่ในสภาพนี้” หล่อนถามย้ำอีกครั้ง

“นี่คุณจำไม่ได้เหรอว่าเมื่อคืนคุณเกือบจะลงไปเล่นน้ำในน้ำตกจำลองที่ล็อบบี แล้วชุดของคุณมันเปียกน้ำ ผมก็เลยช่วยถอดและให้แผนกซักรีดช่วยซักอบรีดให้”

“คุณถอดเสื้อผ้าฉัน!”

หล่อนร้องแล้วทำหน้าเหมือนกับจะกรีดร้องออกมาอีกรอบ จนเขาต้องรีบบอก

“ใจเย็นก่อน ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเพราะผมเอาผ้าห่มบังไว้ รับรองว่าคุณยังไม่บุบสลายทางสายตาแน่นอน แล้วผมก็ไม่ได้ล่วงเกินคุณด้วย เมื่อคืนผมนอนในห้องนั่งเล่นข้างนอก”

รติยาหรี่ตามองเขาอย่างระแวดระวัง แต่พอเขาไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ และหล่อนก็ตรวจสอบความรู้สึกของตัวเองแล้ว พบว่าไม่ได้มีความรู้สึกใดที่ชวนให้คิดว่าหล่อนเสียตัวให้เขาไปแล้ว จึงได้แต่ยอมเชื่อคำพูดของเขา แต่ยังไม่วายขอความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกนิด

“แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้โกหก”

“ด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่เลย”

“คุณแก่เกินกว่าจะเป็นลูกเสือแล้ว”

หญิงสาวว่าพลางค้อนใส่ก่อนจะกระชับผ้าห่มคลุมกายแน่น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีท่าทีคุกคามอะไรหล่อน แต่จากชุดที่สวมอยู่ตอนนี้มันล่อแหลมเกินไป และหล่อนก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำให้เขาได้ทุกเมื่อ ถ้าเขาเกิดบ้าทำอะไรขึ้นมา

“ผมไม่ได้ทำอะไรคุณจริงๆ แล้วก็จะไม่ทำถ้าคุณไม่อนุญาต” เขาว่ายิ้มๆ ก่อนจะยกสองมือขึ้นในลักษณะยอมสงบศึกแล้วพูดต่อ “แต่เราต้องคุยกันก่อน เพราะดูเหมือนเรื่องเมื่อคืนที่คุณเมาไม่รู้สึกตัวจะเป็นปัญหาให้ทั้งคุณและผมได้”

พอเขาเกริ่นขึ้นมาอย่างนี้ หล่อนก็ใจหายวาบและท้วงทันที

“ไหนคุณบอกว่าไม่ได้ทำอะไรฉันไง”

“ผมไม่ได้ทำและไม่มีใครทำอะไรคุณ แต่ถ้าทำกับเราสองคนน่ะมี”

อติรุจเล่าเรื่องคุณนายสาวิตรีซึ่งรู้จักกับแม่ของเขาให้หล่อนฟัง แล้วก็บอกเรื่องที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด แล้วเชื่อได้ว่าคุณนายสาวิตรีคนนั้นแอบถ่ายภาพที่เขาหิ้วปีกหล่อนกลับเข้ามาในโรงแรมเอาไว้ด้วย คุณนายคนนี้ขึ้นชื่อว่าช่างนินทา ใส่สีตีไข่เก่งมาก เขาไม่แน่ใจว่าป่านนี้ภาพนั้นมันหลุดไปถึงไหนๆ แล้วหรือยัง เขาเกรงว่าหล่อนจะได้รับความเสียหายว่ามีข่าวเข้าโรงแรมกับเขา

“คุณนายคนนี้ร้ายมากเลยเหรอคะ”

“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ได้ยินมาก็ไม่เบาเหมือนกัน ผมคิดไว้แล้วว่าทางที่พอจะปิดปากคนพูดมากแบบนี้ได้คงต้องให้ทุกคนคิดว่าเราเป็นแฟนกันน่าจะง่ายที่สุด เพราะพนักงานเห็นพวกเราดินเนอร์ด้วยกันที่ร้านอาหาร แล้วก็เห็นคุณเมา เพราะฉะนั้นถ้าผมเป็นแฟนที่ดี ผมก็ต้องดูแลคุณ และมีคนเป็นพยานได้ว่าผมไม่ได้พาคุณเข้าโรงแรมโดยตรง แต่เพราะมีเหตุให้คุณต้องพักค้างคืนที่นี่ แต่วิธีนี้จะไม่ได้ผลถ้าคุณมีแฟนอยู่แล้ว”

“ฉันยังไม่มีแฟนค่ะ”

รติยาโพล่งไปทันที แล้วก็หน้าแดงเมื่อคิดถึงแผนของเขาที่ต้องมาเป็นแฟนกำมะลอกัน ใครจะไปคิดล่ะว่าต้องทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายหล่อเหลาตรงสเปกอย่างเขา

โอ๊ย แค่คิดก็เขินแล้ว แบบนี้เรียกตายอย่างสงบศพสีชมพูสิคะ

มีหวังไอ้ปุ๊กรู้เข้างอนแน่ๆ อุตส่าห์ไปขอพรให้ตัวเองมีแฟนมีผัว แต่กลายเป็นหล่อนจะมีแฟนก่อน ถึงเป็นแฟนกำมะลอเพราะเหตุพาไปก็ถือว่ามีแฟนก่อนเพื่อนอยู่ดี!

“คุณตกลงตามแผนนี้ไหม”

อติรุจถามความสมัครใจเพราะไม่อยากบังคับกัน ถ้าหล่อนไม่โอเค เขาก็จะหาวิธีอื่นต่อ ตอนนั้นเองที่เสียงกริ่งหน้าห้องพักดังขึ้น มันดังรัวมากจนอติรุจถึงกับทำหน้านิ่ว เพราะเขาไม่ได้สั่งให้พนักงานเอาอะไรมาให้และแขวนป้ายบอกไว้แล้วว่าไม่ต้องการให้เข้ามาทำความสะอาดห้อง อีกทั้งชุดเดรสของหล่อนก็ส่งมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะฉะนั้นไม่น่าจะมีพนักงานคนไหนกล้ามากดกริ่งเรียก และที่น่าแปลกใจคือมันดูดังรัวเกินกว่าจะเป็นมารยาทการกดกริ่งของพนักงาน

“คุณรออยู่ในนี้ก่อน เดี๋ยวผมมา”

ชายหนุ่มว่าแล้วลุกลงจากเตียงเดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังประตูหน้า เขามองผ่านช่องตาแมวเพื่อดูว่าใคร แล้วก็ต้องแปลกใจปนตกใจเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือแม่ของเขา ข้างกายมีคุณนายสาวิตรีมาด้วย

ให้ตายเถอะ ยุ่งแล้วไง!

เขาสบถในใจ เดาได้ทันทีว่าที่แม่ของเขามาที่นี่อาจเพราะคุณนายสาวิตรีไปบอกเรื่องเมื่อคืนนี้ เขาประเมินคุณนายคนนี้ต่ำไป จากที่คิดว่าแค่จะเอาไปโพนทะนาธรรมดา นี่กล้าถึงขั้นไปฟ้องแม่ของเขาทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริงเลยแม้แต่น้อย

อติรุจได้แต่หงุดหงิดใจก่อนจะเปิดประตูให้ เขาถามผู้เป็นแม่พร้อมกับตีหน้างุนงงเล่นละครได้อย่างแนบเนียนว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“แม่มาทำอะไรที่นี่ครับ”

ฝ่ายนงนภาพอเห็นหน้าลูกชายก็ถอนหายใจอย่างตำหนิ แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไร คุณนายสาวิตรีซึ่งมาด้วยกันก็แทรกตัวเข้าไปในห้องพักอย่างถือวิสาสะเพราะความอยากรู้อยากเห็น และอยากให้เห็นกับตาตัวเองด้วย ทำเอาสองแม่ลูกที่ยังยืนอยู่หน้าประตูถึงกับทำหน้าเหลอ ก่อนที่คนเป็นแม่จะจำใจเดินตามเข้าไป ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะขอคุยกับลูกชายตรงนี้ให้เข้าใจกันก่อน ไม่อยากปรักปรำกล่าวหา

อติรุจพอเห็นแม่เดินเข้าไปในห้องก็รีบปิดประตูและเดินตามเข้าไปในห้องนอนที่รติยาอยู่ รู้ทันทีว่าเดี๋ยวได้เกิดเรื่องแน่ ถ้าแค่แม่ของเขาคนเดียวท่านไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ อย่างน้อยก็ต้องสอบถามกันก่อนปรี่เข้าไปอย่างที่คุณนายสาวิตรีทำ

พอเข้ามาถึงห้องนอน คุณนายสาวิตรีที่เห็นรติยานั่งอยู่บนเตียงและสวมเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่ดูอย่างไรก็เป็นเสื้อของผู้ชายก็เปิดฉากต่อว่าทันที

“เนี่ยเลยค่ะคุณพี่ คนที่น้องเห็นเมื่อคืนนี้ ต๊าย...บัดสีบัดเถลิง จับได้คาหนังคาเขาเลยนะหนู หน้าตาก็ดี ถึงจะสวยน้อยกว่าลูกสาวของน้า แต่ไม่น่าทำตัวไร้ยางอายแบบนี้เลยจริงๆ”

สาวิตรีใส่เป็นชุด ทำเอารติยาที่นั่งอยู่บนเตียงตกใจที่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้พรวดพราดเข้ามาในห้องแล้วยังมาว่าหล่อนฉอดๆ

มนุษย์ป้าคนนี้ใครเนี่ย!

รติยาทำหน้าเหลอ แล้วก็สังหรณ์ใจว่าหรือคนนี้จะเป็นคุณนายสาวิตรีที่อติรุจพูดถึง แต่ถ้าใช่ก็แสดงว่าเป็นคุณนายที่นิสัยร้ายกาจมาก เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แทนที่จะสอบถามว่าอะไรเป็นอะไร กลับใช้ความคิดตัวเองมโนเป็นตุเป็นตะ แล้วก็พูดจาน่าเกลียดมากด้วย!

หญิงสาวกำลังจะอ้าปากตอบโต้ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อผู้หญิงอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง คนนี้มีท่าทางสุขุมและนุ่มนวลกว่า แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่ถามอติรุจซึ่งเดินตามมาก็บอกชัดว่าไม่พอใจ เพียงแต่ไม่ได้โวยวายไร้มารยาทเหมือนคนที่เข้ามาก่อน

“อธิบายแม่มาซิว่าแม่หนูคนนี้เป็นใคร”

นงนภาถามลูกชาย แม้จะไม่ชอบใจนักที่สิ่งที่คุณนายสาวิตรีบอกว่าลูกชายพาผู้หญิงเข้าโรงแรมเป็นความจริง แต่ถ้าสถานะของทั้งสองคนเป็นแฟนกันแล้ว คงทำให้เรื่องเบาลงได้มากกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสาวบริการ ถ้าเป็นแบบนั้นคนเป็นแม่ก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน

ทว่าสาวิตรีกลับแทรกขึ้นก่อนที่อติรุจจะได้ตอบ

“โอ๊ย คุณพี่ขา เห็นขนาดนี้ไม่ต้องถามแล้วละค่ะ แล้วคุณพี่ก็บอกเองนี่คะว่าลูกชายคุณพี่ยังโสดอยู่ เพราะฉะนั้นแม่ผู้หญิงคนนี้ก็คงทำอาชีพอย่างว่านั่นแหละค่ะ”

โอ้โห ดูถูกกันเกินไปแล้ว พูดจาแบบนี้ก็สวยสิคะ เดี๋ยวจะจัดให้หน้าหงายเลยคอยดู

รติยาคิดแล้วสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะยกมือไหว้แม่ของอติรุจพร้อมกับแนะนำตัว

“สวัสดีค่ะคุณป้า หนูชื่อรุ้ง รติยา เป็นแฟนคุณอติรุจค่ะ”

สิ้นเสียงแนะนำตัวของหล่อน คุณนายนิสัยเสียก็สวนกลับทันทีอย่างไร้มารยาทราวกับว่าเจ้าตัวเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนักหนา ทั้งที่แม่ของอติรุจยังดูนิ่งและมีมารยาทมากกว่าเยอะ

“โกหก!” เจ้าหล่อนว่าแล้วหันไปหานงนภาเพื่อหาพวก “โกหกแน่ๆ เลยค่ะคุณพี่ขา”

ตอนนั้นเองที่อติรุจทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ถึงจะพยายามรักษามารยาทแล้ว แต่เขาไม่ใช่คนใจเย็นนักในเวลาแบบนี้ ยิ่งพอถูกเข้าใจผิดและถูกกล่าวหาอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ เขาก็ไม่ทนเหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่แนวเขา สำหรับเขาแล้วดีมาดีตอบ ร้ายมาก็ร้ายกลับ!

“คุณคิดว่ารู้จักผมดีมากกว่าตัวผมเหรอคุณนายสาวิตรี” อติรุจถามอย่างไม่พอใจและปกป้องรติยาไปด้วยในตัว “อันที่จริงคุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาในห้องนี้ด้วยซ้ำ นี่เป็นห้องพักของผู้ถือหุ้นของโรงแรม ที่ผมยังไม่เรียกเจ้าหน้าที่มาพาตัวคุณออกไปก็ถือว่าไว้หน้าคุณมากแล้วนะ”

“ต๊าย...นี่ถึงกับขู่น้าเชียวเหรอ” สาวิตรียกมือทาบอกทำเป็นรับไม่ได้ ก่อนจะหันไปฟ้องนงนภา “คุณพี่ขา ลูกชายของคุณพี่หลงผู้หญิงหัวปักหัวปำแล้วนะคะ น้องก็แค่หวังดี ไม่อยากให้ใครเอาไปพูดในทางเสียหาย นี่อะไรกัน อุตส่าห์มาเตือนถึงที่ มาหาว่าน้าเผือกซะงั้น”

รติยาแทบอยากเบะปากมองบนใส่ ถ้าไม่ติดว่าเป็นการเสียมารยาท ส่วนนงนภานั้นยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จนหล่อนจำต้องเล่นละครยืนยันสถานะของตัวเอง

“หนูต้องขอโทษด้วยนะคะคุณป้าที่ไม่ได้ไปแนะนำตัวกับคุณป้าก่อน หนูเป็นแฟนคุณอติรุจจริงๆ ค่ะ เมื่อคืนนี้เรามาเดตด้วยกันที่นี่ กินมื้อค่ำด้วยกัน แต่เผอิญหนูดื่มจนเมา คุณรุจเขาก็เลยดูแลหนูทั้งคืน แต่...หนูเป็นแฟนคุณอติรุจ แฟนกันจะดูแลกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่คะ”

ประโยคท้ายนั้นหล่อนจงใจทิ้งระเบิดคำถามใส่สาวิตรีโดยเฉพาะ ว่าหล่อนออกตัวขนาดนี้แล้วยังจะทำตัวจุ้นจ้านวุ่นวายอีกหรือไม่ ถ้าตอนนี้หล่อนเป็นสาวิตรีละก็ จะรีบชิ่งออกไปจากที่นี่โดยเร็วแน่ ไม่อยู่ให้ตัวเองอับอายให้ถูกใครต่อว่าว่าจุ้นจ้านหรอก

แต่สาวิตรีเป็นคนนิสัยแบบนี้เสียจนเคยตัว ยิ่งถูกรติยาพูดจาเหมือนอวดดีใส่ เจ้าตัวก็ยิ่งตะแบงหนักและถือดีกลับไปเช่นกัน

“นี่หล่อน กล้าดียังไงมาย้อนฉัน รู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร”

‘ไม่รู้หรอกค่ะ แล้วก็ไม่อยากรู้จักด้วย คนที่มีความคิดสกปรกอย่างคุณ’

รติยาได้แต่คิดแล้วทำหน้าซื่อตาใสใส่ ทำเอาอติรุจถึงกับกลั้นขำแทบแย่ เพราะเขาดูออกว่าหล่อนแกล้งทำ นึกชอบใจที่หล่อนเองก็มีมุมแสบๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังถือว่าหล่อนคุมสติได้ดีต่อทั้งสองเหตุการณ์ที่ต้องเจอ ใจเย็นมากพอที่จะไม่โวยวาย 

อติรุจจึงเดินเข้าไปหารติยา แล้วนั่งลงบนเตียงข้างกายหล่อนพร้อมกับโอบเอวแสดงความเป็นเจ้าของ บ่งบอกความเป็นแฟนกัน แถมยังหอมแก้มหล่อนโชว์ผู้เป็นแม่กับสาวิตรีด้วยฟอดใหญ่ พร้อมกับตอกกลับสาวิตรีว่า

“ผมไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใครหรืออะไร แต่นี่แฟนผม ผมไม่ชอบให้ใครมาดูถูกและพูดจาไม่ดีใส่ มันไม่ยุติธรรมสำหรับเราครับ แล้วถ้าคุณจะกรุณา ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่า ก่อนที่ผมจะเชิญพนักงานมาพาคุณออกไป”

สาวิตรีรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ส่วนนงนภาพอเห็นท่าทีเอาจริงของลูกชาย ก็คิดได้อย่างเดียวว่าสาวิตรีควรทำตามคำพูดของลูกชาย เพราะอติรุจไม่ใช่คนที่รอมชอมกับสิ่งที่ตนเองไม่ชอบหรือรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แล้วถ้าลองพูดถึงขนาดนี้ก็แสดงว่าสาวิตรีคิดเองเออเอง และกล่าวหาลูกชายกับแฟนของลูกชายอย่างไม่น่าให้อภัย นงนภาจึงเป็นฝ่ายตัดบทเชิญสาวิตรีกลับเอง ไม่ต้องรอให้ลูกชายลงมือ

“คุณน้องคะ พี่ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้พี่ แต่ตอนนี้เราก็เข้าใจแล้วว่าแม่หนูคนนี้เป็นแฟนของตารุจ เดี๋ยวที่เหลือพี่จัดการเองต่อเอง ขอบคุณคุณน้องมากจริงๆ ค่ะ”

สาวิตรีชะงักหน้าเสีย ไม่อยากเสียหน้าไปมากกว่านี้ จึงจำใจทำตามที่นงนภาต้องการ สะบัดหน้าพรืดออกจากห้องพักไป โดยมีนงนภาเดินไปส่งถึงประตูห้อง

คล้อยหลังนงนภาและสาวิตรีออกไปจากห้องนอนแล้ว รติยาก็หยิกแขนอติรุจที่โอบเอวหล่อนอยู่ทันทีและพยายามถองศอกเพื่อให้เขาปล่อย

“คุณรุจ! ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะคะ เล่นสมบทบาทไปแล้ว”

“เพื่อความสมจริง” เขาว่าแล้วกระซิบข้างหูหล่อน “เดี๋ยวแม่ผมกลับมาเห็นนะ”

“ปล่อยนะ! คนฉวยโอกาส ไม่ต้องมาเล่นใหญ่เลย”

รติยาพูดได้แค่นั้นก็ต้องหันไปยิ้มหวานและปล่อยให้อติรุจกอดต่อไป เมื่อแม่ของเขาเดินกลับเข้ามาในห้องและมองลูกชายอย่างติติงและไม่ชอบใจ แต่ก็ยังรักษามารยาทความเป็นผู้ดีอยู่ ไม่ได้ทำตัวร้ายกาจเหมือนสาวิตรี

“หนูเป็นแฟนตารุจจริงหรือเปล่า”

“จริงค่ะ หนูเป็นแฟนคุณรุจ ไม่ใช่สาวไซด์ไลน์ ไม่ได้ขายตัวค่ะ แล้วเมื่อคืนคุณรุจเขาก็ดูแลหนูทั้งคืนจริงๆ ค่ะ” 

หล่อนยืนยันอีกครั้ง ทั้งสีหน้าและแววตาไม่มีคำว่าโกหกแม้แต่น้อยจนนงนภายอมเชื่อ แต่ก็ยังต้องซักประวัติและถามไถ่อะไรๆ ให้กระจ่างเสียก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นแฟนกันจริง ไม่ได้โกหกพกลมก็ต้องตอบตรงกัน

“แล้วทั้งสองคนรู้จักกันได้ยังไง เจอกันครั้งแรกที่ไหน”

“เจอกันที่วัดค่ะ/เจอกันที่วัดครับ”

สองหนุ่มสาวตอบพร้อมกัน ดูจากสีหน้าทั้งคู่แล้วท่าทางจะเป็นเรื่องจริงด้วย แต่กลับทำให้นงนภาทั้งประหลาดใจและแปลกใจไปพร้อมกัน แล้วก็อยากได้รับคำยืนยันอีกเรื่องด้วยว่า

“หนูใช่ผู้หญิงคนเดียวกับที่เป็นนักดนตรีที่เลานจ์เมื่อวันก่อนหรือเปล่า”

“เอ่อ ใช่ค่ะ ถ้าคุณป้าหมายถึงที่หนูไปเล่นเปียโนแทนให้นักดนตรีประจำที่เลานจ์ของโรงแรมนี้ ก็ใช่ค่ะ”

“แล้วตอนนี้หนูทำงานอะไรอยู่”

“ตอนนี้หนูตกงานอยู่ค่ะ กำลังรอเรียกสัมภาษณ์ค่ะ”

นงนภาทำหน้านิ่ว ไม่ค่อยพอใจคำตอบนัก แต่ก็ยังสงวนท่าทีอยู่ เพราะยังมีอีกอย่างหนึ่งที่สงสัยมาสักพักแล้วตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องพักและได้ยินหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนของลูกชายแนะนำตัว อีกทั้งใบหน้าของหญิงสาวคนนี้ก็ดูคลับคล้ายคลับคลาใครคนหนึ่งที่หล่อนเคยเห็นจากภาพถ่ายมาก่อนหน้านี้ จึงยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่ เมื่อครู่หล่อนไม่อยากกระโตกกระตากเพราะคุณนายสาวิตรีอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ปลอดคุณนายสาวิตรีแล้ว ก็เห็นเป็นทางสะดวกที่จะได้สอบถามอย่างจริงจังให้มันแจ่มแจ้งกันไปข้างหนึ่ง

“หนูมีญาติหรือคนรู้จักชื่อมาลินีหรือเปล่า”

“ถ้าคนชื่อมาลินีคนเดียวในชีวิตที่หนูรู้จัก ก็คือแม่ของหนูค่ะ มาลินี ทรัพย์สิริหาญ”

รติยาตอบไปก่อนจะทันได้คิด พอตอบเสร็จก็ถึงกับใจหายวาบเมื่อคิดว่าแม่ของอติรุจอาจจะรู้จักแม่ของหล่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องที่หล่อนมานอนค้างอ้างแรมกับอติรุจแบบนี้ต้องกลายเป็นเรื่องยุ่งแน่ๆ

‘สาธุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าขา อย่าให้โลกมันกลมขนาดนั้นเลยเจ้าค่ะ’

หล่อนภาวนา แต่ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่เข้าข้าง เมื่อแม่ของอติรุจเอ่ยต่อ

“ถ้าหนูคือลูกสาวของคุณมาลินี แบบนี้เรายิ่งต้องคุยกันยาวเลยจ้ะ” นงนภาตอบ ยิ้มให้เป็นครั้งแรก แล้วก็รู้สึกโล่งอกไปพร้อมกัน “แม่ของหนูน่าจะเคยพูดถึงป้าให้ได้ยินบ้าง ป้าชื่อ นงนภา รัตนธนการ จ้ะ”

อติรุจพอได้ยินคำเฉลยของแม่และการยอมรับของรติยา ก็ไม่รู้ว่าควรจะขำหรือรู้สึกอย่างไรดี ฝ่ายรติยาพอได้ยินนงนภาบอกอย่างนั้นก็ทำตาปริบๆ หัวสมองเริ่มประมวลผลทบทวนข้อมูลที่รู้มาก่อนหน้านี้

‘นงนภา คุณนายนงนภา ลูกชายของคุณนายนงนภาคนนั้น อย่าบอกนะว่า...’

หล่อนคิดแล้วก็ทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้ ก่อนจะหันไปหาอติรุจที่กอดหล่อนอยู่

“คุณคือลูกชายของคุณนายนงนภา คนที่แม่พูดถึงเหรอ! ไม่จริงอะ”

“ใช่ ผมคือลูกชายของคุณนงนภา ส่วนคุณก็คือลูกสาวของคุณมาลินีจริงๆ สินะ”

“นี่คุณรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วเหรอ!”

หล่อนท้วงทันทีเมื่อคิดว่าเขาอาจจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าหล่อนเป็นใคร แต่อติรุจรีบปฏิเสธก่อนที่หล่อนจะเข้าใจผิดแล้วคิดไปไกลกว่านี้

“เปล่า ผมแค่เอะใจตอนเห็นนามสกุลของคุณในสัญญาชดใช้ตอนที่รถของเราชนกัน แต่ผมไม่คิดว่าจะใช่คนเดียวกัน จนกระทั่งคุณยอมรับออกมาเองเมื่อครู่นี้ว่าคุณคือลูกสาวของคุณมาลินี ทรัพย์สิริหาญ”

อติรุจบอกตามความจริงทุกอย่าง รู้สึกดีใจและโล่งอกไปพร้อมกันที่ลูกสาวของคุณมาลินีคือหล่อน แต่อีกใจก็อดขำไม่ได้ว่าอุตส่าห์เลี่ยงแทบตาย สุดท้ายก็กลายเป็นคว้าไว้เอง

ฝ่ายรติยาพอรู้ความจริงก็ทำหน้าจ๋อย ไหล่ห่อคอตก ใจหนึ่งก็ดีใจอยู่หรอกที่ลูกชายของคุณนายนงนภาคือเขา แต่อีกใจก็ยังไม่ได้เตรียมใจไว้สำหรับเรื่องเหลือเชื่อนี้ จนหล่อนทั้งพูดไม่ออกและไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเลยจริงๆ

ทางด้านนงนภามองลูกชายทีและว่าที่ลูกสะใภ้ทีอย่างโล่งอก ก่อนจะเอ่ยกับทั้งสองคน

“แม่ว่าทั้งสองคนลุกขึ้นแต่งตัวให้เรียบร้อยดีกว่าจ้ะ” นงนภาเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวทันที “เราคงต้องไปที่บ้านทรัพย์สิริหาญด้วยกัน จะได้คุยกันให้รู้เรื่องไปเลยว่าอะไรเป็นอะไร ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว แม่จะไปรอที่ห้องนั่งเล่นนะ”

นงนภาว่าแล้วเดินออกจากห้องนอนไปรอในห้องนั่งเล่น

คล้อยหลังนงนภาออกไปจากห้องแล้ว อติรุจก็ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขน จนคนถูกกอดต้องบอกให้ปล่อย เพราะตอนนี้ทั้งเขินทั้งสับสนไปหมดแล้ว

“ปล่อยได้แล้วค่ะ ไม่ต้องเล่นละครแล้ว”

“คุณคิดว่ามันจะจบแค่นี้เหรอ ในเมื่อแม่ของผมรู้แล้วว่าคุณเป็นใคร แล้วคุณก็รู้แล้วว่าผมเป็นใคร”

“แล้วทำไมมันจะไม่จบแค่นี้ล่ะคะ ในเมื่อเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว”

“แน่ใจเหรอ” อติรุจถามพลางกระชับอ้อมแขนเป็นการแกล้งขู่หล่อน ก่อนจะย้ำเตือนคำพูดที่หล่อนเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง “คุณบอกแม่ผมเองว่าเราสองคนอยู่ด้วยกันทั้งคืน แล้วผมก็ดูแลคุณทั้งคืน คุณคิดว่ามันจะจบแค่นี้จริงๆ เหรอ ในเมื่อค่ำคืนแรกของคุณตกเป็นของผมแล้ว”

“ไม่ใช่เสียหน่อย คุณก็รู้ว่าเราสองคนยังไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ ด้วยซ้ำ”

รติยาแย้งและพยายามแกะอ้อมแขนเขาออก ในใจตอนนี้ทั้งหวั่นไหวทั้งบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เมื่อจู่ๆ ตัวเองก็กระโจนลงไปในหลุมพรางความรัก โดยที่เขาไม่ได้เป็นคนทำหรือพูดอะไรให้หล่อนเสียหาย มีแต่หล่อนนี่ละเป็นฝ่ายออกตัวเอง พูดเองทั้งหมด แถมยังพูดต่อหน้าคุณนายปากมากคนนั้นและต่อหน้าแม่เขาแล้วด้วยนี่สิ

“เรามีอะไรกันแล้วหรือยัง มีแค่คุณกับผมเท่านั้นที่รู้ แม่ของผมและคุณนายสาวิตรีเข้าใจไปว่าเรามีอะไรกันแล้ว แล้วคุณคิดว่าเรื่องนี้มันจะจบง่ายๆ แค่คุณบอกแม่ผมว่ายังไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ เหรอ แล้วต่อให้แม่ของผมกับแม่ของคุณเชื่อใจว่าเราสองคนยังไม่ได้มีอะไรกัน พวกท่านก็ไม่ปล่อยผ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ผมว่าตอนนี้แม่ของผมคงกำลังโทรศัพท์คุยกับแม่ของคุณอยู่ ถ้าไม่เชื่อก็ลองเงี่ยหูฟังดูสิว่าจริงไหม”

อติรุจแนะนำแล้วหยุดพูดเพื่อให้รติยาได้เงี่ยหูฟัง แล้วก็จริงอย่างที่เขาบอก หล่อนได้ยินเสียงนงนภาคุยโทรศัพท์อยู่และได้ยินเสียงเรียกชื่อแม่ของหล่อนด้วย แบบนี้รอดยากแน่นอน!

“โอ๊ย แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ ไม่น่าปากพาจนเลย”

หล่อนเริ่มโอดครวญ แต่อติรุจไม่ให้ทางเลือกหล่อน เพราะเขาเองก็มองไม่เห็นทางเหมือนกัน ในเมื่อทั้งสองคนเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง แต่เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ

“ตอนนี้มีทางเดียวที่ทำได้ คือคุณต้องลุกไปแต่งตัว ชุดเดรสของคุณอยู่ในตู้เสื้อผ้า ผมให้พนักงานเอาไปซักอบรีดให้แล้ว แล้วเราจะได้ไปที่บ้านของคุณด้วยกัน ยังไงเราสองคนก็หนีไม่ได้อีกแล้ว...รติยา”

 

คราแรกที่มาลินีและการุณเห็นลูกสาวมาพร้อมกับนงนภาและลูกชาย ก็แทบอยากเอาก้านมะยมตีก้นลูกสาวตัวยุ่งสักที เพราะรู้เรื่องคร่าวๆ จากที่นงนภาโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก็อยากตีลูกสาวมากกว่าเดิมตอนที่นงนภาเล่าให้ฟังอีกรอบแบบละเอียด หลังจากสอบถามเรื่องราวทั้งหมดจากอติรุจระหว่างทางที่ขับรถมาที่นี่

แล้วก็ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อการุณกับมาลินีซักถามต่อจนลูกสาวตัวดีเปิดปากยอมรับเรื่องที่ตกงานอยู่แต่ปิดบังพ่อกับแม่และพี่ชายเอาไว้ แถมยิ่งซักก็ยิ่งมีเรื่องวุ่นวายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งเรื่องที่ขับรถไปชนท้ายรถของอติรุจ ตามมาด้วยเรื่องที่รติยาไปเป็นทีมงานของกองถ่ายละครและรับงานพิเศษเป็นนักดนตรีของเลานจ์โรงแรมอีก โดยที่พ่อกับแม่ไม่เคยรู้เรื่องแม้แต่น้อย จนมาลินีอดไม่ได้ที่จะดุลูกสาวตัวยุ่ง

“นี่ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นมา พ่อกับแม่จะรู้เมื่อไหร่ว่ารุ้งตกงาน แล้วไม่ยอมบอกกันเลยแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหน!”

มาลินีต่อว่าลูกสาว ในขณะที่การุณซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ยอมช่วย เพราะสิทธิ์การปกครองในบ้าน เขาให้ภรรยาเป็นที่หนึ่งเสมอ แล้วภรรยาก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจกับเรื่องไร้สาระหรือบ่นว่าด้วยเรื่องไร้สาระ เขาจึงคิดว่าการที่ภรรยาดุลูกสาวในวันนี้ถือเป็นการสมควรแล้ว

“ขอโทษค่ะ” เจ้าตัวทำหน้าจ๋อยที่แม่ดุและพ่อก็ไม่ช่วย “ก็รุ้งไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องวุ่นวายใจนี่คะ”

“ไม่ใช่เพราะกลัวว่าบอกแล้วพ่อกับแม่จะให้กลับมาอยู่บ้านก็เลยไม่ยอมหรอกเหรอ” คนเป็นแม่เอ่ยอย่างรู้ทันแล้วค้อนใส่ลูกสาวคนเล็กอย่างงอนและโกรธนิดๆ ที่ลูกไม่ยอมบอกอะไรเลยจนต้องมารู้เองแบบนี้

แง้...แม่รู้ทันแบบนี้ก็จ๋อยสิคะรออะไร

รติยาโอดครวญหน้าจ๋อย แล้วก็ได้แต่นั่งฟังมาลินีเล่าข้อตกลงที่สามีกับตนและลูกสาวได้ตกลงกันไว้ให้นงนภากับอติรุจฟังว่า ครอบครัวของตนค่อนข้างเป็นห่วงรติยา แล้วก็ห่วงคนที่จะเข้ามาจีบลูกสาว เลยค่อนข้างตรวจสอบประวัติกันอย่างชัดเจน

พอเป็นแบบนี้รติยาเลยค่อนข้างอึดอัดใจ จึงขอออกไปอยู่เองหลังเรียนจบ แต่ก็ไม่ได้ไปอยู่ไกลนัก แล้วเพราะแบบนี้พอเกิดปัญหาขึ้นมาเลยไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ เพราะกลัวถ้าบอกแล้วต้องกลับมาอยู่ที่บ้านและจะทำตามใจตัวไม่ได้อีก แต่สุดท้ายก็กลับไปหาเรื่องใส่ตัวเสียอย่างนั้น

นงนภาพอรู้ต้นสายปลายเหตุแล้วก็เข้าใจ แถมยังเอ่ยปากช่วยว่าที่ลูกสะใภ้อีกด้วย

“คุณมาลินีอย่าดุหนูรุ้งเลยนะคะ หนูรุ้งเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากมาย อาจจะทำตามใจตัวเองไปบ้าง” นงนภาว่าแล้วพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงแรม “แต่ตอนนี้ดิฉันกังวลมากกว่าว่า คุณนายสาวิตรีรู้เรื่องที่หนูรุ้งกับตารุจนอนค้างอ้างแรมด้วยกัน ดิฉันเกรงว่าหนูรุ้งอาจจะเสียหายได้ คุณมาลินีก็รู้ว่าคุณสาวิตรีไม่เบาขนาดนั้น”

“นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ดิฉันกังวลค่ะ” มาลินียอมรับตรงๆ “ต่อให้เราปฏิเสธคำนินทาและรู้ว่าอะไรจริงไม่จริง แต่คนที่นินทานั้นเขาก็สนุกกับการนินทา เขาไม่สนว่ามันจะจริงหรือเปล่า ไม่แคล้วคำนินทานั้นก็คงกลับมาทำร้ายเราอยู่ดี ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณสาวิตรีทำฆ้องปากแตกกับใครบ้างแล้ว เราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ”

“ตอนแรกดิฉันคิดว่าน่าจะต้องประกาศหมั้นกัน อย่างน้อยสถานะของการเป็นคู่หมั้นก็น่าจะทำให้ไม่โดนมองแย่นัก แต่มาคิดอีกทีหนูรุ้งอาจจะโดนคำครหาอีก ข้อหาหมั้นบังหน้าแล้วเตรียมแต่งกลบข่าวเข้าโรงแรมด้วยกัน”

พอนงนภาพูดมาถึงตรงนี้ รติยาซึ่งนั่งหน้าจ๋อยอยู่ก็จำต้องแทรกขึ้นมาสักเล็กน้อย

“เอ่อ...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้งคะคุณป้า หนูกับคุณรุจยังไม่ได้มี...”

หล่อนยังพูดไม่ทันจบ มาลินีผู้เป็นแม่ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“เงียบไปเลยเราน่ะ ไม่ต้องออกความเห็นเลยแม่ตัวดี อยู่นอนค้างอ้างแรมกับพี่เขาทั้งคืน ถึงแม่จะเชื่อใจเรา เชื่อใจคุณรุจว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่คนนอกเขาไม่ได้มองอย่างนั้น แล้วก็เรียกคุณอติรุจว่าพี่ด้วย เพราะเขาอายุมากกว่าเรา รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่บ้าง”

“ค่ะแม่”

หล่อนถึงกับจ๋อยสนิท อติรุจซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ มองแล้วก็อดสงสารไม่ได้จึงคิดจะช่วยหล่อน อย่างน้อยเขาก็เป็นคนพาหล่อนเข้าพัก ถึงแม้เจตนาของเขาจะดีและไม่ได้ล่วงเกินหล่อน แต่ถ้าหล่อนต้องเสียหายเพราะคำนินทา เขาเองก็มีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน

“ขอโทษนะครับคุณป้า ผมมีข้อเสนอครับ”

“ข้อเสนออะไรจ๊ะ”

โอ้โห แม่ขา เสียงสองมาเลย ทีกับลูกสาวนี่ดุเอาๆ

“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณสาวิตรีจะต้องเอาเรื่องนี้ไปพูดแน่ เพราะเมื่อคืนลูกพี่ลูกน้องของผมที่เป็นเจ้าของโรงแรมบอกแล้วว่าคุณสาวิตรีเห็นเหตุการณ์เมื่อคืน ผมกับคุณรุ้งก็เลยตกลงกันว่าจะแกล้งทำตัวเป็นแฟนกำมะลอกันครับ เพราะต่อให้มีคนเห็นว่าผมพาคุณรุ้งเข้าโรงแรมด้วยกัน แต่ในเมื่อเป็นแฟนกันก็ย่อมไม่ใช่เรื่องเสียหาย ดีกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วถูกมองว่าเข้าโรงแรมด้วยกัน แบบนั้นผมว่ามันหนักกว่าครับ”

“งั้นไม่ต้องแกล้งเป็นแฟนกำมะลอแล้วลูก เป็นไปจริงๆ เลยแล้วกัน”

มาลินีให้ไฟเขียวว่าที่ลูกเขยทันที เล่นเอารติยาถึงกับท้วงเสียงหลง

“แม่! ไหงงั้นล่ะคะ จู่ๆ จะให้มาเป็นแฟนกับคุณรุจ เอ๊ย พี่รุจเลยได้ยังไงคะ”

รติยาแย้ง ในขณะที่อติรุจยอมตกลงอย่างง่ายดาย

“ครับ ตกลงครับ ขอความกรุณาจากคุณลุงคุณป้าด้วยนะครับ”

อติรุจตกกระไดพลอยโจนอย่างเต็มใจ เขาไม่อิดออดและไม่ต้องคิดรอบสองให้เมื่อย เพราะคนที่จะมาเป็นแฟนเขาคือหล่อน คือคนที่เขาเลือกเอง และหล่อนก็เป็นแบบที่เขาชอบ ไม่ใช่นุ่มนวลอ่อนหวาน แล้วนิสัยใจคอก็ไม่ได้เป็นลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น เขาชอบแบบนี้มากกว่า

แต่คนถูกยัดเยียดสถานะแฟนให้ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่ารังเกียจเขา แต่แบบนี้มันเร็วเกินไป ขอไปทำใจตั้งสติสักหลายๆ วันก่อนได้ไหม!

“คุณรุจ เอ๊ย พี่รุจจะบ้าเหรอ ตกลงง่ายๆ ได้ยังไงอะ”

“แล้วจะทำให้มันยากไปทำไมล่ะ”

อติรุจถามกลับยิ้มๆ ดวงตาพราวระยับ ดูก็รู้ว่าเขาเต็มใจและแกล้งให้หล่อนปั่นป่วนหัวใจเล่น ซึ่งมาลินีผู้เป็นแม่ของรติยาก็เห็นด้วยกับเขา

“นั่นสิ แล้วรุ้งจะทำให้มันยากไปทำไม ในเมื่อมีทางออกที่ง่ายอยู่”

มาลินีว่าและมองลูกสาว ฝ่ายอติรุจแม้จะเต็มใจรับสถานะนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะบังคับหล่อน ที่เสนอไปแค่เป็นทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดและเขาเต็มใจ แต่ถ้าหล่อนไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น หรือที่จริงหล่อนมีใครอยู่ในใจแล้ว เขาก็จะไม่บังคับและเปิดทางให้

“เว้นแต่รุ้งจะรังเกียจพี่หรือมีคนที่ชอบอยู่แล้ว พี่จะยอมถอยให้”

ชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวกับหล่อนทันที เล่นเอารติยาถึงกับทำหน้ายุ่งใส่ เพราะยังไม่ชินที่จู่ๆ เรื่องกลับตาลปัตรมาเป็นแบบนี้ได้ หล่อนไม่ได้รังเกียจเขา เพียงแต่มันรวดเร็ว ไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ ก็จะมีแฟนทั้งที่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกันแบบแฟนมาก่อน ยังไม่ได้เริ่มจีบกันเลย แล้วมันจะไหวเหรอ!

“เปล่าค่ะ ไม่ได้รังเกียจ...” หล่อนตอบอุบอิบ “แต่มันตั้งตัวไม่ทัน”

รติยายอมรับเสียงอ่อยแต่ไม่ได้ปฏิเสธ ทุกคนจึงสรุปจากคำพูดของหล่อนว่าหล่อนยอม มาลินีรีบตัดบทลูกสาว บอกให้ไปรอข้างนอกเพราะผู้ใหญ่จะคุยกัน อติรุจจึงถือโอกาสนั้นออกมาจากห้องรับแขกด้วยกันกับหล่อน แล้วมายืนคุยกันข้างสระว่ายน้ำในบ้านหล่อน เพราะเขาเองก็มีเรื่องที่อยากคุยกันสองต่อสองเหมือนกัน

“โกรธหรือเปล่าที่ผมเสนอเรื่องนี้ไป”

“โกรธสิคะ!” หล่อนตอบหน้างอเป็นจวัก “ถึงคุณรุจ เอ๊ย พี่รุจจะสเปกรุ้ง แต่มันก็ข้ามขั้นเร็วไปค่ะ”

“ไม่ต้องฝืนเรียกพี่ก็ได้ เรียกตามที่ถนัด ค่อยเป็นค่อยไปกันดีกว่า” เขายอมยกให้เรื่องการเรียกชื่อ เพราะก็ไม่ได้อยากเป็นพี่ชายของหล่อนเหมือนกัน “ว่าแต่ผมสเปกคุณจริงๆ เหรอ”

ชายหนุ่มถาม เริ่มมีแต้มต่อ อย่างน้อยก็ใจชื้นขึ้นมาว่า ที่หล่อนหงุดหงิดทำหน้าบูดอยู่นี่ไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือไม่ชอบอะไรในตัวเขา ถ้าเป็นแบบนี้ก็เดินหน้าต่อง่ายกว่าคนที่เกลียดกัน

ฝ่ายคนที่เพิ่งหลุดโพล่งความรู้สึกออกไปก็ให้อยากตบปากตัวเองนัก แต่ปฏิเสธตอนนี้ก็ช้าไปแล้ว หล่อนจึงงัดข้ออ้างและเหตุผลขึ้นมาแทน

“ถึงคุณรุจจะสเปกรุ้ง แต่เรายังไม่ได้ปิ๊งกัน รุ้งยังไม่รู้จักคุณดีเลยด้วยซ้ำ ยังไม่รู้เลยว่าคุณชอบอะไรไม่ชอบอะไร ไลฟ์สไตล์เป็นยังไง นิสัยใจคอเข้ากันได้หรือเปล่า ที่สำคัญคุณยังไม่ได้จีบและทำให้รุ้งรักคุณเลยด้วยซ้ำ แต่ดันต้องมาเป็นแฟนกัน พิลึกจะตายไปค่ะ”

“งั้นผมจะเริ่มจีบคุณตั้งแต่วันนี้...รุ้งพราย”

“คุณรุจ!” หล่อนแว้ดใส่ หน้าเริ่มแดงเพราะความเขิน “นี่รุ้งจริงจังอยู่นะคะ”

“แล้วคุณเห็นผมล้อเล่นตรงไหน” เขาถามกลับตรงเป้าเข้าประเด็นด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมแค่จะบอกคุณว่า ต่อจากนี้ไปผมจะเดินหน้าจีบคุณ เพื่อให้คำว่าแฟนของเราสองคนกลายเป็นแฟนที่แท้จริงโดยไม่มีใครกังขาได้อีก แม้แต่ตัวคุณเอง”

อติรุจว่าแล้วสบตาหล่อน แววตาของเขาเอาจริงมาก แล้วก็ทำให้หล่อนหวั่นไหวมากเหมือนกัน เพิ่งเคยเห็นเวลาเขารุกแบบนี้เป็นครั้งแรก ทำเอาหัวใจหล่อนสั่นระรัวเลยทีเดียว

โอ้! นี่หล่อนจะมีแฟนแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย

หล่อนครางในใจ แวบหนึ่งก็นึกถึงการไปเป็นเพื่อนอารดาเพื่อขอแฟน

โอ๊ย เจ้าแม่ขา ประทานแฟนให้ผิดคนหรือเปล่าเจ้าคะ ทำไมหนูถึงมีแฟนแทนเพื่อนได้คะเจ้าแม่!

 

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว อติรุจกับนงนภาก็อยู่กินอาหารที่บ้านทรัพย์สิริหาญก่อนจะกลับบ้านไป เพราะคุยกันจนเข้าใจทั้งสองครอบครัวแล้ว ส่วนรติยาก็โดนพ่อกับแม่เทศน์เสียยกใหญ่ แถมพี่ชายสองคนที่เพิ่งกลับมาถึงหลังจากที่พ่อโทรศัพท์ไปเรียกตัวจากที่ทำงานยังเฉ่งหล่อนเสียอ่วม แล้วหล่อนก็โดนทำทัณฑ์บนย่อมๆ ไว้ นั่นคือจะต้องไปทำงานที่โรงเรียนเปรมธิมาตามที่ได้ตกลงกันไว้

รติยาจ๋อยสนิทจนต้องหาที่ระบาย แล้วกระโถนท้องพระโรงของหล่อนคราวนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอารดา เพื่อนซี้เพื่อนรักที่น่าจะเข้าใจสถานการณ์ของหล่อนดีที่สุด หล่อนจึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อนเพื่อระบายความซวยในความโชคดี หรือจะเรียกว่าความโชคดีในความซวยก็ไม่รู้

“ไอ้ปุ๊ก ว่างไหม คุยได้หรือเปล่า”

“ว่าง มีอะไรยะ แล้วทำไมโทร. มาถึงก็ทำเสียงแง้วๆ แบบนี้เลย ยายคุณหนูรุ้ง”

“แกฟังฉันก่อนเลย อย่าเพิ่งแซว” หล่อนรีบเบรกเพื่อนจอมแซว “แก...ฉันจะมีแฟนแล้ว”

“แกจะมีแฟน?” อารดาทวนถามอย่างแปลกใจ แต่ก็นึกอิจฉาขึ้นมาแวบหนึ่ง “แล้วเขาเป็นใคร ไปเจอกันตอนไหน ทำไมฉันไม่เห็นแกพูดถึงก่อนหน้านี้เลย”

“ก็เจอกันที่วัด เจอพร้อมกับแกนั่นแหละ”

“เจอกันที่วัดพร้อมฉันเนี่ยนะ”

“เออ พร้อมแกนั่นแหละ แฟนคนที่ว่า ก็คุณคนหล่อที่เราเจอกันที่วัดนั่นไง”

“ฮ้า! อะไรนะ ไหน อะไร ยังไง ทำไม เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยแก!”

อารดายิงคำถามเป็นชุด น้ำเสียงตื่นเต้นและอยากรู้สุดๆ รติยาจึงต้องเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตั้งแต่เรื่องที่ขับรถไปชนท้ายรถยนต์ของอติรุจซึ่งเรื่องนี้อารดารู้อยู่แล้ว เพียงแต่หล่อนไม่ได้บอกอารดาไปตั้งแต่แรกว่าคู่กรณีคือผู้ชายสุดหล่อที่เจอที่วัด เพราะไม่อยากให้เพื่อนล้อ

แต่ดวงของหล่อนกลับพัวพันอยู่กับเขาไม่เลิกไม่รา จนล่าสุดนี้หล่อนไปกินมื้อค่ำกับเขาและตกลงกันเรื่องที่หล่อนกำลังหางานทำอยู่ แต่ดันเมาหลับพับไปจนต้องค้างคืนที่โรงแรมกับเขา แล้วพอแม่ของเขามาเจอพร้อมกับคุณนายสาวิตรีนิสัยแย่คนนั้น เพื่อไม่ให้ถูกใครครหา ทั้งสองคนจึงต้องรับสมอ้างเป็นแฟนกัน  

แล้วหล่อนก็โดนพ่อกับแม่ทำโทษให้ไปทำงานที่โรงเรียนเปรมธิมาด้วย เพราะผู้ชายคนนั้นเป็นเจ้าของโรงเรียนและเป็นประธานบริษัทอาร์แอนด์ทีเอสเตตด้วย ตอนนี้หล่อนเลยตกที่นั่งลำบากสุดๆ

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ”

รติยาเล่าและสรุปให้ฟังเรียบร้อย แต่อารดากลับกรี๊ดใส่โทรศัพท์ด้วยความอิจฉาแทน

“โหย แกอะ โชคดีเป็นบ้าเลย จู่ๆ ก็ได้แฟน แสดงว่าเจ้าแม่ประทานมาให้แน่ๆ” อารดาว่าแล้วก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะไอ้รุ้ง ฉันถามแกจริงๆ นะ วันที่เราไปขอพรเจ้าแม่กัน ตอนที่ฉันขอพรอยู่ ตอนนั้นแกได้ขอให้ตัวเองมีแฟนด้วยหรือเปล่า”

“เปล่านะ” หล่อนปฏิเสธทันที “ฉันไม่ได้ขอให้ได้แฟน แต่ขออย่างอื่น ขอให้แกต่างหาก”

“ขอให้ฉัน?”

“ใช่ ฉันขอให้แก”

“แล้วแกขอว่าอะไร”

“ฉันก็จำประโยคเป๊ะๆ ไม่ได้หรอก แต่จำได้ว่าพูดว่า ลูกพาเพื่อนมาขอพรหาแฟน ถ้าเจ้าแม่จะกรุณาช่วยประทานแฟนให้ที ลูกจะได้ไม่ต้องถูกลากมาแบบนี้อีก หรือถ้าเจ้าแม่จะข้ามขั้นเป็นประทานผัวมาให้เลยก็ได้ ลูกจะได้ไม่ต้องเหนื่อยอีก ก็น่าจะประมาณนี้”

สิ้นเสียงรติยา อารดาก็ถอนหายใจยาวเมื่อถึงบางอ้อ

“มิน่าล่ะ แกถึงได้แฟนเร็วเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้” อารดาว่า แต่พอเพื่อนเหมือนจะงงและยังไม่เข้าใจ เจ้าตัวจึงเฉลยให้ฟัง “แกลองทวนคำพูดขอพรของแกดีๆ อีกทีสิ แล้วแกจะรู้คำตอบ”

รติยาลองทวนในใจตามที่เพื่อนบอก พยายามทวนให้ถูกต้องตามที่พูดไว้

‘ลูกพาเพื่อนมาขอพรหาแฟน ถ้าเจ้าแม่จะกรุณาก็ช่วยประทานแฟนให้ทีนะเจ้าคะ ลูกจะได้ไม่ต้องถูกยายเพื่อนตัวดีลากไปลากมาแบบนี้อีก หรือถ้าเจ้าแม่จะข้ามขั้นเป็นประทานผัวมาให้เลยก็ได้...’

หล่อนทวนมาถึงตรงนี้ แล้วก็ทวนซ้ำอยู่อีกครั้งและอีกครั้งก่อนจะถึงบางอ้อ

“ตายแล้ว! คำพูดของฉันมันชวนให้เข้าใจผิด งั้นเจ้าแม่ท่านก็คิดว่าฉันขอผัวให้ตัวเองอะสิ!”

“ก็เออสิ คำพูดแกมันตกไปคำหนึ่ง แกต้องบอกเจ้าแม่ว่า ‘ถ้าเจ้าแม่จะกรุณาก็ช่วยประทานแฟนให้เพื่อนของลูกทีนะเจ้าคะ’ เพราะฉะนั้นแบบนี้เจ้าแม่จะเข้าใจผิดก็ไม่แปลกแล้ว!”

“โอ๊ย แล้วฉันจะทำไงดีอะแก หรือว่าไปขอเจ้าแม่ใหม่ บอกว่าเจ้าแม่ขา หนูไม่ได้ขอ ผิดคนแล้วค่ะ”

“แกจะบ้าเหรอ”

อารดาว่า ทั้งสงสารเพื่อนและสงสารตัวเอง ทีหล่อนอยากมีแฟนแทบตาย ตั้งแต่ขอเจ้าแม่มายังไม่มีผู้ชายเข้ามาจีบสักคน กลับกันยายเพื่อนตัวดีที่ไม่ได้ตั้งใจอยากมีแฟน แค่คำพูดผิดพลาดกลับได้แฟนมาเฉย แล้วยังจะมีหน้าเอาแฟนไปคืนเจ้าแม่อีก

โอ๊ย จะบ้า ผู้ชายนั้นหายาก ต้องลำบากออกเรือไปนะคะคุณ มีมาสักคนต้องรีบจับมัดไว้ให้อยู่หมัดค่ะ!

“ไม่ต้องเลยแก แล้วไม่ต้องไปขอคืนเจ้าแม่ด้วย ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว ลองคบหาดูใจกันไปสักตั้งจะเป็นไร คุณคนหล่อของแกเขาทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนั้น แถมคนนี้พ่อแม่และพี่ชายขี้หวงของแกก็ไฟเขียวแล้วด้วย แล้วเขาก็เป็นสเปกของแกด้วยไม่ใช่หรือไง โอกาสดีโอกาสงามแบบนี้หายากนะยะ”

อารดาเตือนเพื่อนให้คิด แต่คนที่จู่ๆ มีแฟนแบบไม่ทันตั้งตัวก็ไม่วายบ่น

“มันก็...ก็ใช่อยู่หรอก” รติยาอึกอัก “แต่มันตั้งตัวไม่ทันนี่”

“ถ้าแกไม่เอา ฉันจะตกเขาเองนะ” คนเป็นเพื่อนขู่แล้วจีบปากจีบคอแถมท้าย “ผู้ชายหล่อ รวย เพอร์เฟกต์แบบนี้หายาก หลงมาสักคนเนี่ยฟ้าประทานสุดๆ โชคดียิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ใครไม่เอาถือว่ามีตาหามีแววไม่ ไร้บุญไร้วาสนา แต้มบุญเหลือน้อยสุดๆ”

“ไอ้ปุ๊ก” รติยาทำหน้างอใส่โทรศัพท์ “ไม่ต้องมาแขวะฉันเลย”

“แล้วตกลงจะเอาไหม”

“เอา ก็ได้”

รติยายอมจำนนกับคำเตือนของเพื่อน เพราะมันก็จริงอยู่ว่าเขาเป็นสเปกหล่อนเลย แต่แค่ตั้งตัวไม่ทัน จะใส่เกียร์ถอยโกยแน่บก็กระไรอยู่ ท่าทางต้องยอมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาเสียแล้ว

“ก็แค่เนี้ย คิดอะไรมาก ลางมันจะมีผัวมันก็ต้องมี ท่องไว้เลยแก ผู้ชายงานดีหลุดมาสักคน อย่าเล่นตัว อย่าคิดว่าฉันสวยฉันเลือกได้ เพราะเรื่องมากสุดท้ายคานมันจะถามหาย่ะ!”

อารดาจีบปากจีบคอใส่ ทั้งเตือนทั้งสมน้ำหน้าและอิจฉาเพื่อนไปในตัว ที่คนยังไม่อยากมีแฟนดันต้องมามีแฟน แถมมาไม่ให้ทันตั้งตัวเลยสักนิด แล้วยังได้ผู้ชายตรงสเปกอีก แต่หล่อนนี่สิ อุตส่าห์ลงทุนเป็นตัวตั้งตัวตีไปขอเจ้าแม่แท้ๆ จนป่านนี้ยังไร้เงาผู้ชายที่ใฝ่ฝันหา สงสัยดวงจะอาภัพเนื้อคู่จริงๆ เสียละมั้ง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น